A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 9 รอยสักรูปเข็มทิศ

21:37
ร่างหญิงสาวสูงโปร่งยืนติดกระดุมชุดนอนแบบแขนยาวและขายาวสีเทาด้วยความเร่งรีบ พลางกับเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาส่งคุณหนูณิชาเข้านอนแล้ว วันนี้เธอใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเพราะต้องสระผม และกว่าจะล้างเจลเซ็ตผมออกจนหมดก็กินเวลาไปค่อนชั่วโมงแล้ว 
ผมประบ่าสีดำยังคงชุ่มไปด้วยน้ำ หากจะซับตอนนี้ก็เกรงว่าจะไปทำหน้าที่ไม่ทัน เธอจึงนำผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดแบบลวก ๆ ก่อนจะใช้มือสาง แทนการใช้หวีเพราะหวังจะกลับมาซับผมต่อหลังจากที่ส่งคุณหนูเข้านอนเรียบร้อยแล้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ขออนุญาตค่ะคุณหนู!"
"เชิญค่ะคุณปัญ"
ทันทีที่ได้รับอนุญาต ปัญญาวีจึงเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ เผยให้เห็นคุณหนูณิชานั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับมองออกไปด้านนอกหน้าต่างห้องนอนปัญญาวีจึงมองด้วยความฉงน เพราะเธอมักจะเห็นคุณหนูของเธอนั่งที่มุมเดิม ๆ ตลอดสามวันที่ได้มาทำงาน ณ ที่แห่งนี้
"อ้าวคุณปัญ ทำไมไม่เช็ดผมดี ๆ ล่ะคะ นอนห้องแอร์ทั้งที่ผมเปียกแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดนะคะ"
"กะว่าจะส่งคุณหนูเข้านอนก่อนแล้วค่อยไปเช็ดต่อน่ะค่ะ" 
"งั้นไปนั่งที่เตียงเลยค่ะ เดี๋ยวณิเช็ดให้" พูดพลางกับบังคับรถเข็นไปที่ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนสีขาวออกมาวางไว้บนตัก 
"คะ?" 
"เดินไปนั่งที่เตียงค่ะ ณิจะเช็ดผมให้"
"เช็ดให้ทำไมคะ มันถึงเวลานอนแล้วนะคุณหนู"
"นอนช้ากว่าเดิมสิบห้านาทีหรือสามสิบนาทีก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ"
"แต่คุณหนูต้องเข้านอนให้ตรงเวลานะคะ"
"ก็ถ้าคุณยังดื้อที่จะเถียงณิอยู่แบบนี้ เวลามันก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ นะคะคุณปัญ" เมื่อณิชาทำหน้าดุ ปัญญาวีจึงเดินไปนั่งที่เตียงอย่างว่าง่าย ทำเอาเจ้าตัวแอบอมยิ้มออกมาทันทีที่บอดี้การ์ดสาวเชื่อฟังเธอขนาดนี้
"ก็แค่เนี้ย คุณนี่ชอบขัดคำสั่งนะคะคุณปัญ"
"ก็มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณหนูนี่คะ"
"ณิบอกคุณแล้วไงคะ ว่าณิก็ต้องดูแลคุณเหมือนกัน" ณิชาพูดพลางกับใช้แขนค้ำที่รถเข็นก่อนจะพยุงร่างของตนให้ลุกขึ้น ปัญญาวีจึงรีบใช้แขนโอบเอวเธอเอาไว้ทันที
"ระวังค่ะคุณหนู"
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ ณิพอจะรู้จังหวะแล้วค่ะ ว่ายืนยังไงจะไม่ล้ม คุณนั่งลงเลยค่ะ เดี๋ยวณิเช็ดผมให้" 
เมื่อบอดี้การ์ดสาวนั่งลงที่เตียงอย่างว่าง่าย ณิชาจึงยืนขึ้นแบบเต็มตัวก่อนจะใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่ผมประบ่าสีดำให้อย่างแผ่วเบา ทำเอาปัญญาวีถึงกับอมยิ้มออกมาอย่างอัตโนมัติ เพราะคุณหนูในชุดนอนแบบกระโปรงนั้นเหมือนน้องสาวของเธอตอนเด็ก ๆ ทุกอย่าง ราวกับเป็นคนเดียวกัน
"ยิ้มอะไรคะ"
"เปล่านี่คะ"
"ก็เนี่ย คุณยิ้มอยู่ วันนี้คุณยิ้มทั้งวันเลยนะคะคุณปัญ"
"เหรอคะ ฉันไม่รู้ตัวเลย"
"ยิ้มบ่อย ๆ นะคะ ณิชอบเวลาคุณยิ้มมากกว่าตอนที่คุณทำหน้าดุอีก"
"ไม่มีใครชอบเวลาคนอื่นทำหน้าดุหรอกค่ะ"
"นั่นน่ะสิคะ เพราะงั้นคุณก็ต้องยิ้มบ่อย ๆ นะคะ" ณิชาพูดพลางกับอมยิ้ม ซึ่งแก้มของเธอนั้นมีสีแดงระเรื่อราวกับแต้มด้วยเครื่องสำอาง เพราะแววตาอีกคนที่กำลังมองเธออยู่ไม่ต่างกับลูกแมวเชื่อง ๆ กำลังออดอ้อน มันทำให้เธอเขินจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ปัญญาวีจึงเอื้อมมือไปเพื่อหวังจะสัมผัสที่แก้มของเธอ แต่ณิชากลับเอนตัวหลบเสียก่อน
"ท...ทำอะไรคะคุณปัญ!?"
