A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 13 หาเบาะแส

"พี่ปัญ รถพี่โคตรเท่เลยอะ เปี๊ยกไม่เคยคิด ไม่เคยฝันว่าจะได้นั่งรถเท่ ๆ ขนาดนี้มาก่อนเลย"
ชายหนุ่มหุ่นบางที่เปรียบเสมือนเป็นน้องชายแท้ ๆ เพราะเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาพูดพลางกับใช้มือลูบที่คอนโซลรถด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊าอย่างคนระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ แต่สิ่งที่ยังรบกวนจิตใจของปัญญาวีคือเรื่องที่ได้รับฟังมาจากรุ่นพี่หนุ่มอีกคน ทำให้เธอขับรถด้วยความกังวลใจ พลางกับเหลือบมองน้องชายของตนเป็นระยะ
ถ้าสิ่งที่พี่โกพูดเป็นเรื่องจริง มันจะเป็นไปได้ไหมนะ ที่ไอ้เปี๊ยกกับบุคคลปริศนาที่มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ที่รถของเราจะเป็นคนเดียวกัน เพราะท่าทางมันเหมือนไอ้เปี๊ยกไม่มีผิด และคนที่รู้จักท่าแม่ไม้มวยไทยเพราะอยู่กับครูมวยมาตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนั้น ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าจะเป็นไอ้เปี๊ยก แต่มันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร... ยิ่งคิด ปัญญาวีก็ยิ่งสับสน หัวใจที่กำลังร้อนรุ่มมันทำให้เธอหวาดกลัว ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
เมื่อรถสปอร์ตคันหรูมาจอดที่หน้าบ้านไม้หลังเล็กสภาพซอมซ่อ ปัญญาวีมองเข้าไปในตัวบ้านที่ดูมืดสนิทและเงียบผิดปกติราวกับไม่มีใครอยู่ แต่ยังไม่ทันที่เปี๊ยกจะได้เปิดประตูลงจากรถ เธอก็เอ่ยเรียกเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"เปี๊ยก อย่าเพิ่งไป"
"ครับพี่ปัญ"
"ทำไมบ้านเงียบจังวะ น้านวลไปไหน"
"แม่ก็อยู่ในบ้านสิพี่ แต่ช่วงนี้แม่ป่วยน่ะพี่ปัญ เลยจะนอนเยอะกว่าปกติ"
"เหรอ งั้นเดี๋ยวกูจะเข้าไปเยี่ยมน้านวลสักหน่อย"
"อย่าเลยพี่ พี่ก็รู้ว่าแม่ความจำเลอะเลือนแล้ว เดี๋ยวก็ขว้างข้าวของใส่พี่อีกหรอก"
"กูไม่กลัวหรอก กูจะให้น้านวลไปอยู่กับน้องปุณ อย่างน้อยที่นั่นก็มีคนคอยดูแลตลอด มึงก็ไปอยู่ที่นั่นแหละ จะได้ช่วยดูแลน้องปุณด้วย"
"แม่ไม่ไปหรอกพี่ปัญ เปี๊ยกพยายามคุยกับแม่แล้ว แม่จำได้แค่ที่นี่ ถ้าแม่ไปอยู่ที่อื่นแม่ก็จะกลับมาที่นี่อยู่ดี"
"แต่น้านวลอายุมากแล้วนะเปี๊ยก แกควรจะให้แม่ไปอยู่ที่ดี ๆ และมีคนคอยดูแลนะ"
"พี่ปัญ...ที่ที่ดีที่สุด มันคือที่ที่มีความทรงจำของแม่ ไม่ใช่เปี๊ยกไม่อยากให้แม่ไปอยู่ที่ดี ๆ นะ แต่ก็อย่างที่เปี๊ยกบอก แม่จำได้แค่ที่นี่ แม่รักที่นี่ เปี๊ยกก็ต้องยอมให้แม่อยู่ที่นี่ และนี่แม่เปี๊ยก เปี๊ยกดูแลเองได้น่าพี่ปัญ"
