A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 19 ความจริง

พรึ่บ!
ทันทีที่ดวงไฟในห้องนอนส่องสว่างแทนที่แสงดวงจันทร์ที่ส่องผ่านผ้าม่านผืนบางแบบสลัว ๆ เสียงสะอื้นราวจะขาดใจดังออกมาจากร่างที่นอนหันหลังอยู่บนเตียงนอนคิงไซซ์ ความโกรธแค้น ความรู้สึกผิด ความหวาดกลัว ความเจ็บปวด ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างตีรวนสวนทางกันไปหมดจนทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาไม่ต่างกัน เธอจึงเดินตรงเข้าไปช้า ๆ เพื่อหวังจะปลอบประโลมคุณหนูณิชาให้สงบลงแม้ว่าต้นเหตุเสียงสะอื้นนั้นจะมาจากเธอก็ตาม แต่ทว่าทุกย่างก้าวนั้นแสนลำบาก เพราะเสียงสะอื้นนั้นช่างบีบหัวใจเหลือเกิน
"ฮือ ๆ ฮึก ๆ"
"คุณหนูคะ..."
"ทำไม...ฮึก! ทำไมคุณถึงไม่ฆ่าณิ...ฮึก ๆ" เสียงสั่นเครือดังออกมาก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปถึงร่างที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนเตียงเสียด้วยซ้ำ
"ฉ...ฉัน...ฉันขอโทษ"
"ถ้าคุณอยากฆ่าณิ คุณก็เอาปืนมายิงณิสิคะ ฮึก ๆ รีบยิงแล้วรีบหนีไป พี่นงกำลังกลับมา"
"คุณหนูคะ ฉันไม่ได้..."
"ฆ่าณิเลยสิ!!!" สิ้นเสียงตวาดดังลั่น ปัญญาวีถึงกับชะงักและกำมือทั้งสองข้างแน่นด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา 
ณิชาพลิกตัวกลับมาแล้วลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาที่แดงก่ำ นัยต์ตานั้นไม่ได้แฝงความโกรธแม้แต่น้อย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่แม้แต่ปัญญาวีก็สัมผัสได้ เธอจึงเอื้อมไปกุมมือนุ่มทั้งสองข้าง ก่อนจะคว้าร่างคนตัวเล็กเข้ามาซบลงที่หน้าอกแล้วกอดเอาไว้จนได้ยินเสียงร้องไห้โฮออกมาอย่างหนักจนตัวโยน เรี่ยวแรงของณิชาแทบไม่เหลืออีกแล้ว
"ฮือ ๆ ๆ ฮึก ๆ ฆ่าณิ...ฆ่าณิ..."
"คุณหนูคะ...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"คุณช่วยฆ่าณิที ฮือ ๆ ณิอยู่กับความรู้สึกผิดแบบนี้ไม่ไหวแล้ว ฮือ ๆ ณิทำให้แม่คุณต้องตาย ณิทำให้ทุกคนต้องตาย ณิ...ฮือ ๆ"
"พอแล้วค่ะ! ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พอเถอะ..."
ยิ่งเสียงสะอื้นออกมาจากร่างในอ้อมกอดดังมากเท่าไหร่ ปัญญาวียิ่งเจ็บปวดในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น ความเจ็บปวดที่ไม่เหมือนการสูญเสียครั้งที่ผ่านมา แต่มันคือการที่เธอเป็นคนที่ทำให้คุณหนูณิชาร้องไห้แทบจะขาดใจเอาให้ได้ และเธอ...เกือบจะฆ่าคนที่เธอรักด้วยน้ำมือของเธอเอง
"คุณหนู...ฉันขอโทษ...อ๊ะ!"
ณิชารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ผลักร่างสูงโปร่งออกแบบสุดแรงจนเจ้าตัวถึงกับเซถลาเสียหลักไปทางด้านหลัง ก่อนเธอจะก้มลงดึงลิ้นชักที่ใต้เตียงออกมาแล้วหยิบปืนพกขึ้นมาอย่างลุกลน 
"คุณหนู...คุณจะทำอะไร"
ปัญญาวีสืบเท้าถอยหลังขณะที่ณิชาก็ถือปืนแล้วก้าวเข้าหาเธอช้า ๆ ทั้งที่ยังคงร้องไห้จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะเดิน และเธอไม่ได้มีท่าทีของคนที่บาดเจ็บจนต้องนั่งรถเข็นมานานนับปีเสียด้วยซ้ำ
"คุณหนูเดินได้จริง ๆ สินะ ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณคิดที่จะทำอะไร แต่นี่มันคือโอกาสของคุณแล้ว ถ้าคุณจะฆ่าฉัน คุณก็แค่เหนี่ยวไก แต่คุณห้ามทำอะไรน้องปุณเด็ดขาด"
"ฮึก ๆ เปล่าค่ะ...ณิไม่ได้จะฆ่าคุณ ปืนกระบอกนี้มีกระสุน คุณฆ่าณิแล้วคุณก็รีบหนีไปก่อนที่พี่นงจะกลับมา คุณไม่มีเวลามากนะคะคุณปัญ ฮึก ๆ" คนตัวเล็กหันปลายกระบอกปืนเข้าใส่ตัวเองก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของบอดี้การ์ดสาวให้มันจับที่ด้ามปืน จากนั้นเธอจึงออกแรงดึงให้ปลายกระบอกปืนจ่อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของเธอเอาไว้พลางกับอมยิ้มทั้งน้ำตาจนมือข้างขวาของปัญญาวีสั่นเทา และหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน
"ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป...ฮึก! คุณช่วยยิงตรงนี้นะคะ ขอให้ณิตายในนัดเดียว ไม่ต้องให้ใครมายื้อชีวิตณิอีก ฮึก ๆ"
"คุณหนู!!! คนจะบ้าไปแล้วเหรอ!!!?"