"จะนอนแล้วทำไมต้องแต่งหน้าด้วยคะคุณหนู"
"เปล่านะคะ ณิไม่ได้แต่งหน้า"
"ก็เนี่ย แก้มคุณหนูแดงมากเลยนะคะ" เมื่อบอดี้การ์ดสาวเอื้อมมือมาอีกครั้ง ณิชาจึงรีบเอี้ยวตัวหลบแล้วก้าวขึ้นเตียงเพื่อที่จะหนี ก่อนจะคว้าผ้าห่มมานอนคลุมโปงทันที ปัญญาวีเห็นอย่างนั้นจึงยิ้มออกมาแล้วโน้มตัวกอดร่างของเธอทั้งอย่างนั้นจนได้ยินเสียงอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม
"อื๊อ!! คุณปัญ!! ณิหายใจไม่ออก"
"หายใจไม่ออกก็โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มสิคุณหนู"
"ไม่เอา!"
"โผล่หน้าออกมาค่ะคุณหนู"
"อื๊อ! คุณออกไปก่อน!! ณิใจจะขาดแล้ว"
"แล้วใครบอกให้เอาผ้าห่มปิดหน้าล่ะคะ!!?" พูดจบปัญญาวีจึงก้าวขึ้นไปคร่อมตัวคุณหนูเอาไว้ก่อนจะใช้สองมือกระชากผ้าห่มผืนหนาออกอย่างแรงจนได้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อรับกับริมฝีปากอมชมพู เธอถูกจับได้แล้ว...ว่าตอนนี้เขินจนหน้าแดงไปหมด
"ค...คุณปัญ" เสียงพูดแผ่วเบาเมื่อแก้มนุ่ม ๆ ของเธอถูกอีกคนสัมผัสจนได้ เธอจึงรีบหลับตาลงทันทีเพราะถูกคนบนร่างนั่งจ้องที่ริมฝีปากของเธอแบบตาไม่กะพริบ มันทำให้ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันวนกลับเข้ามาในความคิด ใบหน้าของเธอก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นอีกบวกกับหัวใจที่เต้นตึกตักราวกับจะทะลุออกจากอกเอาให้ได้ รสจูบที่อ่อนโยนนั้น เธอยังจำได้ขึ้นใจ
"คุณหนูแปรงฟันหรือยังคะ"
"ป...แปรงแล้วค่ะคุณปัญ"
"ถ้างั้นคุณหนูนอนพักผ่อนได้แล้วนะคะ เดี๋ยวฉันกลับไปเช็ดผมต่อเอง" 
ณิชารู้สึกได้ว่าคนบนร่างลุกออกจากตัวเธอแล้ว ก่อนฟูกนอนด้านข้างจะยุบลงพร้อมทั้งความอบอุ่นจากผ้าห่มผืนหนา เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งใจ
นึกว่าจะถูกจูบอีกซะแล้ว...ไม่งั้นฉันอกแตกตายแน่ ๆ เลย... ณิชาคิดในใจ
"คุณหนูอยากให้ฉันนอนกอดหรือจับมือเหมือนทุกคืนคะ"
"จับมือก็พอค่ะ!"
"ทำไมล่ะคะ ถ้านอนกอดมันทำให้คุณอุ่นใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ"
"ไม่เป็นไรค่ะ แค่จับมือก็พอ"
"ได้ค่ะ" ตอบพลางกับกุมมือนุ่มเอาไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะช้า ๆ
ใจจริงก็อยากให้คุณปัญนอนกอดอยู่หรอก แต่ฉันกลัวว่าตัวเองจะอดจูบคุณไม่ได้น่ะสิ...
