A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 21 นงคราญ

"สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ดิฉันชื่อนงคราญค่ะ" ฉันกล่าวแนะนำตัวสั้น ๆ พร้อมกับโค้งตัวลงแสดงความเคารพคนเป็นนายที่กำลังยืนยิ้มให้กับฉันภายในห้องทำงานส่วนตัว เธอเป็นคนสละสลวย และมีรอยยิ้มที่จริงใจมาก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอสวยสะดุดตาราวกับไข่มุกที่มีความแวววาวอย่างไรอย่างนั้น
"สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อพราวนะ เรียกฉันว่าพราวเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณผู้หญิงหรอก" เธอเอ่ยอย่างสุภาพนอบน้อม แลดูให้เกียรติฉันที่เป็นเพียงแค่พี่เลี้ยงให้กับลูกสาวของเธอ ผิดกับผู้ดีที่ฉันเห็นในละครเป็นไหน ๆ
"ค่ะ"
"แล้วมีชื่อเล่นหรือเปล่า"
"ไม่มีค่ะ ชื่อเล่นกับชื่อจริงเป็นชื่อเดียวกันค่ะ"
"เหรอ...อืม...งั้นฉันเรียกว่านงแล้วกัน ง่ายดี" ฉันเพียงแค่พยักหน้าเป็นการตอบรับเท่านั้น เพราะรอยยิ้มของเธอทำให้ฉันแทบทำตัวไม่ถูก สักพักหนึ่งก็มีเจ้าหนูน้อยตัวเล็กเดินมากอดขาของเธอพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉัน ถึงแม้หนูน้อยจะไม่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนคุณพราว แต่ก็น่ารักน่าชังจนฉันเอ็นดูเธอตั้งแต่แรกพบ
"นี่ลูกสาวฉัน ชื่อณิ นงจะได้ช่วยฉันดูแลนะ บางทีฉันต้องดูงานช่วยสามีอาจจะไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกเท่าที่ควร น้องณิ สวัสดีพี่นงสิคะ" เธอพูดพร้อมกับย่อตัวลงโอบร่างเล็กเอาไว้ เด็กหญิงตัวน้อยจึงพนมมือน้อย ๆ พร้อมกับถอนสายบัว ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้
"สาหวาดดีค่ะ หนู...ซื่อ...ณิซาค่ะ!" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยแนะนำตัวแบบไม่ค่อยชัดตามประสาของเด็กจนฉันเป็นต้องอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
 

ฉันยังจำวันแรกที่ได้พบกับคุณพราวได้ดี ผู้หญิงที่ดูสุภาพอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นสะกดฉันจนละสายตาไม่ได้ทุกครั้งที่เราบังเอิญได้สบตากัน อีกทั้งรอยยิ้มของเธอที่ดูอบอุ่น จริงใจ จนฉันเผลอยิ้มตามอยู่บ่อย ๆ ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาทำงานกับเจ้านายที่แสนดีขนาดนี้ 
ฉันมักจะเห็นเธอยิ้มอยู่เสมอ แม้กระทั่ง...
"คุณพ่อไม่กลับมาเป่าเค้กกับหนูเหรอคะคุณแม่"
"คุณพ่อบอกว่าให้น้องณิเป่าเค้กไปก่อนค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อจะซื้อตุ๊กตาตัวโต ๆ มาให้เป็นของขวัญนะคะ"
"หนูไม่อยากได้ตุ๊กตาตัวโต ๆ แต่หนูอยากให้คุณพ่อมาเป่าเค้กกับหนูค่ะ"
"ไม่เอานะคะคนเก่งของแม่ คุณตุ๊กตาจะน้อยใจแย่น้า..."
"หนูไม่อยากให้คุณตุ๊กตาน้อยใจเลยค่ะคุณแม่"
"ถ้าไม่อยากให้คุณตุ๊กตาน้อยใจ น้องณิก็เป่าเค้กแล้วรอคุณตุ๊กตามาหาคืนนี้นะคะ"
"ก็ได้ค่ะ...งั้นหนูเป่าเค้กแล้วน้า..."
ฉันยืนมองคุณหนูเป่าเค้กด้วยความรู้สึกเห็นใจ ตอนนี้คุณหนูอายุได้เก้าขวบแล้ว ฉันไม่เคยเห็นคุณท่านมาร่วมวันเกิดของเธอเลยสักครั้ง มีแค่เพียงคุณพราวที่โอบกอดคุณหนูเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งคุณหนูเข้านอนด้วยการกุมมือและลูบศีรษะเธอจนหลับไปในทุก ๆ คืน 
เมื่อลูกสาวหลับไปแล้ว แต่คนเป็นแม่กลับตั้งหน้าตั้งตาคอยสามีกลับบ้านจนผล็อยหลับที่โซฟาทุกคืน ฉันทำได้แค่เฝ้ามองดูเธอด้วยความเป็นห่วงอยู่ใกล้ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำปลอบโยนเพียงเพราะเธอยังมีรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าเสมอ แม้ภายในใจจะมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ก็ตาม
"คุณพราวคะ เข้าไปนอนเถอะนะคะ"
"อืม...เดี๋ยวรออีกหน่อยแล้วกัน" เธองัวเงียลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือตบเบาะด้านข้างจนฉันต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน
"คะ?"