น้ำเสียงของเขาคล้าย ๆ ว่าอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ปัญญาวีจึงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักหน่วงภายในใจ เธอเข้าใจดี ว่าการไม่อยากจากที่ที่มีความทรงจำนั้นเป็นอย่างไร เธอจึงเอื้อมมือไปตบที่บ่าของเขาเบา ๆ แต่เขากลับสะดุ้งโหยงและเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับทำหน้าเหยเกราวกับเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อมีคนมาสัมผัสที่บาดแผล ปัญญาวีถึงกับคิ้วขมวด
"มึงเป็นอะไรเปี๊ยก"
"พี่ปัญ เปี๊ยกไปรับจ้างแบกกระสอบข้าวมา ตอนนี้เปี๊ยกระบมไปทั้งตัวเลย"
"มึงไปรับจ้างทำไมเปี๊ยก"
"เปี๊ยกไม่ได้ดูแลค่ายมวยแล้วไงพี่ ไม่มีเงินเดือนจากลุงปอง เปี๊ยกก็ต้องดิ้นรนสิ จะให้เปี๊ยกแบมือขอพี่ปัญเหรอ ไม่มีทาง"
ใช่...ชายหนุ่มที่ชื่อเปี๊ยก ไม่เคยแบมือขอเงินเธอเลยสักครั้ง นอกเสียจากจะใช้หยาดเหงื่อแรงกายเพื่อที่จะแลกเงินมาประทังชีวิตและดูแลครอบครัวของเขาซึ่งเหลือเพียงแค่แม่เท่านั้น คนมุมานะและกตัญญูแบบนี้น่ะหรือจะติดการพนัน สิ่งที่ได้ยินมาคงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ปัญญาวีกัดฟันแน่นด้วยความเห็นใจ เธอไม่น่าเก็บเอาเรื่องนั้นมาใส่ใจเลยสักนิด
"เปี๊ยก มึงไปดูแลบ้านระหว่างรอกูกลับมาอยู่กับน้องปุณนะ กูจะให้เงินเดือนมึงเหมือนเดิม"
"ไม่เอาแล้วพี่ เปี๊ยกพอแล้ว พี่ปัญกับลุงปองช่วยเหลือเปี๊ยกมาตลอด ตอนนี้ขอเปี๊ยกดิ้นรนด้วยตัวเองบ้างนะ"
"เปี๊ยก! กูไม่ได้ให้เงินมึงฟรี ๆ สักหน่อย มึงก็ไปดูแลบ้าน ตัดหญ้าที่สนาม หรือดูแลเรื่องต่าง ๆ ที่น้องปุณทำเองไม่ได้ไง ไม่งั้นก็ไปเป็นบอดี้การ์ดให้น้องปุณ"
"พี่จะบ้าเหรอ!? เปี๊ยกเนี่ยนะจะไปดูแลใครได้ เปี๊ยกมันผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ ลมพัดมาก็แทบจะปลิว ขนาดอยู่กับลุงปองมาทั้งชีวิต เปี๊ยกยังไม่มีปัญญาจะต่อยมวยเลย จะให้เปี๊ยกไปเป็นบอดี้การ์ดน่ะ พี่คิดผิดแล้วพี่ปัญ!" เขาพูดปฏิเสธแบบขึงขังกับข้อเสนอที่ปัญญาวีหยิบยื่นให้ 
อืม...ฉันมั่นใจแล้วหนึ่งเรื่อง ไอ้เปี๊ยกไม่มีทางที่จะเป็นคนที่คิดจะทำร้ายหรือหักหลังฉันแน่ ๆ และคนแรงน้อยอย่างมันไม่มีทางที่จะถีบฉันกระเด็นขนาดนั้นแน่ ๆ แต่ทำไมพี่โกต้องใส่ร้ายมันด้วยวะ หรือพี่โกเองก็มีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่
ดูเหมือนกับว่า ยิ่งได้พูดคุยกับน้องชาย คำถามยิ่งผุดเข้ามาในความคิดมากขึ้น เธอจึงเอื้อมมือลูบศีรษะคนเป็นน้องก่อนจะออกแรงผลักเบา ๆ อย่างเอ็นดูชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
ขอโทษนะเปี๊ยก ที่กูสงสัยมึง...