สิ้นเสียงคิด ณิชาก็ต้องรีบหลับตาปี๋ทันที เพราะคนที่เธอกำลังคิดถึงในใจนั้นกำลังโน้มตัวลงมาช้า ๆ ก่อนจะได้รับสัมผัสนุ่ม ๆ และลมหายใจอุ่น ๆ ที่หน้าผากของเธอ
"ค...คุณปัญ คุณจูบหน้าผากณิอีกแล้วนะคะ" เธอค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นเล็กน้อย แต่อีกคนก็ยังประทับริมฝีปากที่หน้าผากของเธออยู่อย่างนั้นจนความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ มันเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังสั่นไหว
กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ จากสบู่เหลวกลิ่นเดียวกันทำให้ณิชารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ภาพรอยสักที่อยู่ใต้ไหปลาร้าพร้อมกับทรวดทรงบอดี้การ์ดสาวที่เธอได้เห็นโดยบังเอิญไฉนถึงผุดเข้ามาในความคิดตอนนี้ เธอหลับตาลงช้า ๆ พร้อมกับใช้สองมือสอดอ้อมประคองที่ท้ายทอยคนบนร่าง ก่อนจะเงยหน้ารับริมฝีปากของอีกคนผสานเข้าด้วยกัน
รสจูบครั้งนี้ยังคงอ่อนโยนเหมือนอย่างเคยแต่กลับแฝงไปด้วยความเร่าร้อนเพราะต่างฝ่ายต่างดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันพร้อมทั้งลิ้นอุ่น ๆ ที่ตวัดทักทายกันไปมาอย่างช่ำชอง บอดี้การ์ดสาวค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มช้า ๆ ก่อนจะโอบเอวบางเอาไว้แล้วดึงเข้ามากอดอย่างแนบแน่น ลมหายใจเริ่มหอบถี่ขึ้นตามจังหวะการจูบ กลิ่นอโรมาที่หอมรัญจวนใจทำหน้าที่ควบคุมโสตประสาทเชื่อมผสานทั้งสองร่างไม่ให้เหลือช่องว่างกั้นกลางระหว่างกัน


ครืด ครืด ครืด ~
อีกห้องนอนห้องหนึ่งที่มีประตูเชื่อมเข้าหากัน โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่กำลังสั่นครืดอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง พร้อมกับข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับนับสิบสาย ซึ่งคนที่โทรศัพท์เข้าหาเธอตอนนี้มีชื่อที่เธอบันทึกเอาไว้ว่า
'คุณนม'


"แฮก ๆ คุณหนูคะ คุณควรจะนอนได้แล้ว" เสียงพูดสลับกับลมหายใจหอบแฮกรีบเอ่ยยั้งการกระทำที่กำลังจะเกินเลยไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ร่างกายของเธอก็ร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟเสน่หา หากไม่หยุดยั้งในตอนนี้ มีหวังเธอได้ทำเรื่องที่ผิดมหันต์เป็นแน่
"คุณปัญ...ณิ...ต้องการคุณ" เสียงพูดและสายตากำลังเว้าวอนเมื่อบอดี้การ์ดสาวผละริมฝีปากออก
"แต่ฉันว่าเราไม่ควรทำแบบนี้"
"คุณปัญคะ คุณก็ต้องการณิใช่ไหม"
"ขอโทษนะคะคุณหนู วันนี้คุณนอนได้แล้วนะคะ"
"อย่าเปลี่ยนเรื่องสิคะ เราก็คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ"
"ฉันรู้นะคะว่าคุณหนูรู้สึกยังไงกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ค่ะ ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่" สิ้นคำพูดของเธอ แววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยประกายน้ำตา ทำเอาหัวใจของปัญญาวีหล่นวูบทันที เธอจึงเอื้อมมือไปประคองที่ใบหน้าก่อนจะเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลอย่างอ่อนโยน
"คุณหนูคะ ไม่ร้องไห้สิคะ ฉันรู้สึกผิดนะคะ"
"คุณเกลียดณิเหรอคะ"
"ม...ไม่นะคะคุณหนู! ฉันไม่ได้เกลียดคุณหนูเลย ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะ"
"เปล่าค่ะ ถ้างั้นช่วยนอนกอดณิแบบนี้จนกว่าจะหลับได้ไหมคะ"
"ได้สิคะ ได้อยู่แล้ว" เมื่อได้ยินคำตอบ ณิชาจึงซบลงที่หน้าอกของเธอเอาไว้ พร้อมกับที่เธอกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพลางกับลูบผมสีน้ำตาลช้า ๆ
"ณิจะรอวันที่ความรู้สึกของคุณมันชัดเจนนะคะ...ฝันดีค่ะคุณปัญ..."