"ทำไมล่ะคะ ในเมื่อคุณก็ตั้งใจจะฆ่าณิอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เอาสิคะ...ณิสั่งพี่นงเอาไว้แล้ว ว่าห้ามทำอะไรคุณเด็ดขาด คุณยิงณิแล้วก็รีบหนีไปตอนนี้...จะดีกว่านะคะ ฮึก ๆ ฮือ ๆ"
แกร๊ก!
เสียงแม็กกาซีนที่ร่วงลงกับพื้นแทนการเหนี่ยวไก ก่อนมือข้างขวาจะกระชากกลับแล้วดึงสไลด์เพื่อให้กระสุนที่ยังค้างในรังเพลิงอยู่หลุดออกอย่างรวดเร็ว แม้จะอยากแก้แค้นด้วยชีวิตของคนตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่อาจจบชีวิตคนที่เธอรักทั้งหัวใจได้ ปัญญาวีโยนปืนออกไปให้ห่างจากตัวก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แน่น
"ฮือ ๆ ทำไม...ทำไมไม่ฆ่าณิ ฮือ ๆ ทำไม!!?" ณิชาพูดพลางกับใช้กำปั้นทุบลงที่หน้าอกของปัญญาวีราวกับคนเสียสติ ทำไมถึงได้อยากตายขนาดนี้กันนะ..
"พอเถอะค่ะคุณหนู ฉันไม่อยากฆ่าคุณอีกแล้ว..."
"ทำไมคะ ฮือ ๆ ณิขับรถชนแม่ของคุณ ณิทำให้แม่ของคุณต้องตาย ฮึก! ณิ...ฮึก! ณิจะชดใช้ด้วยชีวิต ฮึก ๆ"
"คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"
"ณิรู้...ณิรู้มาตลอด และณิไม่เคยลืมภาพวันนั้นได้เลย ฮือ ๆ ณิไม่อยากอยู่กับความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว คุณปัญช่วยฆ่าณิที!! ฮือ ๆ ฆ่าณิที...ฆ่าณิที!!"
"ก็บอกให้พอไง!!! เลิกพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้สักทีนะ คุณม..."
อืด อืด อืด ~
ยังไม่ทันที่ปัญญาวีจะได้พูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดอยู่บนเตียงนอนก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน เธอจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหยิบดูโทรศัพท์ก่อนจะหันหน้าจอมาทางณิชาเพราะหน้าจอขึ้นเบอร์โทรแปลก ๆ ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเพราะเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นปัญญาวีจึงไม่ไว้ใจคนตรงหน้ามากนัก อาจจะใช้ลูกไม้หลอกล่อให้เธอเห็นใจก็เป็นได้
"นี่เบอร์ใคร?"
"เบอร์จากต่างประเทศค่ะ ฮึก ๆ ไม่รู้ว่าใครโทรเข้ามา อาจจะเป็นคุณพ่อ"
"ฉันจะรับ และจะเปิดลำโพง ให้คุณคุยโทรศัพท์ตามปกติ พวกคุณมีแผนอะไรพูดออกมาให้หมด อย่าตุกติก" เธอพูดอย่างขึงขังและจ้องมองณิชาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะกดรับสายและเปิดสปีกเกอร์โฟนตามลำดับ แล้วจึงเดินเข้าไปกระชากแขนของคนตัวเล็กให้มาอยู่ประชิดตัวมากขึ้น
"ฮ...ฮัลโหล"
"คุณหนูครับ...ผมเกริกพลเองนะครับ" เสียงจากปลายสายที่ดูสั่นเครือไม่ต่างจากณิชามากนัก
"ค่ะ...มีอะไรคะ"
"ผมจะโทรมาแจ้งข่าว ทำใจดี ๆ ไว้นะครับคุณหนู...คุณท่านกับคุณผู้หญิง...ประสบอุบัติเหตุ...คุณผู้หญิงปลอดภัย แต่..."
