รู้จักนิลธารา


        “นิลธารา” คือแหล่งรวม นิยายยูริ เรื่องสั้นยูริ บทความ และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวผ่านนามปากกาที่มีชื่อว่า “นิลธารา” หรือจะเปรียบเสมือน “บ้าน” ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ทุกเมื่อ เป็นดั่งคลังเรื่องราวที่เป็นความทรงจำของตัวผู้เขียนเอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกเรื่องราวใน “บ้าน” หลังนี้ จะทำให้คุณเพลิดเพลิน อบอุ่นหัวใจ และได้อะไรกลับไปไม่มากก็น้อย แม้อาจจะเป็นเพียงการแวะเวียนมา ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับคุณอีกครั้ง เมื่อนึกถึงกัน...


รู้จักนิลธารา

        สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นผู้เขียนขอแนะนำตัวสักเล็กน้อยนะคะ ขออนุญาตแทนตัวเองว่า “เรา” เพื่อที่จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้นค่ะ

        เรามีชื่อว่า “สาหร่าย” จะเรียกว่า “สา” สั้น ๆ ก็ได้ เพราะเราชอบชื่อนี้มากค่ะ เราเป็นเพียงใครคนหนึ่งที่ชื่นชอบการถ่ายทอดความรู้สึก และบอกเล่าเรื่องราวผ่านงานเขียน หรือแม้แต่การเขียนบันทึกลงในสมุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั้นมาจากการบ่นลงไปในแฟลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ จากนั้นก็นำไปสู่การเขียนบทความที่ได้ข้อคิดเพื่อเตือนใจตัวเอง และพัฒนามาเป็นการเขียนนิยายยูริ เรื่องสั้นยูริ ในที่สุดค่ะ


ก่อนจะมาเป็นนิลธารา

        เดิมทีนั้น เราเคยใช้นามปากกาว่า “Chicken’Little” ที่มาจากตัวการ์ตูนที่เราชื่นชอบ และเรายังชอบลูกไก่ตัวเล็ก ๆ ด้วย จึงเป็นที่มาของนามปากกานี้ และก็ยังเป็นฉายาที่เพื่อน ๆ ชอบเรียก (ไก่น้อย) จากความชอบของเราด้วยค่ะ แต่หลังจากที่เริ่มเขียนนิยายจริงจัง ทำให้ค้นพบว่าตัวเองนั้น แท้จริงแล้วชื่นชอบการเขียนนิยายแนวดรามามาก เรียกง่าย ๆ ว่า นิยายทุกเรื่องของนิลธาราจะต้องมีคนตายอย่างน้อย 1 คน เสมอ (55555)

        และเพราะเราชอบเขียนนิยายดรามาเสียส่วนใหญ่ หากจะมาใช้นามปากกาว่า “Chicken’Little” แล้วมันดูแปลกอย่างไรชอบกล เพื่อนก็บอกว่ามันไม่เข้ากันเลย เราก็เลยมาคิดนามปากกาใหม่เพื่อที่จะสื่อถึงความเป็นตัวเองมากขึ้น และตรงกับแนวที่เราชื่นชอบด้วย จึงได้มาเป็น “นิลธารา” ที่แปลตรงตัวว่า “น้ำสีดำ” หรือจะแปลตามความหมายที่ดูลึกซึ้งขึ้นมาหน่อย ก็คงจะเป็น สายน้ำที่มืดมนแต่ก็ยังคงความอบอุ่นและงดงามดั่ง “นิล” ที่เป็นอัญมณีสีดำ ดูงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั่นเองค่ะ


เมื่อชีวิตเข้าสู่ความมืดมนดั่งสายน้ำสีนิล...

        หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่จะได้มาเขียนนิยายนั้น ชีวิตเราเคยล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมน มันคือช่วงเวลาของการ “อกหัก” ชีวิตในตอนนั้นมันช่างหนักเอาการจากการสูญเสียคนรักไป ราวกับตกลงไปในก้นทะเลลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งลึก ยิ่งมืด... ยิ่งมืด ยิ่งโดดเดี่ยว... เราจึงเขียนบรรยายความรู้สึกออกมาผ่านบทความที่มีชื่อว่า “บันทึกหลังกำแพง” 

        เพราะการพูดมันช่างยากเย็น จะสื่อออกมาอย่างไรดีให้ผู้อื่นเข้าใจในความรู้สึกของเรา ณ ขณะนั้น เพราะฉะนั้นการระบายที่ดีที่สุดจึงเป็นการบ่นกับตัวเอง และก็เขียนระบายความทุกข์ ความโศกเศร้าออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งบันทึกหลังกำแพงในช่วงแรกนั้น เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม และอารมณ์ที่หม่นหมองทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ยิ่งเขียนมากเท่าไหร่ เรากลับรู้สึกว่ายิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น


เริ่มเห็นแสงรำไร...

        จากการตกตะกอนความคิดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และบทเรียนต่าง ๆ ที่ได้รับในช่วงเวลาของความมืดมน “บันทึกหลังกำแพง” จึงแปรเปลี่ยนเป็นบทความให้กำลังใจที่เราใช้เตือนสติตัวเองในช่วงเวลาที่เราท้อ ว่า “อย่ายอมแพ้นะ” ไม่ว่าจะเจอเรื่องที่มันยากลำบากมากเพียงใดก็ตาม ทุกบทความที่เขียน จะต้องมีข้อคิดดี ๆ สอดแทรกอยู่ในนั้นเสมอ

        และเพราะบันทึกหลังกำแพงเริ่มมีข้อคิดดี ๆ ทำให้พี่ชายที่เราเคารพรักบอกกับเราว่า “ถ้ามีบางคนกำลังหาทางชีวิตไม่เจอ...และบางคำในหนังสือช่วยเขาเอาไว้ได้ เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในทุกด้าน แต่ว่าน้องสาหร่ายเป็นอีกคนที่รับฟัง หวังดี และให้กำลังใจกับคนรอบข้างเสมอมา” ประโยคนั้นทำให้เรามีกำลังใจที่จะเขียนบทความดี ๆ ที่ชื่อ บันทึกหลังกำแพง นี้ต่อไป

        ...ถ้าวันหนึ่ง บทความที่เราเขียน มันทำให้ใครสักคนรู้สึกดีขึ้น หรือมีกำลังใจขึ้นได้ มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากบทความของเราสามารถเยียวยาความรู้สึกใครได้...
        100 บทความ คุณอาจจะชอบมันเพียงแค่ 1 บทความก็ได้ และมันอาจจะเป็น 1 บทความที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่มันทำให้คุณรู้สึกดีที่สุด เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


เต็มที่กับชีวิต...

        และเพราะบันทึกหลังกำแพงคือการเขียนบทความที่เพื่อน ๆ และใครหลาย ๆ คนชอบอ่านมากยิ่งขึ้น พี่ชายที่เราเคารพรักจึงให้ลองเขียนบทความรีวิว จากประสบการณ์ที่ได้ไปเที่ยวต้อนรับเข้าทำงานหลังเรียนจบ แม้จะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเขียนมาก่อนก็ตาม แต่มันก็ดูน่าสนุกดี จึงลองเขียนบทความรีวิวท่องเที่ยวดู แล้วมันก็ได้ผลตอบรับดีเกินคาดเลยค่ะ ถือเป็นแรงบันดาลใจสู่การเป็นนักเขียนของเราแบบเต็มรูปแบบเลย เพราะหลังจากรีวิวนั้น เราก็ได้เขียนบทความจริงจังมาตลอด ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเลย

        แต่ใครเล่าจะรู้...ว่าชีวิตของเราจะต้องดำดิ่งสู่ก้นทะเลอีกครั้ง...


ดำดิ่งสู่ความมืดมนอีกครั้ง...

        จากที่เคยมีความสุขกับการใช้ชีวิต เหมือนเราใช้พลังงานในตอนนั้นไปหมดแล้ว จากที่เคยหัวเราะและสนุกกับทุกเรื่องที่ทำ กลับกลายเป็นว่าทุกวันมันดูเหนื่อยไปหมด มันดูมืดมนมากกว่าตอนอกหักตอนนั้นเสียอีก การจะเขียนบทความดี ๆ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ

        เพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของทัศนคติของตัวเองที่ติดลบลงไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าการตื่นเช้าไปทำงานในแต่ละวันนั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก ราวกับต้องวิ่งขึ้นเขาทุก ๆ เช้าเลยก็ว่าได้ จึงไปศึกษาถึงอาการที่เป็น และเข้าไปพบจิตแพทย์ตามคำแนะนำของเพื่อน ๆ ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองเป็น “โรคซึมเศร้า” ค่ะ ซึ่งคุณหมอแนะนำว่าให้หาอะไรที่ตัวเองทำแล้วรู้สึกสนุกกับมัน แต่ไม่ว่าจะลองทำอะไรก็ไม่ได้ช่วยเลย นับวันมันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากลองทำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนนิยายของเราเลยค่ะ


