A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 12 มันคือใคร

ในยามที่ท้องฟ้ายังคงปกคลุมด้วยความมืดมิดจวนจะเลือนลางและถูกแทนที่ด้วยแสงอรุณยามเช้า ร่างเปลือยเปล่าสองร่างนั้นสำราญกับบทเพลงรักจนสุขสม ก่อนจะหมดแรงร่วงซบอุ่นไอของกันและกัน ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวเจ้าของผมประบ่าสีดำนอนหอบเหนื่อยซบบนอกของใครอีกคนที่มีเหงื่อกาฬท่วมทั้งตัว แม้เครื่องปรับอากาศราคาแพงก็ไม่ได้ช่วยดับไฟรักอันร้อนแรงนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
มือน้อย ๆ บรรจงลูบเหงื่อกาฬบนใบหน้าที่กำลังซบที่หน้าอกของตนพลางกับอมยิ้มเพราะคิดถึงบทเพลงรักที่บรรเลงร่วมกันก่อนหลับใหลยังไม่พอ ก่อนฟ้าสางก็ยังตื่นมาบรรเลงกันต่อ จนหมดแรงได้ถึงเพียงนี้
"ณิเลือกบอดี้การ์ดไม่ผิดจริง ๆ ด้วย แรงดีไม่มีตกเลย"
"ไม่มีตกอะไรล่ะคะ สลบไปแล้วรอบหนึ่งนะ"
"แต่คุณก็ยังตื่นมาทำต่อได้นี่นา"
"เฮ้อ...ฉันเสพติดคุณหนูเข้าแล้วสิ กลิ่นคุณหนูมันทำให้ฉันแทบคลั่ง"
"ใกล้จะถึงเวลาออกกำลังกายแล้วนะคะ คุณออกไปเตรียมตัวเถอะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้น บอดี้การ์ดสาวจึงเหลือบหานาฬิกาภายในห้อง ก่อนจะซบลงที่หน้าอกดังเดิม
"ตีสี่ครึ่งเองค่ะคุณหนู ยังมีเวลาอีกเยอะ ขอนอนกอดแบบนี้ก่อนนะคะ"
"อยากสระผมไหมคะ เดี๋ยวณิสระให้ คุณทำจนผมเปียกขนาดนี้ ระวังผมเหม็นนะคะ"
"ว้า...แย่จัง งั้นสระผมให้หน่อยได้ไหมคะ"
"ได้สิคะ" เมื่อได้ยินคำตอบ บอดี้การ์ดสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอจึงช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะสูญเสียพลังงานจากเพลงรักไปมาก ทำให้การอุ้มคุณหนูณิชาในช่วงฟ้าสางแบบนี้ มันทำให้เธอราวกับอุ้มก้อนหินหนักเกือบร้อยกิโล
"อื้อหือ...หนักมากเลยค่ะคุณหนู" พูดพร้อมกับวางร่างบางลงอย่างทุลักทุเล
"คุณปัญหมดแรงเองมากกว่าค่ะ ไปนั่งในอ่างเลยค่ะ เดี๋ยวณิอาบน้ำให้คุณด้วยเลย"
"ค่ะคุณหนู" 


อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่คนสองคนสามารถนั่งแช่น้ำร่วมกันได้ บอดี้การ์ดสาวเอนตัวหนุนกับขอบอ่างน้ำ โดยมีร่างของอีกคนนั่งคร่อมบนตักของเธอพลางกับใช้แชมพูชโลมลงบนผมสีดำประบ่า ก่อนจะออกแรงขยี้ให้เป็นฟองแล้วใช้ปลายนิ้วนวดที่ศีรษะช้า ๆ จนได้ยินเสียงครางอย่างพึงพอใจดังออกมาเบา ๆ
"อืม..."