"มานั่งนี่สินง จะเที่ยงคืนแล้วนะนี่ไม่ใช่เวลางานสักหน่อย"
"คะ?" ฉันยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เธอพูด ก่อนเธอจะเอื้อมมือมาจับข้อมือฉันให้ไปนั่งลงเคียงข้างเธอ แต่ทันทีที่ก้นของฉันแตะที่โซฟา ฉันก็กระเด้งขึ้นทันทีราวกับลูกบอลเด้งดึ๋ง จนคุณพราวใช้มือปิดปากและหัวเราะเบา ๆ
"อะ...เอ่อ...อะไรเหรอคะคุณพราว"
"นงนี่น่ารักดีเนอะ ขนาดบอกให้พักก็ยังจะยืนกุมมืออยู่นั่น พอดึงให้มานั่งด้วยกันก็ทำอย่างกับรังเกียจฉัน"
"ป...เปล่านะคะคุณพราว! ฉันไม่ได้รังเกียจคุณนะคะ แต่ฉันแค่ไม่กล้าถือวิสาสะนั่งบนโซฟากับเจ้าน...อ๊ะ!!" ฉันยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ แต่คุณพราวก็ดึงฉันไปนั่งบนโซฟาอีกครั้ง จนฉันได้แต่นั่งตัวเกร็ง
"นั่งแล้วเป็นยังไง สบายกว่าตอนยืนไหม"
"เกร็งมากค่ะ" เธอหัวเราะฉันอีกครั้ง จนฉันทำตัวไม่ถูกอีกแล้ว
"นง...ฉันบอกแล้วไง ว่านี่เวลาเลิกงานแล้ว ทำตัวตามสบายเถอะ ฉันแค่อยากมีเพื่อนคุยน่ะ"
"คุณพราวเหงาเหรอคะ"
"อืม..." ไม่คิดเลยว่าเธอจะตอบออกมาทั้งที่ยังคงยิ้มอยู่ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นกลับเต็มไปด้วยประกายของน้ำตา ก่อนเธอจะรีบใช้มือปาดออกไปตอนที่มันกำลังเอ่อจนล้นออกมา
"คุณพราวคะ...อย่าร้องไห้เลยนะคะ"
"ฉันไม่ได้อยากร้องหรอก แต่บางทีฉันก็เก็บมันไม่ไหว เก้าปีแล้วนงที่สามีฉันผิดสัญญา เขาไม่เคยมาร่วมวันเกิดลูกเลยสักครั้ง งานมันสำคัญกับชีวิตเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ ต่อให้เขาจะซื้อของราคาแพงให้น้องณิ แต่นง...นงเข้าใจไหมว่าลูกต้องการไออุ่นจากพ่อกับแม่มากกว่าของราคาแพงพวกนั้นอีก" 
"ฉันเข้าใจค่ะ งั้น...นงไม่ห้ามคุณพราวแล้วค่ะ คุณร้องออกมาจะดีกว่า การร้องไห้คือการระบายในรูปแบบหนึ่งนะคะ นงอยากให้คุณระบายออกมาให้หมดเลยค่ะ เพราะฉันรู้ว่าคุณเองก็คงเสียใจมากแน่ ๆ ที่คุณท่านผิดสัญญาบ่อย ๆ" เมื่อฉันพูดจบ คุณพราวก็โผเข้ามากอดฉันแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก หัวใจของฉันเองก็แทบแตกสลายที่เห็นเธอร้องไห้หนักขนาดนี้ ฉันทำได้แค่กอดและลูบหลังเธอเพื่อปลอบโยน ฉันไม่เคยขออะไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย แต่ตอนนี้ฉันอยากขอให้เทวดาฟ้าดินช่วยให้คุณพราวมีความสุขสักที
"ขอโทษนะคะคุณพราว ที่นงปลอบไม่เก่ง"
"ไม่นง ฮึก ๆ นงทำดีแล้ว แค่กอดฉันเอาไว้ก็พอแล้ว เธอคือคนที่ฉันไว้ใจที่สุดนะ ฉันถึงกล้าแสดงด้านที่อ่อนแอให้นงได้เห็น ฮึก ๆ ฉันเชื่อใจเธอ ว่าเธอเป็นน้องสาวที่ดีที่สุดสำหรับฉัน"
"ขอบคุณนะคะที่เชื่อใจนง"
 

ฉันรู้ดีว่าคุณพราวกับคุณท่านแต่งงานกันเพื่อธุรกิจ แต่คุณพราวนั้นรักคุณท่านทั้งใจ และฉันเองก็เป็นเพียงแค่คนอื่นที่คอยโอบกอดเธอในวันที่เธอร้องไห้ และคอยสอดส่องดูแลเธออยู่ใกล้ ๆ ฉันเองก็รัก...ฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีสิทธิ์คิดเกินเลยกับคุณพราว แต่เรื่องของหัวใจใครจะห้ามกันได้ ฉันได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ฉันจะไม่เปิดเผยมันออกไปเด็ดขาด เพราะหากฉันพูดออกไป เท่ากับว่าฉันหักหลังคนที่เชื่อใจฉัน สิ่งที่ฉันทำได้คือคอยดูแลคุณพราวและคุณหนูให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ 
ฉันเฝ้ามองและแอบรักคุณพราวอยู่ในที่ของฉันตั้งแต่คุณหนูอายุแค่สี่ขวบ จนคุณหนูโตขึ้นเข้าสู่วัยสิบสองขวบ ความรู้สึกฉันก็ไม่เคยลดน้อยลงเลย ฉันยินดีเสมอที่คุณพราวมีความสุขกับคุณท่าน แต่เมื่อไหร่ที่คุณพราวร้องไห้ ฉันก็จะทุกข์ใจตามไปด้วย เธอมักจะร้องไห้กับฉันเรื่องที่คุณท่านไม่มีเวลาให้ และไม่ใส่ใจแม้กระทั่งลูกสาวของตัวเอง อยากพาคุณพราวหนีไปเหลือเกิน แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย...