"ฝันดีค่ะคุณหนู"
เป็นอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด...คุณหนูชอบฉันจริง ๆ ด้วย แต่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าควรที่จะรู้สึกยังไง ในใจลึก ๆ ฉันยังโกรธแค้นคุณหนูอยู่เลย แต่อีกใจหนึ่งฉันกลับต้องการคุณหนูเหมือนกัน ปัญ...ถ้าแกไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แกจะจูบคุณหนูทำไม...


โครม!!
"แม่!!! แม่อย่าทิ้งปัญไป!! ฮือ ๆ แม่!!!"

"เฮือก!!"
กลางดึกคืนนั้นเอง ปัญญาวีสะดุ้งเฮือกจากฝันร้ายที่ยังตามทำร้ายและกัดกินหัวใจของเธอแม้วันเวลาจะผ่านไปนานนับปีแล้วก็ตาม เธอพยายามปรับลมหายใจที่หอบเหนื่อยให้กลับมาเป็นปกติ แค่จะกลืนน้ำลายยังลำบากนักเพราะมันแสบไปทั้งลำคอ อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมของเธอยังแห้งไม่สนิท แต่เธอกลับเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น แม้แต่หลอดไฟก็ยังคงสว่างจ้า เธอจึงก้มลงมองร่างใครอีกคนในอ้อมกอดที่นอนหลับตาพริ้มราวกับกำลังฝันดีผิดจากเธอที่เป็นฝันร้ายที่เธออยากจะลืมที่สุด
แม้จะยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่กำลังตีรวนสวนทางกัน แต่เธอกลับก้มลงประทับริมฝีปากที่หน้าผากอย่างเคยชิน พร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อรับไออุ่นจากร่างอีกคนที่เธอเคยเกลียดเข้าไส้
ฉันควรจะรู้สึกยังไงดี...
"ฮึก ๆ หนูขอโทษ...หนูไม่ได้ตั้งใจ ฮึก ๆ หนูขอโทษ...หนูไม่ได้ตั้งใจ...หนูขอโทษ...ฮึก ๆ"
เสียงพึมพำจากร่างในอ้อมกอดที่กำลังสั่นเทา ปัญญาวีจึงผละออกก็พบว่า คุณหนูณิชานั้นกำลังนอนละเมอสะอึกสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมาเป็นสาย เธอจึงใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ช้า ๆ ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แน่นอีกครั้ง
"ฮือ ๆ หนูไม่ได้ตั้งใจ..."
"คุณหนูคะ!!" สิ้นเสียงเรียก ร่างในอ้อมกอดสะดุ้งเฮือกขึ้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาทันที
"ฮือ ๆ คุณปัญ ฮือ ๆ ณิไม่ได้ตั้งใจ ณิขอโทษ ฮือ ๆ"
"ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู คุณแค่ฝันร้าย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ร้องนะคะ"
"ณิขอโทษ...ฮึก ๆ"
"ชู่ว...ไม่เอานะ ไม่ร้องนะคะ ไม่ต้องขอโทษแล้วค่ะ คุณแค่ฝันร้าย"
"ณิไม่ได้ตั้งใจขับรถชนแม่ของคุณนะคะคุณปัญ ฮือ ๆ" ความรู้สึกเหมือนเข็มนับร้อยเล่มกำลังทิ่มแทงหัวใจจนปัญญาวีถึงกับชาไปทั้งตัว เธอผละออกจากอ้อมกอดช้า ๆ ก็พบว่าอีกคนยังคงนอนหลับตาและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเธออยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณหนูณิชามีสติอยู่หรือไม่ เธอจึงค่อย ๆ ยกศีรษะของณิชาขึ้นพร้อมกับดึงแขนของเธอออกช้า ๆ
"คุณหนูคะ...ถ้าได้ยินฉัน ช่วยตอบฉันทีค่ะ"
"ฮือ ๆ ณิไม่ได้ตั้งใจ ณิขอโทษ ฮึก ๆ"
ตอนนี้เธอรู้แล้ว ว่าคุณหนูยังคงหลับไม่ได้สติ แต่เธอเองก็เจ็บปวดเกินกว่าจะปลอบโยนอีกคนหรือปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย เธอจึงลุกออกจากเตียงเพื่อไปปิดไฟภายในห้องก่อนจะเอื้อมมือไปวางที่ลูกบิดด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก
"ณิขอโทษ ฮือ ๆ ณิไม่ได้ตั้งใจ..."
