A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 14 สิงห์อรุณ

ภายในห้องนอนที่มีเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินโทนสีขาวตัดกับสีเทาแบบครบเซ็ต ร่างของบอดี้การ์ดสาวยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงนอนขนาดห้าฟุตโดยมีคุณหนูณิชาคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่าง เป็นห่วงเหลือเกิน ร่างไร้สติของคนที่เป็นดั่งดวงใจดูบอบช้ำไปทั้งตัว เพราะมีผ้าพันแผลพันบริเวณหัวไหล่ ใบหน้าบวบช้ำ และมีแผ่นบรรเทาปวดติดทั่วแผ่นหลัง ณิชามองด้วยน้ำตาที่กำลังคลอเบ้า ก่อนจะกัดริมฝีปากกลั้นใจใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ซับไปที่ต้นแขนอย่างเบามือที่สุด
"ฮึก ๆ รีบ ๆ ฟื้นได้แล้วค่ะคุณปัญ"
เธอไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ ทำให้เสียงสะอื้นดังออกมาควบคู่กับหยดน้ำตาที่กำลังรินไหล การได้เห็นบอดี้การ์ดสาวบาดเจ็บถึงเพียงนี้ หัวใจของเธอเองก็เจ็บปวดรวดร้าวไม่ต่างกัน แต่เมื่อเธอกุมที่มือเรียวเอาไว้เพื่อที่จะใช้ผ้าชุบน้ำซับที่หลังมือ เธอก็ต้องชะงัก เมื่อมือเรียวตอบสนองโดยการกุมมือของเธอเช่นกัน
"อย่าร้องไห้สิคะคุณหนู"
"คุณปัญ!!! ฮึก ๆ คุณเป็นยังไงบ้างคะ มันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้ ฮึก ๆ" พูดพลางกับกุมมือเรียวเอาไว้แน่น ก่อนจะนำมาแนบกับแก้มของตนด้วยความดีใจจนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ บอดี้การ์ดสาวจึงใช้มืออีกข้างเอื้อมมาเช็ดน้ำตาด้วยรอยยิ้ม
"สงสัยซนไปหน่อยน่ะค่ะ เลยซิ่งมอเตอร์ไซค์ล้ม ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ"
"คุณปัญ!! คุณไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ!! ทำไมคุณถึงซนแบบนี้ล่ะคะ ฮึก ๆ ณิเป็นห่วงแทบแย่"
"ฉันเป็นแมวเก้าชีวิตค่ะ ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วิ่งป๋อแล้วค่ะ ว่าแต่คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ เห็นคุณนมบอกว่าคุณหนูไม่สบาย"
"ณิหายแล้วค่ะ เพราะพี่นงบอกว่าถ้าณิไม่หายจะไม่ได้เจอคุณปัญ ณิเลยรีบกินยาแล้วก็นอนพักผ่อนเยอะ ๆ ฮึก ๆ"  ท่าทางที่เหมือนกับเด็กน้อยกำลังร้องไห้งอแงบวกกับคำพูดที่ไร้เดียงสา ทำเอาบอดี้การ์ดสาวอมยิ้มออกมาพลางกับเอื้อมมือลูบศีรษะคุณหนูณิชาด้วยความเอ็นดู
"คุณหนูน่ารักจังเลยค่ะ งั้นฉันรีบหายดีกว่า จะได้นอนกอดคุณหนู เจ็บตัวแบบนี้คืนนี้คงทำอะไรไม่ได้แน่ ๆ เลย"
"คนลามก..."
"ฮ่า ๆ"
"อยากจะฟาดให้หนัก ๆ คนเขาเป็นห่วงจนใจจะขาด ตื่นมายังมาพูดอะไรแบบนี้อีก"
"ขอกอดหน่อยได้ไหมคะ ฉันคงหายไวขึ้น"
"คุณเจ็บอยู่นะคะ"
"นะคะ" 
"ก็ได้ค่ะ" เพราะน้ำเสียงและรอยยิ้มที่มอบให้ ใครกันจะไปอดใจไหว แต่ณิชาไม่ได้โน้มตัวลงไปกอดแต่อย่างใด เธอใช้มือขวาจับปอยผมมาทัดที่หลังหูเอาไว้ก่อนจะก้มลงฝากรอยจูบที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน แต่คนกะล่อนอย่างปัญญาวีมีหรือจะยอมเพียงเท่านั้น บอดี้การ์ดสาวใช้เรียวแขนโอบคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนจะดึงร่างบางให้มาสนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น
"คุณปัญ!! ถ้าคุณไม่ได้เจ็บตัวอยู่นะ คุณคงโดนณิฟาดไปแล้ว!!"