และในวันที่ทำให้ฉันใจสลาย คือสองอาทิตย์หลังจากที่คุณพราวกลับมาจากต่างจังหวัด เธอผอมลงและเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใช่...นี่มันคนละคนกันเลย ฉันรู้ดีว่าไม่ใช่คุณพราว เธอไม่ส่งคุณหนูเข้านอนอย่างที่เคยทำ ไม่โอบกอดลูกสาวของตัวเอง มีแต่คำพูดเสียดสี ไม่รักษาน้ำใจจนคุณหนูต้องมาร้องไห้กับฉันบ่อย ๆ เรื่องนี้ทำให้ฉันทุกข์ใจมาก ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง
 
"คุณท่านคะ...เชื่อฉันเถอะนะคะ นี่ไม่ใช่คุณพราวแน่นอนค่ะฉันมั่นใจ คุณพราวเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ๆ นะคะ แต่นี่เธอเอาแต่ดุด่าคุณหนูทุกวัน"
"ว่างมากเหรอนง"
"คะ?"
"ฉันจ้างให้เธอมาเป็นพี่เลี้ยง ไม่ใช่มาคอยจับผิดเมียฉัน"
"คุณท่านจะว่าฉันแส่ไม่เข้าเรื่องก็ได้นะคะ แต่ฉันรู้ดีค่ะว่าคุณพราวเป็นคนยังไง ฉันอยากให้คุณท่านสังเกตเธอดี ๆ เธอไม่เหมือนเดิมค่ะ นี่มันคนละคนกันเลยนะคะ"
"หยุดพูดจาเลอะเทอะแล้วออกไปได้แล้วนง ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังเธอพูดอะไรเหลวไหลแบบนี้นะ"
"แต่คุณท่านคะ..."
คุณท่านไม่แม้แต่จะตอบกลับอะไรมาเลยสักคำ เขาเพียงแค่ชี้นิ้วไปที่ประตู ฉันก็จำต้องยอมเดินออกไปแต่โดยดี แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าผู้หญิงที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้คือใคร และคุณพราวไปอยู่ที่ไหน...
 

"พี่นงคะ...คืนนี้คุณแม่มาไม่ส่งณิเข้านอนอีกแล้วเหรอคะ"
"ต่อไปนี้พี่รับหน้าที่ในการส่งคุณหนูเข้านอนนะคะ พี่จะทำหน้าที่แทนคุณแม่ทุกอย่างเลย"
"เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ ฝันดีนะคะพี่นง"
"ฝันดีค่ะคุณหนู"
ฉันบรรจงลูบศีรษะของเจ้าหญิงตัวน้อยพร้อมกับกุมมือเธอเอาไว้อย่างที่คุณพราวเคยทำจนคุณหนูค่อย ๆ หลับไป ฉันจึงวางมือของเธอเอาไว้ที่ข้างลำตัวก่อนจะดึงผ้าห่มให้ความอบอุ่นกับเธอแล้วจึงกลับที่ห้องนอนของตัวเอง
ทันทีที่ฉันปิดประตูห้องได้ ร่างของฉันค่อย ๆ ทรุดลงช้า ๆ พร้อมกับที่ฉันปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น วันนี้ฉันได้รับเรื่องจากนักสืบที่ฉันว่าจ้างให้ไปตามสืบเรื่องของคุณพราวจนได้รู้ว่า...คุณพราวจะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไปแล้ว...คุณพราวเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แล้ว ส่วนคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ คือคุณแพรวที่เป็นพี่สาวฝาแฝด เทวดาเจ้าขา...ช่วยดูแลคุณพราวแทนฉันทีนะคะ
"ฮือ ๆ ฮึก ๆ"
ฉันเจ็บปวดเหมือนจะตายเอาให้ได้กับการที่ต้องสูญเสียคนที่ฉันรักทั้งหัวใจไป ฉันพยายามปิดปากตัวเองให้แน่นที่สุดเพราะกลัวว่าเสียงร้องไห้ของฉันจะดังเกินไปจนทำให้คุณพราวเป็นห่วง เพราะเธอมักจะคอยเป็นห่วงฉันเสมอ ตอนนี้ฉันเหมือนตายทั้งเป็น มันเหมือนใจจะขาดรอน ๆ ไม่มีใครสามารถแทนเธอได้เลย...ไม่มี...ไม่มีอีกแล้ว ไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังเผชิญอยู่กับอะไร และคุณแพรวแฝงตัวมาเป็นคุณพราวทำไม แต่ถ้าเธอกล้าลงไม้ลงมือคุณหนูแม้แต่นิดเดียว ฉันจะเล่นงานเธอให้ถึงที่สุด!