บรรยากาศในตอนนี้ก็เอื้ออำนวยให้อารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่นเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง แม้ทั้งสองจะบรรเลงบทเพลงรักกันมาหลายบทเพลงแล้วก็ตาม แต่ยอดปทุมถันอมชมพูที่ตั้งตระหง่านเรียกร้องสายตา มันงดงามดุจดังภาพวาดในเทพนิยายที่หาที่เปรียบไม่ได้ มือเรียวจึงลูบไล้ที่เอวบางก่อนจะเลื่อนขึ้นมาบีบคลึงที่หน้าอกนุ่มทั้งสองข้างเบา ๆ 
"ค...คุณปัญ...ณิเสียวค่ะ อย่าจับหน้าอกณิแบบนี้สิคะ"
"ขออีกรอบได้ไหมคะ"
"ตอนนี้ยังไม่ได้ค่ะ คุณต้องล้างแชมพูออกก่อน เดี๋ยวก็แสบตาหรอก"
"ช่วยล้างให้ทีค่ะ"
"ได้ค่ะ หลับตานะคะ"
บอดี้การ์ดสาวหลับตาลงอย่างว่าง่าย พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับเอวบางเอาไว้ ก่อนณิชาจะเปิดน้ำจากฝักบัวล้างแชมพูออกให้ด้วยความตั้งใจ ไม่ได้มีเพียงปัญญาวีเท่านั้นที่หลงใหลเรือนร่างของณิชา แต่ร่างเปลือยเปล่าของเธอและหน้าอกที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวมันทำให้ณิชาหัวใจสั่นไหวจนต้องกลืนน้ำลายดังอึกเพื่อข่มอารมณ์เอาไว้ ไหนจะริมฝีปากอมชมพู และขนตางามงอนที่กำลังหลับพริ้ม อยากจะก้มลงจูบเสียจริง
ต่อจากนี้ฉันจะมองคุณปัญเหมือนเดิมได้ไหมนะ...ไม่ว่าคุณปัญจะทำอะไร ฉันคิดถึงภาพที่เราสองคนกำลังมีความสุขกันตลอดเลย ตอนนี้...ฉันก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว...
สิ้นเสียงคิด ริมฝีปากอมชมพูถูกประกบด้วยริมฝีปากนุ่มบวมเจ่อของอีกคน ก่อนจะเริ่มบดจูบอย่างดูดดื่มเพราะหวังจะดับอารมณ์ที่มันปะทุอยู่ในใจให้มันมอดลง แต่ยิ่งเร่งจังหวะจูบ ดูเหมือนหัวใจก็ยิ่งหวีความรุนแรงขึ้น จนร่างบางถูกประคองให้ลุกขึ้นไปนั่งลงกับขอบอ่างอาบน้ำแล้วเอนหลังพิงกับผนังห้องน้ำเอาไว้
จากบอดี้การ์ด ตอนนี้เธอรับหน้าที่เป็นผึ้งที่ทำหน้าที่ดูดดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ แม้เธอจะดื่มด่ำความหอมหวานจากดอกไม้ดอกนี้จนอิ่มหนำสำราญในคืนที่ผ่านมาแล้ว แต่เธอก็ยังอยากลิ้มรสมันอยู่อย่างนั้น เธอทั้งใช้ลิ้นตวัดเลียกลีบดอกไม้ ทั้งดูดคลึงปุ่มกระสันจนร่างบางถึงกับสั่นระริกด้วยความเสียวซ่าน จนต้องจับศีรษะของคนที่อยู่ระหว่างขาแล้วกดเอาไว้ พร้อมกับโยกสะโพกตอบรับลิ้นอุ่นเพราะจวนจะสุขสมแล้ว
"อา...อา...อื๊อ!! อื๊อ!!! อ๊า!!!"


"คุณปัญคะ คุณอยากพักสักวันไหมคะ" พูดพลางกับค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนรถเข็นโดยมีบอดี้การ์ดสาวช่วยประคองร่างของเธอหลังจากการออกกำลังกายยามเช้าเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งวันนี้บอดี้การ์ดสาวไม่ได้เซ็ตผมเปิดหน้าผากอย่างเช่นทุกวัน แต่เป็นเพียงการมัดผมรวบเท่านั้น เพราะคุณหนูเป็นคนสระผมให้ทั้งทีไม่อยากใช้เจลเซ็ตผมมากลบกลิ่นแชมพูนี่สิ แต่ไม่ว่าเธอจะทำผมยังไง เธอก็ยังคงดูดีในสายตาคุณหนูณิชาอยู่ดี
"ทำไมเหรอคะ" ถามพลางกับนั่งคุกเข่าลงต่อหน้ารถเข็น ก่อนจะก้มลงใช้มือนวดที่ขาทั้งสองข้างเบา ๆ แต่จู่ ๆ ใบหน้าของเธอก็ขึ้นสีเป็นสีแดงระเรื่อเพราะอดไม่ได้ที่จะคิดถึงบทเพลงรักในค่ำคืนแห่งความสุข เธอจึงรีบสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติทันที
"เป็นอะไรเหรอคะคุณปัญ"
"เอ่อ...เบลอ ๆ น่ะค่ะ"
"ถ้างั้นวันนี้คุณพักเถอะนะคะ แค่พาออกกำลังกายก็พอแล้วค่ะ พอดีว่าพี่นงบอกณิว่า น้องปุณได้ออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้ว คุณจะได้มีเวลาอยู่กับน้องสาวทั้งวันเลย"
"จริงเหรอคะคุณหนู!!? น้องปุณได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอคะ!!?" ถามด้วยความดีใจ จนณิชาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ใช่ค่ะ วันนี้เดี๋ยวณิให้พี่นงอยู่ดูแลณิเองนะคะ ส่วนคุณก็ไปรับน้องสาวออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ เดี๋ยวให้ลุงก้องไปส่งที่บ้านหลังใหม่ด้วย"
