A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 26 คำสัญญา

เอี๊ยด ~ กึก!
บานประตูไม้แกะสลักเปิดเข้าไปยังห้องทำงานที่มีชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานหรูหรา พลางกับใช้สองขายกพาดบนโต๊ะอย่างสบายใจเฉิบ ท่าทีของเขาดูหยิ่งผยอง ผิดจากก่อนหน้าที่ดูเป็นคนจิตใจดีราวกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
"เอาขาลงจากโต๊ะ ฉันไม่ชอบท่าทีแบบนั้นของคุณ" สาวสวยเอ่ยด้วยท่าทีที่ไม่ต่างจากเขานัก มุมปากของเขายกยิ้มราวกับภาคภูมิใจ ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำกล่าวว่าของเธอแม้แต่น้อย
"เข้าใจครับ เมื่อก่อนมันก็เคยทำท่าทางแบบนี้ ผมเห็นแล้วรำคาญลูกตา"
"งั้นก็ช่วยเอาขาลงด้วย"
"ถ้าผมเอาขาลง คุณจะให้รางวัลผมได้แล้วใช่ไหม"
"ลองเอาลงก่อนสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าจะได้รางวัลจากฉันหรือเปล่า" เธอเอ่ยพลางกับอมยิ้ม
"เฮ...ไม่ดีมั้งครับ คุณให้ผมรอมานานแล้ว คนทำงานมันเหนื่อยนะครับคนสวย อยากได้รางวัลใจจะขาดอยู่แล้ว"
"หึ...ขอบคุณนะที่ช่วย" เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงหวาน เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไรในเวลานี้ เธอจึงเดินไปยังโต๊ะทำงานพลางกับใช้สายตาเย้ายวนคนตรงหน้า
ขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มรีบยกลงแบบทันควัน เพื่อให้สาวสวยขึ้นไปนั่งบนโต๊ะได้ถนัด ก่อนเขาจะออกแรงลากเก้าอี้เข้าประชิดตัว มือหนาทั้งสองข้างลูบไล้ที่ต้นขาก่อนจะสอดเข้าไปใต้กระโปรงช้า ๆ
"ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ผมรอมานานแล้ว"
"ฉันเคยให้คุณรอนานที่ไหนล่ะ ทุกครั้งที่คุณต้องการ ฉันก็จะมานั่งต่อหน้าคุณทุกครั้ง แต่อย่าลืมนะพล ว่าตอนนี้เรากำจัดพวกมันยังไม่หมด" 
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของผมเอง แต่ตอนนี้...ขอรางวัลผมก่อนนะ"
รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าของคนทั้งสอง เวลานี้มีเพียงแค่เขาและเธอที่ยึดครองที่แห่งนี้ ก่อนอันเดอร์แวร์ท่อนล่างจะถูกปลดลงตามเรียวขาช้า ๆ โดยมีสาวสวยช่วยยกสะโพกของตนขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเขา
"ดูเหมือนนี่จะเป็นรางวัลของฉันมากกว่านะ" 
"แค่ผมได้ลิ้มรสคุณบนโต๊ะทำงานของมัน ก็ถือเป็นรางวัลของผมแล้วล่ะ"
"อะ...พ...พล...ค่อย ๆ เลียสิ จะเร่งให้ฉันเสร็จเลยหรือไง"
ตึ้ง!!!