 

"นง ไหนลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย ว่าเธอสงสัยอะไรเมียฉัน แล้วที่บอกว่านี่ไม่ใช่พราว มันหมายความว่ายังไง"
ในที่สุดฟ้าดินก็ได้ยินเสียงของฉันสักที คุณท่านเรียกฉันเข้าพบเพื่อถามถึงสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิม ฉันเล่าความจริงทั้งหมดให้คุณท่านฟังพร้อมกับหลักฐานว่าคุณพราวเสียชีวิตแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันจึงรีบเปิดดูทันที
"นี่คืออะไรคะคุณท่าน"
"ความจริงฉันก็ไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องที่เธอบอกหรอกนะ แต่ตอนนั้นฉันยังไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องอะไรแบบนี้ ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่านี่ไม่ใช่พราวเมียฉันจริง ๆ ในซองนี้คือผลตรวจดีเอ็นเอ คนที่อยู่กับเราตอนนี้คือแพรว ฉันไม่รู้ว่าเธอมีจุดประสงค์อะไรถึงต้องแอบอ้างเป็นพราว แต่ในเมื่อเธอเป็นพี่สาวของเมียฉัน ฉันก็ต้องดูแลเธอให้ดีที่สุด แต่เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกณินะ ลูกฉันอาจจะสับสนได้"
"แต่ฉันคิดว่าคุณท่านควรบอกคุณหนูนะคะ อายุสิบสองก็ถือว่าโตพอที่จะรับรู้ได้แล้วว่าแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้คือป้าของเธอ"
"ทำตามที่ฉันบอก ถ้าแพรวต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้ ขอแค่อย่าทำอะไรลูกฉันก็พอ ดูแลณิให้ดีที่สุดนะนง แล้วก็คอยจับตา...ไม่สิ...คอยสอดส่องดูแลแพรวให้ดี ว่าเธอคิดจะทำอะไร"
"รับทราบค่ะคุณท่าน"
ฉันไม่เข้าใจคุณท่านเลยจริง ๆ มีคนอื่นแฝงตัวเข้ามาในบ้านขนาดนี้ทำไมถึงไม่จัดการหรือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ควรที่จะได้รู้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม หวังว่าเธอจะไม่เป็นงูพิษที่จะแว้งกัดคนที่อยู่ที่นี่หรอกนะ...
 

ฉันเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาโดยตลอดตามคำสั่งของคุณท่าน จนคุณหนูเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่กับเธอมานับเจ็ดปีไม่ใช่แม่แท้ ๆ ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่ฉันและคุณท่านเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คุณเกริกพลที่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณท่านก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะคุณเกริกพลเป็นแค่คนนอกที่จะสลับไปดูแลทั้งคุณท่านและคุณแพรว และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
"พี่นงคะ คือ...ตอนนี้มีคนมาจีบณิด้วยค่ะ"
คุณหนูพูดพลางกับก้มหน้า สองมือของเธอกำที่กระโปรงพีทดูท่าทางเขินอาย ฉันจึงยิ้มกลับไปเพื่อให้เธอไม่ต้องกังวลหากจะพูดเรื่องนี้กับฉัน เพราะเธอสามารถคุยกับฉันได้ทุกเรื่อง
"ใครกันคะ มาจีบคุณหนูของพี่"
"คือ...พี่เขาเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยค่ะ เป็นเด็กอินเตอร์ สูง เก่ง แล้วก็ฮอตด้วย ที่สำคัญพี่เขามีตาสีน้ำตาลเหมือนคุณแม่เลยค่ะพี่นง ณิเห็นแล้วสะดุดตาเลย"
"โห...จริงเหรอคะเนี่ย พี่อยากเห็นจังเลยค่ะ"
"พี่นงไม่ตกใจเหรอคะที่คนมาจีบเป็นผู้หญิง"
"แหม...คุณหนูของพี่น่ารักขนาดนนี้ต้องดึงดูดทุกเพศทุกวัยอยู่แล้วแหละค่ะ"
"เอ่อ...แล้วถ้า...ณิก็ชอบผู้หญิงล่ะคะ พี่นงจะตกใจไหม"
"ไม่นะคะ พี่เห็นคุณหนูเข้าไปส่องเฟซบุ๊กคุณปัญญาวีทุกวันขนาดนั้นพี่ก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าคุณหนูชอบผู้หญิง แต่ในเมื่อคุณปัญญาวีดูเกินเอื้อมก็ลองมองคนใกล้ตัวเข้ามาหน่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ" เมื่อฉันเอ่ยแซว คุณหนูยิ้มจนแก้มแทบปริ
"ก็จริงค่ะ...คุณปัญเกินเอื้อมมากเลย คงไม่มีวันได้เข้าใกล้กันหรอกค่ะ แต่ณิชอบพี่แอนนานะคะ ไม่คิดว่าจะมาเจอคนที่มีดวงตาสวยเหมือนคุณแม่ ณิอยากให้พี่นงได้เห็นจังเลยค่ะ พี่นงต้องตะลึงแน่ ๆ"
"งั้นพรุ่งนี้พี่จะมารับนะคะ พี่อยากเจอมากเลยค่ะ จะเหมือนคุณผู้หญิงขนาดไหนกัน"
"เหมือนมากจนน่าตกใจเลยแหละ!"