"แต่อะไรคะคุณเกริกพล!! คุณพ่อล่ะ!? คุณพ่อปลอดภัยใช่ไหมคะ!!?"
"คุณท่าน...เสียชีวิตแล้วครับ" เสียงจากปลายสายที่ราวฟ้าผ่าลงที่กลางใจ ทั้งสองถึงกับดวงตาเบิกโพลง ทั้ง ๆ ที่ปัญญาวีควรที่จะสะใจเสียด้วยซ้ำที่เห็นคนตัวเล็กต้องสูญเสียบ้าง แต่ตอนนี้เธอกลับเจ็บปวด ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช้า ๆ แต่ณิชากับสืบเท้าถอยหลังและใช้สองมือขยุ้มผมสีน้ำตาลเอาไว้
"ค...คุณหนูคะ"
"ไม่จริง...ไม่จริง...คุณโกหก...ไม่จริง!!! กรี๊ด!!!!"
"คุณหนู!!!!" ณิชากรีดร้องออกมาและหมดสติไปทันที บอดี้การ์ดสาวจึงรีบสาวเท้าเข้าไปประคองร่างของเธอเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนก ความสับสนตีรวนสวนทางกันอีกครั้งจนร่างกายของเธอเองก็สั่นเทาไม่ต่างกัน ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นร่างพี่เลี้ยงสาวที่มีท่าทีตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน
"คุณหนูครับ...ผมพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว ฮึก ๆ แต่ผมยื้อชีวิตของท่านไม่ได้ ผมขอโทษ ฮึก!" นงคราญไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ เธอเดินมาคว้าโทรศัพท์แล้วกดตัดสายไปทันทีเพราะพอจะเข้าใจสถานการณ์ และสิ่งที่เธอทำแทนที่จะเป็นการต่อว่าด่าทอหรือใช้ปืนขู่ฆ่าบอดี้การ์ดสาวเสียด้วยซ้ำ แต่เธอกลับนั่งยอง ๆ ลงเคียงข้างร่างของณิชาที่หมดสติอยู่ในอ้อมกอดของบอดี้การ์ดสาว ก่อนจะเอื้อมมือเลิกชุดกระโปรงขึ้นช้า ๆ
"นี่คุณจะทำอะไรน่ะคุณนม!!?" ปัญญาวีจับที่ข้อมือของนงคราญด้วยความตกใจ แต่เธอกลับสะบัดออกแล้วเลิกชุดกระโปรงขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เธอเห็นรอยพกช้ำตามร่างกาย เธอจึงรีบใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้ก่อนน้ำตาจะไหลพรากออกมาตามด้วยเสียงสะอื้นที่ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ เรี่ยวแรงของเธอก็อ่อนกำลังลงจนพาล้มลงนั่งกับพื้น สภาพของนงคราญร้องไห้จนตัวโยนไม่ต่างจากณิชาก่อนหน้า ยิ่งทำให้ปัญญาวีสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นหนักเป็นเท่าตัว
"ก่อนหน้านี้คุณหนูขอร้องให้คุณฆ่าเธอสินะคะ...ทำไมคุณถึงไม่ทำล่ะคะคุณปัญญาวี ฮึก ๆ"
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!!!?"
"ร่องรอยบนตัวคุณหนู...ฉันรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากคุณ และมันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เธอรออยู่ที่นี่ เพื่อให้คุณกลับมาฆ่าเธอ"
"หมายความว่าไง นี่กำลังพูดบ้าอะไรวะเนี่ย!!? พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!!!" ปัญญาวีตะคอกใส่นงคราญราวกับคนเสียสติ แทนที่คนตรงหน้าจะเป็นห่วงคุณหนูณิชาแต่กลับพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้ออกมา...เลวสิ้นดี!!!