"เอ่อ...คุณหนูคะ ถ้าฉันจะขอขับรถไปเองได้ไหมคะ แค่บอกพิกัดก็พอค่ะ"
"อ๋อ ได้สิคะ ก็ดีเหมือนกันค่ะ คุณจะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องรีบกลับนะคะ คุณอยู่กับน้องปุณได้ทั้งวันเลย แค่มาส่งณิ....เอ่อ...เข้านอนให้ทันก็พอค่ะ" แม้แต่ณิชาเองก็ใบหน้าขึ้นสีไม่ต่างกัน ทั้งสองจึงเบือนหน้าหลบไปคนละทางเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าต่างคนกำลังคิดอะไรอยู่
"เดี๋ยวฉันจะกลับมาให้ทันส่งคุณหนูเข้านอนนะคะ"
"ค่ะคุณปัญ เดี๋ยวพิกัดบ้านหลังใหม่ณิจะส่งให้นะคะ ที่นั่นมีผู้ดูแลเช็คความเรียบร้อยให้แล้วค่ะ คุณเข้าไปได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลัวน้องปุณจะเหงานะคะ เพราะณิจ้างแม่บ้าน กับผู้ดูแลให้แล้วค่ะ"
"คะ? ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลยนี่คะ"
"เอาเถอะค่ะ ณิยินดี ขอแค่น้องสาวของคุณปลอดภัย เป็นเด็กผู้หญิงอยู่คนเดียวแบบนี้คงไม่ดีใช่ไหมคะ"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณหนู"
"พี่นงมาพอดีเลย คุณไปได้เลยนะคะ ไม่ต้องห่วงณิ"
"รับทราบค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ" ณิชาผงกศีรษะแทนคำตอบพร้อมกับรอยยิ้ม เพราะเห็นบอดี้การ์ดสาววิ่งออกไปด้วยความดีใจเธอก็มีความสุขตามไปด้วย แต่แล้ว...เมื่อณิชาเห็นสีหน้าของนงคราญที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีเคร่งขรึม แต่วันนี้ดูดุดันผิดไปจากเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าจึงจางหายไปทันที
"เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่นง ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะคะ"
"เปล่าค่ะคุณหนู วันนี้คุณคงให้คุณปัญญาวีพักสินะคะ"
"ใช่ค่ะ คุณปัญคงอยากมีเวลาอยู่กับน้องสาว"
"ค่ะ" เสียงที่ตอบแบบเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจที่ณิชาสัมผัสได้ เพราะเธออยู่กับพี่เลี้ยงสาวมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะสิ อีกคนมีท่าทีแปลกไป ทำไมเธอจะไม่รู้ แต่เธอก็ทำได้แค่ปล่อยให้นงคราญเข็นรถเข็นกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่กล้าถามอะไรออกมา


"ไงตัวแสบ ได้ข่าวว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วสินะ"
ทันทีที่ประตูห้องพักแบบพิเศษในโรงพยาบาลเปิดออก ปุณญิสาก็กระโจนเข้าไปสวมกอดคนเป็นพี่ทันที ซึ่งตอนนี้เธอสวมชุดลำลองพร้อมที่จะออกไปวิ่งเล่นที่บ้านเต็มแก่แล้ว
"พี่ปัญ!!! เย่!! ปุณจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว"
"เก่งมากเลยปุณ ปุณไปอยู่บ้านหลังใหม่รอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ทำหน้าที่ดูแลพี่ณิเสร็จ พี่จะรีบมาอยู่ด้วย" พูดพร้อมกับลูบศีรษะคนเป็นน้อง ก่อนจะโอบกอดตอบด้วยความดีใจเช่นกัน
"อยากให้พี่ณิมาอยู่ด้วยจัง คงจะสนุกน่าดู"
"อะไรล่ะปุณ พี่ณิก็ต้องอยู่บ้านของเขาสิ เขาจะมาอยู่กับเราทำไม"
"เฮ้อ...น่าเสียดายจัง แล้วพี่ปัญไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายเรียบร้อยหรือยังคะ"
"อืม เห็นพี่ณิบอกว่ามีคนมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แล้วนะ เรากลับกันได้เลย"
"ดีจัง อยากได้เป็นพี่สะใภ้"
"ปุณ!!" ไม่รู้ว่าปุณญิสาแกล้งพูดเล่นหรืออย่างไร แต่คนเป็นพี่กลับหน้าขึ้นสีนำไปก่อนแล้ว ทำเอาน้องสาวตัวแสบถึงกับลั่นเสียงหัวเราะออกมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจะอ่านพี่สาวไม่ออกเลยสักครั้ง
"ฮ่า ๆ"
"หัวเราะอะไร!?"