และวันต่อมาฉันก็ได้เจอผู้หญิงที่มาจีบคุณหนู สิ่งที่ทำให้ฉันตะลึงไม่ใช่ความสวยแต่อย่างใด แต่เพราะเธอมีนัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนกับคุณพราวไม่มีผิดเพี้ยน แถมใบหน้ายังดูคล้ายกันจนน่าตกใจ ฉันเคยได้ยินมาว่าคนเรามักจะตกหลุมรักคนที่คล้ายกับพ่อหรือแม่ของตัวเอง ก็ไม่คิดว่าจะคล้ายได้ขนาดนี้ และดูเหมือนคุณหนูจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นเข้าให้แล้ว เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไร คุณหนูก็ดูมีความสุขไปเสียหมด แต่ฉันกลับสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่พบหน้าเธอแล้ว หนำซ้ำคุณหนูยังมาปรึกษากับฉันบ่อย ๆ ว่าทำไมคนที่เป็นที่รักของใครหลาย ๆ คนถึงมาคบกับคุณหนูที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องสมุด และเธอก็ดูแสนดีราวกับหลงคุณหนูหัวปักหัวปำอย่างไรอย่างนั้น มันยิ่งทำให้ฉันไม่ไว้ใจเธอ
 

"ทำไมวันนี้พี่นงได้มารับณิคะ ณิให้พี่แอนนาไปส่งที่บ้านก็ได้นะ"
"พี่มาทำธุระแถวมหา'ลัยคุณหนูพอดีน่ะค่ะ"
"อ๋อ...ค่ะ" คุณหนูเดินขึ้นมานั่งบนรถด้วยท่าทีซึม ๆ จนฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ ฉันจึงยังไม่ขับรถออกไปแต่เอื้อมมือไปเกลี่ยผมหน้าม้าที่เริ่มยาวจนมาปกที่ตาของคุณหนูออกอย่างแผ่วเบา
"คุณหนูของพี่เป็นอะไรเอ่ย ทำไมวันนี้ดูซึม ๆ ล่ะคะ"
"พี่นงคะ...วันนี้มีคนมาจีบพี่แอนนาอีกแล้ว สวยแล้วก็เซ็กซี่ด้วยค่ะ เฮ้อ...ทำไมต้องมีคนมาตามจีบแฟนณิไม่เว้นวันเลย แถมณิรู้สึกเหมือนพี่แอนนาจะชอบไทป์แบบนั้นยังไงก็ไม่รู้"
"พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้กับคุณหนูพอดีเลย คุณท่านบอกพี่ว่าอย่าพาคุณแอนนาไปที่บ้านอีกนะคะ"
"อ้าว...ทำไมเหรอคะ"
"คุณท่านไม่ชอบคุณแอนนาค่ะ เธอดูเจ้าชู้"
"เฮ้อ...ณิก็ชักไม่มั่นใจค่ะว่าจะไปกันรอดไหม พี่แอนนาดูเจ้าชู้จริง ๆ นั่นแหละ แต่บางทีก็ดูแสนดีนะคะ ณิเดาใจไม่ถูกเลย"
"คุณหนูคะ พี่ก็เข้าใจวัยรุ่นในระดับหนึ่งนะคะ แต่ถ้าพี่จะบอกว่าอย่าเพิ่งมีอะไรเกินเลยกับคุณแอนนาจะได้ไหมคะ รอให้มั่นใจก่อนว่าคุณแอนนาดีพอและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนูก่อน เพราะพี่เองก็รู้สึกว่าเธอดูเจ้าชู้"
"เข้าใจค่ะ ณิก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน พี่แอนนาพยายามที่จะอยู่สองต่อสองกับณิตลอดเลยค่ะ แถมยังขอจูบทุกวันโดยการให้เหตุผลว่าพี่เขาเป็นลูกครึ่งมันคือเรื่องปกติ แล้วก็เป็นแฟนกันแล้วด้วย ทำไมจะจูบกันไม่ได้ ณิรู้สึกว่าพี่แอนนารุกเกินไปด้วยซ้ำ อารมณ์แบบ...อยากมีอะไรกับณิมากกว่าคบเพราะความรักเลยค่ะ เฮ้อ..." คุณหนูถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนน้องสาวที่ระบายกับพี่สาวด้วยความอัดอั้นตันใจ ฉันจึงลูบศีรษะเธอพลางกับอมยิ้ม แต่สายตาของฉันดันเหลือบไปเห็นรถสปอร์ตคันหรูของคุณผู้หญิงขับผ่านไปต่อหน้าต่อตา
นี่มันเขตมหาวิทยาลัยนี่...คุณแพรวจะมาที่นี่ทำไม
"คุณหนูได้โทรบอกคุณผู้หญิงให้มารับหรือเปล่าคะ"
"ไม่นี่คะ ทำไมเหรอคะ"
"นั่นรถคุณผู้หญิงนี่คะ เธอมาทำอะไรที่นี่" ทั้งฉันและคุณหนูต่างจับจ้องไปที่รถของคุณผู้หญิงอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนที่ฉันจะรีบขับตามเธอไปทันที 
เธอมาจอดที่หน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งที่ติดกับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียกกันว่าฝั่งอินเตอร์ คำถามมากมายก็วนเข้ามาในความคิด เธอมาหาใครกัน และมาทำไม ระหว่างที่ฉันและคุณหนูเฝ้ามองว่าคุณแพรวมาหาใคร สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจจนต้องรีบหันไปหาคุณหนูอย่างอัตโนมัติก็คือ...