"แล้วมึงอยากทำงานอะไรเปี๊ยก คนผอมแห้งแรงน้อยแบบมึงไปแบกกระสอบเดี๋ยวก็ตายกันพอดี"
"เปี๊ยกไม่อยากทำงาน แต่เปี๊ยกอยากเรียนหนังสืออะพี่ปัญ"
"เดี๋ยวกูส่งมึงเรียนเอง ตอบแทนที่ดูแลค่ายมวยช่วยพ่อกูมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องเรียนมึงห้ามปฏิเสธกูเด็ดขาด แล้วกูจะให้ทุนการศึกษามึงทุกเทอม ตกลงไหม" สิ้นคำพูดของเธอ เขาจึงรีบคว้าหมับที่แขนของเธอและเขย่าด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊าด้วยความดีใจ
"จริงเหรอพี่!!? เปี๊ยกจะได้เรียนหนังสือจริง ๆ เหรอพี่ปัญ!!!?"
"เออ! ก็ถ้าไม่อยากทำงานหาเงิน ก็เอาทุนการศึกษาไปเรียนแทนไง ห้ามปฏิเสธกูนะ"
"โอเคพี่!! โอเค!! เปี๊ยกเอา เปี๊ยกอยากเรียน!!"
"อืม ไว้ค่อยว่ากัน เข้าไปหาน้านวลเถอะ พี่จะได้กลับไปทำงานต่อ นี่มันก็สองทุ่มแล้ว"
"โอเคครับ ขอบคุณนะพี่ปัญ เปี๊ยกโคตรรักพี่เลย!!" พูดจบเปี๊ยกก็กระโจนเข้ามากอดปัญญาวีทันทีเพราะเก็บอาการดีใจไม่ไหวอีกแล้ว เธอจึงยิ้มพลางกับลูบศีรษะของเขา ก่อนจะผลักร่างบางออก
"พอ ๆ ดีใจเกินไปแล้ว งั้นกูกลับแล้วนะ"
"โอเคครับพี่ เปี๊ยกไปบอกแม่ก่อนนะ! แม่ต้องดีใจมากแน่ ๆ"
"อืม" 
ปัญญาวีมองท่าทีของชายหนุ่มวิ่งลงจากรถพลางกับอมยิ้ม เมื่อไฟภายในบ้านสว่างจ้า เผยให้เห็นร่างของหญิงวัยกลางคนที่ค่อย ๆ พยุงร่างของตัวเองลุกขึ้นนั่งบนฟูกนอนยางพาราขนาดเล็ก ก่อนคนเป็นลูกจะเข้าไปสวมกอดและผละออกมากระโดดโลดเต้น ทุกครั้งที่เขาแสดงอาการดีใจแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมไปด้วยเสมอ เธอจึงเอนตัวพิงกับเบาะรถก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
ดีใจที่มันไม่ใช่มึงนะเปี๊ยก เพราะถ้าเป็นมึงจริง ๆ กูคงเจ็บปวดมากแน่ ๆ 


"คุณหายไปไหนมาทั้งวันคุณปัญญาวี...โผล่มาอีกทีก็เกือบจะถึงเวลาส่งคุณหนูเข้านอนแล้วนะ" นงคราญพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยการกระแทกแดกดันเมื่อเห็นหน้าบอดี้การ์ดสาวที่หายหน้าหายตาไปทั้งวัน แต่กลับมาด้วยท่าทีราวคนอารมณ์ดีไม่มีสำนึกต่อหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย
"พาน้องปุณกลับบ้านค่ะ และคุณหนูก็อนุญาตให้ฉันไปหาน้องปุณแล้วด้วย"
"แต่คุณก็ควรตระหนักถึงหน้าที่ของคุณด้วย! คุณหนูอนุญาตให้ไป ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลับมาตอนไหนก็ได้ ถ้าคุณกลับมาไม่ทันส่งคุณหนูเข้านอนจะทำยังไง!!?"
