คุ้มขวัญของหนู

คุ้มขวัญของหนู
#Special ปลอบ

แนะนำตัวละคร
หลังจากที่ฉันดื้อดึงแบบสุดฤทธิ์ที่จะมาพบกับอาขวัญให้ได้แม้จะถูกห้าม ถูกด่า และถูกไล่แค่ไหนก็ตาม ในเมื่อคนที่ฉันรักกำลังเผชิญกับปัญหา ฉันจะอยู่เฉยได้ยังไง ต่อให้จะต้องโดนไล่ตะเพิดกลับไปหรือจะต้องถูกด่า ฉันก็ยอม แต่ในที่สุด...อาขวัญก็ยอมลงมาหาฉันจนได้ 
แม้ใบหน้าของอาขวัญจะแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง แต่ฉันก็รับรู้ได้ ว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มาแน่ ๆ เพราะดวงตาและจมูกนั้นเป็นสีแดงก่ำ บวกกับขอบตาที่บวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด อยากเข้าไปสวมกอดอาขวัญเหลือเกิน แต่ฉันทำได้แค่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูกระจกใส ๆ ที่กั้นกลางเราสองคนอยู่เท่านั้น
สภาพของอาขวัญดูเหนื่อยมาก อาจจะร้องไห้จนหมดแรงก็เป็นได้ เธอยังคงสวมชุดทำงาน ด้วยเสื้อเชี้ตสีขาว ที่ดูยับยู่ยี่แปลกไปจากเดิม ทั้ง ๆ ที่เธอเคยแต่งตัวเนี้ยบสมกับลุคเจ้าของโรงแรมห้าดาว แต่ตอนนี้ชายเสื้อด้านหนึ่งหลุดออกนอกกางเกงสแล็คสีดำ ฉันยืนมองสำรวจอาขวัญด้วยความเป็นห่วง และในขณะที่ฉันกำลังจะก้มลงพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือสิ่งที่ชวนฉงนก็เกิดขึ้น
ติ๊ด!
"เข้ามาสิ"
อาขวัญเอื้อมมือมากดปุ่มเปิดล็อกประตูก่อนจะออกแรงดึงเข้าไปด้านใน นี่เธอยอมเปิดประตูให้ฉันเข้าไปแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ
"หยกเข้าไปได้หรอ"
"ก็เปิดประตูให้แล้วไง แต่ก่อนจะเข้ามา ตอบคำถามฉันก่อน ว่าเธอมาหาฉันทำไม"
"หยกเป็นห่วงคุณ"
"แค่นี้เหรอ"
"หยกรู้ว่าตอนนี้คุณไม่โอเค หยกอยากอยู่ข้าง ๆ คุณ หยกเป็นห่วงคุณจริง ๆ นะ"
อาขวัญนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะหันหลังเดินนำหน้าฉันไปตามโถงทางเดินช้า ๆ ตลอดโถงทางเดิน และในลิฟต์เงียบสงัด ไม่มีการพูดคุยใด ๆ ได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าของเราสองคนเท่านั้น ฉันทำได้แค่มองแผ่นหลังของผู้หญิงที่เดินนำหน้า ฉันกลัวเหลือเกิน ว่าเธอจะเป็นลมล้มลงไปเสียก่อนจะถึงห้อง เพราะเธอดูอิดโรยมากจริง ๆ แต่จะให้ฉันเข้าไปช่วยประคอง ฉันก็ไม่กล้าอยู่ดี
เมื่อเราสองคนมาถึงห้องบนคอนโดสูงหกสิบชั้น อาขวัญเปิดประตูพร้อมกับผงกศีรษะส่งสัญญาณให้ฉันเดินเข้าห้องไปก่อน ทันทีที่ฉันก้าวขาเข้าไป ฉันถึงกับตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นภายในห้องที่ดูหรูหราเป็นสัดเป็นส่วน เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ภายในห้องเป็นโทนสีขาว เทาอ่อน ดูสะอาดสะอ้านสบายตา กลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ข้าวของทุกอย่างจัดเก็บเป็นระเบียบ สมกับเป็นห้องของผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสียจริง
กึก!
เสียงปิดประตูตามหลังของฉันมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าของอาขวัญที่ก้าวเข้ามาช้า ๆ เมื่อฉันหันหลังกลับมาก็พบว่า กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปลดออกจนเกือบจะครบทุกเม็ดแล้ว เนินอกที่มีบราสีดำปกปิดเอาไว้ ทำฉันกลืนน้ำลายดังอึก ฉันตะลึงกับการกระทำของอาขวัญจนสติที่มีแทบกระเจิง
"มัวรออะไรอยู่ล่ะหยก ฉันยอมให้เธอเข้ามาแล้วนี่...เอาเลยสิ อยากทำอะไรก็เริ่มเลย"
อาขวัญเดินเข้ามาหาฉันจนอยู่ในระยะประชิด มือทั้งสองข้างค่อย ๆ ลูบไล้ที่ต้นคอของฉัน ก่อนจะวางมือประสานกันที่ท้ายทอย แววตาของอาขวัญไม่ได้เรียกร้องหรือเสน่หาฉันเหมือนตอนที่มองฉันที่ลอนดอนแม้แต่นิดเดียว แต่แววตาที่กำลังจ้องมองฉันอยู่คือแววตาของคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่ต่างหาก
"นี่คุณจะทำอะไร"
"มาหาฉันเพราะอยากทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ เอาแต่พูดเรื่องแบบนี้นี่ ฉันยอมความดื้อด้านของเธอแล้ว"
อาขวัญแสยะยิ้มออกมา แต่ดวงตากลับมีประกายของน้ำตาที่กำลังคลอเบ้าอยู่ ยังไม่ทันที่ฉันจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเพื่อหวังจะเช็ดน้ำตาให้ อาขวัญก็ดึงท้ายทอยของฉันลงไปประกบปากโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว จมูกและแก้มข้างขวาของฉันสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจนรู้สึกว่ามันเปียกไปหมด ยิ่งฉันพยายามต่อต้าน เธอก็ยิ่งกอดรัดท้ายทอยฉันแน่นขึ้น และจูบแรงขึ้นเท่านั้น 
"คุณ!! หยุดนะ!!"
"เอาสิหยก!! ทำเหมือนวันนั้นเลย อยากทำอะไรก็ทำเลย!!"
"คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!?"
ในขณะที่อาขวัญพยายามฉุดกระชากฉัน ฉันก็พยายามผลักและจับแขนทั้งสองข้างของอาขวัญออก แต่เธอก็สามารถสะบัดออกได้ แล้วดึงฉันเข้าไปจูบอีกครั้ง ตอนนี้ฉันรับรู้ได้เลยว่า อาขวัญกำลังเจ็บปวดจนไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว
"คุณมีสติหน่อยได้ไหม!! หยกไม่ได้คิดแบบนั้นนะ!!"
"ทำไมล่ะหยก!! ทำไมเธอถึงไม่คิดแบบนั้น ฉันอยากเอากับใครก็ได้เหมือนที่พี่วิชทำกับฉัน! ฉันให้ท่าเธอขนาดนี้ เธอจะไม่เอาเหรอ"
"คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!! นี่คุณกำลังจะลดค่าตัวเองเพราะผู้ชายคนนั้นเหรอขวัญ!!"
"เธอก็คิดว่าฉันไม่มีค่าอยู่แล้วนี่!! วันนั้นฉันยังเอากับเธอเลย วันนี้ฉันก็จะทำ ฉันก็อยากลองเป็นคนเหี้ยดูบ้าง อยากรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง!! ฮึก! ฮือ ๆ ปล่อยฉัน!!! ฮือ ๆ"
ฉันดึงอาขวัญเข้ามากอดเอาไว้แน่น แน่นจนอาขวัญไม่สามารถดิ้นออกไปไหนได้ เจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นสภาพอาขวัญเป็นหนักถึงขนาดนี้ ยิ่งเสียงสะอื้นของอาขวัญดังแรงขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของฉันก็แทบแตกสลาย
"ฮือ ๆ หยก... ฮึก! มันไปเอากับเพื่อนของฉัน!! มันทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!! ฮือ ๆ "
"ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไรนะขวัญ...หยกอยู่นี่แล้ว หยกอยู่ข้าง ๆ คุณนะ"
"ฮือ ๆ ๆ หยก...ฮึก ๆ ฮือ ๆ ฉันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอหยก ทำไมอะ...ทำไมต้องเป็นเพื่อนฉัน ฮือ!!"