"คุณณิชาไม่เป็นอะไรแล้วค่ะคุณนงคราญ เธอคงหมดสติเพราะร่างกายอ่อนเพลียบวกกับอาการตกใจ แต่เดี๋ยวให้เธอนอนพักผ่อนอีกสักหน่อยอาการก็ดีขึ้นแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"
"ขอบคุณค่ะคุณหมอ"
"ยินดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ"
"เดี๋ยวฉันให้คุณก้องไปส่งนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ" หญิงท่าทางดูทะมัดทะแมงคาดว่าจะเป็นหมอส่วนตัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินจากไปโดยมีชายคนขับรถประจำตัวเดินตามออกไปติด ๆ นงคราญจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนก่อนจะเอื้อมมือลูบศีรษะคุณหนูณิชาอย่างแผ่วเบา ซึ่งปัญญาวีก็ได้แค่ยืนมองด้วยความสับสน
"ดูจากสภาพห้องก่อนหน้าที่มีแต่กระบอกปืนตามพื้นห้องแบบนี้ คุณหนูคงพยายามให้คุณฆ่าเธอจริง ๆ สินะคะ" นงคราญถามอย่างเรียบนิ่งไม่เหมือนก่อนหน้าที่เธอร้องไห้จนตัวโยนเสียด้วยซ้ำ 
"นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้ว พวกคุณไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าฉันอย่างนั้นเหรอ"
"ถ้าฉันกับคุณหนูจะฆ่าคุณจริง ๆ ฉันคงฆ่าคุณไปนานแล้วล่ะค่ะ และน้องปุณเองก็คงไม่ได้รับการคุ้มกันจากบอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนและคอยเฝ้าระวังระแวกนั้นโดยแฝงตัวเป็นชาวบ้านหรอกนะคะ"
"แล้วก่อนหน้านี้ที่คุณคุยโทรศัพท์กับคุณหนูคืออะไร ไหนจะเรื่องรอยบนตัวที่คุณบอกว่ามันไม่ได้เกิดจากฉันอีก เล่ามาให้หมด ฉันอยู่กับความค้างคาไม่ได้หรอกนะ!!"
"คุณเหมือนอย่างที่น้องปุณบอกเอาไว้ไม่มีผิด เธอบอกว่าคุณไม่ชอบความค้างคา ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็เกินความคาดหมายไปมากจนควบคุมได้ยากแล้ว ฉันคงต้องเล่าความจริงให้คุณฟังและขอร้องให้คุณช่วยแล้วล่ะค่ะ เราไปที่ห้องของคุณกันเถอะ คุณหนูต้องพักผ่อน" พูดจบนงคราญจึงเดินนำไปที่อีกห้องหนึ่งหลังประตูเชื่อมโดยมีปัญญาวีเดินตามไปติด ๆ แต่เธอก็ยังไม่วายหันกลับมามองร่างบางที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง
เมื่อปัญญาวีปิดประตูจนสนิท เธอจึงเดินไปนั่งที่ปลายเตียงโดยหันหน้าเข้าหาพี่เลี้ยงสาวที่นั่งเงียบอยู่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งรออยู่แล้ว แม้เธอจะแสดงท่าทีสุขุมเยือกเย็นอย่างที่เคยเป็น แต่แววตาของเธอกลับแสดงความเจ็บปวดราวกับต้องการเก็บซ่อนความเสียใจเอาไว้ภายใต้หน้ากาก
"คุณจะแสดงความเสียใจออกมาก็ได้นะคะคุณนม สายตาคุณมันฟ้อง"
"คุณจะได้เห็นฉันอ่อนแอแค่ครั้งนั้นเท่านั้นแหละค่ะ ฉันถูกบังคับให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว...ขอโทษนะคะที่ฉันแสดงความรู้สึกได้แค่นี้"
"ม...ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แต่คุณช่วยเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ มันเกิดอะไรขึ้น"
"เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี ถ้าฉันเล่าไปแล้วก็หวังว่าคุณจะประติดประต่อเรื่องทั้งหมดได้นะคะ"
"เล่ามาเลยค่ะ ถ้าฉันไม่เข้าใจเดี๋ยวฉันจะถามเอง ก่อนอื่นเลย...ทำไมคุณหนูถึงต้องนั่งรถเข็นทั้ง ๆ ที่เดินได้แล้ว และทำไม...คุณหนูถึงจำอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้วได้" นงคราญนั่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับคนพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อสภาพความจริงด้วยความกังวล แม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากที่สุขุมเยือกเย็นก็ตาม
"ความจริง...คุณหนูไม่ได้ความจำเสื่อมหรอกค่ะ และเธอก็เดินได้แล้วด้วย เธอจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี มันเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมักจะฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ และเฝ้าโทษตัวเองมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาที่เป็นคนขับรถชนแม่ของคุณ หน้าที่ของฉันคือ ทำยังไงก็ได้ให้เธอเข้านอนอย่างอุ่นใจที่สุด เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องฝันถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ"
"แล้วทำไมพวกคุณต้องโกหกฉันด้วย"
"เราไม่ได้โกหกคุณคนเดียว แต่เราโกหกคนที่วางแผนจะลอบฆ่าเธอมากกว่า"
"ม...หมายความว่าไงคะ" 
"เหตุการณ์ในวันนั้นถูกวางแผนมาอย่างดีเพื่อที่จะให้คุณหนูต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ เพราะฉันตามสืบจนได้รู้ว่า...รถที่คุณหนูขับในวันนั้นถูกตัดสายเบรกตั้งแต่อยู่ที่ผับแล้วค่ะ" ปัญญาวีถึงกับกำมือแน่นด้วยความตกใจ แต่เธอก็ฟังแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่เลี้ยงเล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ 
"ใครคิดที่จะทำแบบนั้นกับคุณหนู แล้วมันทำเพื่ออะไร"
"คุณลองเดาดูสิคะ ว่าถ้าหากคุณท่านกับทายาทโดยตรงเสียชีวิต ใครจะได้รับมรดกไปเต็ม ๆ ชนิดที่ว่าใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด"
"ย...อย่าบอกนะว่า...คุณผู้หญิง!!?" นงคราญสบตากับปัญญาวีขณะที่เล่าชนิดที่ว่าไม่มีมีความล่อกแล่กหรือแสดงพิรุธใด ๆ ว่าสิ่งที่เล่าจะเป็นเรื่องโกหกได้เลย
"คุณเข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"เพื่ออะไรคะคุณนม!! วางแผนฆ่าลูกฆ่าสามีเพื่อเงินเนี่ยนะ!!!?"