"มันก็เป็นหน้าที่คุณด้วยไม่ใช่เหรอคะ คุณหนูให้คุณดูแลระหว่างที่ฉันไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ นั่นน้องสาวของฉันนะคะ ฉันควรที่จะมีเวลาดูแลเธอบ้าง และเธอเพิ่งจะหายป่วย คุณจะให้ฉันไปส่งน้องที่บ้านแล้วกลับมาทำงานเลยอย่างนั้นเหรอ คุณนี่มันใจดำจริง ๆ ฉันทำอะไรก็ดูขัดใจคุณไปหมด ไม่ชอบอะไรในตัวฉันเหรอคะ"
"ฉันไม่ชอบอะไรในตัวคุณเลยค่ะคุณปัญญาวี แต่ที่ฉันยังคุยดีกับคุณมันคือสิ่งที่ฉันต้องทำ! คุณจะไปส่งน้องสาวของคุณฉันก็ไม่ได้ห้าม แต่หน้าที่ของคุณคือการดูแลคุณหนู คุณต้องรู้จักเวลาไม่ใช่หายไปทั้งวัน คุณไม่ควรปล่อยให้คุณหนูนอนป่วยอยู่แบบนี้!!!" นงคราญตะคอกแบบฉุนเฉียวเพราะเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สีหน้าและแววตาของเธอดูโกรธจัดจนดวงตาที่กำลังจ้องเขม็งนั้นแดงก่ำจนอีกฝ่ายรู้สึกผิดเต็มประดา จากอารมณ์ฉุนเฉียวของบอดี้การ์ดสาวที่จะปะทะอารมณ์ก่อนหน้าก็อ่อนกำลังลงทันที
"คุณว่าอะไรนะ คุณหนูไม่สบายเหรอคะ"
"ใช่!! คุณดูแลคุณหนูยังไงถึงปล่อยให้เธอป่วยได้ขนาดนี้!!!?" สิ้นเสียงของนงคราญ ปัญญาวีก็แทบจะวิ่งพรวดไปในทันที แต่เธอกลับถูกคว้าที่ข้อมือเอาไว้เสียก่อนจนเธอถึงกับชะงัก
"คุณจะไปไหน"
"ฉันจะไปดูคุณหนู"
"ไม่จำเป็น วันนี้ฉันส่งคุณหนูเข้านอนแล้ว คุณกลับไปดูแลน้องสาวของคุณเถอะ พรุ่งนี้เช้าคุณค่อยมาใหม่"
"คุณจะบ้าเหรอ จะให้ฉันทิ้งคุณหนูไปตอนนี้เนี่ยนะ!!?"
"ก็วันนี้คุณก็ทิ้งคุณหนูไปทั้งวันแล้วนี่คะ" น้ำเสียงที่ดูเรียบนิ่งแต่ทิ่มแทงหัวใจปัญญาวีเข้าอย่างจังจนเธอถึงกับสะอึก บอดี้การ์ดสาวไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้หรือหาข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น สีหน้าของเธอจึงสลดลงทันทีด้วยความรู้สึกผิด นงคราญเห็นแบบนั้นจึงปล่อยข้อมือของเธอให้เป็นอิสระ แต่เธอกลับไม่ได้ใจอ่อนแต่อย่างใด
"คุณกลับไปหาน้องสาวของคุณซะ วันนี้ฉันจะดูแลคุณหนูเอง แต่คุณต้องกลับมาให้ทันตอนเช้า คุณทำได้ใช่ไหม"
"ขอฉันเข้าไปดูคุณหนูก่อนได้ไหมคะ"
"ไม่ค่ะ คุณหนูทานยาและนอนพักผ่อนไปแล้ว คุณไม่ควรเข้าไปรบกวนเธอ" 
"เข้าใจแล้วค่ะ พรุ่งนี้ฉันรับปากว่าจะกลับมาให้ทันค่ะ"
"ทำให้ได้อย่างที่พูดนะคะคุณปัญญาวี" พูดจบ นงคราญจึงเดินจากไปทันที ปล่อยให้ปัญญาวียืนสำนึกผิดอยู่ที่หน้าประตูบ้านด้วยท่าทีสลด เป็นห่วงคุณหนูเหลือเกิน และเธอรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้คุณหนูณิชาต้องป่วยนั้นมันก็เพราะเธอ ที่ปล่อยให้เจ้าตัวเนื้อตัวเปลือยเปล่าตลอดทั้งคืนในห้องนอนอุณหภูมิต่ำ แถมยังต้องบรรเลงเพลงรักกับเธอจนล่วงเลยเวลานอนไปค่อนชั่งโมงควบมาตอนฟ้าสางอีก 


ท้องฟ้าที่ไร้แสงดาวในยามวิกาล คืนนี้มันดูเปล่าเปลี่ยวกว่าคืนไหน ๆ รถสปอร์ตคันหรูสีดำด้านยังคงจอดอยู่ลานกว้างตรงข้ามกับซากปรักหักพังและเขม่าควันไฟจากเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งจุดที่เธอจอดรถนั้นไร้แสงสว่าง ไม่มีแม้แต่หลอดไฟสักดวง รวมถึงจากรถยนต์คันหรูเสียด้วยซ้ำ เธอเอาแต่นั่งโทษตัวเองอยู่ภายในรถโดยการเปิดหน้าต่างแง้มเอาไว้เล็กน้อยพอได้มีอากาศหายใจ
