2 ปีก่อน
"ครูจะให้ทุกคนมาลงชื่อเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวนะครับ ตามที่ครูแจ้งไว้ก่อนหน้าว่ากิจกรรมนั้นมีหลากหลายอาชีพให้เลือกถึง 10 อาชีพด้วยกัน แต่นักเรียนสามารถเลือกเข้าอบรมแต่ละอาชีพได้แค่เพียงคนละ 1 กิจกรรมเท่านั้น ส่วนอบรมศิลปะป้องกันตัวจะเป็นกิจกรรมพิเศษนะครับ เพราะวิทยากรว่างมาอบรมให้แค่วันพรุ่งนี้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส ทุกคนต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจนะครับ เลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจจริง ๆ เพราะมันเป็นอนาคตของเราเอง อย่าเลือกตามเพื่อน ใครพร้อมแล้วมาลงชื่อเลยครับ"
สิ้นเสียงประกาศจากคุณครูหนุ่มฝ่ายแนะแนว เหล่านักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้ายต่างทยอยไปลงชื่อเข้าร่วมกิจกรรมบนกระดาษที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้านหน้าหอประชุม ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวและเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ทุกคนต่างเลื่อนเก้าอี้เพื่อจะเดินไปลงชื่อนั้น ยังเหลือเด็กสาวสองคนที่ยังนั่งหน้าเครียดพร้อมกับอ่านโบชัวร์ที่ถืออยู่ในมือ
"จะจัดแนะแนวทั้งทีทำไมไม่แนะแนวรวมอะ เผื่อใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร"
"อาทิตย์หน้ารุ่นพี่ศิษย์เก่าก็จะมาแนะแนวเกี่ยวกับเรื่องเรียนแต่ละสาขาวิชาไง จะได้เจาะลึกลงไปอีกว่าแต่ละอาชีพจะต้องเรียนสาขาอะไร อาทิตย์นี้คุณครูเลยให้แต่ละอาชีพมาด้วยตัวเองก่อน มันก็เป็นการสานฝันให้นักเรียนเลยนะที่จะได้อบรมกับเจ้าของอาชีพแบบนี้"
"ก็จริง แต่เราว่ามันก็ควรแนะแนวรวมไปก่อนไหม เรายังไม่รู้เลยอะ ว่าเราชอบอะไรกันแน่ ไปไหนดีอะณิ เชฟก็อยากไป แอร์โฮสเตสก็น่าสน"
"มุกก็เลือกสิ่งที่มุกสนใจจริง ๆ สิ คือมันก็เป็นการสานฝันให้เด็กได้ใกล้ชิดเจ้าของอาชีพเฉย ๆ ไม่ได้แปลว่าเราต้องเลือกเรียนสายนั้นนี่นา มีแค่ 10 อาชีพเอง มันก็ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมดหรอก"
"อืม นั่นสินะ แล้วณิจะไปอบรมอาชีพอะไรอะ"
"เราว่าจะไปอบรมศิลปะป้องกันตัวอะ มุกไปกับเราไหม"
"เดี๋ยวนะ เธอควรที่จะเลือกอบรมเกี่ยวกับวิชาชีพไหมณิ ไม่ใช่ไปเลือกกิจกรรมเสริม"
"คือเรารู้ไงมุก ว่าจบไปยังไงเราก็ต้องได้ไปดูแลธุรกิจต่อคุณพ่ออยู่ดี เราเลยคิดว่าไปอบรมสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองก็ดีเหมือนกัน มุกไปกับเรานะ"
"โอ๊ย ไม่เอาด้วยนะ!! มีกิจกรรมให้เลือกตั้งเยอะ ทำไมต้องเลือกอบรมศิลปะป้องกันตัวด้วยเนี่ย" เด็กสาวผมสีดำ ถึงกับทำหน้าเหยเกเมื่อถูกเพื่อนรักชักชวนให้ไปเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่เหมาะกับคุณหนูอย่างเธอเอาเสียเลย
"นะมุก ไปอบรมเป็นเพื่อนหน่อยน้า"
"ครูปรีชาก็บอกอยู่ว่าอย่าเลือกตามเพื่อน แล้วคุณหนูตัวบอบบางแบบเธอจะไปอบรมศิลปะป้องกันตัวทำไม บอดี้การ์ดก็มีไหมณิ"
"ก็เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินไงมุก ใครจะมาปกป้องเราได้ตลอดเวลา ศึกษาไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา"
"งั้นเราก็คงต้องแยกกันไปแล้วแหละ เราไม่อยากเจ็บตัวอะ มันต้องได้ต่อยได้เตะแน่เลย ไม่เอาอะ ไม่เด็ดขาด"