นี่แหละ นิลธารา…

        ตอนจบของนิยายทุกเรื่องที่นิลธาราได้เขียนออกมานั้น ล้วนแล้วแต่มีความใฝ่ฝัน และเป็นอนาคตที่เราเคยวาดฝันมาตลอด หากเราไม่สามารถเขียนชีวิตตัวเองได้ ก็ขอร้อยเรียงเรื่องราวผ่านตัวละคร เนื้อเรื่อง ให้ตอนจบนั้นอบอุ่นและสมบูรณ์ในแบบฉบับของตัวเอง 

        แม้ที่ผ่านมาจะได้เจอเหตุการณ์ที่ต้องเจ็บปวดมามากมาย แต่ท้ายที่สุดชีวิตของเราก็ยังต้องเดินต่อ ก็เหมือนกับตัวละครในนิยายทุกเรื่อง ที่จะต้องสุขสมหวังในตอนจบ หรือได้ของขวัญที่มีค่าที่สุดที่เรียกว่า “บทเรียนชีวิต” ที่ทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงตัวละครเท่านั้น แม้แต่ตัวผู้เขียนเอง ก็ได้เรียนรู้จากตัวละครเช่นกัน

        คงต้องขอกล่าวประโยคเดิมอีกครั้ง ว่าเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนที่เข้ามาที่ “บ้าน” หลังนี้ จะได้รับอะไรกลับไปไม่มากก็น้อยนะคะ แม้จะไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุดที่คุณเคยอ่าน เพราะเราไม่ใช่นักเขียนที่เก่งที่สุด แต่อย่างน้อย เราก็เป็นเหมือน “เพื่อน” ที่ได้มีความสุขเคล้าน้ำตาไปด้วยกัน ตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณเริ่มเปิดอ่าน ตลอดจนวินาทีสุดท้ายที่คุณเก็บมันลง 

        มันอาจจะเป็นความทรงจำดี ๆ ที่คุณอยากบันทึกลงในหัวใจ หรืออาจจะเป็นเพียงตัวอักษรที่คุณเคยผ่านมาเห็นแล้วเก็บมันลงกรุแล้ว แต่ถึงกระนั้น เราก็อยากขอบคุณจากใจ ที่คุณแวะเวียนมาที่บ้าน “นิลธารา” หลังนี้นะคะ


ขอขอบคุณ...

        บ้านนิลธาราหลังนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดพี่ชายทั้ง 3 ที่เราเคารพรัก

        พี่ต้อม... พี่ชายที่สอนให้เรารู้จักการ “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ขอบคุณพี่ได้ให้อะไรมากมายแก่สังคมมาตลอด ขอให้ทุกรอยยิ้มที่พี่มอบให้กับผู้อื่น โอบกอดพี่เสมอในวันที่พี่ท้อด้วยนะคะ

        พี่สังข์... พี่ชายที่เปรียบเสมือน “พ่อ” ผู้ที่ให้โอกาสเราในทุก ๆ เรื่อง ผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เราก้าวมาเป็นนักเขียนอย่างเต็มรูปแบบ หากไม่มีแรงสนับสนุน ไม่มีมือที่ยื่นมาในวันที่ล้ม ก็ไม่รู้ว่านิลธาราจะมีบ้านหลังนี้ไหม ขอบคุณที่คอยสนับสนุนน้องสาวคนนี้ตั้งแต่บันทึกหลังกำแพงที่มีแต่สีดำ จนวันนี้ บันทึกหลังกำแพงนั้นมีสีสันขึ้นมาแล้วนะคะ

        พี่ปุ้ย... พี่ชายที่เปรียบเสมือน “ครู” ผู้ที่สร้าง และชี้นำโอกาสให้น้องสาวคนนี้เสมอมา ทุกครั้งที่หมดหนทาง พี่ปุ้ยจะคอยหยิบยื่นโอกาสมาให้เสมอ ผู้ที่จุดประกายให้มีบ้านสำหรับเก็บนิยายเป็นของตัวเอง แม้ตอนนั้นจะเคยหมดไฟและยอมแพ้ไปแล้ว แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ได้สร้างขึ้นใหม่แล้วนะคะ

        ความจริงแล้วคำขอบคุณมันยังน้อยไปกับสิ่งที่ได้รับจากผู้คนรอบข้างเสมอมา ไม่ว่าจะครอบครัวและกัลยาณมิตรที่ดี ขอบคุณที่ทำให้เรายังมีรอยยิ้มจนถึงวันนี้ และคนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “น้องจอม” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบ้านหลังนี้ ขอบคุณที่คอยซ่อมแซมและต่อเติมจนมันสมบูรณ์นะคะ

        ขอบคุณทุกคนในชีวิต...จากหัวใจค่ะ...