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
ทันทีที่นาฬิกาข้อมือส่งเสียงร้องเตือนเมื่อเปลี่ยนวันใหม่ ปัญญาวีถึงกับสะดุ้งโหยงเรียกสติของเธอคืนกลับมาได้ในทันที เธอจึงกดปุ่มเพื่อให้นาฬิกาหยุดส่งเสียงร้อง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เฮ้อ...นี่ฉันนั่งอยู่นี่มาสองชั่วโมงแล้วเหรอเนี่ย" ความรู้สึกผิดปนความสับสนกำลังเล่นงานเธอเข้าให้แล้ว แม้จะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ได้บอกเอาไว้ แต่เธอก็ขับรถมานั่งมองซากปรักหักพังนี่นับสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว แถมยังสลัดความรู้สึกผิดที่ทำให้คุณหนูณิชาต้องป่วยออกไปจากความคิดไม่ได้อีกด้วย เธอจึงใช้สองมือกำที่พวงมาลัยเอาไว้แน่น ก่อนจะโน้มตัวลงใช้ศีรษะโขกกับพวงมาลัยรถยนต์ซ้ำ ๆ
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
"พอสักที หยุดคิดสักที มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด พ่อช่วยให้ปัญกระจ่างสักเรื่องหน่อยได้ไหม พ่อโกรธปัญเหรอ ที่ปัญไม่ยอมไปงานศพ ปัญเป็นห่วงน้องไง ตอนนี้ปัญกำลังเผชิญอยู่กับอะไรเนี่ยพ่อ!!"
เมื่อปัญญาวีเอนหลังพิงกับเบาะอย่างคนสิ้นหวังเพราะจนตรอกที่หาทางออกกับปัญหาไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว แสงไฟดวงหนึ่งก็ปรากฏมาแต่ไกล ๆ กำลังเคลื่อนตัวมาช้า ๆ เธอจึงเพ่งมองให้แน่ชัดก่อนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมาตามลม คาดว่าดวงไฟนั้นคือไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์เป็นแน่ แต่ใครกันที่มาค่ายมวยร้างยามวิกาลแบบนี้ เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดช่องเก็บของรถยนต์ก่อนจะหยิบปืนพกออกมาพร้อมกับไฟฉายขนาดพกพาเตรียมพร้อมเอาไว้
"ลักลอบส่งยาหรือเปล่าวะ..." 
ปัญญาวีนั่งเพ่งมองฝ่าความมืดจนในที่สุด ดวงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ก็เคลื่อนตัวมาใกล้จนมาหยุดที่ด้านหน้าซากปรักหักพัง ก่อนไฟฉายติดศีรษะจะถูกเปิดขึ้น ใครบางคนกำลังเดินเข้าไปยังเขตที่ถูกปิดกั้นเอาไว้เพียงลำพัง เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูรถช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังและพยายามเบาเสียงที่สุดเพื่อไม่ให้ใครคนนั้นไหวตัวทัน ก่อนเธอจะย่องเข้าไปช้า ๆ
ดวงไฟขนาดเล็กที่ติดอยู่บนศีรษะยังคงเคลื่อนไหวไปมาราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง เมื่อปัญญาวีพิจารณาจากสถานการณ์แล้วว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เธอจึงถือปืนให้มั่นและย่องเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังกำแพง ก่อนแสงไฟฉายแบบพกพาจะส่องสว่างขึ้น
"หยุด!!! ยกมือขึ้น!! ถ้ามึงหนี กูยิงมึงตายแน่!!!" 
ร่างในความมืดสะดุ้งโหยงทันทีที่แสงไฟฉายส่องไปกระทบบนตัวของเขา พร้อมกับเสียงของปัญญาวีที่ตะโกนเข้าไปจนเขาต้องรีบยกมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะของตนอย่างรวดเร็ว
"มึงเข้ามาทำอะไรที่ของกู!!?"
"ปัญ!! พี่เองปัญ!! อย่ายิงนะ พี่ไม่ใช่โจร!!"