"เอาเลยค่ะ ฟาดฉันให้ตายไปเลยก็ได้ แต่ขอตายในอ้อมกอดของคุณหนูนะคะ"
"ไม่เอา...อย่าพูดแบบนี้สิคะ ณิไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรทั้งนั้น"
"ฉันรู้ค่ะ แค่นี้คุณหนูก็เป็นห่วงฉันจนร้องไห้แล้ว คุณไม่กล้าฆ่าฉันให้ตายหรอก"
"..." ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ นอกจากลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรดบริเวณหน้าผาก พร้อมกับริมฝีปากนุ่ม ๆ ที่ประทับรอยจูบค้างเอาไว้อย่างนั้น เรียวแขนเล็กข้างหนึ่งโอบกอดบริเวณศีรษะของบอดี้การ์ดสาวเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างลูบผมสีดำประบ่าช้า ๆ 
"ฉันคิดถึงและเป็นห่วงคุณมากเลย ขอกอดคุณแบบนี้นาน ๆ จะได้ไหมคะ"
"ค่ะ...คุณจะกอดนานแค่ไหนก็ได้ ณิเป็นของคุณแล้วนี่คะ"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งสองถึงกับสะดุ้งโหยงและรีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ก่อนณิชาจะใช้มือจัดทรงผมของตนให้เข้าที่
"ฟื้นแล้วเหรอคะคุณปัญญาวี"
"คุณนม วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเหรอคะ"
"บอดี้การ์ดสะบักสะบอมขนาดนี้ ฉันจะไปไหนได้ล่ะคะ คุณหนูคะ พี่ขอเวลาคุณกับคุณปัญญาวีเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมคะ" นงคราญพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับท่าทีเคร่งขรึมตามแบบฉบับของเธอ ณิชาจึงหันไปมองหน้าบอดี้การ์ดสาวก่อนจะหันไปมองพี่เลี้ยงสาวด้วยความกังวลใจ
"พี่นง...อย่าดุคุณปัญเลยนะคะ"
ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากนงคราญ นอกเสียจากท่าทีเคร่งขรึมที่แสดงความเย็นชาออกมาเท่านั้น ณิชาจึงพยายามพยุงร่างของตนให้ไปนั่งบนรถเข็น ก่อนจะบังคับรถเข็นออกจากห้องไปแต่โดยดี
"คุณจะด่าอะไรฉันอีกคะ เชิญเลยค่ะ"
"เพื่อนของคุณใช้โทรศัพท์คุณโทรมาหาฉันเมื่อคืน บอกว่าคุณเกิดอุบัติเหตุ"
"คุณก็ยังเป็นคุณนะคะคุณนม ชอบตอบไม่ตรงคำถาม"
"มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณปัญญาวี ฉันไม่เชื่อหรอกนะคะว่าคุณจะออกไปซิ่งมอเตอร์ไซค์เวลานั้นได้"
"มันก็ตามที่พี่โกบอกนั่นแหละค่ะ"
"คุณปัญญาวีคะ ฉันไม่ได้โง่ที่จะเชื่อเรื่องพรรคนั้นหรอกนะคะ ใครทำร้ายคุณ ช่วยบอกฉันด้วยค่ะ"
"คุณไปเอามาจากไหน ใครจะกล้ามาทำร้ายฉันได้"
"ไม่รู้สิคะ เผื่อมีคนอยากทำร้ายคุณ ฉันจะไม่ถามคุณอีกเป็นครั้งที่สามนะคะ อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากเล่ามันก็เรื่องของคุณค่ะ เพราะฉันสามารถสืบเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และตอนนี้ฉันส่งคนคุ้มกันน้องสาวของคุณเพิ่มแล้ว คุณไม่ต้องห่วง"
"คุณนม ฉันถามคุณจริง ๆ นะ ที่คุณคอยดูแลน้องปุณอย่างกับเป็นบอดี้การ์ดน่ะ เพราะคุณรู้อะไรมาหรือเปล่า คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่"
"ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ"
"แต่นั่นมันคือชีวิตครอบครัวของฉันนะ!! คุณรู้อะไร ทำไมต้องไปดูแลน้องปุณ แล้วทำไมต้องส่งคนไปคุ้มกันน้องปุณด้วย" นงคราญยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจก่อนเธอจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างเตียง พร้อมกับที่บอดี้การ์ดสาวพยุงร่างของตนให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้โดยมีนงคราญช่วยจัดหมอนมารองให้พอดีกับสรีระของเธอ
"ขอบคุณค่ะ" 