"ความโลภสามารถทำได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ ฉันรู้ค่ะว่ามันเชื่อยาก แต่ถ้าฉันจะบอกว่าคุณผู้หญิงไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของคุณหนู คุณอาจจะอยากเชื่อขึ้นมาหน่อย"
"..." ปัญญาวีถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
"ถ้าเล่าแบบไม่มีมูลเหตุคุณจะหาว่าฉันกล่าวหา อันที่จริง...คุณหนูเองก็สงสัยไม่ต่างจากฉันหรอกค่ะ ถึงแม้ฉันจะได้มาเป็นพี่เลี้ยงตอนที่คุณหนูอายุได้สี่ขวบแล้วก็เถอะ แต่ตอนนั้นคุณพราวฟูมฟักทะนุถนอมคุณหนูอย่างดีราวกับไข่ในหิน เพราะคุณหนูเธอเป็นคนตัวเล็กกว่าคนอื่น และดูว่าร่างกายจะอ่อนแอกว่าคนอื่นด้วยค่ะ คุณพราวเป็นผู้หญิงที่งดงามทุกองศา เธออ่อนโยนและแสนดีมาก ๆ ดีชนิดที่ว่า...ทำให้ฉันตกหลุมรักเธอได้"
"อะไรนะ!!?" รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้าของพี่เลี้ยงสาวคล้ายคนที่อยากจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ แต่ต้องใช้รอยยิ้มปกปิดบาดแผลในหัวใจเอาไว้ และแน่นอน...แววตามันไม่อาจซ่อนความรู้สึกได้
"ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตกใจ แต่ถ้าฉันไม่พูดเรื่องนี้ คุณจะไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงสัมผัสได้ว่าคุณพราวเปลี่ยนไปเมื่อไหร่...ตอนที่คุณหนูอายุได้สิบสองปี คุณพราวบอกฉันว่าจะไปพักผ่อนกับพี่สาวที่ต่างจังหวัด ซึ่งเธอขอไปแบบส่วนตัวไม่ให้มีแม้แต่บอดี้การ์ดติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว ตอนนั้นฉันก็เข้าใจว่าเธอคงอยากพักผ่อนแบบส่วนตัวกับพี่สาวเลยไม่ได้คิดอะไร แต่เธอหายไปแบบไม่ติดต่อมาเลยถึงสองอาทิตย์ บวกกับที่ช่วงนั้นงานที่บริษัทของคุณท่านมีปัญหาจนไม่มีเวลาที่จะได้ติดต่อกัน จะบอกว่าคุณหนูไม่ได้เจอหน้าคุณท่านเป็นเดือน ๆ เลยค่ะ แล้ววันหนึ่งคุณพราวก็กลับมา และนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอแปลกไป"
"แปลกไปยังไงคะ"
"เธอดูผอมลงมากจนฉันตกใจ เธอแสดงท่าทีอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ตัวคุณพราวเลย ทำไมเราจะไม่รู้ล่ะคะจริงไหม ว่าคนที่เรารักและเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ จะเปลี่ยนไปยังไง คุณพราวดูใจร้อนขึ้น ไม่ทะนุถนอมคุณหนูเหมือนก่อน ถึงจะไม่ทำร้ายถึงขั้นตบตีแต่ก็ใช้คำพูกกระแทกแดกดันให้คุณหนูร้องไห้เสียใจอยู่บ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่คุณพราวเป็นคนที่สุภาพอ่อนหวานมาก ๆ ฉันจึงเรียนให้คุณท่านทราบถึงพฤติกรรมที่แปลกไป แต่ตอนนั้นท่านก็ไม่เชื่อและไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องแบบนี้ จะบอกว่าคุณท่านไม่มีเวลาให้คุณหนูตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ คุณพราวเป็นคนเลี้ยงลูกแบบตัวคนเดียวมาตลอด ฉันจึงต้องไปสืบด้วยตัวเอง เพราะฉันก็เหมือนกับคุณ ฉันไม่ชอบความค้างคานี้เลย ฉันจ้างนักสืบให้ตามสืบเรื่องครอบครัวของคุณพราวจนได้รู้ว่า คุณพราวมีพี่สาวฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะชื่อว่าแพรว"
"นี่มัน...อะไรกันเนี่ย...อย่าบอกนะคะว่าทั้งสองสลับตัวกัน"
"เปล่าค่ะ เรียกว่าคุณแพรวแฝงตัวมาเป็นคุณพราวจะถูกมากกว่า เพราะคุณพราวเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่หลักฐานการเสียชีวิตกลับระบุว่าศพที่เห็นในห้องพักเป็นศพของคุณแพรว"
"..."