"ตัวคุณมีค่ามากเลยนะ อย่าลดค่าของตัวเองเพราะผู้ชายเหี้ย ๆ คนเดียวเลยนะขวัญ หยกขอโทษที่ด่าคุณไปวันนั้น หยกมันแย่เอง หยกมันไม่ดี แต่หยกไม่เคยมองว่าคุณไร้ค่าเลยนะ พวกนั้นต่างหากที่ไม่มีค่า คนที่ทำเลวกับคุณต่างหากที่ไม่ควรถูกมองว่ามีค่า!!"
ฉันสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาในอ้อมกอดของฉัน อาขวัญร้องไห้อย่างหนักจนสั่นไปทั้งตัว มือทั้งสองกำที่เสื้อของฉันแน่น ถ้าเธอจะใช้กำปั้นทุบที่หลังของฉัน ฉันก็จะไม่โกรธเธอเลยสักนิด ฉันอยากให้เธอระบายความเจ็บปวดออกมาให้หมด ขออย่าให้เธอต้องทรมานแบบนี้อีกเลย
"อยู่กับหยกคุณจะร้องไห้แค่ไหนก็ได้เลยนะ ร้องออกมาให้หมด มันจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น แค่นิดนึงก็ยังดี"
"ฮือ ๆ หยก...ฉันเจ็บ..."
"หยกรู้...หยกถึงมาหาคุณไง"
"เธอจะมาทำไมหยก ฮือ ๆ เธอมาหาฉันทำไม"
"หยกบอกแล้วไง ว่าหยกเป็นห่วงคุณ ขอร้อง...ตอนนี้อย่าเพิ่งไล่หยกเลยนะ ขอให้หยกได้กอดคุณเอาไว้แบบนี้ก่อนได้ไหม หยกอยากเคียงข้างคุณในวันที่คุณทุกข์ใจ หยกอยากเป็นคนที่คอยรับฟังคุณจนคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นไรนะ...คุณยังมีหยกนะ"
"ฮึก ๆ ขอบคุณนะหยก ฮือ ๆ"



"น้ำค่ะ"
หลังจากที่อาขวัญสงบลงจากการร้องไห้จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ฉันพาอาขวัญมานั่งที่โซฟากำมะหยี่สีเทาเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ตัวเองสักพัก ก่อนจะจัดแจงติดกระดุมของเธอกลับเข้าที่เหมือนเดิม ฉันเดินไปหาน้ำในตู้เย็นมาให้อาขวัญดื่มเพื่อหวังว่าเธอจะสดชื่นขึ้น แต่อาขวัญรับแก้วน้ำไปถือค้างเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่ดื่มลงไปแม้แต่อึกเดียว
ฉันเป็นห่วงอาขวัญใจแทบขาด แต่กลับทำได้แค่ยืนมองอาขวัญนั่งมองแก้วน้ำอย่างเลื่อยลอย ฉันจึงค่อย ๆ จับแก้วน้ำจากมือเธอไปวางไว้โต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะประคองศีรษะอาขวัญมาซบที่หน้าอกของฉัน แล้วลูบผมเธออย่างแผ่วเบา 
อาขวัญเอื้อมมือมากอดฉันเอาไว้ ภายในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงจากนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนังกำลังเดินแข่งกับจังหวะหัวใจของฉัน ถ้าอาขวัญได้ยินเสียงหัวใจของฉัน เธอจะรู้ไหมนะ ว่าฉันรักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน
"อยากระบายไหมคะ คุณระบายได้เลยนะ คิดซะว่า หยกไม่ใช่เพื่อนของหลานสาวคุณ หรือคิดว่าหยกเป็นใครก็ได้ที่คุณสามารถระบายเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังได้ทุกเรื่อง"
"..."