"หลังจากที่ฉันได้รับเรื่องจากเพื่อนของคุณว่าคุณประสบอุบัติเหตุอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันเลยไปที่นั่นพร้อมกับคุณก้องเพื่อจะให้ขับรถของคุณกลับมา แต่คุณก้องพบว่ารถของคุณถูกตัดสายเบรค ฉันจึงพาคุณกลับมาที่นี่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยทั้งคุณและน้องปุณกลัวว่าคนร้ายจะกลับมาทำร้ายคุณอีก แต่เรื่องนี้ฉันบอกน้องปุณไม่ได้เพราะเธอยังเด็ก เลยทำได้แค่ส่งคนไปช่วยคุ้มกันน้องปุณเพิ่มเป็นสองเท่า"
"ขอบคุณนะคะที่ช่วยคุ้มกันน้องปุณแล้วก็ขอบคุณที่ช่วยฉันด้วย"
"เพื่อนของคุณบอกว่า คุณเห็นหน้าคนร้ายแล้ว คุณอยากให้ฉันช่วยตามสืบไหม"
"เรื่องนี้ฉันขอจัดการด้วยตัวเองนะคะ เพราะคนที่ทำร้ายฉันคือคนใกล้ตัวของฉันเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องทำแบบนั้น"
"ฉันหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้คุณตามสืบง่ายขึ้นนะคะ" พูดจบ นงคราญจึงหยิบภาพถ่ายขนาดเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อมายื่นให้กับปัญญาวี ซึ่งสีของภาพถ่ายนั้นบ่งบอกได้ว่าถูกถ่ายมานานไม่น้อยกว่ายี่สิบปีเป็นแน่ ซึ่งเป็นภาพถ่ายชายคนหนึ่งรูปร่างผอมบาง ผิวสีคล้ำ สวมกางเกงมวยไทยโดยมีเด็กชายตัวน้อยกำลังขี่คอของเขาอยู่ และด้านหลังมีลักษณะเป็นสังเวียน พร้อมกับป้ายตัวใหญ่ว่า
"สิงห์อรุณ..." ปัญญาวีอ่านพลางกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"คุณก้องเห็นภาพถ่ายนี้ตกอยู่ที่ข้างรถเลยเก็บมาด้วยเพราะคิดว่าเป็นของคุณ แต่ฉันลองหาข้อมูลแล้ว สิงห์อรุณคือค่ายมวยเก่าที่ไม่มีใครสืบทอดแล้ว ตอนนี้เลยกลายเป็นโกดังเก็บของ คุณรู้จักคนในภาพไหมคะ"
"ไม่ค่ะ แต่หน้าตาเด็กคนนี้คล้ายกับน้องชายฉันมาก มันมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะเป็นเขาตอนเด็ก ๆ"
"อย่าบอกนะคะว่าคนที่ทำร้ายคุณคือน้องชายของคุณ"
"ค่ะ เขาคือคนที่พ่อของฉันรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นไปได้มาก ๆ เลยค่ะ ว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของเขา แต่ฉันไม่เคยรู้เรื่องพ่อของเขาเลย"
"คุณแน่ใจเหรอคะว่าจะไม่ให้ฉันช่วยตามสืบ"
"เห็นทีฉันจะต้องรบกวนให้คุณช่วยแล้วค่ะ ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้มีคนอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ เขาไม่น่าคิดที่จะหักหลังฉันได้ขนาดนี้"
"แค่คุณขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันก็ยินดีที่จะช่วย แต่ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรคุณหรอกนะคะ ฉันแค่ทำตามหน้าที่ เพราะคนที่คุณหนูรัก ก็เปรียบเสมือนเจ้านายของฉัน"
"คะ!!?" ปัญญาวีถึงกับหันขวับด้วยความตกใจ จึงทำให้เธอได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่เลี้ยงสาวที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อน คล้าย ๆ กับว่าเธอเองก็อยากจะยิ้มออกมาเต็มแก่ แต่ยังรักษาท่าทีของตนเอาไว้อยู่
"เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะช่วยคุณสืบเองค่ะ ฉันขอตัวนะคะคุณปัญญาวี"
"เดี๋ยวค่ะคุณนม!!"
"มีอะไรคะ"
"ที่คุณพูดเมื่อกี้หมายความว่าไงคะ คุณรู้อะไรมา"
"ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณค่ะ ขอตัวนะคะ" ทันทีที่นงคราญเดินออกจากห้องไป ปัญญาวีถึงกับใช้สองมือกุมขมับ หรือความลับของเธอจะถูกล่วงรู้ไปแล้ว...