"ตอนนั้นฉันเสียใจมาก และสิ่งที่ฉันทำได้คือดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด และปกป้องคุณหนูจากผู้หญิงคนนั้นเพราะไม่รู้ว่าเธอแฝงตัวเป็นคุณพราวทำไม ฉันไม่รู้นะคะว่าคุณสังเกตหรือเปล่า ว่านัยต์ตาของคุณผู้หญิงเป็นสีน้ำตาลที่เวลาบังเอิญสบตาแล้วจะละสายตาไม่ได้เลย"
"ไม่ค่ะ ไม่ได้สังเกตเลย รู้แต่ว่าคุณผู้หญิงสวยมาก ๆ"
"ถ้าคุณไม่สังเกตฉันก็ไม่แปลกใจหรอกค่ะ เพราะตอนนั้นคุณไม่ได้สนใจอะไรด้วยซ้ำ นอกจากการแก้แค้น" ปัญญาวีถึงกับเจ็บแปลบเมื่อถูกคำพูดแทงใจ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
"นัยต์ตาสีน้ำตาลนั้นเป็นยีนส์เด่นของคนในตระกูลคุณพราวที่มีมาแบบรุ่นสู่รุ่น แต่น่าเสียดายค่ะ ที่คุณหนูได้รับยีนส์ของคุณท่านมากกว่าเลยไม่มีนัยต์ตาสีน้ำตาลเหมือนกับแม่ แต่มันบังเอิญมากค่ะ ที่เมื่อหนึ่งปีก่อนฉันได้เห็นนัยต์ตาสีน้ำตาลแบบนั้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มันทำให้เรื่องราวทุกอย่างเลวร้ายมาจนถึงวันนี้ ลองทายดูสิคะ ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร ที่อยู่ดี ๆ เธอก็ปรากฏตัวมาทั้ง ๆ ที่หายหน้าหายตาไปนาน"
"อย่าบอกนะคะว่า...คุณแอนนา!!"
"คุณก็มีไหวพริบดีนี่คะ ตอนนั้นคุณหนูก็มาปรึกษากับฉันบ่อย ๆ ว่าทำไมผู้หญิงที่ฮอตมาก ๆ อย่างคุณแอนนาถึงได้มาจีบเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอเอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด แถมยังมีนัยต์ตาสีน้ำตาลเหมือนแม่ของเธออีกทั้ง ๆ ที่เป็นลูกครึ่งอเมริกา ถ้าเป็นดวงตาสีฟ้า สีเขียว สีเทาอะไรเทือกนั้นค่อยว่าไปอย่าง แล้วสิ่งที่ฉันสงสัยมาตลอดมันดันชัดเจนขึ้นก่อนที่คุณหนูจะเกิดอุบัติเหตุ วันหนึ่งฉันเป็นคนไปรับคุณหนูที่มหาวิทยาลัยด้วยตัวเองเลยบังเอิญเห็นรถของคุณผู้หญิงขับผ่านไปต่อหน้าต่อหน้า ด้วยความที่คุณหนูก็สงสัยเป็นทุนเดิมแล้วว่าทำไมแม่ของเธอถึงมีนิสัยแปลกไป เราเลยขับรถตามไปจนได้เจอเธอนัดพบกับคุณแอนนา ทั้งสองกอดกันกลมเลยค่ะเหมือนแม่กับลูกที่พลัดพรากจากกันได้มาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งพฤติกรรมแบบนั้นเธอไม่เคยทำกับคุณหนูเลย ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณท่าน"
"แล้วคุณท่านไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอคะว่าภรรยาเปลี่ยนไป!!?"