"โอเค ๆ เราแยกกันไปก็ได้" เด็กสาวผมหน้าม้าบาง ๆ พูดพลางกับทำหน้างอแก้มป่อง แต่เพื่อนสาวก็ไม่ได้ใจอ่อนแต่อย่างใด เพราะการอบรมที่จะได้ใกล้ชิดกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ น่ะสิ
"เราไปอบรมทำอาหารดีกว่า อยากเจอเชฟเปียนตัวเป็น ๆ อะ"
"อืม โอเคจ้า เราไม่บังคับมุกหรอก งั้นไปลงชื่อกัน"
"สวัสดีค่ะ พี่ชื่อปัญญาวีนะคะ หรือจะเรียกว่าพี่ปัญก็ได้ ซึ่งพี่รับหน้าที่เป็นวิทยากรที่จะสอนน้อง ๆ เกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวในวันนี้ค่ะ ก่อนอื่นเลยพี่อยากขอบคุณน้อง ๆ ทุกคนมากนะคะที่ร่วมลงชื่อมาอบรมด้วยกัน บรรยากาศก็จะอบอุ่นหน่อย ๆ เนาะ"
หญิงสาวร่างสูงโปร่งมัดผมเก็บรวบเป็นระเบียบ แต่งกายด้วยเสื้อโปโลและกางเกงคาร์โก้สีดำแบบทั้งชุด ทำให้เธอดูดีราวกับเป็นหน่วยรบหญิงเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอยืนพูดอยู่ต่อหน้านักเรียนที่เข้าร่วมอบรมแค่เพียง 12 คนเท่านั้น ทำให้บรรยากาศดูเป็นกันเองและได้ใกล้ชิดกับวิทยากรเป็นพิเศษ
"โห...พี่ปัญมาเองเลยเหรอวะ คิดถูกแล้วว่ะที่กูมาอบรมศิลปะป้องกันตัว"
"เออ ผู้หญิงอะไรวะโคตรเท่เลย แถมยังสวยอีก ใครจะไปคิดว่าพี่ปัญเป็นแค่ลูกสาวค่ายมวย ถ้าบอกว่าพี่ปัญเป็นทหารกูก็เชื่อนะ"
ณิชาถึงกับหันขวับเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเธอกำลังคุยกันถึงหญิงสาวที่รับหน้าที่เป็นวิทยากร เพราะเธอเองก็คิดว่าหญิงสาวที่ชื่อปัญญาวีนั้นก็เป็นถึงหน่วยรบพิเศษเสียด้วยซ้ำ ผู้หญิงที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบนั้น เป็นลูกสาวค่ายมวยหรอกหรือ
"นาย ๆ พี่เขาคือใครเหรอ" เธอเอ่ยถามด้วยความสนใจ
"พี่ปัญไง ลูกสาวค่ายมวยเจตคติ ไม่รู้จักเหรอ ส.เจตคติ"
"ไม่อะ เราไม่เคยดูมวย"
"อะไรของเธอ พี่ปัญออกทีวีบ่อยจะตาย พี่ปัญไม่ได้ต่อยมวยสักหน่อย แต่พี่ปัญเป็นครูสอนศิลปะป้องกันตัว"
"อ๋อ..." ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอต้องไม่ชื่นชมหญิงสาววิทยากรคนนั้นเลย นอกจากจะดูดีแล้ว แถมยังเก่งแบบนี้เป็นใครก็ต้องชื่นชมทั้งนั้น แต่ทำไมทุกครั้งที่วิทยากรสาวมองมาทางเธอพร้อมกับรอยยิ้ม หัวใจดวงน้อยของเธอถึงต้องเต้นแรงทุกครั้งด้วยนะ
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
"ต่อไปเป็นระยะประชิดกรณีที่ผู้ร้ายไม่มีอาวุธนะคะ เดี๋ยวพี่ขอน้องผู้หญิงมาเป็นอาสาสมัครได้ไหมคะ" วิทยากรสาวพูดพร้อมกับผายมือมาทางณิชาที่กำลังนั่งหอบแฮกจากการสาธิตการเข้าคู่แบบมีอาวุธก่อนหน้า เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับหันรีหันขวาเพราะมีผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเธอถึง 4 คนด้วยกัน
"คะ!? หนูเหรอคะ" ถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัว
"ใช่ค่ะ น้องนั่นแหละ" เธอตอบด้วยรอยยิ้ม จนณิชาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย ซึ่งหากยืนเทียบกันแล้วนั้น เธอสูงถึงเพียงปากวิทยากรสาวเท่านั้น
"วิธีนี้ จะเป็นวิธีเอาตัวรอดเมื่อถูกบีบคอนะคะ พี่ขออนุญาตนะคะ" พูดจบวิทยากรสาวจึงเดินมายืนอยู่ต่อหน้าแล้ววางมือเอาไว้แบบหลวม ๆ บริเวณต้นคอ ซึ่งการกระทำและกลิ่นที่ตีเข้าจมูกมันทำให้หัวใจของณิชาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประสาทการได้ยินของเธอก็หยุดทำงานแบบฉับพลันจนไม่ได้ยินเสียงของวิทยากรสาวที่กำลังพูดสาธิตแม้แต่น้อยราวกับตกอยู่ในภวังค์
หอมจัง...เหมือนกลิ่นอโรมาเลย...