อืด อืด อืด ~
เมื่อโทรศัพท์มือถือสั่นครืดอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ปัญญาวีจึงใช้นิ้วชี้สัมผัสที่หูฟังแบบบลูทูธเพื่อรับสาย ก่อนจะหยิบปืนพกสองกระบอกเก็บใส่ในซองปืนที่ติดอยู่กับสายสะพาย
"ฮัลโหลปุณ" พูดพลางกับรูดซิปเสื้อแจ็กเก็ตสีดำจนมาถึงคอเพื่อปกปิดปืนพกให้มิดชิด
"ปัญ พี่เองนะ เป็นยังไงบ้าง"
"สบายมากค่ะพี่โก ปัญมันแมวเก้าชีวิต"
"พี่เป็นห่วงแทบแย่ พี่จะโทรมาบอกว่าไอ้เปี๊ยกมันพาแม่หนีไปอยู่ที่อื่นแล้วนะ วันนี้พี่เข้าไปที่บ้านมันมา ไม่เหลืออะไรอยู่เลย"
"กะแล้วว่ามันต้องหนี ขืนมันอยู่ต่อ มันคงรู้ชะตากรรมแน่ ๆ ว่าต้องถูกปัญไล่ล่า แต่อย่าคิดว่ามันจะรอดไปได้ กล้าที่จะหักหลักปัญขนาดนี้ ปัญไม่ปล่อยมันไว้แน่ ตอนนี้ปัญได้เบาะแสบางอย่างมาเพิ่มแล้วนะพี่โก"
"จริงเหรอ!? ได้เรื่องอะไรบ้างปัญ"
"พี่โกเคยได้ยินคำว่าสิงห์อรุณไหม"
"สิงห์อรุณเหรอ เหมือนจะเคยได้ยินนะ คุ้น ๆ แต่คิดไม่ออก มันคืออะไรเหรอปัญ"
"แล้วถ้าปัญบอกว่ามันคือค่ายมวยเก่าล่ะ พี่โกคุ้นหรือเปล่า"
"เฮ้ย!!! สิงห์อรุณ!!" เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนปลายสายกำลังตกอกตกใจอย่างมาก ปัญญาวีถึงกับคิ้วขมวด
"พี่โกรู้จักเหรอ"
"ปัญ!! ปัญรู้จักพ่อครูคำดีไหม!!?"
"ใครเหรอคะ"
"ครูมวยของพ่อปัญกับพ่อไอ้เปี๊ยกไง!!"
"ว่าไงนะ!!!?"


โธ่เว้ย! ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง พ่อไอ้เปี๊ยก กับพ่อฉันเคยเป็นลูกศิษย์ครูคนเดียวกันมาก่อนนี่... ปัญญาวีคิดในใจพลางกับขับรถเก๋งสีขาวของพี่เลี้ยงสาวด้วยความร้อนใจ วันนี้เธอตั้งใจเปลี่ยนเอารถคันใหม่มา เพราะรถสปอร์ตของเธอถูกตัดสายเบรคไปแล้ว แบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเปี๊ยกจงใจลอบทำร้ายและพยายามที่จะหลบหนีเธอชัด ๆ
"พี่โกขึ้นมาเร็ว!!"
เมื่อรถเก๋งสีขาวมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ปัญญาวีจึงลดกระจกลงเพื่อเรียกชายรูปร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตและหมวกแก๊ปสีดำแบบทั้งตัวเหมือนกับของเธอ เขาจึงรีบวิ่งขึ้นรถโดยไม่รีรอ ก่อนจะนำหนังสือพิมพ์ฉบับเก่ากางออกมาวางไว้บนคอนโซลรถ
"ปัญดูข่าวนี้ คำดี สิงห์อรุณ แขวนนวมอำลาวงการ หลังจากเขี้ยวเพชร สิงห์อรุณขึ้นแท่นนักชกหน้าใหม่ คว้าแชมป์สามสมัยรวด" ปัญญาวีกวาดสายตาอ่านข่าวด้วยความร้อนใจ เพราะภาพชายในข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งนั้นเหมือนกับชายในภาพถ่ายที่ได้มาจากนงคราญไม่มีผิดเพี้ยน
"คนนี้คือพ่อไอ้เปี๊ยกใช่ไหมพี่โก"
"ใช่ ส่วนนี่คือพ่อครูคำดี ที่เป็นครูมวยของพ่อปัญกับพ่อไอ้เปี๊ยก พี่ได้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาจากบ้านไอ้เปี๊ยก คิดว่ามันน่าจะเป็นคนเก็บเอาไว้ เพราะเป็นความภูมิใจของพ่อมัน"
"แล้วพ่อไอ้เปี๊ยกตายเพราะอะไรนะพี่โก"
"ถ้าพี่จำไม่ผิด ตอนนั้นข่าวเขาบอกว่าเขี้ยวเพชร สิงห์อรุณ ตายเพราะหัวใจล้มเหลว"
"คนแข็งแรงเนี่ยนะหัวใจล้มเหลว"
"ใช่ไง ตอนนั้นคนเขาถึงไม่เชื่อกัน แล้วหลังจากที่พ่อไอ้เปี๊ยกตาย พ่อครูคำดีก็ปิดค่ายมวยไปเลย มันแปลกใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนั้นเรายังเด็กกัน เราเลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แล้วพ่อปัญไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอ ทั้งสองคนเป็นลูกศิษย์ครูคนเดียวกันนะ"