"แค่พูดเล่น ทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นเหรอคะคุณปัญญาวี"
"กวนนะปุณ เดี๋ยวโดนใส่ศอก กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวผู้ดูแลที่บ้านจะรอ"
"โห!! เจ๋งอะ!! ตอนนี้เหมือนปุณเป็นคุณหนูที่มีบอดี้การ์ดคอยดูแลเลย พี่ปัญรู้ไหมว่าพี่นงคอยดูแลปุณดีมาก!!"
"ดูชอบเขาจังนะ พี่นงอะไรของปุณน่ะ" พูดพร้อมกับจูงมือน้องสาวเดินไปตามโถงทางเดินพลางกับอมยิ้ม เธอไม่ได้จับมือน้องสาวเดินแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ แต่เธอก็อดคิดถึงมือนุ่ม ๆ ของคุณหนูณิชาไม่ได้เลย
เฮ้อ...คิดถึงจัง ห่างแค่นี้ก็คิดถึงแล้ว คุณหนูจะทำอะไรอยู่นะ...
"ชอบสิคะ ชอบมาก ๆ เลยด้วย พี่นงใจดีมากเลย"
"เฮ้อ...พี่สาวก็กลายเป็นหมาหัวเน่าเลยสิ ก็แหงล่ะ พี่นงของปุณคอยดูแลทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้น ถ้าปุณจะติดเขาก็คงไม่แปลก"
"ก็ไม่ถึงกับทั้งวันทั้งคืนหรอกค่ะ พี่นงให้คนอื่นสลับมาดูแลปุณบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่ตอนกลางวันค่ะ และก็มีเมื่อคืนแหละที่พี่นงกลับตั้งแต่สามทุ่ม ไม่ได้อยู่เฝ้าปุณเหมือนทุกวัน" ทันทีที่ปุณญิสาพูดจบ ปัญญาวีถึงกับชะงัก 
"เมื่อคืนพี่นงกลับกี่ทุ่มนะปุณ"
"สามทุ่มค่ะ"
เวรแล้วไง...คุณนมจะได้ยินเสียงฉันกับคุณหนูไหมเนี่ย!!!
"ทำไมเหรอพี่ปัญ"
"เปล่า ถามเฉย ๆ"
ในขณะที่ปัญญาวีกำลังกระวนกระวายในใจเพราะกลัวความลับระหว่างเธอกับคุณหนูจะถูกนงคราญล่วงรู้ เธอก็เหลือบเห็นชายชุดดำสวมหมวกกันน็อคเต็มใบกำลังยืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างรถสปอร์ตสีดำด้านที่จอดอยู่เพียงคนเดียว เพราะกลัวว่าเสียงเครื่องยนต์จะดังรบกวนผู้ป่วยคนอื่น ๆ เธอจึงพยายามเพ่งมองจากไกล ๆ เพื่อที่จะสังเกตพฤติกรรมผู้ต้องสงสัยเพราะดูท่าทีไม่เหมือนกับคนมาชื่นชมรถหรู แต่เหมือนกับกำลังทำสิ่งไม่ดีเสียมากกว่า
เมื่อบุคคลต้องสงสัยแสดงพฤติกรรมส่อพิรุธมากขึ้นโดยการหันซ้ายแลขวาหลายครั้ง เธอจึงเริ่มมั่นใจว่าใครคนนั้นกำลังจะทำสิ่งไม่ดีเป็นแน่
"ปุณ เดี๋ยวพี่มารับนะ ยืนรอตรงนี้"
"พี่ปัญจะไปไหนคะ"
"พี่เจอเพื่อนเก่า ขอแวะไปทักทายสักแป๊บได้ไหม"
"อ๋อ ได้ค่ะพี่ปัญ เดี๋ยวปุณรอตรงนี้นะคะ"
สิ้นคำพูดของน้องสาว ปัญญาวีจึงย่อตัวลงดึงเชือกรองเท้าผ้าใบของตนให้แน่นขึ้น โชคดีนักที่ตอนนี้เธอสวมชุดลำลองออกมา ไม่ใช่ชุดสูทเต็มยศสำหรับทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด ซึ่งสายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องบุคคลปริศนาที่กำลังนั่งลงที่ข้างรถ ก่อนเธอจะล้วงเอารีโมทรถยนต์มากดปุ่มเปิดประตู ทันทีที่เสียงสัญญาณร้องเตือนพร้อมกับไฟหน้ารถที่กระพริบจากรีโมทคอนโทรล ร่างบุคคลชุดดำก็ผละออกจากรถสปอร์ตคันหรูด้วยความตกใจ ก่อนจะวิ่งหนีไปทันทีโดยมีปัญญาวีเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วราวกับปล่อยตัวนักวิ่งออกจากจุดสตาร์ท
"หยุด!!!! ถ้าไม่หยุดกูยิง!!!" แม้ตอนนี้เธอจะไม่ได้พกปืนมาด้วยสักกระบอก แต่การตะโกนขู่ไปแบบนั้นคงทำให้บุคคลปริศนาหวาดผวาไม่มากก็น้อย แต่เขายังคงวิ่งหนีเธออย่างไม่คิดชีวิต เมื่อปัญญาวีมองไปข้างหน้าและพิจารณาว่าด้านหน้าเป็นลักษณะทางโค้งและมีทางลัดถ้าหากเลี้ยวซ้ายที่ซอยข้างตู้โทรศัพท์เก่า เธอจึงรีบเบนเส้นทางและเร่งฝีเท้าไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เพื่อหวังจะไปให้ทันใครอีกคน
และดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างเธอ ทันทีที่เธอวิ่งทะลุออกจากซอยขนาดเล็ก ที่เป็นเส้นทางสำหรับคนเดินเท้าเท่านั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่บุคคลปริศนาวิ่งมาพอดี เธอจึงรีบกระชากเสื้อแล้วเหวี่ยงร่างอัดเข้ากับกำแพงสังกะสีอย่างแรง
โครม!!