อย่ากลับไปนะปัญ...อย่าหันหลังกลับไป...
แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่อาจทิ้งใครอีกคนให้ต้องทรมานเพียงลำพังได้ เธอกัดฟันกลั้นใจหันหลังเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้ง ก่อนจะประคองร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเธอเอาไว้
"คุณหนูคะ ไม่เป็นอะไรนะคะ ชู่ว...ฉันอยู่นี่แล้ว..." เธอลูบศีรษะคุณหนูณิชาอยู่นานจนรู้สึกว่าเสียงพึมพำและเสียงร้องไห้สงบลงไปแล้ว เธอจึงค่อย ๆ โน้มตัวลงนอนซบที่หน้าอกณิชาเอาไว้ พลางกับนอนฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแบบคงที่
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
แม่...ปัญสับสน...


"คุณปัญคะ ตื่นได้แล้วค่ะ" 
ปัญญาวีสะดุ้งเฮือกหลังจากได้ยินเสียงหวานปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทรา โดยเธอยังคงนอนซบหน้าอกณิชาในท่าเดิมโดยที่ตัวเธออยู่ด้านนอกผ้าห่ม เธอจึงรีบแทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มทันทีพร้อมกับกอดร่างอุ่น ๆ เอาไว้แน่น
"หนาว ๆ ๆ"
"คุณปัญ เช้าแล้วนะคะ ตอนนี้ตีห้าครึ่งแล้วค่ะ คุณต้องไปเตรียมตัวนะคะ"
"ขอนอนกอดอีกหน่อยไม่ได้เหรอ" เสียงพูดแบบงัวเงียเพราะสติยังไม่คืนกลับมา ณิชาจึงอมยิ้มพลางกับใช้มือลูบผมสีดำประบ่าช้า ๆ
"คุณปัญคะ ถ้าคุณไม่ลุกไปตอนนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยพี่นงก็มาเคาะห้องแล้วนะคะ"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
สิ้นเสียงพูดของณิชา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทันทีราวกับว่าเธอเป็นผู้กำกับสั่งรันคิว ทำเอาปัญญาวีถึงกับสะดุ้งโหยงแล้วรีบวิ่งกลับไปห้องของตนทันที
กึก!
ในจังหวะที่นงคราญกำลังจะเคาะประตูอีกครั้ง เธอก็ต้องชะงักเมื่อเธอได้ยินเสียงปิดประตูดังออกมา แม้เจ้าตัวจะพยายามปิดประตูให้เบาที่สุดก็ตาม แต่เพราะเวลานี้มันเงียบสงัด ทำให้เธอได้ยินเสียงทุกอย่างแบบชัดเจน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"คุณหนูตื่นหรือยังคะ"
"ตื่นแล้วค่ะพี่นง"
"พี่เข้าไปนะคะ"
"เข้ามาได้เลยค่ะ"
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องนอน นงคราญตรงไปที่ห้องน้ำเป็นอันดับแรก ก่อนจะเปิดไฟและมองไปที่พื้นห้องน้ำที่แห้งสนิท เสียงปิดประตูที่เธอได้ยินก่อนหน้า คงไม่ใช่เสียงปิดประตูห้องน้ำเป็นแน่
"มีอะไรหรือเปล่าคะพี่นง"
"เปล่าค่ะ ลุกมาล้างหน้าแปรงฟันได้เลยค่ะคุณหนู ใกล้จะถึงเวลาที่คุณปัญญาวีต้องพาคุณหนูไปออกกำลังกายแล้ว"
"ค่ะพี่นง" พูดจบ ณิชาจึงก้าวขาลงจากเตียงนอนช้า ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย
หมายความว่าไง...ทำไมคุณหนูถึงเดินได้แบบไม่ต้องมีคนช่วยพยุงเลยล่ะ...
ปัญญาวีคิดในใจขณะที่เธอแอบมองอยู่ด้านหลังประตูที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย เป็นเพราะความฝันของณิชาแท้ ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกผิดสังเกต ไหนจะประโยคที่ณิชาเอ่ยปากถามเธอด้วย ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสับสนขึ้นไปอีก
'คุณเกลียดณิเหรอคะ'
'ณิไม่ได้ตั้งใจขับรถชนแม่ของคุณนะคะคุณปัญ ฮือ ๆ'
หรือความจริง...คุณหนูไม่ได้สูญเสียความทรงจำอย่างที่ทุกคนบอก คุณหนูอาจจะจำเรื่องทุกอย่างได้ และอาจจะเดินได้แล้วก็ได้ แต่คุณหนูจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร...นี่มันหมายความว่ายังไง คนพวกนี้มันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่!