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังมอบความสุขให้กับสาวสวยที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน จู่ ๆ บานประตูไม้แกะสลักก็เปิดพรวดจนไปกระแทกกับผนังอย่างแรง ทั้งสองจึงรีบผละออกจากกันในทันที สาวสวยรีบยันตัวลงจากโต๊ะก่อนจะรีบจัดกระโปรงของตนให้เข้าที่ทั้งที่อันเดอร์แวร์ก็ยังอยู่ที่ข้อเท้า ส่วนชายหนุ่มเลียน้ำหวานที่เปรอะรอบริมฝีปากของตนอย่าน่าเสียดายที่มีคนมาขัดจังหวะความสุขของเขาเสียก่อน
"ม...มีอะไรลูก!?" เธอถามอย่างลนลาน
"แกทำอะไรของแก" หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับจ้องมองชายหนุ่มราวกับจะเอาเรื่อง
"ผมเปล่าทำอะไรนี่ครับคุณแอนนา" เขาปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
"อย่ามาทำหน้าแบบนั้น เห็นแล้วจะอ้วก เล่นเซ็กส์กับแม่ฉันตั้งเท่าไหร่แล้ว ดีที่ไม่มีคนคลานตามฉันออกมา"
"แอนนา!!! ลูกไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน!?" เธอตวาดคนเป็นลูกด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ลูกสาวของเธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
"แอนรู้เรื่องนี้จากไหนไม่สำคัญหรอกนะ และแม่จะทำอะไรแอนก็ไม่สน แต่ที่แอนอยากรู้คือ แม่กำลังให้แอนทำอะไรกันแน่" นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งสองคู่จ้องมองประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาของคนเป็นแม่จะหลบสายตาไปทางอื่น
"ลูกถามอะไรของลูกน่ะแอนนา"
"สรุปว่าแม่ให้แอนจีบน้องณิทำไม คนพวกนั้นบอกว่าน้องณิคือน้องสาวของแอน"
"อะไรนะ!!? นี่ลูกเชื่อมันเหรอ!?" คนเป็นแม่ถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจรวมไปถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยเช่นกัน
"อย่าไปเชื่อนะครับคุณแอนนา มันกำลังจะทำให้เราทะเลาะกันเอง"
"ทำไมต้องทะเลาะกันเอง สรุปว่ามันหมายความว่ายังไง พ่อของน้องณิไปไหน แล้วทำไมแม่มาอยู่ที่ห้องกับไอ้บอดี้การ์ดกระจอกนี่ได้"
"แอนนา!! ให้เกียรติคุณเกริกพลหน่อยได้ไหม"
"แอนจำเป็นต้องให้เกียรติคู่นอนแม่ทุกคนเลยเหรอ สิบคนได้แล้วมั้ง"
"แอนนา!!!"
"คุณแอนนาใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ผมว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดไปนะ"
"แกไม่ต้องยุ่ง แกไม่ใช่แด๊ดดี้ฉัน และก่อนที่จะปฏิเสธอะไร ก็ช่วยดูตัวเองด้วยนะ เป้าตุงขนาดนั้นยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกเหรอ" สิ้นคำพูดของเธอ เขาจึงรีบใช้มือปิดกางเกงของตนทันที ก่อนที่จะเสมองไปทางอื่นเพราะไม่อาจสู้หน้าหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงได้
"แม่ตอบแอนมา แม่กับมันวางแผนจะทำอะไรกันแน่ แม่ให้แอนจีบน้องณิทำไม แล้วพ่อน้องณิหายไปไหน ทำไมแม่ถึงปล่อยให้มันมานั่งอยู่ที่นี่ มันก็แค่บอดี้การ์ดกระจอก ๆ"
"แอนนา!! หยุดพูดแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะ!! ออกไปก่อนไป แม่ไม่รู้ว่าลูกพูดเรื่องอะไร"
"แม่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ แม่รู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง!!?" หญิงสาวพูดพลางกับดึงแขนเสื้อฮู้ดสีดำขึ้น แต่เดิมข้อมือข้างขวาเคยเป็นรอยสักสวยงาม แต่ตอนนี้มันกลับมีผ้าพันแผลเปรอะไปด้วยคราบเลือด
คนเป็นแม่ดวงตาเบิกโพลงอีกครั้ง แต่เธอไม่กล้าโผเข้าไปหาลูกสาวในตอนนี้เพียงเพราะอันเดอร์แวร์ยังอยู่ที่ข้อเท้า มีหวังเรื่องทุกอย่างพังเป็นแน่
"ไม่รู้หรอกนะว่าแม่คิดที่จะทำอะไร แต่แม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้แอน!! แอนจะฆ่ายัยพี่เลี้ยงนั่นด้วยมือของแอนเอง บังอาจทำให้แอนเจ็บตัวขนาดนี้ อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดต่อไป ส่วนแกน่ะไปฆ่ายัยบอดี้การ์ดหน้าโง่นั่นให้ฉัน ฉันถึงจะเลิกเรียกแกว่าบอดี้การ์ดกระจอก มัวแต่เดินตามแม่ฉันเพราะอยากได้แม่ฉันจนตัวสั่น ยังไงแกมันก็กระจอก"
คำก็กระจอก...สองคำก็กระจอก มึงวิเศษวิโสมาจากไหนกัน!! ชายหนุ่มคิดในใจพลางกับกำหมัดทั้งสองข้างด้วยความคับแค้นใจ
"มันทำอะไรลูก บอกแม่มา แม่จะไปจัดการมันให้เอง!"