"น้องคะ ได้ยินพี่ไหมคะ น้องคะ!!"
เมื่อวิทยากรสาวรู้สึกว่าอาสาสมัครของเธอยืนแน่นิ่งไป เธอจึงใช้สองมือจับที่บ่าแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนเด็กสาวร่างบางจะสะดุ้งโหยงขึ้น แต่เมื่อณิชาก้มศีรษะลงเพื่อหวังจะขอโทษที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่วิทยากรสาวก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ พอดี ทำให้หน้าผากของณิชาโขกกับริมฝีปากอีกคนแบบเต็มแรง
"ขอ..."
ปึก!!
"โอ๊ย!!/โอ๊ย!!!" เสียงอุทานดังลั่นก่อนทั้งสองจะผละออกจากกันไปคนละทาง คนหนึ่งนั่งกุมหน้าผากตัวเองเอาไว้ อีกคนใช้มือปิดปากตัวเองพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดในปากท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้เข้าอบรมคนอื่น ๆ และทีมงานของวิทยากรนับ 10 คน
.
.
.
.
.
วันนั้นเป็นวันที่ฉันกับคุณปัญได้เจอกันครั้งแรก ซึ่งเธอเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนจะเป็นลมล้มพับเอาให้ได้ ถึงแม้เราจะมีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันทำให้ฉันได้เห็นด้านที่อ่อนโยนของคุณปัญ ใครจะไปคิดล่ะ ว่าคุณปัญจะรีบมาลูบหน้าผากของฉันทันทีที่สติตัวเองกลับมา แล้วก็เป่าหน้าผากให้ฉันทั้งที่ตัวเองก็มีเลือดไหลออกจากปากขนาดนั้น คุณปัญไม่ได้ห่วงตัวเองเลยสักนิด...คุณปัญอาจจะจำฉันไม่ได้ แต่ฉันจำเธอได้แบบขึ้นใจ ฉันไม่อาจลืมผู้หญิงที่อ่อนโยนคนนั้นได้เลย...
ณิชาเอาแต่คิดถึงอดีตที่ได้เจอกับปัญญาวีเป็นครั้งแรกก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มและหัวเราะคิกคักกับความเปิ่นของเธอเองจนทำให้ต้องเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งเป็นที่ประจำที่เธอมักจะมานั่งมองดวงจันทร์ที่กำลังสะท้อนแสงสว่างยามค่ำคืน...คิดถึงวันนั้นจริง ๆ ปัญญาวีก็ไม่ต่างกับดวงจันทร์ที่งดงาม ก่อนเธอจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยท่าทีที่สลดลง
คุณดวงจันทร์คะ ช่วยให้แม่ของคุณปัญอโหสิกรรมให้ณิด้วยนะคะ...
ครืด ครืด ครืด ~
ทันทีที่โทรศัพท์เครื่องใหม่สั่นครืดอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ปัญญาวีที่กำลังนั่งหวีผมที่ถูกเป่าจนแห้งสนิทแล้วจึงวางหวีลงบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ทำไมโทรมาเอาป่านนี้กันนะ...
"ฮัลโหลปุณ ทำไมโทรมาดึกจังล่ะ"
"ปัญ นี่พี่โกเองนะ"
"อ้าว! พี่โก! สวัสดีค่ะ เห็นน้องปุณบอกว่าพี่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับปัญเหรอคะ"
"อืม พี่พยายามติดต่อหาปัญหลายวันแล้ว เพิ่งรู้จากน้องปุณนี่แหละว่าปัญเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่"
"อ๋อ ใช่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีปัญสามารถติดต่อได้เฉพาะคนที่บ้านน่ะค่ะ"
"ปัญ ปัญทำงานอะไรกันแน่ ทำไมถึงติดต่อกับใครไม่ได้แบบนี้ล่ะ"
"เป็นครูสอนศิลปะป้องกันตัวไงคะ"
"ครูสอนศิลปะป้องกันตัว มันต้องทำขนาดนี้เลยเหรอปัญ"
"ทำไงได้ล่ะคะ คงไม่อยากให้ใครรู้ล่ะมั้งคะ ว่าจ้างปัญมาสอนแบบส่วนตัว"
"พี่ไม่เข้าใจเลย"
"เอาน่าพี่โก แล้วเรื่องสำคัญที่อยากคุยกับปัญคือเรื่องอะไรคะ"
"คือ...พี่อยากคุยต่อหน้าน่ะปัญ มันเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถคุยผ่านโทรศัพท์ได้ ปัญพอจะมีเวลามาหาพี่ไหม"
"อืม...ไม่แน่ใจเลยค่ะพี่โก ปัญต้องอยู่ที่บ้านพักตลอด แต่เดี๋ยวจะลองขอเขาดูนะคะ ว่าจะอนุญาตให้ออกไปไหม"