"งั้น...ถ้าสมมติว่าเราย้อนเวลากลับไปตอนที่เรายังอยู่ลอนดอน ตอนนี้เราสองคนรู้จักแค่ชื่อเท่านั้น คุณอยากจะระบายอะไรให้หยกฟังไหม จะด่าผู้ชายคนนั้นก็ได้นะ เดี๋ยวหยกจะเป็นฝ่ายซัพพอร์ตเอง"
"เธอมันดื้อ"
"เอ้า...ไหงด่าหยกซะงั้น"
"เธอมันรั้น"
"โอเค ๆ ถ้าคุณด่าหยกแล้วสบายใจขึ้น หยกยอมให้คุณด่าก็ได้ แต่อย่าด่าแรงนะ หนูยังเด็ก หนูรับไม่ไหว"
"เธอมันดื้อด้าน ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้ขอให้เธอมา เธอก็มา ทั้ง ๆ ที่ฉันไล่เธอให้ตายยังไง เธอก็ยังมา เธอมันโง่"
"ดีขึ้นไหม"
"...."
"ด่าอีกเร็ว จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น"
"ขอบคุณนะหยก บางครั้ง...ฉันก็แอบคิดว่าเธอคือผู้พิทักษ์ของฉันจริง ๆ ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกแย่ เธอจะมาปรากฎตัวต่อหน้าฉันตลอด หรือเวลาที่ฉันต้องการเธอ เธอก็จะมาหาฉันทุกครั้ง เหมือนวันนี้..."
"คุณอยากเจอหยกหรอ"
"อืม"
"โห...ดีใจนะเนี่ย ไม่คิดว่าคุณก็อยากเจอหยกเหมือนกัน แล้วทำไมคุณต้องไล่หยก หรือห้ามไม่ให้หยกมาเจอคุณด้วย"
"ฉันไม่อยากให้เธอมายุ่งเรื่องของฉัน"
"หยกทำไม่ได้"
"เธอทำได้หยก"
"คุณจะให้หยกอยู่เฉยได้ยังไง ตอนนี้คุณกำลังเจอกับอะไรคุณก็รู้"
"ฉันรู้ดีหยก ฉันรู้ทุกอย่าง ว่าฉันกำลังเผชิญกับอะไร"
"คุณ...ไม่แต่งงานไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้หรอกหยก ขอล่ะ อย่ามายุ่งเรื่องนี้เลย อย่าพยายามมาขัดขวางฉัน"
อาขวัญพูดพร้อมกับผละออกจากอ้อมกอดของฉัน ฉันไม่เข้าใจอาขวัญเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เจอขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแต่งงานด้วย ธุรกิจมันสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ
"ฉันรู้ว่าเธอห่วง ฉันรู้ว่าเธอกำลังสับสน แต่เธอยังเด็ก เธอไม่เข้าใจหรอกหยก"
"ช่วยอธิบายให้หยกเข้าใจหน่อยได้ไหม ว่าการเป็นผู้ใหญ่มันเป็นยังไง รสชาติของผู้ใหญ่ที่ว่าขม ทำไมคุณไม่เลี่ยงมัน ทำไมคุณถึงต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเลือกทางอื่นมันดีกว่า"
"แล้วทางที่ว่าดีกว่า มันจะดีตลอดรอดฝั่งเหรอหยก มันไม่มีอะไรดีไปตลอดหรอกนะ"
"ก็จริง...แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณมีความสุขมากกว่านะ หรือไม่ก็ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้อะ"
"เธอไม่เข้าใจ"
"งั้นก็อธิบายให้หยกเข้าใจสิ"
"แล้วถ้าฉันถามว่า อนาคตกับความรัก เธอจะเลือกอะไร ฉันเดาได้ว่าเด็กอย่างเธอต้องเลือกความรักแน่ ๆ ถูกไหม"
"ใช่"
"ความรักมันกินไม่ได้หรอกนะหยก"
"แต่อนาคตที่ไม่มีความสุข หยกก็ไม่เอาเหมือนกัน"
"แล้วถ้าฉันถามว่า เธอรักฉันที่ตรงไหน เธอตอบได้ไหม"