"ก็อย่างที่เห็น มันทำให้มือขวาแอนใช้งานไม่ได้ แต่ตอนนี้มันหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แม่ต้องให้ไอ้บอดี้การ์ดกระจอกไปตามล่าหามันให้เจอ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแอนนา ผมมีวิธีล่อมันมาที่นี่โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยตามหามัน อีกไม่นาน มันก็จะรีบคลานเข่ามาตายต่อหน้าคุณแล้วครับ"
"ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน"
"ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ครับ"
"ทำให้มันมาตายที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาพรุ่งนี้เลยยิ่งดี"
"ไม่ต้องห่วงครับ กลางดึกคืนนี้เดี๋ยวมันก็มา คุณรอเล่นสนุกได้เลย!"


"พี่ปัญ ไหวไหมคะ" เด็กสาวตัวเล็กพูดพลางกับใช้ผ้าผืนเล็กช่วยซับเลือดกำเดาให้กับคนเป็นพี่ด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วงจนปัญญาวีเองถึงกับโกรธน้องสาวของตนไม่ลง
"ไหวน่า แค่นี้เอง" 
"ทำไมเลือดกำเดาไหลได้นะ พี่ปัญไม่เคยเลือดกำเดาไหลมาก่อนเลยนะ" ปัญญาวีเหลือบมองคุณหนูณิชาที่เป็นตัวการทำให้เลือดกำเดาของเธอไหลไม่หยุด ก่อนเจ้าตัวจะมีท่าทีลุกลนพลางกับเสมองไปทางอื่น
"อยู่ข้างในเรือนฝึกมันร้อนไง เลือดกำเดาพี่เลยไหลน่ะ"
เมื่อได้ยินคำตอบ ปุณญิสาจึงทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่พี่สาวกลับรีบคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน
"ปุณจะไปไหน!?"
"ทำไมปุณรู้สึกว่าข้างในมันมีไอเย็น ๆ ออกมาด้วยซ้ำ ที่นี่ร่มรื่นจะตายเหมือนบ้านต้นไม้เลย แล้วเสียงโครมเมื่อกี้คือเสียงอะไร ก่อนหน้านี้ด้วย ปุณได้ยินเสียงพี่ณิร้องเหมือนเจ็บปวดอะ"
"ม...ไม่มีอะไรค่ะน้องปุณ! พี่เอ่อ...พี่ปวดขาน่ะ ไม่ได้เดินเยอะ ๆ แบบนี้นานแล้ว คุณปัญก็เลยช่วยนวดให้จนเหงื่อออกเต็มตัวเลย แล้วก็หงายหลังล้มตึ้งไปเลยเพราะร้อนค่ะ" บอดี้การ์ดสาวนึกขำกับคำตอบคุณหนูณิชาจนต้องแอบใช้ผ้าผืนบางปิดปากแอบขำจนไหล่สั่น ยิ่งทำให้ปุณญิสามองทั้งสองสลับไปมาด้วยความฉงน
"พวกพี่ไม่ได้มีอะไรปิดบังปุณใช่ไหมคะ"
"เปล่านะ ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวทุกคนเป็นห่วงแย่ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว"
"อ่า...ไม่มีอะไรแน่นะ หน้าพี่ปัญดูไม่น่าไว้ใจเลย" เธอยังคงขมวดคิ้วจ้องมองพี่สาวของเธอคล้ายกำลังจับพิรุธ
"อะไรปุณ พี่ดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ใช่ มันเหมือนกับ...พี่ปัญรังแกพี่ณิจนโดนถีบอะไรทำนองนี้" ทั้งสองรีบผินหน้าไปทางอื่นทันที เพราะน้องสาวตัวแสบดันเดาได้ถูกอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่โชคยังดีที่เธอยังเด็กจึงไม่รู้ว่า การรังแกที่ว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไร
"ปะ ๆ รีบไปกินข้าว หิวจะแย่แล้ว" พูดพลางกับรีบจูงมือน้องสาวกลับยังเรือนใหญ่ ก่อนที่จะโดนเค้นไปมากกว่านี้ ซึ่งณิชาก็รีบเดินตามโดยไม่กล้าปริปาดพูดอะไรออกมา


"พี่นงช่วยปุณหน่อยค่ะ ค่อย ๆ นะคะ"
"ฮึบ...อา..." นงคราญพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อผ่อนแรงไม่ให้ปุณญิสาออกแรงอุ้มเธอเพียงฝ่ายเดียว
ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดพอหมาดซับลงบนเรือนร่างของเธออย่างแผ่วเบา ทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าพี่เลี้ยงสาวอย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังมีอีกคนนั่งมองเธอตาเขม็ง
"ยิ้มอะไรไม่ทราบ" ปัญญาวีเอ่ยถามเสียงแข็งพลางกับนั่งกอดอกจ้องมองเธอแบบไม่ละสายตา นงคราญจึงหุบยิ้มทันที
"ก็ยิ้มที่น้องปุณคอยดูแล ฉันผิดหรือไง"
"ดูอารมณ์ดี ยิ้มเหมือนถูกหวย"
"ฉันไม่ซื้อหวย เพราะงั้น ไม่ได้ยิ้มเพราะเรื่องนี้แน่ ๆ"
"แล้วยิ้มทำไม หมาแมวที่บ้านออกลูกเหรอ"
"พี่ปัญ!! จะไปไหนก็ไปเถอะ พี่จะมานั่งเฝ้าปุณเช็ดตัวให้พี่นงทำไมเนี่ย"
"ทำไมปุณต้องเช็ดตัวให้" เธอยังคงถามเสียงแข็ง
"อ้าว...พี่นงเป็นคนปกป้องพวกเรานะคะ ปุณดูแลพี่นงนี่ผิดเหรอ"
"เดี๋ยวพี่เช็ดเองก็ได้นี่"
"ถ้าให้พี่ปัญเช็ดนะ มีหวังตีกันตายก่อนเช็ดเสร็จแน่ ๆ"
"คิก!" ณิชาที่นั่งฟังตั้งแต่ต้นถึงกับหลุดขำเบา ๆ
"หัวเราะอะไรคะคุณหนู"
"ดูคุณหวงน้องปุณจังเลยนะคะ" ณิชาตอบพลางกับอมยิ้ม
"เหมือนหมาหวงก้างเลยค่ะคุณหนู" นงคราญเสริม ยิ่งทำให้ปัญญาวีจ้องเธอตาเขม็งขึ้นอีก
"เจ็บขนาดนั้นยังปากดีอีก เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย"
"พี่ปัญ!! ปุณบอกให้ออกไปไง อย่ามารบกวนสมาธิปุณได้ไหม"
"แค่เช็ดตัวจำเป็นต้องใช้สมาธิอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ"
"เราออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะคุณปัญ เผื่อพี่นงกับน้องปุณมีเรื่องต้องคุยกัน"
"ก็คุยไปเลยสิคะ มีอะไรก็คุยอยู่ต่อหน้าฉันได้เลย"
"อย่าดื้อสิคะ ออกไปกัน!" 
"ค...คุณหนู!! เดี๋ยวค่ะ!!"
แม้ปัญญาวีจะไม่อยากละสายตาจากนงคราญและน้องสาว แต่เมื่อถูกคุณหนูณิชาจูงมือออกไป เธอจึงยอมลุกเดินจากไปแต่โดยดี เด็กสาวตัวเล็กถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางกับส่ายศีรษะเอือมระอาคนเป็นพี่
"แบบนี้ถือว่าฝึกสำเร็จแล้วจริง ๆ เหรอเนี่ย"
"ฮ่า ๆ ทำยังไงได้ล่ะคะ ก็คุณปัญญาวีดูห่วงน้องปุณมากเลยนี่คะ"
"กับคนอื่นไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย แต่ตอนปุณอยู่กับพี่นงทีไร พี่ปัญก็จ้องแต่จะกัด ดุเป็นหมาเลยค่ะเห็นไหม"
"ฮ่า ๆ น้องปุณก็ อย่าว่าพี่ตัวเองแบบนั้นสิคะ"
"ก็มันจริงนี่คะ ปุณอยากดูแลพี่นงนี่ปุณผิดเหรอ" ใบหน้าของนงคราญแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้เพราะดีใจที่คนตัวเล็กคอยดูแลเธอ หรือเอ็นดูเด็กสาวที่บ่นไม่เลิกกันแน่
"ทำไมน้องปุณถึงดีกับพี่ขนาดนี้คะ ไม่กลัวง่าพี่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดเหรอ" 
"ตั้งแต่อยู่กับพี่นงมา พี่นงก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีนี่คะ แค่เห็นแววตาพี่ปุณก็รู้แล้วค่ะ"
"รู้ว่าอะไรคะ"
"รู้ว่าพี่เป็นคนดี และจะปกป้องปุณจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ" นัยน์ตาทั้งสองคู่บังเอิญสบประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนงคราญจะผินหน้าไปทางอื่นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก
เย็นไว้นง เธอยังเด็กเกินกว่าที่นะคิดอะไรเกินเลย...