"มาให้ได้นะปัญ มันเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ"
"งั้นบอกปัญก่อนไม่ได้เหรอคะว่าเรื่องอะไร ถ้ามันด่วนมาก ปัญจะได้ขอเขาออกไปหาคืนนี้เลย"
"จริงเหรอ แต่พี่ยังบอกไม่ได้ มันต้องได้คุยกันต่อหน้าจริง ๆ เอาเป็นว่าถ้าออกมาได้ ให้ปัญมาหาพี่ที่บ้านนะ"
"ได้ค่ะพี่โก งั้นเดี๋ยวปัญไปส่งคุณ...เอ่อ...เดี๋ยวปัญขอตัวไปคุยกับเขาก่อนนะคะ"
"ได้ครับ พี่จะรอนะปัญ"
"โอเคค่ะ"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ขออนุญาตค่ะคุณหนู"
"เชิญค่ะคุณปัญ" สิ้นเสียงตอบรับ ประตูเชื่อมระหว่างสองห้องก็เปิดออกช้า ๆ ณิชาจึงหันไปด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้านอนแล้ว เธอมองหญิงสาวร่างสูงโปร่งพลางกับอมยิ้ม ถึงแม้เธอจะชอบลุคบอดี้การ์ดสาวที่แต่งตัวเนี้ยบและเซ็ตผมเปิดหน้าผากก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเวลาเห็นผมสีดำประบ่าปกลงมานั้นมันทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวทุกครั้ง บวกกับชุดนอนที่สวมอยู่ ไม่ว่าจะสวมชุดอะไร ปัญญาวีก็ยังคงดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่ดี
"คุณหนูแปรงฟันหรือยังคะ"
"ณิว่าคงไม่ต้องถามแล้วมั้งคะ"
"ทำไมล่ะคะ"
"คุณพิสูจน์ได้นี่นา" ตอบพลางกับอมยิ้มก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่นด้วยความเขินอาย เพราะอีกคนก็ยืนส่งยิ้มมาให้เธอเช่นกัน
เมื่อบอดี้การ์ดสาวได้ยินอย่างนั้นเธอจึงเดินเข้าไปหาคุณหนูที่นั่งรออยู่บนเตียงแล้ว ก่อนเธอจะประคองใบหน้าให้แหงนขึ้นแล้วก้มลงประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างอ่อนโยน
ณิชาเปิดปากตอบรับจูบอย่างรู้งานจนรับรู้ได้ถึงริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของบอดี้การ์ดสาวพร้อมกับความหอมหวานจากยาสีฟันกลิ่นเปปเปอร์มินต์ที่วันนี้ดูจะหอมหวานเป็นพิเศษ มันรสชาติดีจนอยากจะลิ้มรสไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งค่ำคืนเลยก็ยังได้ แต่เมื่อเธอเอื้อมมือสัมผัสที่บริเวณต้นคอของบอดี้การ์ดสาวเธอก็ต้องรีบผละริมฝีปากออกทันที
"คุณปัญคะ ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะคะ!?"
"น่าจะไม่สบายนิดหน่อยน่ะค่ะ เมื่อคืนฉันไม่ได้ห่มผ้าเลย แถมวันนี้ต้องนั่งรอหน้าหอสมุดอากาศร้อน ๆ แล้วก็เข้าไปหาคุณหนูในห้องแอร์แบบนั้น ร่างกายคงปรับไม่ทัน"
"ณิขอโทษ..." ณิชาตอบด้วยท่าทีที่สลดลงราวกับลูกแมวน้อยที่กำลังสำนึกผิด ปัญญาวีถึงกับอมยิ้มกับท่าทีของเธอก่อนจะประทับริมฝีปากที่หน้าผากและผละออกด้วยรอยยิ้ม
"ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันกินยาแล้ว แค่นอนพักก็หายแล้วค่ะ"
"แน่นะคะ คุณจะไม่ป่วยหนักเหรอคะคุณปัญ"
"ไม่หรอกค่ะ ฉันเป็นบอดี้การ์ดนะคะ ลืมไปแล้วเหรอ"
"ไม่ลืมค่ะ แต่คุณตัวร้อนขนาดนี้ ณิกลัวว่าคุณจะเป็นหนัก"
"ไม่หนักค่ะ ฉันไม่เคยป่วยหนัก มากสุดก็แค่ปวดหัว และฉันก็กินยาแล้วด้วย คุณสบายใจได้"
"จริงนะคะคุณปัญ ถ้าคุณป่วยณิคงรู้สึกผิดมากแน่ ๆ"
"พอแล้วค่ะ ไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว นอนได้แล้วนะคะคุณหนู"
"ค่ะ" แม้จะเป็นห่วงบอดี้การ์ดสาวมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ต้องโน้มตัวลงนอนอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากเป็นเด็กดื้อให้อีกคนต้องเป็นห่วงเช่นกัน เมื่อปัญญาวีนั่งลงบนเตียง ณิชาจึงยื่นแขนออกมาวางไว้พร้อมกับเปิดผ้าห่มออก จนบอดี้การ์ดสาวเอียงคอเลิกคิ้วด้วยความฉงน
"คะ?"