"วิ่งหนีกูท..." ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามจบ หมัดที่กำลังจะงัดเสยปลายคางกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอจึงรีบเอี้ยวตัวหลบจนเสียหลักไปทางด้านหลัง ก่อนจะโดนเท้ายันที่กลางหน้าอกจนเธอกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงสังกะสีด้านหลังอย่างจัง
โครม!!!
"แค่ก ๆ แม่งเอ๊ย!!!" ร่างของปัญญาวีทรุดลงกับพื้นพร้อมกับใช้มือกุมที่หน้าอกเอาไว้เพราะจุกจนไม่อาจลุกวิ่งตามต่อไปได้ เธอจึงทำได้แค่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
ทำไมมันรู้แม่ไม้มวยไทยวะ *หนุมานถวายแหวนต่อด้วย **บาทาลูบพักตร์แบบนี้ มันต้องเป็นนักมวยค่ายไหนสักค่ายแน่ ๆ
ปัญญาวีคิดในใจพลางกับพยุงร่างของตนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ท่าแม่ไม้มวยไทยแบบนั้นมันทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล และท่าทางบุคคลปริศนาที่สวมแจ็กเก็ตตัวโคร่งและกางเกงยีนส์สีดำแบบทั้งชุดมันทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอกลับทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะหมวกกันน็อคเต็มใบมันทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย


"พี่ปัญ!!! ทำไมเดินขากะเผลกมาแบบนี้ล่ะคะ!!? แล้วทำไมมอมแมมแบบนี้ล่ะพี่!!?" ทันทีที่ปุณญิสาเห็นสถาพพี่สาวของเธอเดินกลับมาด้วยสภาพเสื้อผ้ามอมแมมและเดินขากะเผลก เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองคนเป็นพี่ทันที
"พี่ล้มน่ะ"
"แล้วพี่ไปล้มได้ยังไงเนี่ย เข้าไปให้คุณหมอตรวจสักหน่อยไหมคะ"
"ไม่เป็นไร กำลังจะวิ่งไปหาเพื่อน แล้วสะดุดเท้าตัวเองล้ม โคตรโง่เลย อายด้วย"
"ฮ่า ๆ ซุ่มซ่ามตลอดอะคุณปัญญาวี แปลกใจจังว่าทำไมเขาให้ไปเป็นบอดี้การ์ด"
"นั่นน่ะสิ เอ้อ! พอดีเลย ปุณโทรบอกพี่โกไปเจอเราที่บ้านหลังใหม่หน่อย นาน ๆ ทีเราจะได้อยู่ด้วยกัน ให้พี่โกมาฉลองที่บ้านเราดีไหม"
"เย่!!! ดีค่ะ ปุณอยากเจอพี่โก"
"อืม งั้นโทรหาให้หน่อยนะ เดี๋ยวพี่ไปเช็ครถก่อน"
"ได้ค่ะ" 
พูดจบปัญญาวีจึงเดินกลับมาที่รถสปอร์ตสีดำด้านของเธอ ก่อนจะสำรวจดูสิ่งผิดปกติรอบ ๆ คันและเธอก็ไม่ลืมที่จะทดสอบเบรคตามที่บอดี้การ์ดหนุ่มรุ่นพี่ได้บอกเอาไว้ ซึ่งทุกอย่างยังคงทำงานได้ดี และไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าบุคคลปริศนานั้นมาทำอะไรกับรถของเธอ และทำไมถึงต้องหนีเธอขนาดนั้น
มันคือใคร...