"ไม่เลยพี่โก ทุกครั้งที่ไหว้ครู พ่อก็จะเอ่ยชื่อครูแค่นั้น แต่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย ตอนนี้ปัญอยากเจอพ่อครูคำดี ปัญคิดว่ามันต้องมีเรื่องอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่ปิดค่ายมวยหรอก"
"ใช่ พี่ก็คิดแบบนั้น พี่เลยไปตระเวนถามชาวบ้านมาว่าตอนนี้พ่อครูคำดีอยู่ที่ไหน จนในที่สุดพี่ก็ได้ที่อยู่มา"
"โห...พี่โกนี่ไม่ต่างกับนักสืบเลยนะเนี่ย ไหนจะเรื่องที่พี่สันนิษฐานเรื่องลอบวางเพลิงอีก"
"ปัญ พี่เห็นลุงปองมาตั้งแต่เด็ก และลุงปองเองก็เคยสอนมวยพี่ด้วย การที่ต้องเสียลุงปองไปแบบนี้พี่รับไม่ได้จริง ๆ เรื่องนี้พี่ต้องสืบให้รู้เรื่อง"
"ขนาดพี่ไม่ใช่เด็กในค่ายมวยเลยด้วยซ้ำ พี่ยังทำขนาดนี้ แต่ไอ้คนที่พ่อปัญเลี้ยงมาจนโต ทำไมมันถึงกล้าหักหลังพ่อปัญได้วะพี่"
"ไปหาพ่อครูคำดีกัน พี่คิดว่าเราต้องได้เรื่องอะไรเพิ่มแน่ ๆ"
"ค่ะพี่โก ขอบคุณนะคะที่ช่วยปัญ"
"อืม ปัญก็เหมือนน้องสาวของพี่ พี่ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ให้พี่ขับไหม เส้นนี้พี่เคยไป"
"ก็ดีเหมือนกันค่ะ ปัญยังเจ็บตัวอยู่นิดหน่อย"
"ไหวไหมปัญ"
"ไหวค่ะ เรามากันขนาดนี้แล้ว ต่อให้รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นเหว ปัญก็ต้องไป!"


รถเก๋งสีขาวที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามทางด้วยความเร็วสูง ซึ่งโกรับหน้าที่เป็นคนขับเพราะเขาชินกับเส้นทางนี้มากกว่าเธอ เสียงจากระบบนำทางก็แจ้งเตือนเส้นทางมาค่อนชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดหมายในเวลาอันใกล้ ปัญญาวีก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถด้วยความร้อนใจ มันจะสาเหตุอะไรกันนะ ที่ทำให้คนที่เติบโตมาด้วยกันแปรเปลี่ยนได้ถึงเพียงนี้
เปี๊ยก...มึงทำแบบนี้ทำไมวะ...
"ปัญ อย่าคิดมากเลยนะ ยังไงพี่ก็จะพาปัญไปหาพ่อครูคำดีให้ได้ พี่ไม่พาหลงแน่นอน เส้นนี้พี่มาส่งของให้ลูกค้าบ่อย บอกเลยจะมีซอย มีตรอกซับซ้อนแค่ไหนก็ไม่มีหลง" เขาที่สังเกตเห็นสีหน้าของเธอดูไม่สู้ดีนัก จึงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยไปกว่าเธอ แต่สิ่งที่เขาทำได้คือการพยายามช่วยให้เธอคลายความกังวล แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
"ปัญไม่ได้กลัวว่าพี่จะหลงหรอกค่ะพี่โก แต่ปัญแค่กลัวคำตอบ"
"คำตอบอะไรเหรอปัญ"
"เปี๊ยกมันบอกว่ามันจะฆ่าปัญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้มันทำแบบนั้น แต่ถ้าความจริงทุกอย่างเปิดเผย ปัญกลัวว่าจะรับไม่ได้ค่ะ แค่นี้ปัญก็เจ็บปวดไปทั้งใจแล้วพี่โก"
"จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ พี่จะอยู่เคียงข้างปัญเอง ถึงพี่จะวิ่งช้า พี่ก็จะขับมอเตอร์ไซค์พาปัญไปทุกที่ ถึงพี่จะต่อยมวยไม่เก่ง พี่ก็จะหาอาวุธมาปกป้องปัญให้ได้ พี่สัญญา"
"ปัญคือบอดี้การ์ดนะพี่โก พี่ไม่ต้องมาปกป้องปัญหรอก ก่อนหน้านี้ปัญประเมินมันต่ำเกินไป แต่หลังจากนี้รอเจอของจริงได้เลย"
อีกห้าร้อยเลี้ยวซ้าย เป้าหมายของคุณอยู่ทางขวามือ...
