A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 2 เข้าตาจน

บริเวณด้านหลังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีรถกระบะคันเก่าคร่ำครึจอดอยู่เพียงคันเดียว สภาพภายนอกนั้นราวกับซากเศษเหล็กแทบจะมองไม่เห็นสีเดิม แต่เครื่องยนต์กลับยังใช้งานได้ดี เพราะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่คนเป็นพ่อได้เหลือเอาไว้ให้ ลูกสาวจึงดูแลรักษาเอาไว้อย่างดี
เสียงเพลงจากวิทยุบรรเลงอย่างต่อเนื่องจนตะวันลาลับขอบฟ้า หญิงสาวผมประบ่าสีดำที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถแต่อย่างใด เธอเอาแต่นั่งค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมาค่อนชั่วโมงแล้ว นิ้วเรียวที่พยายามเลื่อนหน้าจอพร้อมกับกวาดสายตาอ่านข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถูกใช้งานมานาน
"ทำไมเรื่องมันถึงได้เงียบแบบนี้วะ...โธ่เว้ย!!!" 
ปัญญาวีสบถออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะใช้มือทุบที่พวงมาลัยรถยนต์เพื่อระบายความแค้นในใจ เพราะเธอพยายามตั้งกระทู้และโพสต์หาความเป็นธรรมเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อ 1 ปีก่อนตามโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ซ้ำร้ายยังถูกแจ้งลบทุกครั้งอีกด้วย ทำไมกันนะ...ทำไมโชคถึงไม่เคยเข้าข้างเธอเลย
"คนรวยมันก็คงใช้เงินปิดข่าว ชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างกูจะทำอะไรได้วะ!!"
สองมือกำที่พวงมาลัยรถยนต์เอาไว้แน่น ความแค้นที่มีในใจนั้นไม่เคยมอดดับลงสักครา ตราบใดที่คนผิดยังลอยนวลและไม่ได้รับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป ความแค้นมันมีแต่จะปะทุหนักขึ้น!!


"สามแสนเลยเหรอพี่ปัญ!!?"
ชายหนุ่มหุ่นบางถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินค่ารักษาพยาบาลของเด็กสาวที่ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ปัญญาวีก็เอาแต่นั่งหน้าเครียดเพราะตอนนี้เหมือนชีวิตของเธอเข้าตาจนไร้ซึ่งหนทางจะเดินต่อ เงินมากมายขนาดนั้น เธอจะไปหามาจากไหนกัน
"พี่ปัญ! ทำไมมันแพงขนาดนั้นอะพี่!! ค่าประกันลุงปองก็ไม่มี! ค่ายมวยก็ไฟไหม้อีก!!"
"เออกูรู้แล้ว!! มึงไม่ต้องย้ำได้ไหมวะไอ้เปี๊ยก!! แค่นี้กูก็เครียดจะตายอยู่แล้ว!!"
"พี่...แล้วพี่จะไปหาเงินขนาดนั้นมาจากไหน"
"กูไม่รู้!! ต้องทำงานกี่ชาติถึงจะได้ค่ารักษาวะ ตอนนี้กูไม่เหลืออะไรแล้ว แม่งเอ๊ย!!! ทำไมชีวิตกูถึงได้บัดซบขนาดนี้วะ!!"
ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองดูปัญญาวีด้วยความเป็นห่วง สภาพของเธอทั้งซูบผอม ทั้งโทรม เธอใช้สองมือขยุ้มผมสีดำประบ่าของตนจนยุ่งเหยิง ทำไมปัญหามากมายถึงได้ถาโถมเข้าใส่ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำถึงเพียงนี้
"ปัญ!! ตอนนี้น้องปุณเป็นยังไงบ้าง!?" 
เสียงทุ้มดังเรียกสติ ปัญญาวีจึงหันไปตามต้นตอของเสียงก็ได้พบกับชายรูปร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยกำลังถือกระเช้าผลไม้เดินมาตามทางก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านหน้าเธอ 
"ตอนแรกก็ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เหมือนหัวใจน้องเต้นไม่เป็นจังหวะอีกรอบแล้วค่ะพี่โก"
"ไม่เป็นไรนะปัญ น้องอยู่กับหมอแล้ว ยังไงน้องก็ต้องปลอดภัย แล้วนี่พวกเด็กที่ค่ายมวยบอกพี่ว่าปัญไม่กินข้าวกินปลาเลย พี่เลยเอากระเช้าผลไม้มาฝาก" พูดพลางกับยื่นกระเช้าผลไม้ให้ ปัญญาวีจึงยืนขึ้นยกมือไหว้เป็นการขอบคุณก่อนจะเอื้อมมือไปรับด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณนะคะ ไม่เห็นต้องลำบากเลย"
"ไม่ลำบากหรอก อะไรที่พี่พอจะช่วยได้ พี่ก็อยากช่วย" เขาพูดพร้อมกับเหลือบมองหน้าชายหนุ่มหุ่นบางที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของปัญญาวีแบบไม่ห่างกันมากนัก ทั้ง ๆ ที่พูดกับเธอ แต่ไฉนเขากลับไม่มองหน้าเธอเสียด้วยซ้ำ ปัญญาวีจึงมองตามคิ้วขมวด
"พี่โกมีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมองเปี๊ยกแบบนั้นล่ะคะ"
"เอ่อ...น้องปัญ...คือพี่ขอเวลาสักประเดี๋ยวได้ไหม คือพี่มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ"