"มาสิคะ มานอนหนุนแขนณิ"
"ทำไมล่ะคะคุณหนู"
"วันนี้ณิใจร้ายกับคุณ ตอนนี้ณิจะไถ่โทษด้วยการดูแลคุณเองค่ะ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหนู ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าแค่นอนพักเดี๋ยวก็หาย"
"มานะคะ มานอนตรงนี้ค่ะ อย่าดื้อ" บอดี้การ์ดสาวถึงกับพ่นลมหายใจออกยาว ๆ ที่เห็นอีกคนยังเปิดผ้าห่มรอเธออยู่ ใครกันแน่นะที่ดื้อ
ปัญญาวีโน้มตัวลงนอนหนุนแขนคุณหนูณิชาแต่โดยดี ก่อนผ้าห่มผืนหนาจะคลุมให้ความอบอุ่น เธอจึงโอบกอดร่างบางเอาไว้พร้อมกับที่ณิชาก็กระชับเรียวแขนโอบกอดเธอให้แน่นขึ้น ณิชาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างในอ้อมกอดจนเธอเองรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด เธอจึงประทับรอยจูบที่หน้าผากบอดี้การ์ดสาวอย่างแผ่วเบา พร้อมกับใช้นิ้วโป้งข้างซ้ายที่ยังว่างอยู่นวดวนที่บริเวณขมับช้า ๆ
"หน้าผากร้อนมากเลยค่ะคุณปัญ" ริมฝีปากที่แตะอยู่หน้าผากนั้นรู้สึกได้ถึงไอร้อนจนอดเป็นห่วงไม่ได้
"คุณหนูไม่ต้องนวดก็ได้นะคะ ฉันไม่ปวดหรอก คุณจะเหนื่อยเปล่า ๆ"
"งั้นถ้าคุณไม่ปวด ณิก็จะนวดให้คุณรู้สึกผ่อนคลายนะคะ ตอบแทนที่คุณทำงานหนัก ตอบแทนที่คุณดูแลณิอย่างดีมาตลอด"
เสียงหวานที่พูดอย่างอ่อนโยนพร้อมกับมือนุ่ม ๆ ที่กำลังนวดศีรษะให้อยู่นั้นทำให้ปัญญาวีรู้สึกผ่อนคลายและอุ่นใจในคราวเดียวกัน กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ที่คละคลุ้งออกมานั้นมันทำให้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่แล้วหัวใจของเธอก็ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อคิดถึงภาพที่สาวสวยที่ชื่อแอนนาแอบจุมพิตเจ้าหญิงของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกจนเผลอกอดร่างบางให้แน่นขึ้นแบบไม่รู้ตัว
"คุณปัญคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ กอดณิแน่นจัง"
"คุณหนูคะ มันอาจจะเป็นเรื่องเสียมารยาทนะคะถ้าฉันจะถามเรื่องนี้กับคุณ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันมันร้อนรุ่มไปหมดเพราะคำพูดของคุณแอนนา"
"พี่แอนนาพูดอะไรคะ"
"คุณแอนนาบอกว่าคุณหนูเคยเป็นของเขามาก่อน...ที่คุณหนูเคยมีอะไรกับเขา...มันเป็นเรื่องจริงไหมคะ" สิ้นคำถาม ณิชาถึงกับชะงัก
"คุณเชื่อเขาเหรอคะ"
"เพราะไม่เชื่อนี่แหละค่ะ ฉันถึงหงุดหงิด อยากจะซัดหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย"
"แล้วถ้า...มันเป็นเรื่องจริงล่ะคะ คุณจะรังเกียจณิหรือเปล่า..." บอดี้การ์ดสาวถึงกับเจ็บแปลบในใจราวกับเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจของเธอ เธอผละออกจากอ้อมกอดช้า ๆ ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นหนุนหมอนแล้วใช้มือขวาเอื้อมมือมาสัมผัสที่ใบหน้านุ่มเอาไว้ แววตาของคุณหนูณิชาที่มองมานั้นดูว่างเปล่าจนเธอไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่
"ฉันไม่รังเกียจคุณหนูหรอกค่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะเคยเป็นของใครมาก่อน และคุณจะเคยจูบใครมาแล้วก็ตาม"
"คุณปัญคะ...ณิเพิ่งสิบเก้า"
"ทำไมเหรอคะ"
"คุณปัญเป็นจูบแรกของณินะคะรู้เอาไว้ด้วย"
"งั้นก็หมายความว่า...คุณหนู...ไม่เคยมีอะไรกับคุณแอนนาเหรอคะ"
"ขนาดจูบยังไม่เคยเลยค่ะ ณิจะไปมีอะไรกับพี่แอนนาได้ยังไง คนบ้า!!" มันอดน้อยใจไม่ได้เลยจริง ๆ ที่บอดี้การ์ดสาวเชื่อเรื่องหลอกลวงของผู้หญิงคนนั้น ณิชาจึงใช้กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงที่หน้าอกของเธอ พร้อมกับทำหน้างอ ทำเอาปัญญาวีถึงกับยิ้มแป้นด้วยความดีใจ
"ยิ้มอะไร ไม่ต้องมายิ้มเลย!"