"ถึงจะไม่ค่อยใส่ใจลูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใส่ใจภรรยานี่คะ คุณผู้หญิงเธอใช้เงินเก่งผิดปกติ ไม่รู้เอาไปทำอะไรมากมายมหาศาล ให้เท่าไหร่ก็หมด คุณท่านเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจค่ะเลยพยายามพาคุณผู้หญิงไปตรวจสุขภาพ แต่ความจริงคือคุณท่านแอบตรวจดีเอ็นเอโดยที่ไม่ให้เธอรู้ จึงได้มารู้ว่าไม่ใช่คุณพราว และฉันเองก็ต้องการเลือดของคุณแอนนามาตรวจดีเอ็นเอเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างที่ฉันกับคุณท่านและคุณหนูสงสัยไหม แต่คุณหนูดันประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ฉันกับคุณท่านเลยเพ่งประเด็นไปที่สองคนนั้นทันที เลยวางแผนสร้างเรื่องว่าคุณหนูความจำเสื่อมและพิการจนต้องนั่งรถเข็นเพื่อให้พวกเขาตายใจว่าคุณหนูอ่อนแอไม่มีแรงจะสู้ และจำเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้ เผื่อคุณผู้หญิงจะแสดงพฤติกรรมแปลก ๆ กับเธออีก หรือถ้าถูกทำอะไรให้กระทบกระเทือนจิตใจ เธอจะลืมทุกอย่างไปแต่ความจริง...คุณหนูจำได้ทุกเหตุการณ์ค่ะ"
"งั้นแสดงว่า...ที่คุณท่านไปต่างประเทศก็เพื่อ..."
"คุณท่านเปิดโอกาสให้คุณแอนนาดำเนินตามแผนที่วางไว้ เพราะคิดว่าหากคุณท่านไม่อยู่ เธอต้องปรากฏตัวแน่ ๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ฉันมีหน้าที่สืบเรื่องทางนี้และคุณท่านจะเป็นคนจัดการเรื่องทางนั้นเอง แต่เรื่องมันดันเกินความคาดหมายไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางเพลิงค่ายมวยของคุณ หรือแม้แต่ลอบทำร้ายคุณด้วย จึงเดาได้ว่าคนที่อยู่ในแผนไม่ได้มีแค่คุณผู้หญิงกับคุณแอนนาแน่ ๆ แถมคุณท่านที่ยัง...."
"ไม่ค่ะ!! คุณท่านต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้น"
"คุณเกริกพลเป็นคนโทรมาแจ้งฉันด้วยตัวเองแบบนี้...ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง เราอาจจะโดนซ้อนแผนก็ได้ ฉันยอมรับว่าตอนนี้ฉันกลัวไปหมด ฉันกลัวว่าคุณหนูจะได้รับอันตราย แต่ฉัน...ฉันปกป้องเธอจากคุณแอนนาไม่ได้ ฮึก ๆ ฉันพลาดเอง ฉันไม่น่าเปิดโอกาสให้เธอเข้าไปหาคุณหนูเลย พวกมันต้องขู่ว่าจะทำร้ายคุณแน่ ๆ คุณหนูถึงยอมขนาดนั้น ฮึก ๆ" หัวใจของปัญญาวีเต้นแบบรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นนงคราญก้มหน้าร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงคุณหนูณิชา หวังว่า...จะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด
"เกิดอะไรขึ้นคะคุณนม!? คุณแอนนาทำอะไรคุณหนู!!!"
"วันก่อนคุณแอนนามาที่นี่ แล้วคุณหนูก็ได้ผมของคุณแอนนามาเยอะมากเพื่อที่จะเอาไปตรวจดีเอ็นเอค่ะคุณปัญญาวี มันไม่ใช่การหวีผมอย่างที่คุณหนูบอกฉันหรอก พอฉันเห็นร่องรอยบนตัวของคุณหนู...ฉันก็เข้าใจ ฮึก! ว่าคุณหนู...ฮึก ๆ ยอมเป็นของคุณแอนนาเพื่อแลกกับชีวิตของคุณแน่ ๆ"
"ไม่จริง!! รอยพวกนั้นมันเกิดจากฉันเองค่ะ มันไม่ได้ทำอะไรคุณหนูทั้งนั้น ฉันก็อยู่ด้วย!"
"อย่าลืมสิคะ ว่ามีหลายวันที่คุณไม่อยู่ตอนกลางวัน เพราะคุณหนูเปิดโอกาสให้คุณแอนนามาที่นี่ แต่ฉันคิดว่าคุณแอนนาเองคงรู้สึกได้แน่ ๆ ว่าคุณหนูรักคุณเลยเพ็งเล็งคุณแทนเพื่อทำร้ายจิตใจคุณหนู แล้วเอามาเป็นข้อต่อรอง ซึ่งมันก็ดันได้ผล"
"ไม่จริง!! คุณอย่ามาพูดแบบนั้นนะ คุณหนูไม่มีทางยอมแน่!!"