เมื่อเสียงแจ้งเตือนบอกเส้นทางที่ใกล้เข้ามาทุกที ปัญญาวีแทบหายใจไม่ทั่วท้อง เธอจะรับความจริงได้ไหมนะ เพราะเธอยังเชื่อ...เชื่อว่าน้องชายของเธอจะถูกชักจูงจากใครบางคนเป็นแน่
"คิดว่าเป็นหลังนี้นะ เพราะมีอยู่หลังเดียว"
ทั้งสองมองเข้าไปยังบ้านไม้แบบยกสูงที่อยู่ท่ามกลางสวนมะขามและต้นไม้ขนาดใหญ่ สภาพของบ้านนั้นดูเก่าแก่แต่ไม่ได้ทรุดโทรมมากนักและยังเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณห้อยระโยงระยางเต็มใต้ถุนบ้าน ก่อนจะมีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากใต้ถุนบ้านโดยใช้ไม้เท้าช่วยพยุงร่างที่ดูผอมซูบของเขา
"นั่นคือพ่อครูคำดีใช่ไหมพี่โก"
"พี่ว่าน่าจะใช่นะ" โกตอบพลางกับเปิดหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าเพื่อเทียบใบหน้าบุคคลในภาพกับชายชราที่กำลังเดินออกมาด้อม ๆ มอง ๆ คล้ายกับกำลังสงสัยว่าใครกันที่ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของเขา
ตุ๊บ!!!!
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เปิดประตูลงจากรถ เสียงบางสิ่งบางอย่างที่กระทบกับหลังคารถทำทั้งสองถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันขวับไปทางด้านซ้ายอย่างพร้อมเพรียงกัน
"ใครวะ!!? มาทำไม!!" ชายวัยกลางคนมีผิวสีคล้ำไม่ได้สวมเสื้อทำให้เห็นรูปร่างกำยำของเขาได้อย่างชัดเจน เขาสวมกางเกงขาก๊วยสีดำแบบม้วนขาขึ้นจนถึงต้นขา มือของเขามีด้ายสีขาวพันเอาไว้รอบมือคาดว่าคงกำลังฝึกซ้อมมวยไทยโบราณอยู่เป็นแน่ หน้าตาของเขาแลดูขึงขัง ไม่ได้เป็นมิตรกับการมาเยือนครั้งนี้เท่าใดนัก
ตุ๊บ!! ตุ๊บ!!!
"มาทำไมวะ!!?" เมื่อเห็นทีท่าว่าเขาเริ่มจะฉุนหนักขึ้น ปัญญาวีจึงรีบลดกระจกลงทันที ก่อนจะยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม
"สวัสดีค่ะ พอดีว่ามาหาพ่อครูคำดีค่ะ"
"มาทำไม!!? แล้วพวกมึงเป็นใคร!!"
"ลูกสาวพ่อสมปอง เจตคติค่ะ" สิ้นเสียงของปัญญาวี ชายรูปร่างกำยำก็นิ่งเงียบไปทันทีคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"คราม...ใครมา..." เสียงแหบพร่าของชายชราเอ่ยถาม
"หลงทางมาน่ะพ่อ!! เดี๋ยวผมส่งกลับเอง" เมื่อชายชราได้ยินคำตอบเขาจึงผงกศีรษะและหันหลังเดินกลับเข้าไปใต้ถุนบ้านทันที ปัญญาวีเห็นอย่างนั้นจึงรีบปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างร้อนรน แต่เมื่อเธอเปิดประตูรถออก ชายรูปร่างกำยำก็ดันประตูปิดเอาไว้ดังเดิม
ตุ๊บ!!
"มึงมาทางไหน มึงกลับไปทางนั้น"
"ขอโทษนะคะ!! วันนี้หนูต้องได้คุยกับพ่อครูให้ได้"
"มึงมีอะไรจะคุยกับพ่อกู"
"หนูมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับพ่อครูจริง ๆ ค่ะ ขอร้องล่ะค่ะลุง"
"สำคัญแค่ไหน กูก็ไม่ให้มึงคุย กลับไป!!!"
"หนูไม่กลับ!!! วันนี่หนูต้องได้คุย หนูจะไม่ยอมกลับไปแบบไม่ได้อะไรแน่ ๆ"
"ถ้ามึงไม่กลับ กูทุบรถมึงพังแน่!!"
"ปัญ...กลับเถอะ ไว้เราค่อยไปสืบกับแหล่งอื่นก็ได้ ไปถามชาวบ้านเอาก็น่าจะรู้อะไรบ้างนะ" โกพูดพลางกับเขย่าแขนปัญญาวีด้วยความหวาดกลัว เพราะท่าทีของชายรูปร่างกำยำนั้นจ้องเขาตาเขม็ง แถมยังดูดุดันน่าเกรงขาม แต่ปัญญาวีหาได้กลัวเขาแม้แต่น้อย
"มึงกลับไปเดี๋ยวนี้!!!"
"ถ้าหนูยอมสู้กับลุง ลุงจะให้หนูคุยกับพ่อครูไหม!?" 
"ปัญ!!! อย่านะ!!! นั่นลูกชายพ่อครูเลยนะ!!"