"งอนเหรอคะคุณหนู"
"ใช่ และคุณก็หึงณิด้วย รู้ตัวหรือเปล่าคะ"
"ไม่รู้เลยค่ะ"
"คุณนี่มันบ้าที่สุดเลย แล้วตอนที่พี่แอนนาพูดแบบนั้นคุณรู้สึกยังไงล่ะคะ"
"รู้สึกหงุดหงิดค่ะ อยากต่อยปาก หัวใจฉันเต้นแรงมาก เหมือนมันจะระเบิดเอาให้ได้"
"คุณหึงณิขนาดนั้นคุณยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะ อยากโดนทุบอีกสักทีไหมคะ ถึงจะรู้ตัว!" เมื่อกำปั้นน้อย ๆ กำลังจะทุบลงที่หน้าอกอีกครั้ง บอดี้การ์ดสาวจึงรีบกุมมือเธอเอาไว้ทันที ก่อนจะก้มลงจูบที่หลังมือจนณิชาถึงกับอ้าปากเหวอ เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะทำแบบนั้นกับเธอ
"คุณจูบมือณิทำไม"
"อยากจูบไปหมดเลยค่ะ เอ็นดู อยากจูบตั้งแต่หัวไปถึงเท้าเลย ไม่อยากให้ใครมาแย่งไปเลยค่ะ ไม่อยากให้ใครมาจับตัวคุณหนูด้วย กลัวคุณหนูของฉันจะแปดเปื้อน"
"ฮ่า ๆ ขี้หวงนะคะรู้ตัวไหม"
"ไม่รู้ตัวเลยค่ะ"
"คุณปัญ!! ณิอยากทุบคุณจัง!! อยากตี ๆ ๆ ให้ตายคามือเลย!!" เวลาเจ้าหญิงตัวน้อยทำหน้างอแก้มป่องนี่แสนจะน่ารักจริง ๆ บอดี้การ์ดสาวเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นใช้แขนสอดเข้าไปที่ใต้ลำคอ ก่อนจะช้อนร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเธอราวกับกอดตุ๊กตา เธอประคองศีรษะของอีกคนให้ซบลงที่หน้าอกเอาไว้ ก่อนจะลูบผมสีน้ำตาลช้า ๆ ซึ่งร่างในอ้อมกอดก็พยายามดิ้นและผละออกแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของเธอได้จึงได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น
"ปล่อยณิเลยนะคะ ไม่อนุญาตให้กอดค่ะ"
"อยากดื้อจังเลยค่ะ ขอกอดต่อนะคะ"
"คุณปัญ!!"
"รู้แล้วค่ะคุณหนู ฉันรู้ตัวแล้วว่ารู้สึกยังไงกับคุณ ไม่กลับไปได้ไหมคะ ไม่กลับไปหาคุณแอนนาได้ไหมคะ ต่อให้คุณหนูจะเคยรักเขามากแค่ไหนคุณอย่ากลับไปได้ไหมคะ..."
"ณิให้คุณนอนกอดแล้วก็จูบณิขนาดนี้ คุณยังกลัวว่าณิจะกลับไปหาพี่แอนนาอีกเหรอคะคุณปัญ ขนาดคนเป็นแฟนยังไม่เคยได้ทำแบบนี้กับณิเลย แต่ณิให้คุณทำอะ มันไม่ได้แปลว่าคุณสำคัญที่สุดในชีวิตณิเหรอคะ"
"ขอบคุณนะคะ แต่ถ้าไม่รังเกียจคนอย่างฉัน...ช่วยยกหัวใจของคุณให้ฉันดูแลจะได้ไหมคะ" สิ้นเสียงพูดของปัญญาวี ณิชาจึงผละออกจากอ้อมกอดช้า ๆ ทั้งสองต่างนอนสบตากันและกันอยู่อย่างนั้น จนหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบรรยากาศรอบข้างนั้นเงียบสงัด เครื่องพ่นน้ำหอมอโรมาก็ทำงานได้ดีเสียจริง มันหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องราวกับอยู่ในห้องดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมชวนลุ่มหลง
เมื่อมือเล็ก ๆ เอื้อมมาวางทาบที่กลางหน้าอก ก่อนจะปลดกระดุมเม็ดแรกช้า ๆ ทำปัญญาวีถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เพราะมันยังแสบไปทั้งลำคอเหมือนกับตอนเช้าไม่มีผิด
"คุณหนูจะทำอะไรคะ"
"คุณรู้ตัวแล้วใช่ไหมคะคุณปัญ" เพียงแค่ได้ยินคำถาม ปัญญาวีก็รู้ว่าอีกคนต้องการจะสื่ออะไร แถมมือของณิชาก็ยังคงปลดกระดุมเสื้อของเธออยู่อย่างนั้นจนมาถึงเม็ดที่สามเธอจึงรีบกุมมือห้ามการกระทำเอาไว้ทันที
"คุณแน่ใจเหรอคะคุณหนู ที่จะทำแบบนี้กับฉัน ฉันเป็นแค่บอดี้การ์ด ไม่สิ...ฉันเป็นใครก็ไม่รู้ที่มานอนอยู่ข้าง ๆ คุณตอนนี้"
"ณิรู้จักคุณดีค่ะคุณปัญ รู้จักคุณมาสองปีแล้ว เรื่องของคุณ ไม่มีอะไรที่ณิไม่รู้ ไซส์เสื้อผ้าของคุณณิยังรู้เลยค่ะ"
"แต่คุณหนูคะ..."