"คุณแม่มาหาพี่แอนนาทำไม...พี่แอนนา...ยังไม่เคยคุยกับคุณแม่เลยนะคะพี่นง" 
คุณหนูเองก็คงตกใจไม่ต่างจากฉันที่เห็นคุณแพรวและคุณแอนนาสวมกอดกันและกันราวกับแม่ลูกที่พลัดพรากจากกันมานานอย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้ฉันสังหรณ์ใจก็กลับมาตอกย้ำฉันอีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่คุณแพรวและคุณแอนนามีนัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนกันได้ขนาดนี้ หรือว่า...ที่คุณแพรวใช้เงินเก่งอาจจะเพราะไม่ได้ใช้เงินคนเดียว แต่เธอส่งเงินให้กับใครอีกคนโดยการอาศัยชื่อคุณพราวในการจัดการทุกอย่าง
 

"คุณท่านคะ!! คุณท่านจำคุณแอนนาแฟนของคุณหนูได้ไหมคะ" ฉันเปิดประเด็นทันทีแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ เมื่อเดินทางมาถึงบริษัทของคุณท่าน
"จำได้ ทำไม"
"เธอมีตาสีน้ำตาลเหมือนคุณแพรวเลยค่ะ และวันนี้ฉันเห็นคุณแพรวนัดพบกับคุณแอนนาด้วย ทั้งสองกอดกันเหมือนกับเป็นแม่ลูกกันเลยค่ะ!!"
"มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง"
"จริง ๆ นะคะ คุณหนูก็เห็นเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลค่ะ ฉันคิดว่าคุณแพรวต้องส่งเงินให้คุณแอนนาแน่ ๆ เธออาจจะเป็นแม่ลูกกันค่ะ!"
"แล้วแพรวจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ไอ้เรื่องใช้เงินเยอะมันก็เป็นปกติของผู้หญิงอยู่แล้ว แล้วถ้าแพรวกับแอนนาเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ ก็เท่ากับว่าแอนนากับณิเป็นญาติกันน่ะสิ แพรวคงไม่คิดบ้า ๆ ให้ลูกตัวเองมาจีบญาติตัวเองหรอกนง!!"
"ก็เพราะคุณท่านไม่ยอมทำอะไรสักอย่างไงคะ!! เราถึงไม่รู้จุดประสงค์ว่าคุณแพรวแฝงตัวมาเป็นคุณพราวเพื่ออะไร!! ถ้าคุณท่านจะมองว่าเงินที่เสียไปเป็นเพียงแค่เศษเงินเลยปล่อยผ่านจนมาถึงทุกวันนี้มันก็แล้วแต่คุณท่านนะคะ แต่การที่คุณแพรวให้ลูกสาวตัวเองเข้าหาคุณหนูแบบนี้ยังไงฉันก็มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ!! รู้ตัวไหมคะว่าคุณบกพร่องกับการเป็นพ่อมากแค่ไหน!? ไม่เคยใส่ใจลูกตัวเอง ปล่อยให้คนอื่นแฝงตัวมาเป็นแม่แล้วก็ยังปิดบังลูกตัวเองอีก!!!!"
ฉันตวาดคุณท่านราวคนเสียสติ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย และเป็นเพียงสิ่งที่ฉันสันนิษฐานเท่านั้น แต่สิ่งที่ฉันได้เห็นในวันนี้มันทำให้ฉันกลัว...กลัวว่าคุณแพรวคิดที่จะทำเรื่องไม่ดีกับคุณหนู และแล้ว...สิ่งที่ฉันคิดมันก็เป็นจริง
ครืด!!! ครืด!!!
เมื่อโทรศัพท์ของคุณท่านสั่นครืดอยู่บนโต๊ะขัดจังหวะเราสองคนทำให้เรียกสติของฉันกลับมาได้ แต่เมื่อฉันเห็นท่าทีของคุณท่านที่แปลกไป มือของเขาสั่นเทาและมีอาการคล้ายคนจะเป็นลม ฉันจึงรีบพุ่งเข้าไปประคองร่างสูงท้วมไว้ทันที
"ค...คุณท่านคะ!!"
"นง! เกริกพลโทรมาบอกว่าณิประสบอุบัติเหตุ พาฉันไปหาลูกเดี๋ยวนี้!!"
 

ป้าบ!!!
เสียงฝ่ามือหนาที่ตบโต๊ะอย่างแรงจนฉันถึงกับสะดุ้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแววตาของคนเป็นนายดูเคียดแค้นจนดวงตาแดงก่ำ เขากำลังโกรธจนคุมสติตัวเองแทบไม่ไหวอยู่แล้ว หลังจากที่ได้รับเรื่องจากเจ้าหน้าที่ว่ารถของคุณหนูถูกตัดสายเบรกทำให้เกิดอุบัติเหตุในคืนที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีคนตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น และคุณแอนนาก็หายตัวไปไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมคนรักของตนแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ฉันและคุณท่านเพ่งประเด็นไปที่เธอทันที
"มันกล้ามากที่ทำกับลูกกูแบบนี้!!! ทำตามแผนที่วางไว้นะนง ระหว่างนี้เก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาฉันพลาดเองที่ไม่ยอมทำอะไร แต่หลังจากนี้ฉันจะเล่นงานให้ถึงที่สุด!!!"
คนหนึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คนหนึ่งแสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าคุณท่านจนฉันเกือบจะเชื่อว่าเธอเสียใจจริง ๆ ที่คุณหนูประสบอุบัติเหตุ ฉันและคุณท่านรวมถึงคุณหนูวางแผนเล่นละครตบตาคุณแพรวว่าคุณหนูสูญเสียความทรงจำและไม่สามารถเดินได้ และสิ่งที่ฉันเจ็บปวดกว่าการที่คุณหนูบาดเจ็บนั่นก็คือ...การต้องบอกความจริงกับคุณหนูว่าแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว
หัวใจของฉันเหมือนจะบุบสลายอีกครั้ง ที่เห็นคุณหนูที่เคยสดใสร่าเริงและมีรอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนกับคุณพราว ตอนนี้กลับมีแต่เสียงสะอื้นราวคนจะขาดใจ เธอกอดฉันร้องไห้อย่างหนักจนตัวโยนและร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว การที่ได้มารู้ในภายหลังว่าแม่แท้ ๆ เสียชีวิตไปนานแล้วว่าเจ็บปวดแล้วนั้น แต่การที่มารู้ว่ามีผู้เคราะห์ร้ายหนึ่งคนที่เสียชีวิตคาที่จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และคนคนนั้นคือแม่ของคนที่คุณหนูแอบรักมาตลอดยิ่งทำให้คุณหนูทุกข์ทรมานเจียนตายและเฝ้าโทษตัวเองทุก ๆ วัน แม้แต่ฉันยังเจ็บปวด หัวใจของคุณหนูเองก็คงบุบสลายไม่เหลือชิ้นดีแล้วแน่ ๆ
 

"ณิขอโทษ...ฮือ ๆ ณิไม่ได้ตั้งใจ ฮือ ๆ ณิขอโทษ ฮึก! ณิขอโทษ...ฮือ ๆ"
"ให้อภัยตัวเองเถอะนะคะคุณหนู..." ฉันโอบกอดร่างที่ไร้เรี่ยวแรงด้วยความเจ็บปวด ผ่านไปแล้วห้าเดือน ไม่มีคืนไหนที่คุณหนูไม่ร้องไห้เลยสักคืน เธอมองออกไปที่นอกหน้าต่างในช่วงเวลาเดิม ๆ ทุก ๆ คืน เธอเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญสำนึกผิดและโทษตัวเองอยู่แบบนี้ 
เจ็บปวดเหลือเกินที่ฉันดูแลคุณหนูไม่ได้ หากคืนนั้นฉันอยู่กับเธอมันอาจจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้แน่ และที่เจ็บปวดกว่านั้น คุณท่านก็ยังคงปล่อยให้เวลามันผ่านไปเฉย ๆ ไม่ยอมทำอะไรสักทีจนเวลามันล่วงเลยมาขนาดนี้ คนเป็นลูกใจแทบขาดอยู่แล้ว แต่คนเป็นพ่อกลับอ้างแต่งาน! งาน! และก็งาน! ทำไมกันนะ...ทำไมฉันต้องเห็นคนที่ฉันรักเจ็บปวดราวจะขาดใจซ้ำ ๆ แต่ฉันกลับทำได้แค่โอบกอดเธอเท่านั้น
และสิ่งที่คุณท่านทำเพื่อคุณหนูคือการพยายามให้คุณปัญญาวีมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับคุณหนู ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้เห็นด้วยเลยสักนิด มันจะไม่เป็นการตอกย้ำหัวใจของคุณหนูและคุณปัญญาวีหรืออย่างไรกัน ที่ต้องมาปกป้องดูแลคนที่พรากชีวิตแม่ของเธอไป แถมคุณหนูก็ยังรู้สึกผิดต่อเธออีกด้วย และดูเหมือนฟ้าก็เข้าข้างฉัน ไม่ว่าฉันจะพยายามติดต่อพ่อของคุณปัญญาวีไปอย่างไร ก็ได้รับคำปฏิเสธทุกครั้ง และฉันอยากให้มันเป็นอย่างนั้นไปตลอด ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้คุณหนูได้เจอกับคุณปัญญาวี แต่ฉันไม่อยากให้เธอทั้งสองต้องเจ็บปวดมากกว่า เพราะฉันรู้ว่าคุณปัญญาวีเคียดแค้นคุณหนูมากแค่ไหน จากการตามอ่านข่าวและข้อความที่เธอเขียนในกระทู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ถึงขั้นด่าทอเสียดสี สาปแช่งคนที่พรากชีวิตแม่ของเธอไป 
คุณหนูเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากคุณหรอกนะคุณปัญญาวี...
 

หลังจากนั้นไม่กี่เดือนฉันก็ได้ทราบข่าวเหตุเพลิงไหม้ค่ายมวยของคุณปัญญาวี ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันและคุณหนูต่างก็ช็อกไม่ต่างกัน คุณท่านจึงทุ่มสุดตัวเพื่อยื่นข้อเสนอให้เธอมาเป็นบอดี้การ์ดให้ได้ แต่ความจริงแล้ว ข้อเสนอทั้งหมดคือคำขอร้องจากคุณหนูที่จะชดใช้เรื่องทุกอย่างให้กับคุณปัญญาวี และแน่นอนว่ามีแค่ฉันที่รู้ เพราะคุณแพรวกับคุณเกริกพลเข้าใจว่าคุณหนูสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แถมคุณท่านยังสร้างเรื่องว่าตนชอบดูมวย แล้วถูกใจคนมากฝีมืออย่างคุณปัญญาวีเลยอยากได้มาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับลูกสาวของตน รวมไปถึงวางแผนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหลอกล่อให้เหยื่อกลับมา นั่นก็คือคุณแอนนา เพราะตอนนี้เราเชื่อสนิทใจว่าคุณแอนนาคือลูกสาวของคุณแพรวจริง ๆ แต่ฉันก็ต้องการหลักฐานให้ชัดเจนว่านี้
ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อคุณท่านเดินทางไปต่างประเทศ คุณแอนนาก็กลับมาจริง ๆ คุณแพรวมาร้ายแน่ ถึงกล้าให้ลูกสาวเข้าหาหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเองขนาดนี้ บาปกรรมอะไรคงไม่รู้จักสินะ เลวทรามต่ำช้าสิ้นดี!! ฉันคงต้องเชื่อใจคุณปัญญาวีแล้วล่ะว่าจะปกป้องคุณหนูได้ หวังว่าความรักที่คุณหนูมีให้กับคุณ มันจะช่วยให้คุณเห็นคุณค่าและปกป้องคุณหนูด้วยชีวิตนะคุณปัญญาวี...