เมื่อภารกิจพาคุณหนูการออกกำลังกายยามเช้าเป็นอันเสร็จสิ้น ปัญญาวีจึงส่งณิชากลับห้องนอนเพื่อที่จะได้อาบน้ำหลังทำกิจกรรม แต่เมื่อเธอเดินกลับมาที่ห้องนอนของตน เธอถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะมีใครอีกคนกำลังยืนกอดอกจ้องมองมาทางเธอตาเขม็ง
"เฮ้ย!! คุณนม!! ทำไมเข้ามาห้องฉันไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงล่ะคะ!!?"
"คุณปัญญาวีคะ เมื่อคืนนี้ฉันโทรหาคุณ ทำไมคุณถึงไม่รับสาย" นงคราญเอ่ยถามทันทีแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ ปัญญาวีจึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเดินไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาดู
"โห...ยี่สิบสายไม่ได้รับ คุณจะโทรอะไรขนาดนั้นน่ะ เวลานั้นฉันหลับไปแล้วนะ"
"เหรอคะ แต่น้องสาวของคุณพยายามโทรหาคุณตั้งแต่สองทุ่มครึ่งเลยนะคะ"
"ช่วงนั้นฉันอาบน้ำค่ะ"
"แล้วหลังสี่ทุ่มล่ะคะ? ทำไมคุณถึงไม่รับ เวลานั้นคุณน่าจะส่งคุณหนูเข้านอนแล้วกลับที่ห้องตัวเองได้แล้วนะ"
"ก็ถ้าฉันส่งคุณหนูเข้านอนแล้ว มันก็ต้องเป็นเวลานอนของฉันน่ะสิคะ ฉันปิดสั่นเอาไว้ ไม่รู้หรอกว่าใครโทรเข้ามา"
"คุณควรจะเปิดเสียงให้สุดด้วยซ้ำค่ะคุณปัญญาวี แม้คุณจะหลับแล้วก็ตาม หากได้ยินเสียงโทรศัพท์โทรเข้าเครื่องนี้ คุณก็ต้องตื่นขึ้นมารับทันที ตอนนี้คุณเป็นบอดี้การ์ดนะคะ!"
"โอเคค่ะ! ฉันจะเปิดเสียงให้สุด ตั้งสั่นให้สะเทือนเหมือนแผ่นดินไหวเลย ฉันจะได้ตื่นขึ้นมารับสายคุณ โอเคนะคะ" นงคราญถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความไม่พอใจ ที่เธอเอาแต่ประชดประชันไม่เห็นจะเหมือนที่ปุณญิสาบอกเลยสักนิด
"แล้วคุณโทรหาฉันทำไมคะ"
"ฉันกะจะโทรเช็คว่าคุณส่งคุณหนูเข้านอนเรียบร้อยหรือยัง แต่โทรยังไงคุณก็ไม่รับสาย แถมคุณก้องโทรไปหาฉันเมื่อคืน บอกว่าตอนตีหนึ่งไฟในห้องนอนคุณหนูยังเปิดอยู่เลย สรุปว่าเมื่อคืนคุณได้ไปส่งคุณหนูเข้านอนหรือเปล่า ต่อให้คุณท่านจะเป็นคนว่าจ้างให้คุณมาเป็นบอดี้การ์ดก็เถอะ แต่ถ้าคุณยังทำตัวแบบนี้ ฉันก็มีสิทธิ์ไล่คุณออกนะคะ"
"เมื่อคืนนี้ฉันทำหน้าที่ได้ดีมากค่ะ ไม่เชื่อคุณไปถามคุณหนูเลยก็ได้ แต่ฉันแค่ลืมปิดไฟ ครั้งหน้าฉันจะไม่ลืมอีกแล้วค่ะ"
"ถ้าทำหน้าที่ได้ดี คุณคงไม่สะเพร่าแบบนี้นะคะคุณปัญ ถ้าสมมติว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรคุณจะทำยังไง คุณควรจะใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ ฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้ว"
"รับทราบค่ะคุณนม บอดี้การ์ดที่ดีควรที่จะระวังตัวและช่างสังเกต ฉันจะจำให้ขึ้นใจ และระวังให้มากกว่านี้ค่ะ"
"ดีค่ะ ช่วยทำตัวให้สมกับที่น้องปุณชื่นชมคุณหน่อยนะคะ ตั้งแต่รู้จักคุณมา คุณยังไม่เคยทำอะไรให้ฉันวางใจได้เลยสักอย่าง"
"ขอโทษค่ะ" สิ้นคำขอโทษ นงคราญถึงกับชะงักและขมวดคิ้วด้วยความฉงน เพราะเธอไม่คิดว่าปัญญาวีจะเอ่ยคำขอโทษออกมา และเป็นเพราะปัญญาวีได้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไป ทั้งต่อร่างกายและจิตใจคุณหนูณิชา เธอจึงเอ่ยคำขอโทษแบบไม่ลังเลด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
"งั้นฉันจะให้เวลาคุณพักผ่อนระหว่างรอคุณหนูอาบน้ำ แล้วคุณต้องพาคุณหนูไปที่หอสมุดอย่างที่รับปากด้วย เพราะคุณหนูบอกกับฉันว่าคุณจะเป็นคนพาไป ช่วยรักษาคำพูดด้วยนะคะ"
"รับทราบค่ะ"
"ฉันจะไปทำงานข้างนอกแล้ว มีอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด"
"รับทราบค่ะคุณนม" นงคราญมองบอดี้การ์ดสาวด้วยท่าทีเคร่งขรึมอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทำเอาปัญญาวีถึงกับถอนหายใจเฮือก
"เฮ้อ..."