"แด่น้องปุณคนเก่ง!!"
"แด่น้องปุณคนเก่ง!!"
"เฮ้!!!"
ภายในบ้านหลังใหม่ขนาดพอดีอยู่สไตล์โมเดิร์นมีการสังสรรค์ด้วยปาร์ตี้สุกี้และน้ำอัดลมโดยมีสองพี่น้อง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผิวสีแทนนามว่าโกและชายหนุ่มหุ่นบางที่เปรียบเสมือนเป็นน้องชายของปัญญาวี รวมไปถึงผู้ดูแลบ้านและพี่เลี้ยงสาวของปุณญิสามาร่วมสังสรรค์ด้วย
แม้การสังสรรค์จะไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม แต่ทุกคนกลับเปิดเพลงร้องกันอย่างสนุกสนานตามประสาเจ้าบ้านที่มีแขกมาบ้าน เว้นก็แต่โก ที่เอาแต่มองปัญญาวีพร้อมกับท่าทีที่ดูกระวนกระวายใจจนเธอสังเกตเห็นได้
"พี่โก! เป็นอะไรคะ ไม่สนุกเหรอ"
"ปัญ พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม"
"ได้สิคะ คุยได้เลย"
"พี่ต้องการคุยแบบส่วนตัวน่ะ ไปที่อื่นได้ไหม"
"อะไรพี่โก พี่จะชวนพี่สาวผมเข้าห้องเหรอครับ"
"ไอ้เปี๊ยก!! เดี๋ยวกูต่อย!!! น้องกูเข้าโรงพยาบาลมึงไม่เคยโผล่หน้ามาดูแล พอกูบอกจะเลี้ยงสุกี้มึงนี่ไวจังนะ"
"โธ่พี่ปัญ เรื่องกินเรื่องใหญ่นะพี่ พี่อะรีบไปคุยกับพี่โกเถอะ เอาแต่นั่งมองพี่จนเปี๊ยกจะหมดสนุกแล้วนะ"
"เออ ๆ เชิญค่ะพี่โก ไปในครัวกัน" ปัญญาวีพูดก่อนจะลุกเดินนำหน้าไปก่อน โดยมีชายหนุ่มตามไปแบบติด ๆ 


"พี่มีอะไรจะคุยกับปัญเหรอคะ"
"ปัญ พี่ถามจริง ๆ นะ ปัญทำงานอะไร ทำไมถึงมีบ้าน มีรถหรูขับแบบนี้ ไหนจะค่ารักษาพยาบาลน้องปุณอีก พี่ไม่เชื่อหรอกนะว่าปัญไปสอนศิลปะป้องกันตัว"
"โอเคค่ะ ปัญยอมรับว่าไม่ได้สอนศิลปะป้องกันตัว แต่ปัญไม่ได้ไปทำสิ่งไม่ดี หรือสิ่งผิดกฎหมายหรอกน่าพี่โก ทั้งหมดมันคือค่าตอบแทนน่ะ"
"ปัญ! ค่าตอบแทนที่มันเกินตัวขนาดนี้มันจะเป็นงานอะไรได้อะ ปัญคงไม่ได้ไปเป็นเด็กเสี่ยหรอกใช่ไหม"
"เดี๋ยวนะพี่!! พี่เห็นปัญเป็นคนยังไง!?"