"พี่นงไม่สบายหรือเปล่าคะ" ไม่ว่าเปล่า พูดจบก็เอื้อมมือมาสัมผัสที่หน้าผากของพี่เลี้ยงสาว จนเธอต้องรีบเอี้ยวตัวไปทางด้านหลังพร้อมกับจับมือของน้อย ๆ นั้นออกอยากรวดเร็ว
"เปล่าค่ะ"
"แต่พี่นงหน้าแดงมากเลยนะคะ"
"พี่เขินน่ะค่ะ ที่มีคนมาเช็ดตัวให้ ปกติพี่จะเป็นคนดูแลคนอื่นตลอดนี่คะ"
"พี่นงคะ..." ปุณญิสาเอ่ยเสียงแผ่ว
"คะ?"
"พี่อย่าเจ็บตัวอีกได้ไหมคะ ปุณไม่อยากเห็นพี่เจ็บแบบนี้เลย สัญญากับปุณได้ไหม ว่าถ้ากลับไปครั้งนี้พี่จะปลอดภัย" แววตาและน้ำเสียงของเธอจริงจังถึงขั้นที่มีน้ำใส ๆ คลออยู่ในเบ้า ทำเอาอีกคนถึงกับทำตัวไม่ถูก
"น้องปุณ...พี่สัญญากับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ"
"พี่ต้องสัญญาสิคะ ยังไงพี่ก็ต้องสัญญา และปุณไม่ชอบคนผิดสัญญาที่สุดเลย"
"น้องปุณ..."
"ถ้าพี่ปัญรังแกพี่ณิปุณก็โกรธ ปุณจะโกรธพี่ปัญจนไม่มองหน้าทั้งอาทิตย์เลย แล้วถ้าพี่นงเป็นอะไรไป ปุณก็จะโกรธจนไม่คุยกับพี่นงตลอดไปเหมือนกัน!"
"พี่จะปลอดภัยค่ะ น้องปุณไม่ต้องห่วงนะ พี่เป็นแมวเก้าชีวิตค่ะ ไม่ตายง่าย ๆ หรอก"
"ไม่ค่ะ ฮึก ๆ แม้แต่เจ็บก็ห้ามเจ็บค่ะ ฮึก ๆ ปุณไม่...ฮึก! ปุณไม่อยากให้พี่นงเจ็บ ฮึก ๆ" น้ำตาเจ้ากรรมรินไหลออกมาจนได้ ความรู้สึกห่วงใยคนตรงหน้าราวกับเป็นพี่สาวแท้ ๆ มันท่วมท้นจนปุณญิสาไม่อาจกักเก็บน้ำตาได้อีกแล้ว นงคราญเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลูบศีรษะเธอช้า ๆ
"งั้นพี่สัญญาค่ะ ว่าจะกลับมารับน้องปุณที่นี่ พี่จะไม่บาดเจ็บกลับมาแม้แต่นิดเดียว"
"สัญญาแล้วนะคะ ฮึก ๆ ห้ามเจ็บแม้แต่นิดเดียวเลยนะ ฮึก ๆ"
"อื้อ ไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียว" นงคราญตอบด้วยรอยยิ้มพลางกับมองคนตัวเล็กบึนปากล่างและสะอึกสะอื้นไม่หยุด
อยากดึงเข้ามาสวมกอดเอาไว้เหลือเกิน เพราะเธอคาดเดาอนาคตข้างหน้าไม่ได้แม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เธอรู้ดีที่สุดคือชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียวนั่นหมายถึงชีวิตของเธอจะถึงคราวดับสลายในทันที เคราะห์ร้ายที่ฝ่ายศัตรูถือไพ่เหนือกว่าทุกอย่าง ทางที่จะเอาชนะได้ มันแทบจะมืดบอดเลยก็ว่าได้


"อากาศที่นี่ดีจังเลยนะคะ" ณิชาพูดพลางกับแหงนหน้ามองดวงดาวสุกสกาวที่ส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรี
ค่ำคืนนี้ยังคงมีเสียงสัตว์นานาพันธุ์ร้องระงมเฉกเช่นกับคืนที่ผ่านมา แต่ในหัวใจของเธอกลับเงียบงัน ไม่รู้เลยว่าพ่อแท้ ๆ ของเธอที่ขาดการติดต่อมาเป็นเวลานานยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และศัตรูกำลังวางแผนที่จะทำอะไร แต่หากจะให้หลบหนีไปตลอดเกรงว่าจะพลอยทำให้คู่สามีภรรยาเดือดร้อนได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดหวั่น เป็นห่วงคนรอบข้างจนเธอไม่อาจหลับตาลงได้เต็มตา กินไม่ได้แบบเต็มอิ่ม แต่เธอก็ต้องแสร้งยิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจอย่างที่เคยทำ แม้ในใจเธอจะกอดเก็บความทุกข์ใจเอาไว้ตลอดก็ตาม
มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือของเธอเอาไว้ แม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่แววตาของเธอนั้นใครกันจะมองไม่ออกว่าเธอเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรเอาไว้บ้าง ยิ่งเป็นปัญญาวี คนที่รักเธอเหนือสิ่งอื่นใดย่อมรู้ดีที่สุด
"ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้พวกมันทำอะไรคุณหนูได้แม้แต่นิดเดียว หลังจากนี้ฉันจะใช้ปัญญาให้มาก ๆ ค่ะ ฉันจะไม่มุทะลุลุยเดี่ยวอีกแล้ว ตอนนี้ต้องอาศัยทีมเวิร์คและปัญญาของทุกคน"
"เรื่องนั้นณิไม่ได้กังวลหรอกค่ะ เพราะณิเห็นการฝึกฝนของคุณมาตลอด ณิเชื่อว่าคุณจะใจเย็นและใช้ปัญญามากขึ้น แต่สิ่งที่ณิกลัวก็คือ...ณิกลัวว่าคุณจะไม่ได้กลับมาอีก หรือแม้แต่...ตัวณิเอง"
"ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าฉันจะปกป้องคุณด้วยชีวิต ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้ใครทำอะไรคุณแน่"
"ขอบคุณนะคะคุณปัญ" เธอเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่มันก็ไม่อาจกลบความหวาดกลัวจากนัยน์ตาของเธอได้แม้แต่น้อย ปัญญาวีจึงเข้าไปสวมกอดเธอช้า ๆ ก่อนจะได้อ้อมกอดตอบกลับมาเช่นเดียวกัน
"สำหรับณิ ณิไม่ได้กลัวตายหรอกค่ะ แต่คุณต้องปลอดภัยนะคะคุณปัญ"
"ฉันก็ไม่ได้กลัวตายค่ะ ฉันกลัวการไม่มีคุณมากกว่า"
"คุณจะปากหวานทุกสถานการณ์ไม่ได้นะคะคุณปัญ" เจ้าตัวหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อถูกเอ็ดเข้าให้ ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดแล้ววางมือลงศีรษะคนตัวเล็กเอาไว้
"ต่อให้จะวิ่งฝ่าดงกระสุนอยู่ฉันก็จะไม่ทิ้งลายคนปากหวานค่ะ"
"กล้าพูด...แบบนี้มันเป็นนิสัยของคนเจ้าชู้หรือเปล่าคะ" คนตัวเล็กมองค้อน
"ฮ่า ๆ เจ้าชู้อะไรกันคะ ฉันก็มีแค่คุณ แต่ว่านะคะ..."
"อะไรเหรอคะ"
"ถ้าเรื่องทุกอย่างจบ...เอ่อ...เราไปขับรถเที่ยวกันไหมคะ"
"ได้สิคะ" เธอตอบพลางกับอมยิ้มจนตาหยี ทำเอาบอดี้การ์ดสาวเสียอาการเล็กน้อยถึงกับต้องผินหน้าไปทางอื่นเพื่อแก้เขิน
"แขนของคุณเป็นยังไงบ้างคะ คุณจะสู้ไหวหรือเปล่า"
"จะพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุดค่ะ เพราะทั้งฉันและก็คุณนมยังเจ็บตัวกันอยู่แบบนี้ การเผชิญหน้าคงเสี่ยงกินไป"
"แล้วคุณจะทำยังไงคะ"
"มันเคยปั่นหัวเราจนวุ่น ครั้งนี้ฉันคงต้องปั่นหัวมันคืนบ้างค่ะ การเล่นสงครามประสาท ใครนิ่งมากกว่าเท่ากับว่าคนนั้นชนะ"
"ก็ขอให้มันเป็นแบบนั้นนะคะ"
"เชื่อใจฉันนะคะคุณหนู ฉันไม่เป็นอะไรหรอก และคุณหนูก็จะไม่เป็นอะไรด้วย"
"ทุกคนต้องไม่เป็นอะไรค่ะคุณปัญ"
"แน่นอนค่ะ ว่าแต่..." พูดพลางกับลูบท้ายทอยป้อย ๆ จนคุณหนูณิชาต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"อะไรเหรอคะ"
"เรา...ไปต่อกันให้มันจบได้ไหมคะ"
"ต่ออะไรคะ"
"ก็...เมื่อตอนเย็นไงคะ ก่อนที่น้องปุณจะมาเรียกเราไปกินข้าว"
"นี่คุณยังไม่เข็ดอีกเหรอคะ โดนถีบจนเลือดกำเดาไหลขนาดนั้น มันใช่เวลาไหมคะเนี่ย"
"แฮะ ๆ เขินเลยค่ะ งั้น...ไว้ให้ทุกอย่างจบก่อนก็ได้"
"เฮ้อ...คุณปัญ...คุณเนี่ย...ลา!..มก!"