"ฮ่า ๆ" เขาถึงกับลั่นเสียงหัวเราะออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยัน พลางกับกุมที่หน้าท้องเอาไว้ เขาคงหูฟาดที่ได้ยินเด็กเมื่อวานซืนกล้ามาท้าทายเขาถึงถิ่น
"อย่างมึงเหรอจะสู้กูได้ แม้แต่ไอ้ปองยังสู้กูไม่ได้เลย"
"ก็ลองดู แต่ถ้าหนูทำให้ลุงล้มได้เมื่อไหร่ ลุงต้องยอมให้หนูคุยกับพ่อครูคำดี ตกลงไหมคะ"
"ได้!! กูตกลง"
"รักษาวาจาเยี่ยงชีพนะลุง"
"คนอย่างกูถือสัจจะยิ่งกว่าชีพ แต่ถ้ามึงตาย กูจะถือว่ากูไม่ผิด เพราะมึงย่างกรายเข้ามาในเขตของกูเอง"
"ไม่ต้องห่วง หนูมันแมวเก้าชีวิต"
"ดี!! ตามกูลงมา" พูดจบ เขาจึงเดินจากไปทันที แต่ยังไม่ทันทีที่เธอจะได้เปิดประตูลงจากรถ โกก็รับกระชากแขนห้ามเธอเอาไว้ก่อน
"ปัญ!! ปัญรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกไป!!"
"พี่โก เรามาถึงขนาดนี้แล้ว ปัญจะไม่ยอมกลับไปแบบไม่ได้อะไรเด็ดขาด"
"ปัญ!! แต่ปัญบาดเจ็บอยู่นะ แล้วนั่นลูกชายครูมวยเลยนะปัญ!!"
"พี่โกลืมไปแล้วเหรอคะ ว่าปัญก็ลูกสาวครูมวยเหมือนกัน ตอนนี้ปัญมีโอกาสได้เจอครูของครูแล้ว อย่างน้อย...ขอให้ปัญได้กราบเท้าครูมวยก่อนตายก็ยังดี"
"ปัญ!! พี่ขอร้อง"
"พี่จะลงไปกับปัญไหม ถ้าไม่กล้าพี่ก็รออยู่บนรถ"
"ไปสิปัญ!!"
"งั้นตามปัญลงมาค่ะ" พูดจบ ปัญญาวีจึงถอดเสื้อแจ็กเก็ตสีดำออก ก่อนจะปลดกระบอกปืนเข้าไปเก็บเอาไว้ที่ช่องเก็บของ ตามด้วยสายสะพายปืน แววตาของเธอดูมุ่งมั่น ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่ชายหนุ่มอีกคนกลับสั่นเทาเพราะกลัวว่าน้องสาวจะเป็นอะไรไปอีก
"ปัญ...เปลี่ยนใจยังทันนะ พี่ขอล่ะ ปัญสู้แรงผู้ชายตัวใหญ่ไม่ได้หรอก"
"ปัญรู้ดีค่ะว่าปัญสู้ไม่ได้ ปัญเลยบอกว่าถ้าทำให้ลุงครามล้มได้ ปัญก็จะได้คุยกับพ่อครูคำดี พี่อย่าลืมสิคะ ว่าวิชายูโด ต่อให้คู่ต่อสู้จะตัวใหญ่แค่ไหนก็สามารถจับทุ่มได้อยู่ดี ปัญแค่ต้องใช้ไหวพริบในการทำให้ลุงครามล้มให้ได้แค่นั้น การต่อสู่ครั้งนี้ปัญอาจจะไม่ต้องเจ็บตัวเลยก็ได้ ขอแค่ตั้งรับให้ได้ และหลบหมัดให้ทัน"
"ปัญ..."
"พี่โก...เชื่อใจปัญ..."
"อืม...เอาวะ...ขอให้ปลอดภัยนะปัญ" แม้เขาจะอยากห้ามปัญญาวีให้ถึงที่สุด แต่เขาก็รู้ดีว่าคนอย่างปัญญาวีไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เขาจึงต้องกลั้นใจยอมรับกับการตัดสินใจของคนเป็นน้อง ก่อนทั้งคู่จะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าไปยังบริเวณลานกว้างที่ชายรูปร่างกำยำกำลังยืดเส้นยืดสายรออยู่แล้ว
"มึงมันใจถึงจริง ๆ ที่กล้าท้าทายคนอย่างกู"
"หนูไม่ได้ท้าทายค่ะ หนูไม่กล้าท้าทายผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นครูบาอาจารย์หรอกค่ะ แต่หนูจะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อที่จะได้คุยกับพ่อครู"
"กูไม่ออมมือให้หรอกนะ ถึงมึงจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ขึ้นชื่อว่าศัตรู กูจะไม่มีวันปราณี"
"ค่ะ อย่าลืมนะคะลุง แค่หนูทำให้ลุงล้มได้ ลุงต้องยอมให้หนูคุยกับพ่อครู"
"ได้ ถ้ามึงคิดว่าทำได้ ก็ลองดู แต่กูให้เวลามึงแค่ห้านาที เพราะถ้านานกว่านี้ มึงคงตายคาบ้านกูแน่"
สิ้นเสียงทุ้มดูแข็งกร้าว ทั้งสองจึงนั่งคุกเข่าลง ก่อนจะเริ่มวาดแขนและขาเพื่อเป็นการไหว้ครูมวยก่อนขึ้นชก ชายชราที่ได้เห็นอย่างนั้นจึงรีบใช้ไม้เท้าพยุงร่างของตนให้ยืนขึ้น ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวมายืนดูทั้งสองทันที
"คราม!"