 
 
"เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ..." เมื่อนงคราญเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้ปัญญาวีและโกฟัง ทั้งสองจึงหันมามองหน้ากันเพราะไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะวุ่นวายซับซ้อนได้ถึงเพียงนี้ แต่ท่าทีของชายหนุ่มกลับดูเหมือนเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง 
"ถ้าพวกคุณจะไม่เชื่อฉัน ฉันก็เข้าใจค่ะ ตราบใดที่โทรศัพท์ของเปี๊ยกยังซ่อมไม่เสร็จ และเปี๊ยกก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาบอกความจริงกับเราแบบนี้จะให้เชื่อฉันก็คงยาก สถานการณ์แบบนี้เราไว้ใจใครไม่ได้เลย เพราะแม้แต่ฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้"
"สรุปเปี๊ยกยังไม่ตายใช่ไหมครับ"
"ตอนนี้เขาพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ แต่ฉันก็ตอบไม่ได้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่"
"แล้วผลตรวจดีเอ็นเอของยัยแอนนาออกหรือยังคะคุณนม" 
"ออกแล้วค่ะ"
"ผลเป็นยังไงคะ!!?" 
"คุณแอนนาเป็นลูกสาวของคุณแพรวจริง ๆ ค่ะ"
"เวรเอ๊ย!!! มันทำกกับคุณหนูได้ยังไง!!!?" ปัญญาวีถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะลุกจากโซฟาหนังสีดำแล้วเดินวนไปวนมาภายในห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก 
"คุณช่วยพาพวกเราไปดูให้เห็นกับตาได้ไหมว่าเปี๊ยกมันยังไม่ตายจริง ๆ"
"ฉันพาคุณปัญญาวีไปได้ค่ะ แต่ฉันจะไม่พาคุณไป ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าตอนนี้ไว้ใจใครไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าที่คุณซ่อมโทรศัพท์ไม่ได้สักทีคือจะถ่วงเวลาให้พวกมันกลับมาถึงประเทศไทยก่อนหรือยังไง"
"คุณพูดอะไรของคุณ ผมช่วยเหลือน้องสาวผมทุกวิถีทาง แต่คุณกลับกล่าวหาผมเนี่ยนะ คุณมันน่าสงสัยมากกว่าไหม!?" เขาพูดแบบไม่สบอารมณ์นัก ปัญญาวีจึงรีบใช้แขนขวางเอาไว้ทันทีก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกันเพราะดูท่าทีแล้ว ทั้งสองไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันแม้แต่น้อย
"พอก่อนค่ะ มันก็จริงอย่างที่คุณนมพูดนะพี่โก ตอนนี้มันเชื่อใจใครไม่ได้ ขนาดไอ้เปี๊ยกยังกล้าหักหลังปัญเลย ตอนนี้ต่างคนต่างกำความลับอยู่ในมือ พี่โกมีโทรศัพท์ไอ้เปี๊ยก คุณนมมีตัวไอ้เปี๊ยกที่จะเป็นข้อมูลที่ชัดเจน ปัญไม่รู้ใครจะถ่วงเวลาหรือมีจุดประสงค์อะไรที่ไม่ดีไหม แต่ถ้าใครในที่นี้กล้าหักหลังปัญอีกคน ปัญจะเป็นคนจบชีวิตทุกคนด้วยมือของปัญเอง"
"ฉันกล้าเอาชีวิตเป็นประกันเลยค่ะ เพราะฉันไม่มีวันทำร้ายคุณหนูแน่ และโปรดรู้เอาไว้ด้วยนะคะคุณปัญญาวี ว่าฉันเองก็บอบช้ำร้อยเท่าพันเท่า ที่ต้องทนอยู่กับคนที่แฝงตัวมาเป็นคนที่ฉันรักตั้งแปดปี และยังต้องมาเห็นคุณหนูทุกข์ทรมานตั้งแต่เด็กจนโต ฉันเจ็บปวดที่ต้องเก็บความลับเป็นปี ๆ อยากจบเรื่องทุกอย่างเต็มแก่แล้ว ฉันอยากเห็นคุณหนูมีความสุขสักที"
"ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้มันยืดเยื้อเหมือนคุณท่านแน่ เพราะมันกล้าทำร้ายคุณหนูได้ขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่คนแล้ว! ฉันจะไม่รอมันกลับมาอีกแล้ว แต่ฉันจะบุกไปสั่งสอนลูกสาวของมัน ให้มันคลานเข่ามากราบขอโทษคุณหนูให้ได้!!"