"โธ่คุณหนู..."
"คุณปัญญาวี!!! คุณโก!!! ช่วยมาดูนี่หน่อยค่ะ!!" สิ้นเสียงตะโกนดังมาจากในเรือนใหญ่ ทุกคนต่างหันขวับอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบ้านอย่างร้อนรน
"เกิดอะไรขึ้นครับคุณนง!!?" ชายหนุ่มแทบกระโดดขึ้นบันไดบ้านด้วยความตกใจจากเดิมนั่งพูดคุยกับคู่สามีภรรยาอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน ตามด้วยปัญญาวีและคนอื่น ๆ
"มีอะไรคะคุณนม!?"
"มีข้อความจากคุณท่านค่ะ"
"อะไรนะคะ!!?" ทั้งปัญญาวีและณิชาต่างโผเข้าไปหาเธอพร้อมกับที่นงคราญยื่นโทรศัพท์ที่มีข้อความจากเบอร์โทรคนที่กำลังเป็นห่วง ณิชาถึงกับมือไม้สั่นด้วยความดีใจ
"ค...คุณพ่อ..."
"ปุณเดี๋ยวออกไปอยู่กับแม่จำปาก่อนนะ ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน" ปัญญาวีพูดพลางกับลูบศีรษะน้องสาวของตน ก่อนที่เธอจะเดินออกไปอย่างว่าง่ายเพราะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดี แม้จะอยากรู้เรื่องราวต่าง ๆ แต่หากเธออยู่ก็เกรงว่าจะเกะกะเปล่า ๆ
เมื่อเด็กสาวเดินจากไป ปัญญาวีจึงหันไปหาคุณหนูณิชาที่กำลังก้มอ่านข้อความจากโทรศัพท์ด้วยความดีใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้
"ข้อความว่าอะไรคะคุณหนู"
"คุณพ่อส่งมาบอกว่า ตอนนี้ปลอดภัยดี ให้เราทุกคนกลับไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อวางแผนค่ะ เราไปกันตอนนี้เลยได้ไหมคะคุณปัญ ณิเป็นห่วงคุณพ่อ"
"ไม่ค่ะคุณหนู ถ้าเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมคุณท่านไม่โทรมาหาเราด้วยตัวเอง แต่เลือกส่งข้อความมาแบบนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกับดักค่ะ"
"ฉันก็คิดเหมือนคุณค่ะคุณปัญญาวี ถึงคุณท่านกับฉันจะส่งข้อความคุยกันเพื่อป้องกันคนอื่น ๆ รู้แผนก็จริง แต่เหตุการณ์แบบนี้คุณท่านควรโทรมาหาคุณหนูด้วยตัวเองด้วยซ้ำว่าท่านปลอดภัย ชักจะไม่มั่นใจแล้วสิคะ ว่าคนที่ส่งข้อความคุยกับฉันคือคุณท่านหรือคนอื่น"
"บ้าเอ๊ย!! ทำไมมันแยบยลขนาดนี้!!" โกแทบนั่งไม่ติดพื้น 
"แล้วเอ็งจะทำยังไงปัญ" ครามเอ่ยถาม
"ตอบกลับไปค่ะ ว่าเราจะรีบไปโดยเร็วที่สุด แต่ความจริง...เราจะดึงเกมอยู่ที่นี่"
"แล้วปัญไม่กลัวว่าพวกมันจะบุกมาที่นี่เหรอ ลุงครามกับป้าจำปาจะเดือดร้อนเอานะ"
"ปัญไม่มีทางทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนแน่นอนค่ะ เราแค่ดึงเกม แต่ถ้ามันทนไม่ไหวแล้วบุกมาจริง ๆ พี่อย่าลืมว่าที่นี่มีทางเข้าออกทางเดียว ถ้ามันกล้าบุกมา มันจะกลายเป็นเป้าให้ปัญทันที"