"พี่รู้ว่าปัญเป็นคนดี แต่ตอนนั้นปัญตกอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าตาจนแบบนั้น แล้วอยู่ดี ๆ ปัญก็มีทุกอย่างแบบนี้มันทำให้พี่กลัว กลัวว่าปัญจะทำอะไรบ้า ๆ"
"พี่โก ปัญทำงานเป็นบอดี้การ์ดค่ะ" สิ้นเสียงของปัญญาวี ชายหนุ่มจึงนิ่งไปทันที แต่ท่าทีของเขาก็ยังคงดูกระวนกระวายใจเพราะสายตาที่ดูลอกแลกมันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้
"พี่มีเรื่องอะไรจะคุยกับปัญกันแน่ พี่คงไม่ได้กระวนกระวายใจเรื่องงานของปัญแค่นั้นหรอกใช่ไหม" เมื่อปัญญาวีพูดจบ ชายหนุ่มจึงเหลือบสายตาไปทางซ้ายก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาว ๆ แล้วเขาก็กลับมาใช้สายตาขึงขังจ้องมองปัญญาวีจนเธอถึงกับคิ้วขมวดกับท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน
"ปัญ...เหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็จบไปแล้ว พี่ไม่รู้ว่าควรรื้อฟื้นหรือเปล่า แต่ปัญไม่เอะใจหน่อยเหรอ ว่าทำไมค่ายมวยเจตคติถึงไฟไหม้"
"อะไรของพี่เนี่ยพี่โก"
"ปัญ! ปัญไม่สงสัยสาเหตุจริง ๆ เหรอ"
"เจ้าหน้าที่บอกว่าไฟฟ้าลัดวงจรนี่พี่โก ทำไมปัญต้องสงสัยด้วย"
"คนอย่างลุงปองเนี่ยนะจะสะเพร่าจนทำให้เกิดไฟไหม้ค่ายมวยได้ ปัญคิดดูดี ๆ จะสืบหาความจริงตอนนี้มันก็ยังทันนะปัญ"
"นี่พี่ต้องการจะบอกอะไรปัญกันแน่ ต่อให้พ่อไม่ได้เป็นคนสะเพร่าจนทำให้ไฟไหม้ ก็มีเด็กในค่ายมวยหลาย ๆ คน ที่มีโอกาสสะเพร่าได้นะพี่โก"
"แล้วถ้าพี่จะบอกว่ามันเป็นการลอบวางเพลิงล่ะ ปัญจะเชื่อพี่ไหม"
"พี่พูดอะไรของพี่วะ"
"เพราะแบบนี้แหละ พี่ถึงอยากให้ปัญไปหาพี่ที่บ้าน แต่ไม่เป็นไร พี่ถ่ายรูปกับเอาคลิปจากกล้องวงจรปิดมาด้วย เพราะคิดว่าวันนี้ต้องได้คุยกับปัญให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้พี่ว่ามันไม่เหมาะ ขอไปคุยในห้องที่มันลับตาคนกว่านี้หน่อยได้ไหม"
"ได้ค่ะ งั้นพี่ตามปัญมา" เมื่อพูดจบ ปัญญาวีจึงเดินนำเขาไปบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนโดยเฉพาะ จึงได้ยินเสียงร้องแซวจากน้องชายตัวแสบตามไล่หลังมา จนเธอต้องหันไปมองตาขวาง
ทันทีที่ประตูห้องนอนปิดสนิท โกจึงล็อกประตูเอาไว้ ก่อนจะรีบล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดภาพถ่ายให้ปัญญาวีดูทันที 
"ปัญดูรูปนี้ นี่คือถังน้ำมันที่ตกอยู่ข้าง ๆ จุดเกิดเหตุ พี่สันนิษฐานว่ามันเป็นการรอบวางเพลิง"
ปัญญาวีเพ่งมองรูปภาพถังน้ำมันสีเขียวเข้มที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ข้างจุดเกิดเหตุ ซึ่งมันไม่ถูกเผาไหม้ไปด้วย อาจจะเพราะมันตกอยู่บริเวณที่เจ้าหน้าที่ดับเพลงฉีดน้ำถึงพอดี แต่แค่รูปถังน้ำมัน ปัญญาวีจึงไม่ปักใจเชื่อในทันที
"มีหลักฐานเพิ่มเติมไหมคะ นอกจากถังน้ำมัน"
"แน่นอน ส่วนนี่...คือพี่ถ่ายจากกล้องวงจรปิดบ้านเจ๊ดาที่เป็นร้านขายของชำ ปัญดูดี ๆ นะ คืนก่อนเกิดเหตุ มันมีลูกค้าคนหนึ่งเข้าไปซื้อน้ำมันที่ร้านเจ๊ดา ซึ่งมันทำให้พี่ตกใจมาก เพราะคนคนนั้นคือ..."