คำถามที่ฉันเองก็แอบฉงน ว่าฉันรักอาขวัญตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรักที่ตรงไหน ฉันจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟากำมะหยี่ข้าง ๆ อาขวัญ พลางคิดหาที่มาที่ไปในใจ
"เธอก็ตอบไม่ได้ใช่ไหม"
"หยกเองก็ไม่รู้หรอก ว่าหยกรักคุณที่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นหยกไม่รู้จักคุณเลย แต่หยกสัมผัสได้ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นมาก ๆ คุณเข้าใจคนอื่น คุณเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ มันเลยทำให้หยกประทับใจในตัวคุณ"
"แล้วหลังจากที่รู้จักฉัน เธอมองฉันเปลี่ยนไปไหม"
"ไม่เลย ต่อให้คุณจะชอบด่าชอบไล่หยก แต่หยกก็รู้ว่าคุณเป็นห่วง คุณยังแคร์ความรู้สึกของหยกอยู่ เหมือนที่หยกเคยพูด ว่าถ้าคุณไม่รู้สึก คุณจะปล่อยผ่านก็ได้ แต่คุณไม่ คุณเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ๆ มันยิ่งทำให้หยกนับถือคุณมากขึ้นไปอีก หยกอยากเก่งให้ได้เหมือนคุณ หยกอยากเป็นคนดีให้ได้เหมือนคุณ"
"ขอบคุณนะหยก ที่มองเห็นคุณค่าในตัวฉันขนาดนั้น"
"สำหรับหยก คุณมีค่ามากเลยนะ อย่าลดค่าตัวเองเพราะคนที่ทำร้ายคุณเลย หยกแค่อยากให้คุณได้แต่งงานกับคนดี ๆ ก็แค่นั้นอะ อย่างน้อย เค้าคนนั้นก็สามารถทำให้คุณมีความสุขได้ ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น ที่เอาแต่ทำให้คุณเสียใจ"
"เธอจะยินดีมากกว่า ที่ได้เห็นฉันมีความสุขกับคนดี ๆ งั้นสิ"
"ใช่"
"เหมือนที่เธอยินดีให้เมญ่ากับปุยเมฆคบกันใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ"
"แล้วไหนบอกว่าเลือกความรักไง แม้แต่เธอเองยังเลือกอนาคตเลย อนาคตที่เห็นอีกฝ่ายมีความสุข ถึงเธอจะรู้ว่าเธอจะต้องเสียปุยเมฆไปก็ตาม ไหนบอกว่าอนาคตที่เจ็บปวดเธอก็ไม่เอาไง สุดท้ายแล้ว ความรักมันก็ไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกหยก"
คำตอบของอาขวัญ ทำฉันอึ้งไปชั่วขณะ ฉันหันไปมองอาขวัญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาทบทวนคำตอบของตัวเองอีกครั้ง ฉันนั่งก้มหน้าแล้วกุมมือตัวเองเอาไว้ 
"จริงอยู่ว่าหยกต้องเสียปุยเมฆไป แต่การเห็นคนที่เรารักมีความสุข แล้วเราก็มีความสุขไปด้วย มันก็คือความรักในรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรอคะ พวกเค้าไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของหยกสักหน่อย แต่สำหรับคุณมันไม่ใช่ พวกนั้นกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคุณ และหยกก็มีความทุกข์ที่เห็นคุณเจ็บปวด มันไม่แฟร์เลย...หยกไม่อยากเห็นคนที่หยกรักเจ็บปวดอีกแล้ว หยกไม่อยากให้คุณร้องไห้เพราะคนเลว ๆ พวกนั้น หยกไม่..."