"อ้อ แล้วไม่ต้องห่วงนะไอ้หนุ่ม ระแวกนี้ห้อมล้อมไปด้วยนักมวยมากฝีมือทุกสารทิศ ถ้ามันคิดจะลอบเข้ามาก็จะต้องผ่านหมู่บ้านนักมวยเข้ามา แล้วเอ็งไม่คิดเหรอว่าทุกคนต้องมีปืนเอาไว้ล่าสัตว์ติดบ้านไม่ต่ำกว่าหนึ่งกระบอก มันมาที่นี่เท่ากับตายสถานเดียว ปัญ...เอ็งจะล่อมันมาที่นี่ก็ได้นะ พ่อจะปกป้องพวกเอ็งเอง" ครามพูดเสริม
"ไม่หรอกค่ะพ่อ มันกำลังคิดว่าเราคือแมงเม่าที่กำลังจะบินเข้ากองไฟ แต่เรายิ่งมหญ่กว่านั้น เพราะเป็นนักดับเพลิงที่จะคอยดับเพลิงอยู่ด้านนอกค่ะ เราไม่ลุยไฟแน่"
ทุกคนต่างยิ้มกับการมีสติของปัญญาวีในครั้งนี้ หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงดาหน้าเข้าไปหาอันตรายเป็นแน่
"แล้วเอ็งจะทำยังไงล่ะปัญ"
"รถดับเพลิงมีเสียงใช่ไหมคะ เราจะป่วนพวกมันด้วยเสียงค่ะ หนูจะเล่นสงครามประสาทกับมัน เราบอกว่าเราจะไป แต่ความจริงเราแค่นั่งดูมันวิ่งวุ่นตั้งรับเราอยู่ จนกลายเป็นว่ามันร้อนรนแล้วแตกออกมาจากรังเอง คุณหนูคะ ช่วยพิมพ์ตอบกลับไปที ว่าเราจะกลับไปคืนนี้ พร้อมกับกองกำลังของฉันนับยี่สิบนาย ทุกคนเป็นนักแม่นปืนฝีมือดีที่สุด พ่อไม่ต้องห่วง" 
"ได้ค่ะคุณปัญ" ณิชาตอบรับพลางกับก้มลงจิ้มหยิก ๆ ในหน้าจอโทรศัพท์ 
พ่อคะ...แม่คะ...ตอนนี้หนูกำลังใช้ปัญญาแก้ปัญหา ช่วยให้พวกมันแพ้ภัยตัวเองด้วยนะคะ...


ติ๊ง!
"มันตอบกลับมาแล้วครับคุณแพรว" ชายหนุ่มรีบเอ่ยแบบทันควันหลังจากมีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของนายคนเก่า ก่อนแอนนาและแม่ของเธอจะโผเข้าไปหาเขาด้วยความตื่นเต้น
"มันตอบว่ายังไง!!?" แอนนาเอ่ยถามอย่างคนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว
"มันบอกว่า...หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะคุณพ่อ..."
"เยส!!!! ให้มันได้แบบนี้สิ!!!" 
"ยังครับคุณแอนนา ผมยังอ่านไม่จบ"
"อะไรวะ!!? แกก็อ่านให้มันจบสิ!!"
"แอนนาใจเย็น ๆ อย่าขึ้นเสียงใส่คุณเกริกพลนะ!!" เมื่อถูกคนเป็นแม่เอ็ดเข้า แอนนาถึงกับหน้ามุ่ย ลำพังเธอก็ไม่ถูกชะตากับชายคนนี้แม้แต่น้อย ยิ่งรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับแม่ของเธอแล้วนั้น เธอยิ่งไม่พอใจ แต่ตอนนี้เธอต้องการที่จะหลอกใช้เขาเท่านั้น
"มันบอกว่า คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ณิกับทุกคนมีเจ้าหน้าที่มากฝีมือของคุณปัญช่วยคุ้มครองกว่ายี่สิบนาย ทุกคนจะไปที่บ้านเราด้วยนะคะ"
"อะไรนะ!!!!?"
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“เอาแล้วววว เอาแล้วววว เก่งให้ทันได้ตลอดสิคะเหล่าตัวร้าย เจอแผนที่แยบยลกว่าอย่ามาทำเป็นร้องเสียงหลงนะ!!”