นึกว่าจะถูกจับได้ซะแล้ว ว่าเมื่อคืนนี้ฉันอยู่ห้องคุณหนูทั้งคืนเลย แถมยังเกือบทำอะไรเกินเลยกับคุณหนูแล้วสิ...


"วันนี้ฉันจะพาคุณไปที่หอสมุดนะคะคุณหนู" พูดพลางกับเข็นรถวีลแชร์ออกมาที่บริเวณโถงกว้างภายในบ้าน ณิชาจึงหันมายิ้มให้เธอทันที
"จริงเหรอคะ!?"
"ค่ะ เมื่อวานเราไม่ได้ไป งั้นเราก็ไปวันนี้แทนนะคะ"
"เย่!! คุณปัญน่ารักที่สุดเลย"
"เดี๋ยวฉันขอไปเอารถก่อนนะคะ"
"โอเคค่ะ" ณิชาตอบด้วยรอยยิ้ม
ในขณะที่ปัญญาวีกำลังจะเดินออกจากบ้านนั้น ก็มีรถสปอร์ตคนหรูสีแดงมาจอดเทียบกับทางเข้า เธอจึงมองคิ้วขมวด ก่อนสาวสวยเจ้าของรถจะเปิดประตูออกมาพร้อมกับเสยผมสีน้ำตาลแดงขึ้น ซึ่งข้อมือข้างขวาของเธอนั้นมีรอยสักรูปเข็มทิศที่ปัญญาวีรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน 
"น้องณิคะ! ไอมิสยูฮันนี่~" สาวสวยคนนั้นเอ่ยพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนเธอจะวิ่งเข้าไปสวมกอดณิชาทันที จนปัญญาวีถึงกับมองคิ้วขมวดอีกครั้ง
"พี่แอนนา!! พี่หายไปไหนมาตั้งนาน!?"
"พี่ไปลอนดอนไงคะฮันนี่ เนี่ย...พี่กลับมาถึงไทยปุ๊บ ก็รีบมาหาน้องณิเลยนะคะ"
"ใช่เหรอคะ พี่หายไปเป็นปีเลยนะคะ แล้วก็ไม่ต้องเรียกณิว่าฮันนี่ด้วยค่ะ ณิจำได้ว่าเราเลิกกันแล้ว" ณิชาไขข้อสงสัยให้กระจ่างชัดขึ้น ผู้หญิงคนนี้คือแฟนเก่าอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมเธอรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
คิดสิปัญ...แกเคยเห็นผู้หญิงคนนี้จากที่ไหนวะ...และรอยสักรูปเข็มทิศนั่น ทำไมถึงคุ้นแบบนี้วะ...
"อะไรกันคะฮันนี่ ก็วันนั้นฮันนี่บอกเลิกพี่ที่พี่จะต้องบินไปต่างประเทศแบบปุบปับ แต่พี่ยังไม่ได้ตอบตกลงเลย ฮันนี่ก็ขับรถหนีพี่จนเกิดอุบัติเหตุ แล้วฮันนี่ก็ไม่ติดต่อมาหาพี่อีกเลย จนพี่ได้ทราบข่าวกับคุณแม่ว่าฮันนี่สูญเสียความทรงจำ แต่ก็ไม่คิดนะคะ ว่าฮันนี่จะลืมพี่ไปด้วย พี่เสียใจนะคะ"
"แต่ณิจำได้ว่าเราเลิกกันไปแล้ว และพี่ก็หายไปเลย ไม่ติดต่อมา ไม่มาดูแลใยดีณิเลยสักครั้ง"
"ก็พี่อยู่ต่างประเทศนี่คะ พี่จะมาดูแลฮันนี่ได้ยังไง พี่แทบจะทิ้งการเรียนกลับมาเลยด้วยซ้ำ แต่พี่มาไม่ได้ นี่พี่มาถึงไทยปุ๊บ พี่ก็รีบมาหาฮันนี่เลยนะคะ เรายังไม่ได้เลิกกันค่ะ! เพราะพี่ยังไม่ตกลง"
"พี่แอนนา!! เราเลิกกันไปแล้ว!!"