"พ่ออย่าเพิ่งมาห้าม"
ทันทีที่การร่ายรำได้จบลง ทั้งสองจึงใช้สองแขนตั้งการ์ดด้วยท่าเตรียม พร้อมกับย่อขาลงให้มั่น ทั้งสองจ้องมองกันและกันแบบไม่คาดสายตา พลางกับเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ เป็นวงกลม ซึ่งปัญญาวีเองก็รอดูชั้นเชิงคู่ต่อสู้ที่ดูแข็งแกร่งกว่าเธอมาก หากจะตั้งรับไปตลอดก็เกรงว่าจะไม่ไหวเพราะเธอยังคงบาดเจ็บอยู่
"มาสิวะ มึงมีเวลาไม่มากนะ"
"เริ่มก่อนได้เปรียบนะลุง ไม่อยากปิดเกมเร็ว ๆ เหรอ"
"เดี๋ยวกูจะสอนให้มึงดู ว่าการคิดจะมาเล่นกับรุ่นใหญ่มันเป็นยังไง!!" สิ้นเสียงพูด หมัดขวาจึงเหวี่ยงมาด้วยความเร็ว แต่ปัญญาวีก้มลงหลบได้ทันแบบหวุดหวิด ก่อนหมัดซ้ายจะเหวี่ยงตามมาทันทีจนเธอต้องเอนตัวหลบไปด้านหลังพร้อมกับก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หยุดพักวิเคราะห์คู่ต่อสู้ หมัดขวาและซ้ายก็เหวี่ยงสลับกันมาแบบไม่ขาดสาย สิ่งที่เธอทำได้คือพยายามป้อง ปัด และหลบหมัดให้ได้เท่านั้น
เหมือนลุงครามเองก็ลองเชิงฉันอยู่เหมือนกัน แต่การต่อยแต่หมัดฮุคแบบนี้คงกะเอาให้ฉันสลบทันทีเลยถ้าฉันพลาด แต่ยิ่งรุก ฉันยิ่งเห็นช่องโหว่ ว่าลุงครามเองใช้แรงแบบไม่มีกั๊กเลย ขออีกสักหน่อยนะลุง ขออีก...ขออีก...
ระหว่างที่กำลังหลบหลีกหมัดหนักของคู่ต่อสู้ ปัญญาวีเองก็พยายามใช้สติที่มีวิเคราะห์ไปพลาง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถนัดนัก เพราะหากเธอใจเย็นและใช้สติให้ดีในการต่อสู้แล้วนั้น ต้องมีแต่คำว่า...'ชนะ'
หนึ่ง...หมัดขวาฮุค
สอง...หมัดซ้ายตามมาติด ๆ
สาม...หมัดขวาฮุคมาอีกครั้ง
สี่...หมัดซ้ายเสยขึ้น
ห้า...หมัดขวาตรงแบบทิ้งมาทั้งตัว
หก...หมัดซ้ายฮุค
ใช่...สเต็ปเดิม ๆ วนอยู่แค่นี้ วนกลับมาที่หนึ่งอีกครั้งนะลุง...ถึงห้าเมื่อไหร่ ฉันพร้อมปิดฉากแล้ว
สิ้นเสียงคิดของเธอ หมัดขวาก็พุ่งเข้ามาแบบทิ้งตัวตามที่เธอวิเคราะห์ไว้ไม่มีผิด สองขาของเธอจึงรีบผลิกแพลงเข้าหาตัวระยะประชิดในชั่วพริบตาจนร่างของชายกำยำอยู่ซ้อนด้านหลังของเธอ ก่อนจะใช้มือจับที่ต้นแขนข้างขวาของคู่ต่อสู้พร้อมกับใช้สะโพกยัดเข้าลึกยกร่างอีกคนลอยสูงขึ้น จนในที่สุดร่างชายกำยำก็เทตัวผ่านพ้นศีรษะของเธอกระทบลงสู่กับพื้นดินด้วยท่าจับทุ่มแบบยูโดที่เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าจะถูกปิดเกมแบบนี้
"อัก!!!"
"ตอนนี้หนูชนะแล้ว ลุงต้องรักษาสัจจะด้วย!!"