ฉันที่เอาแต่พูดพรั่งพรูออกมาจนไม่ทันได้รู้ว่าอาขวัญยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเอื้อมมือมาประคองใบหน้าฉันให้หันไปทางเธอก่อนจะโน้มตัวเข้ามาจูบฉัน ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน รสจูบนี้อ่อนโยนและนุ่มนวลจนดวงตาของฉันค่อย ๆ ปิดลงและตอบรับจูบของอาขวัญช้า ๆ
กลิ่นน้ำหอมของอาขวัญมันหอมละมุนชวนหลงใหล บรรยากาศรอบ ๆ ที่เงียบสงัดช่างเป็นใจ จนหัวใจฉันแทบหยุดเต้น เสียงจูบดังออกมาเป็นจังหวะที่เราทั้งสองขยับริมฝีปาก กลิ่นลิปสติกที่ชวนคิดถึงช่างหอมหวานจนอยากจะกลืนกินริมฝีปากนุ่มนี้ลงไป ฉันโหยหามันมานานมากจนไม่อยากจะให้มันจบลงในตอนนี้
เราทั้งสองเริ่มเร่งจังหวะจากนุ่มนวลเป็นดูดดื่มขึ้นเรื่อย ๆ หน้าอกข้างซ้ายฉันเหมือนหัวใจกำลังปะทะกันอยู่ภายในจนแทบจะระเบิด ฉันจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของอาขวัญเอาไว้แล้วกดเธอลงกับโซฟา ร่างของเราทั้งสองเอนโน้มลงไปอย่างง่ายดายโดยไม่มีแรงต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่แล้วสติของฉันก็คืนกลับมาในทันที เมื่อโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดอยู่ในกระเป๋ากางเกงขัดจังหวะเวลาแห่งความสุข เพราะภายในห้องเงียบสงัด ทำให้ฉันกับอาขวัญถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือน เราต่างคนต่างรีบผละออกจากกันโดยเร็ว นี่ฉันไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกำลังคร่อมตัวของอาขวัญอยู่
"เอ่อ...แม่ตามกลับบ้านแล้วค่ะ วันนี้แม่ต้องใช้รถน่ะ"
ฉันรีบตอบหลังจากเปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ทั้งฉันและอาขวัญ เราต่างมีท่าทีเลิ่กลั่กไม่ต่างกัน อย่าบอกนะว่า รสจูบเมื่อสักครู่ก็ทำอาขวัญเคลิ้มเหมือนกัน ถ้าแม่ไม่ส่งข้อความมาขัดจังหวะเสียก่อน ฉันก็พอเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
"กลับได้แล้วหยก เดี๋ยวแม่เป็นห่วง"
"ค่ะ...เอ่อ...คุณโอเคแล้วใช่ไหม"
"อะ...อืม...ขอบคุณนะหยกสำหรับวันนี้"
"ไม่เป็นไรค่ะ หยกยินดี ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็ทักหาหยก หรือโทรหาได้ตลอดเลยนะ"
"ขอบคุณนะ"
"หยกไปนะ"
"อืม...ขับรถดี ๆ ล่ะ"
ไม่อยากกลับเลย อุตส่าห์ได้เข้ามาหาอาขวัญแล้วแท้ ๆ เป็นวันแรกเลยด้วยที่อาขวัญเปิดประตูให้ฉันเข้ามาหา แถมยังได้มาที่ห้องอีก แบบนี้...อาขวัญจะเปิดใจให้ฉันบ้างหรือยังนะ
"หยก"
"คะ"
"ถึงบ้านแล้วทักมาบอกด้วยนะคะ"
คำพูดง่าย ๆ ที่ดูธรรมดา แต่ฉันกลับยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ หลังจากที่เราจูบกัน ฉันก็เขินอาขวัญขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่ฉันตั้งใจมาปลอบอาขวัญแท้ ๆ แต่ไหง...กลับกลายเป็นว่าฉันต้องมาเสียอาการแบบนี้ได้....
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ไม่เป็นไรนะคะอาขวัญ ตอนนี้มีน้องหยกคอยอยู่เคียงข้างแล้วนะคะ T^T”