"ไม่ค่ะ ไม่เคยเลิก และพี่จะกลับมาดูแลฮันนี่เหมือนเดิมแล้วนะคะ"
"คุณปัญช่วยณิด้วย!" เมื่อสาวสวยพยายามจะจับแขนของณิชา เธอจึงรีบสะบัดออกพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดสาวทันที 
"ขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่าฉันต้องพาคุณหนูออกไปข้างนอกน่ะค่ะ อย่าเพิ่งรบกวนคุณหนูตอนนี้เลยนะคะ"
"เฮ้ย!! มึงมายุ่งอะไรกับแฟนกูวะ!!?" ทันทีที่สาวสวยพูดพร้อมกับผลักหน้าอกของปัญญาวีด้วยความไม่พอใจ ภาพเหตุการณ์เดียวกันก็ผุดขึ้นมาในความคิดทันที
'มึงมายุ่งไรกับแฟนกู' ภาพหญิงสาวที่ผลักหน้าอกของเธอราวกับเกลียดชังกันมาก่อน พร้อมกับกำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตอย่างเอาเรื่อง ทำให้มองเห็นรอยสักรูปเข็มทิศเหนือข้อมือข้างขวาได้อย่างชัดเจน
'เค้าไปนอนคลุกอยู่กับตัวเองทั้งเดือนแล้วไหม ถ้าเค้าอึดอัดเค้าก็หนีกลับบ้านแล้วปะ!?'
อ๋อ...ที่แท้ก็ผู้หญิงคนนั้นนี่เอง ถึงว่าล่ะทำไมฉันถึงได้รู้สึกคุ้นตานัก ที่บอกว่าไปต่างประเทศก็คงเป็นเรื่องโกหกสินะ...
"พี่แอนนา!!! พี่จะผลักคุณปัญแบบนั้นไม่ได้นะคะ!!"
"ทำไมพี่จะผลักไม่ได้ มันเป็นใครมาจากไหน!?"
"คุณปัญเป็นบอดี้การ์ดค่ะ ถ้าพี่ไม่อยากเจ็บตัวก็ขอโทษคุณปัญเดี๋ยวนี้!!"
ทั้งสองหันมาจ้องตากันราวกับว่าวันนี้จะมีการปะทะกันเกิดขึ้น หญิงสาวที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวจ้องมองปัญญาวีอย่างเอาเรื่องและไม่เอ่ยคำขอโทษอย่างที่ณิชาบอก แต่เธอกลับยักคิ้วให้แทนทำเอาปัญญาวีถึงกับกำหมัดแน่น ถ้าไม่ติดว่ายืนต่อหน้าคุณหนูล่ะก็...คิ้วนั่นคงมีเลือดอาบไปแล้ว
"ไม่ขอโทษ ฉันไม่มีวันขอโทษคนกระจอก ๆ แบบนี้หรอก ฉันมีเงินมากพอที่จะจ้างบอดี้การ์ดที่เก่งกว่าแกได้เยอะแยะมาคุ้มกันฉัน" เธอลดเสียงพูดให้เบาลงเพื่อให้ปัญญาวีได้ยินเพียงคนเดียว ปัญญาวีจึงยิ้มกลับไปอย่างท้าทาย
"หวังว่าคุณจะมีชีวิตกลับไปจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มกันคุณนะคะ เพราะถ้าคุณยังพูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นแบบนี้กับฉันอยู่ ฉันสามารถทำให้คุณคอหักได้ด้วยมือข้างเดียว ถึงคุณจะเป็นผู้หญิง ฉันก็ไม่เว้น..."
"มึง..."
"ชู่ว...ต่อหน้าคุณหนูอย่าทำตัวแบบนี้ค่ะ ไม่งั้นฉันเอาเรื่องที่คุณไปนอนกกผู้หญิงคนอื่นมาเปิดโปงคุณนะคะ...คุณ...แอน...นา..."