"ถ้าคุณไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะคะคุณปัญ ณิแค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไง คุณเป็นคนดีอย่างที่ณิคิดจริง ๆ"
"คุณคิดผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ฉันก็มีอารมณ์ความรู้สึกนะคะ แต่ฉันแค่อยากถามเพื่อความแน่ใจ ว่าคุณคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะให้ฉันเป็นคนแรกของคุณ"
"ถ้ามันเป็นคุณ...ณิให้ได้ทุกอย่าง แต่ณิก็อยากให้คุณมั่นใจในหัวใจตัวเองก่อน เพราะงั้น...ณิจะติดกระดุมคืนให้นะคะ" มือน้อย ๆ ที่ถูกกุมเอาไว้นั้นพยายามที่จะดึงออกแต่ก็ไม่เป็นผล ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกดึงเข้าไปจูบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
"คุณแกล้งยั่วอารมณ์ฉันขนาดนี้ คิดจะหนีไปดื้อ ๆ เหรอคะคุณหนู หัวใจฉันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น" สิ้นคำพูด บอดี้การ์ดสาวกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากอย่างดูดดื่มจนอีกคนอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไข้หรือไม่ที่ทำให้รสจูบในครั้งนี้มันเร่าร้อนกว่าปกติมาก อ้อมกอดที่เคยอบอุ่น วันนี้ดุจดังไฟที่กำลังจะแผดเผาร่างให้เป็นจุณ ต้นคอระหงของณิชาถูกอีกคนซุกไซร้ราวกับต้องการสูดกลิ่นกายอ่อน ๆ ให้เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว พร้อมกับมือเล็กที่จับประคองที่ทายทอยแล้วสอดเข้าใต้ผมประบ่าสีดำช้า ๆ
"อา..."
เสียงครางหวาน ๆ หลุดออกมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะถูกลิ้นอุ่น ๆ โลมเลียลิ้มรสต้นคอระหงช้า ๆ สลับกับพรมจูบเป็นจังหวะสร้างความเสียวซ่านได้เป็นอย่างดี แม้แต่ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้บริเวณต้นขาเนียนมันก็ร้อนผ่าวจนขนลุกซู่
"ค...คุณปัญ...ไม่ให้ณิ...นอนเหรอคะ อ๊ะ..."
"นอนช้าสักสิบห้าหรือสามสิบนาทีคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณหนู"
อารมณ์ที่คุกรุ่นเริ่มร้อนระอุขึ้น หากจะหยุดกลางคันคงเผาหัวใจจนทรมานไม่น้อย ทางเดียวที่จะดับความเร่าร้อนนี้ได้คือการต้องปลดปล่อยเท่านั้น ปัญญาวีไม่รอช้าประคองร่างบางขึ้นมาอยู่บนตัวของเธอ ก่อนจะใช้แขนพยุงร่างของต้นให้ลุกขึ้น แล้วจึงก้มลงซุกไซร้ต้นคอระหงของคนที่นั่งอยู่บนตักอีกครั้ง
มือทั้งสองข้างยังคงลูบไล้ต้นขาเนียนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะสอดเข้าไปใต้ชุดนอนกระโปรงช้า ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ดึงขึ้นรับสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเมื่อชุดนอนถูกปลดเปลื้องออกจากร่างบางจนหมดสิ้น เผยให้เห็นร่างที่งดงามดุจดังเจ้าหญิงตัวน้อย ที่พร้อมจะบรรเลงเพลงรักในค่ำคืนนี้ ยอดปทุมถันอมชมพูตั้งตระหง่านรับกับแก้มที่เริ่มขึ้นสีด้วยความเขินอาย เพราะดวงไฟภายในห้องยังเปิดสว่างจ้าแบบนี้ แถมยังโดนคนใต้ร่างจ้องมองอีกด้วย ใครกันที่จะไม่เขิน เธอจึงใช้มือทั้งสองข้างปิดที่หน้าอกเอาไว้ แต่มันกลับยิ่งทำให้อารมณ์ของอีกคนทวีความร้อนขึ้นไปอีก