"ก็ถ้าเพื่อตัวเองคุณหนูไม่ยอมหรอกค่ะ แต่นี่มันเพื่อชีวิตของคุณเลยนะคะคุณปัญญาวี  และที่ฉันรู้ว่ามันเป็นคุณแอนนาก็เพราะว่า บนศพของแฟนเก่าคุณแอนนาก็มีร่องรอยการถูกกัดจนพกช้ำแบบนี้เหมือนกัน"
"อะไรนะ!!!? ฉันจะไปฆ่ามัน!!!!" ทันทีที่ปัญญาวีลุกขึ้นเตรียมจะก้าวออกไปด้วยความโกรธแค้นที่ปะทุอยู่ในใจ นงคราญจึงรีบคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน
"คุณบ้าไปแล้วเหรอ!!!? ไม่เห็นเหรอคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นตั้งมากมาย!! คุณหนูยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคุณขนาดนี้ แต่คุณจะออกไปให้เขาฆ่าตายหรือไง!!?"
"แล้วคุณจะปล่อยให้มันย่ำยีคุณหนูแบบนี้เหรอ!!? ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไปกี่คนแล้ว คุณจะรอให้มันฆ่าคุณหนูก่อนหรือไง!!?" นงคราญกระชากคอเสื้อของเธอเอาไว้แน่นก่อนจะง้างฝ่ามือเตรียมจะตบอยู่แล้ว แต่ฝ่ามือหนากลับค้างที่กลางอากาศอย่างนั้น แววตาทั้งสองคู่จ้องมองกันเขม็ง แต่กลับเป็นบอดี้การ์ดสาวเองที่มีน้ำใส ๆ คลอที่เบ้าตาจนพร่ามัวก่อนหยดน้ำตาจะรินไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทาเพราะหัวใจของเธอแทบแตกสลาย
"ฉันเองก็อยากฆ่าคุณให้ตายเหมือนกัน ที่คุณทำให้คุณหนูต้องเจอเรื่องแบบนี้...แต่ถ้าจะให้โยนความผิดให้คุณฝ่ายเดียวมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะฉันเองก็ปกป้องคุณหนูไม่ได้! ฮึก ๆ คุณควรจะใช้สติให้มากกว่านี้ เพราะถ้าคุณออกไปด้วยความโกรธก็เท่ากับว่าคุณออกไปให้พวกมันฆ่าเท่านั่นแหละ!! อย่าให้สิ่งที่คุณหนูแลกไปต้องสูญเปล่า อันที่จริงคุณหนูไม่ควรแลกด้วยซ้ำแต่เพราะมันเป็นคุณ!!! คุณหนูรักคุณมากนะคุณปัญญาวี และก็รู้สึกผิดกับคุณมาตลอดถึงได้ชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองแบบนี้ แม้คุณหนูจะรู้อยู่แก่ใจว่าการที่ให้คุณมาอยู่ที่นี่จะเป็นการเปิดโอกาสให้คุณเข้ามาฆ่าเธอแต่คุณหนูก็ยอม!!!!"
"ฮึก ๆ ฮือ ๆ ๆ" ปัญญาวีทรุดลงนั่งที่ปลายเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรงและปล่อยโฮออกมาอย่างหนักราวจะขาดใจ สิ่งที่เธอทำลงไปทั้งหมดมันไม่มีผลดีเลยแม้แต่น้อย ความแค้นที่สุมอยู่ในใจมันคือเปลวไฟที่แผดเผาเธอเสียเอง ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่จนเธอแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อต้านจนต้องซบลงในอ้อมกอดของนงคราญเอาไว้ สองมือของเธอกำชายเสื้อพี่เลี้ยงสาวเอาไว้แน่น
"ฉันขอโทษ ฮือ ๆ ฉันขอโทษ ฮือ ๆ"
"ขอโทษไปมันก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วค่ะ สิ่งที่คุณทำได้คือมีสติ ต่อให้เจ็บปวดมากแค่ไหนคุณก็ต้องปกป้องชีวิตของคุณหนูให้ได้ อย่าให้ใครมาทำอะไรเธออีก เราต้องช่วยกันหาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้บ้าง เพราะตอนนี้ฉันรับมือด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ฉันต้องอาศัยคนเก่ง ๆ แบบคุณ ถ้ามันสามารถทำให้คุณท่านพลาดท่าแบบนี้ บ้านหลังนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับทุกคนแล้วค่ะ เพราะฉันคิดว่าอีกไม่นานพวกมันต้องลงมือที่คุณหนูแน่"
"ไม่มีวัน...ฉันจะไม่มีวันให้ใครมาแตะต้องตัวคุณหนูได้อีก!!!"
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“และแล้วความจริงทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยแล้วค่ะ อยากกอดคุณหนู ฮือออ T T”