"ไอ้เปี๊ยก!!!" ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดจบ ปัญญาวีก็พูดแทรกขึ้นมา เธอถึงกับอึ้งเมื่อเห็นภาพจากวิดีโอกล้องวงจรปิดร้านขายของชำ ซึ่งบุคคลในวิดีโอนั้นคือชายหนุ่มหุ่นบางที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี หัวใจของเธอกำลังเต้นตึกตักด้วยความร้อนใจ มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน
"ไม่จริงน่าพี่โก มันอาจจะซื้อน้ำมันไปเติมก็ได้นะ"
"เติมให้ใครปัญ พี่ต้องถามแบบนี้ เปี๊ยกมันไม่มีรถนะ"
"เด็กที่ค่ายคนอื่นก็มีไหมพี่โก รถพ่อปัญก็มีสิทธิ์เป็นไปได้มากด้วย การที่พี่กล่าวหาน้องมันแบบนี้ ปัญเอาผิดพี่ได้นะ"
"ว่าแล้วหลักฐานแค่นี้มันจะมัดตัวไม่ได้ แล้วปัญรู้ไหม ว่าช่วงที่น้องปุณเข้าโรงพยาบาล เปี๊ยกมันหายไปไหน ทำไมมันไม่เคยมาเยี่ยมเลย"
"ปัญจะไปรู้ได้ยังไงพี่โก น้องมันอาจจะกลับไปอยู่ดูแลแม่ก็ได้นะ"
"ก่อนที่ค่ายมวยจะไฟไหม้ พี่เห็นไอ้เปี๊ยกมันออกจากบ้านเฮียตั้วทุกวันคืน ปัญคิดดูดี ๆ นะ ว่ามันจะไปทำอะไรที่นั่นบ่อย ๆ"
"มันไปกู้เงินเหรอพี่โก"
"คนรวย ๆ อย่างเฮียตั้ว มันจะทำอะไรได้ล่ะปัญ ถ้าไม่เปิดบ่อน ที่พี่ร้อนใจเพราะอยู่ดี ๆ ไอ้เปี๊ยกมันก็มีเงินเข้าบ่อน ก่อนที่ไฟจะไหม้ค่ายมวย และหลังจากนั้นไม่นาน ปัญก็มีทุกอย่าง จนพี่แปลกใจว่าทุกคนไปเอาเงินมาจากไหน แต่ถ้าปัญยืนยันว่าปัญเป็นบอดี้การ์ดพี่ก็เข้าใจ"
"พี่โก ปัญงงไปหมดแล้ว พี่ดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า นี่พี่โยงมั่วหมดแล้วนะ ไฟไหม้ค่ายมวยแล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้เปี๊ยกมีเงินเข้าบ่อน แล้วถ้ามันเข้าบ่อนจริง ๆ มันจะวางเพลิงค่ายมวยทำไม มันเปรียบเสมือนน้องชายของปัญนะพี่ มันไม่ทำแบบนั้นหรอก มันเป็นไปไม่ได้เลย"
"แล้วถ้ามันติดพนันจนกลายเป็นหมาจนตรอกต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะไปใช้หนี้เฮียตั้ว มันจะเป็นไปได้ไหม ที่มันจะถูกจ้างให้เผาค่ายมวย"
"เพื่ออะไรพี่โก พี่พูดแบบนี้เพื่ออะไรวะ!!!?" ปัญญาวีคว้าที่คอเสื้อของชายหนุ่มด้วยความโกรธ แววตาของเธอจ้องเข้าไปนัยต์ตาของชายหนุ่มที่ไม่มีความลอกแลกเหมือนก่อนหน้า เพราะเขาจ้องเธอกลับราวกับต้องการจะสื่อสารให้เธอรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้โกหก
"ปัญจะไม่เชื่อพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่ลองคิดตามพี่นะ ก่อนที่ค่ายมวยจะไฟไหม้ ไอ้เปี๊ยกมันไปบ้านเฮียตั้วทุกคืน ซึ่งพี่มั่นใจได้ว่ามันติดการพนัน และมันต้องเป็นหนี้แน่ ๆ แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ค่ายมวยเจตคติก็ไฟไหม้ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาเสนองานพร้อมกับเงินจำนวนมากที่ทำให้ปัญได้ทั้งบ้าน รถ และค่ารักษาพยาบาลน้องปุณ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาไล่เรี่ยกันขนาดนี้ มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ" สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม มือทั้งสองข้างที่กำลังกำที่คอเสื้อก็คลายออกทันที ขาก็พาอ่อนแรงจนเธอถึงกับเซไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนขนาดห้าฟุต 
ทุกอย่างมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่พี่โกสันนิษฐาน แต่มันก็มีทางเป็นไปได้สูงมาก ใช่...มันดูบังเอิญเกินไป ที่ทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันขนาดนี้ แต่ถ้าสิ่งที่พี่โกพูดเป็นเรื่องจริง เรื่องทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูหรือเปล่า และคนที่จ้างให้ลอบวางเพลิงค่ายมวยของพ่อ...'มันคือใคร'
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“เอาแล้วววว ต่อจากนี้เนื้อเรื่องจะเริ่มเจ้มจ้นแล้วนะคะ เหตุการณ์เพลิงไหม้ค่ายมวยเจตคติจะเกี่ยวข้องอะไรกับการที่ปัญญาวีต้องเป็นบอดี้การ์ดมั้ยน้าาา แล้ว เปี๊ยก ถูกจ้างลอบวางเพลิงจริงหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ เพิ่มเติมนะคะ * ท่าหนุมานถวายแหวน คือท่าแม่ไม้มวยไทยที่ฝ่ายรุกจะใช้หมัดคู่เสยเข้าที่ปลายคางคู่ต่อสู้ ** บาทาลูบพักตร์ ตามจริงแล้วท่านี้จะใช้เท้ายันที่ใบหน้าหรือปลายคางคู่ต่อสู้ แต่ปัญญาวีโดนยันที่หน้าอกเท่านั้นค่ะ”