"คุณหนูเซ็กซี่จังเลยค่ะ"
"คุณปัญ! ใครเขาให้ทักเล่า!!" ยิ่งได้เห็นอีกคนหน้าแดงยิ่งอยากจะหอมแก้มให้ช้ำ แต่ปัญญาวีต้องทะนุถนอมร่างบางให้ดีที่สุด เพราะให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่แสนพิเศษ เธอจึงประคองใบหน้าของอีกคนเข้ามาจูบเป็นจังหวะช้า ๆ เพื่อให้ความเขินอายมลายหายไป เมื่อรู้สึกได้ว่ามือทั้งสองข้างเริ่มเปิดทางให้เห็นยอดปทุมถันอีกครั้ง เธอจึงพรมจูบลงช้า ๆ ไล่จากต้นคอเนียน จนมาหยุดอยู่ที่หน้าอก ก่อนปากร้อน ๆ จะครอบงำยอดปทุมถันเข้าจนได้
"อ๊ะ...อา..." ทุกครั้งที่คนใต้ร่างดูดเค้นยอดปทุมถัน ร่างบางถึงกับกระตุกด้วยความเสียวซ่านพร้อมกับหลุดเสียงครางกระเส่าออกมาเบา ๆ แม้แต่การกระทำยังอ่อนโยน ทั้ง ๆ ที่อารมณ์ที่พุ่งพล่านภายในใจนั้นไม่ต่างกับไฟที่กำลังสุมอยู่ในอก บอดี้การ์ดสาวประคองร่างบางให้โน้มตัวลงนอนช้า ๆ ทั้งที่ปากก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี ไม่ได้ผละออกแต่อย่างใด
ความรู้สึกหวิว ๆ ท่อนล่างเมื่ออันเดอร์แวร์ตัวเล็กถูกเปลื้องออกช้า ๆ จนร่างบางไร้อาภรณ์ใด ๆ ปกปิด มือเล็กจึงพยายามปลดกระดุมชุดนอนของอีกคนอย่างทุลักทุเลเพราะถูกสัมผัสลูบไล้ที่กลีบดอกไม้ มันเสียวซ่านจนร่างสั่นระริกและกระตุกเป็นพัก ๆ ลิ้นอุ่น ๆ ก็ยังตวัดเลียยอดปทุมถันอยู่อย่างนั้นแบบไม่มีหยุดพัก มันเสียวซ่านจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว
"ค...คุณปัญคะ ณิใจจะขาดแล้ว ซี๊ด...อ๊ะ..."
เมื่อเสียงกระเส่าเว้าวอนขอ ร่างสูงโปร่งจึงลุกขึ้นถอดเสื้อนอนตัวเก่งออกทันทีเผยให้เห็นรอยสักรูปลูกศรที่อยู่ใต้ไหปลาร้าทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ตัวอื่นตามออกไปด้วย บอดี้การ์ดสาวประกบแนบความสาวเข้าด้วยกันจนสัมผัสได้ถึงความร้อนวูบวาบจากกลีบดอกไม้ทั้งสองดอก ก่อนความเสียวซ่านจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเมื่อคนบนร่างเริ่มขยับโยกสะโพกเป็นจังหวะช้า ๆ
"อื๊อ!!! อ๊ะ...อ๊า..."
มือเล็กทั้งข้างหนึ่งวางทาบเอาไว้บริเวณรอยสัก ส่วนอีกข้างจิกแน่นที่บ่า ยิ่งอีกฝ่ายบดเบียดผสานความสาวเข้าด้วยกัน ร่างบางก็แทบดิ้นพล่าน เสียงครางกระเส่าก็ดังออกมาแบบไม่ขาดสาย
"ค...คุณปัญ...อ๊า..."
"ช่วยบอกรัก...ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ คุณหนู...อา..."
"อื๊อ...ณิ...ณิรักคุณนะคะ ณิรักคุณนะคะ ได้ยินไหม...อา..."
"อ๊า...ค...คุณหนู...ซี๊ด..."
บทเพลงรักยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่องในค่ำคืนที่แสนพิเศษ เพราะคืนนี้พระจันทร์นั้นเต็มดวงสว่างไสวงดงามกว่าวันไหน ๆ ร่างกายที่ถูกผสานเข้าให้เป็นหนึ่ง ช่างทำให้หัวใจดวงน้อยสุขล้นจนหาที่เปรียบเปรยไม่ได้...เพราะเธอ...เฝ้ารอคอยหัวใจอีกดวงมานานนับปี จนในที่สุด หัวใจทั้งสองดวงก็ใกล้กันดังที่หวัง...และคนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...
คุณปัญญาวี...ฉันรักคุณ...