"พี่โก!!! พี่มาทำอะไรที่นี่!!!?" ทันทีที่ร่างชายสูงโปร่งหันหน้ามาพร้อมกับปิดไฟฉายที่คาดอยู่บนศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย ปัญญาวีจึงลดปืนลงด้วยความตกใจ
"พี่มาสืบหาเบาะแส ปัญจะได้เชื่อว่าพี่พูดจริง ๆ"
"พี่จะบ้าเหรอพี่โก!! นี่มันเที่ยงคืนนะ พี่เข้ามาทำอะไรกันแน่ ตอบ!!!"
"ปัญใจเย็น!! นี่ปัญไม่เชื่อพี่เหรอ"
"ท่าทีของพี่มันส่อพิรุธหลายอย่างนะพี่โก พี่ต้องการอะไร พี่พูดความจริงออกมา อย่าให้ปัญต้องพาพี่ไปหาตำรวจนะ"
"พี่มาหาเบาะแสจริง ๆ พี่สาบานได้"
"ถ้าพี่มาหาเบาะแสจริง ๆ พี่จะมาทำไมตอนดึก ๆ มันจะไปเห็นอะไรพี่โก!! ปัญจะให้โอกาสพี่พูดความจริง ถ้าพี่ยังจะโกหกอีก ปัญลากคอพี่เข้าคุกแน่"
"ปัญ!! ฟังพี่ก่อน ที่พี่มาตอนกลางวันไม่ได้เพราะมันมีคนเดินวนเวียนเฝ้าแถวนี้ตลอด มันต้องเป็นตอนกลางคืนนี่แหละ ถึงมันจะลำบากพี่ก็ต้องหาความจริงให้ได้ ว่ามันเป็นการลอบวางเพลิง ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ทุกคนเข้าใจ"
"นี่พี่มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าวะ ไหนจะใส่ร้ายไอ้เปี๊ยกอีก พี่ต้องการอะไรกันแน่ ใครเป็นคนจ้างพี่มา!!"
"ปัญนั่นแหละมองโลกในแง่ดีเกินไป!! ครอบครัวปัญเลี้ยงงูพิษนะรู้ตัวไหม และมันแว้งกัดลุงปองแล้ว!!! ตอนนี้มันคงอยู่ที่บ่อนแน่ ๆ ถ้าปัญไม่เชื่อในสิ่งที่พี่พูด งั้นปัญก็ไปดูกับพี่ให้เห็นกับตาเลยไหมล่ะ ว่าตอนนี้ไอ้เปี๊ยกมันอยู่ไหน!!"
"ได้!! งั้นพี่นั่งรถไปกับปัญ ถ้าพี่ตุกติกแม้แต่นิดเดียว ปัญยิงพี่แน่!!"
"เอาเลยปัญ พี่จะพิสูจน์ให้ดูว่าพี่บริสุทธิ์ใจ พี่พยายามทำให้ปัญตาสว่าง ปัญไว้ใจคนผิด!!"
"แต่ถ้าทั้งหมดมันเป็นการกล่าวหา พี่เตรียมตัวไปนอนในคุกข้อหาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวในยามวิกาลได้เลย"
"ได้!!"


"ปัญจอดรถไว้ตรงนี้แหละ เสียงรถปัญมันดัง ไอ้เปี๊ยกมันไหวตัวทันแน่" 
"นี่พี่เลิกกล่าวหามันสักทีได้ไหม" แม้จะไม่พอใจ แต่ปัญญาวีก็ยอมจอดรถให้ห่างจากตัวบ้านไม้หลังเล็กนับร้อยเมตร
"ถ้าเปี๊ยกมันอยู่บ้าน แสดงว่าพี่กล่าวหามันนะ"
"รอดูแล้วกัน แต่ถ้าไม่เห็นมันอยู่ที่นี่ ปัญก็ต้องไปดักรอมันอยู่ที่หน้าบ้านเฮียตั้วกับพี่ ตกลงไหม"
"ตกลง" สิ้นคำพูด ทั้งสองจึงเปิดประตูลงจากรถกันคนละฝั่ง โดยชายหนุ่มร่างสูงเดินนำไปก่อน และมีปัญญาวีถือปืนตามไปแบบติด ๆ หากเขาตุกติกล่ะก็ ลูกปืนนัดแรกได้เจาะร่างของเขาเป็นแน่


"บ้านเงียบแบบนี้ คงอยู่แค่น้านวลแน่"
"นี่มันจะตีหนึ่งแล้วนะพี่โก จะให้มันส่งเสียงทำอะไรป่านนี้"
"ปัญลองโทรหามันสิ มันจะรับไหม"
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังแอบมองอยู่ที่หลังกำแพงนั้น ปัญญาวีจึงล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาอีกคนตามที่ชายหนุ่มรุ่นพี่บอกทันที พร้อมกับพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากภายในบ้านที่ยังคงเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์ดังออกมา
"รับไหม"
"ไม่รับค่ะ"
"หนึ่ง...มันอาจจะอยู่ที่บ่อนและจงใจที่จะไม่รับ หรือสอง...มันอาจจะไม่ได้ยินเพราะที่นั่นคงเสียงดัง พี่มั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ที่บ้านแน่ ๆ"
"นี่พี่หยุดกล่าวหามันสักทีได้ไหม" จังหวะที่ปัญญาวีจะถอดใจกับการรอคอยการตอบรับจากปลายสาย สายตาของเธอดันเหลือบไปเห็นร่างชายชุดดำสวมหมวกแก๊ปที่เธอรู้สึกคุ้นตาเพราะเธอเพิ่งจะเคยเจอเขาเมื่อช่วงเช้าของวันนี้นี่เอง เขากำลังเดินออกมาจากซอยขนาดเล็กโดยอาศัยแสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องเป็นรัศมีแบบวงแคบ เธอจึงพยายามเพ่งมองด้วยความตั้งใจ ก่อนร่างนั้นจะหยุดชะงักพร้อมกับมองไปทางรถสปอร์ตสีดำด้านที่จอดอยู่ในความมืด
ตอนนี้เธอไม่รอการตอบรับจากปลายสายอีกแล้ว เพราะทันทีที่ร่างบุคคลปริศนาชุดดำกำลังจะวิ่งหนี ปัญญาวีก็พุ่งออกตัวไปอย่างรวดเร็วเพื่อไล่ล่าเขาอีกครั้ง ซึ่งการหลบหนีในยามวิกาลแบบนี้เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะแสงไฟจากเสาไฟฟ้าอันน้อยนิดทำเขาวิ่งชนกับข้าวของที่วางอยู่ข้างทางล้มระเนระนาด ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีแบบหัวซุกหัวซุนอีกครั้ง
"หยุด!!! ถ้าไม่หยุดกูยิง!!!"
"ปัญ!!! ปัญจะไปไหน!!"
"กูบอกให้หยุด!!!"
ปัง!!!
เสียงปืนที่ดังสนั่นหวั่นไหวหลังจากที่ปัญญาวียิงขึ้นบนฟ้า  ร่างของเขาคนนั้นก็สะดุดล้มลงด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันที่ปัญญาวีจะวิ่งไปถึงตัว เขาก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปอีกครั้ง เพราะหมวกแก๊ปที่สวมอยู่นั้นร่วงตกพื้นไปแล้ว หากไม่วิ่งหนีตอนนี้มีหวังถูกจับได้เป็นแน่ เขาจึงดึงเสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่งขึ้นมาคลุมที่ศีรษะของตนเอาไว้ พร้อมกับที่ปัญญาวีพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งไล่จับอย่างสุดชีวิต
ปัญญาวียื่นมือออกมาทางด้านหน้า ใกล้แล้ว...อีกนิด...ใกล้จะคว้าตัวเขาเอาไว้ได้แล้ว เรี่ยวแรงของเธอในตอนนี้ก็แทบจะไม่เหลือแล้วเช่นกัน เธอจึงกัดฟันฮึดสู้จนคว้าเสื้อแจ็คเก็ตได้สำเร็จ ทำให้ชายปริศนาเสียหลักเล็กน้อย แต่น่าเสียดายที่เธอคว้าได้แค่เพียงเสื้อเท่านั้น 
"หยุดสิวะ!!!"
เฮือกสุดท้ายก่อนที่จะหมดแรงกันไปเสียก่อน ปัญญาวีกลั้นใจกระโดดคว้าตัวของเขาเอาไว้จนต่างคนต่างเสียหลักล้มลงไปตาม ๆ กัน ร่างของเธอกระแทกกับพื้นอย่างจังก่อนจะกลิ้งไปชนกับต้นไม้ข้างทาง ความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่จนร่างของเธอเจ็บร้าวไปทั้งตัวแต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาอ่อนแอและปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้อีกครั้ง เธอลุกขึ้นมาคว้าตัวชายปริศนาที่กำลังจะคลานหนีอย่างทุลักทุเลก่อนเธอจะถูกยันเข้าที่หน้าอกจนร่างของเธอกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้เป็นรอบที่สอง
"อั่ก!!!"
"ปัญ!!!" โกที่พยายามวิ่งตามมาจากไกล ๆ แต่เขาก็ไม่อาจตามทั้งสองได้ทัน เขาเห็นร่างของคนที่เปรียบดั่งน้องสาวกระแทกเข้ากับต้นไม้จนขาแทบทรุด แต่ร่างหญิงสาวหาได้ยอมแพ้แต่เพียงเท่านั้น เธอพุ่งเข้าไปล็อกตัวด้วยวิชายูโดที่ร่ำเรียนมา ก่อนจะออกแรงเฮือกสุดท้ายยกอีกร่างจับทุ่มลงกับพื้น และเธอก็ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพที่สะบักสะบอมไม่ต่างกัน
เหงื่อกาฬที่ท่วมทั้งตัวเพราะวิ่งแบบสุดแรงที่มีจนตอนนี้แทบไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอีกแล้วแต่ปัญญาวีกัดฟันแน่นเพื่อพยายามคลานเข้าไปจับพลิกร่างอีกคนให้นอนหงายขึ้น ก่อนเธอจะลุกขึ้นคร่อมร่างพร้อมกับกำหมัดแน่น แขนซ้ายกำบริเวณคอเสื้อ พร้อมกับหมัดขวาง้างแบบเต็มวงสวิง
"มึงตาย!!!"
ทันทีที่ปัญญาวีง้างหมัดขวาขึ้น ทำให้แสงจากเสาไฟฟ้าขนาดเล็กส่องกระทบกับใบหน้าชายปริศนาให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น หมัดที่ยังคงค้างอยู่กลางอากาศกำลังสั่นเทา หัวใจที่กระหน่ำเต้นด้วยความรุนแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก น้ำตาที่รินไหลออกมาประปนกับเหงื่อกาฬบนใบหน้าทำเธอไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้จะต่อยคนร้ายให้สลบตามือ
"มึงทำแบบนี้ทำไมเปี๊ยก!!!? มึงตอบกูมา!! มึงทำแบบนี้ทำไม!!!? มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ!!!?"
แม้จะต่อยสักหมัดยังไม่กล้า เพราะตอนนี้เธอเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ แม้ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าเปี๊ยกเป็นผู้ร้ายลอบวางเพลิงจริงหรือไม่ แต่การที่เขาทำร้ายเธอถึงสองครั้งเพื่อที่จะหลบหนี มันก็ชัดเจนแล้วว่า เปี๊ยกกำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีเป็นแน่
"อย่าปราณีศัตรูสิพี่ ลุงปองสอนตั้งแต่เด็กจนโต มีแค่ข้อนี้ข้อเดียวนะ ที่พี่ทำไม่ได้"
"มึงกำลังทำอะไรอยู่วะเปี๊ยก!! มึงคิดที่จะทำอะไร!!?"
"ฆ่าพี่" สิ้นเสียงพูดแผ่วเบาแต่กระแทกเข้าใส่หัวใจอย่างจังจนปัญญาวีถึงกับสะอึก หมัดที่ค้างอยู่กลางอากาศก็ไร้เรี่ยวแรงลงทันที ก่อนเขาจะกำหมัดเสยเข้าที่ปลายคางของเธออย่างจัง
"ปัญ!!!!"
ร่างไร้สติค่อย ๆ หงายหลังไปช้า ๆ ก่อนจะร่วงลงกระแทกกับพื้นปูนซีเมนต์ คนใต้ร่างไม่รอช้า รีบตะเกียกตะกายหนีแบบหัวซุกหัวซุนอีกครั้ง ก่อนที่โกจะวิ่งมาคว้าร่างของปัญญาวีเข้ามาสู่อ้อมกอด
"ปัญ!! ฟื้นสิปัญ!!! ปัญ!!!"