"คุยตรงนี้ก็ได้ค่ะพี่โก" 
"เอ่อ...คือพี่อยากคุยแบบ...แค่เรา ได้ไหม"
"ทำไมเหรอคะ"
"จะอะไรล่ะพี่ปัญ พี่โกคงไม่อยากให้เปี๊ยกอยู่เป็นก้างขวางคอไง จะมาขอดูแลพี่ผมหรือเปล่าครับ ขอค่าสินสอดหนัก ๆ หน่อยนะ จะได้พอรักษาค่าพยาบาลน้องปุณ" เมื่อคนเป็นน้องเอ่ยแซว ขาเรียวข้างขวาจึงง้างตั้งท่ากลางอากาศเตรียมพร้อมโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยท่ามวยไทยทันที
"ถ้าไม่อยากคอหัก มึงไสหัวไปเดี๋ยวนี้ไอ้เปี๊ยก!!" สิ้นเสียงของเธอ เปี๊ยกจึงเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด เพราะหากไม่รีบหนีตอนนี้ หน้าแข้งเรียว ๆ คงสัมผัสที่ก้านคอหลับยาวเป็นเดือนแน่ ปัญญาวีได้แต่มองตามด้วยความเอือม ก่อนขาเรียวข้างขวาจะวางลงพื้นไว้ดังเดิม
"เฮ้อ...พี่โกอย่าใส่ใจเลยนะคะ ไอ้เปี๊ยกมันก็เป็นแบบนี้ ถึงมันจะปากไม่ดี แต่มันก็เป็นน้องชายที่ดีนะคะ"
"ไม่เป็นไร พี่ไม่ใส่ใจหรอก"
"ค่ะ เรานั่งคุยกันไหมคะ"
"อืม ก็ดีเหมือนกัน" เมื่อหญิงสาวเชื้อเชิญ ทั้งสองจึงนั่งลงที่เก้าอี้สำหรับให้ญาตินั่งรอผู้ป่วยที่หน้าห้องฉุกเฉิน ก่อนปัญญาวีจะวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่เก้าอี้ตัวถัดจากที่เธอนั่ง
"ที่เปี๊ยกพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงเหรอปัญ ค่ารักษาพยาบาลแพงมากเลยเหรอ"
"ก็...ครั้งนี้มันต้องใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าน่ะพี่โก"
"ใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าเลยเหรอ!? จี้ทีเป็นแสนเลยนะปัญ"
"ก็นั่นแหละค่ะที่ทำให้ปัญเครียด ปัญไม่รู้จะหาเงินจากไหนมารักษาน้อง แต่คือถ้าจะให้รอ มันก็รอไม่ได้ ปัญก็เลยเซ็นยินยอมไปก่อน อย่างน้อยขอให้น้องรอดน่ะพี่ หลังจากนี้คงต้องไปหากู้เงินนอกระบบแล้วแหละ"
"อย่านะปัญ กู้เงินนอกระบบมันอันตรายนะ แล้วเงินฌาปนกิจลุงปองล่ะ"
"ไม่พอค่ะพี่โก"
"เอางี้ไหมปัญ พี่พอจะมีเงินก้อน...//ไม่ค่ะ" ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค หญิงสาวก็พูดแทรกเสียก่อน
"ปัญไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน เศรษฐกิจแบบนี้พี่เก็บเงินเอาไว้เถอะพี่โก เพราะยังไงปัญก็หามาคืนพี่ไม่ทัน"
"แต่มันก็ดีกว่ากู้นอกระบบนะปัญ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ปัญพอจะรู้จักเฮียตั้วอยู่ น่าจะขอความช่วยเหลือได้"
"แต่ปัญ เฮียตั้วขึ้นชื่อเรื่องดอกแพงนะ เอาเงินกับพี่ไปก่อนเถอะ มีเมื่อไหร่ค่อยคืนก็ได้"
"ไม่เอาพี่โก ยังไงปัญก็รับเงินจากพี่ไม่ได้หรอก ขอปัญเป็นคนตัดสินใจเองนะคะว่าจะกู้กับเฮียตั้วดีไหม แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนเรื่องกันเถอะค่ะ ปัญเครียด"
"อ่า...อืม"
"แล้วเรื่องที่พี่โกอยากคุยกับปัญคือเรื่องอะไรคะ"
เมื่อเธอถามจบ จากที่ชายหนุ่มกำลังมองหน้าเธออยู่นั้น เขาก็เบือนหน้าหลบไปทางอื่นพร้อมกับก้มมองต่ำ สีหน้าของเขาที่แสดงออกมานั้นดูเป็นกังวลใจราวกับมีเรื่องไม่สบายใจที่เธอสามารถสังเกตเห็นได้ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาและเอาแต่นั่งกุมมือและสั่นขาตัวเอง ปัญญาวีจึงมองเขาคิ้วขมวดอีกครั้ง
"พี่โก ปัญถามจริง ๆ นะ พี่มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"เอ่อ...คือ...น้องปัญครับ"
"คะ?"
ในระหว่างที่ชายหนุ่มยังคงอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมา เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังกระทบกับพื้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ดังตามมาติด ๆ กำลังเดินมาตามโถงทางเดินก่อนจะปรากฏให้เห็นหญิงสาวชุดสูทสีเทาเข้มสวมรองเท้าส้นสูงสีดำดูสูงสง่า พร้อมกับชายชุดสูทสีดำรูปร่างกำยำเดินเคียงคู่มาด้วยก่อนจะมาหยุดอยู่ต่อหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
"สวัสดีค่ะ ฉันนงคราญ พอดีฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับคุณปัญญาวีเป็นการส่วนตัว ฉันขอรบกวนเวลาของคุณสักครู่นะคะ" หญิงสาวพูดด้วยท่าทีสุขุม
"คะ? ฉันเหรอคะ" ถามพลางกับชี้นิ้วเข้าหาตัว
"ใช่ค่ะ ฉันมีเวลาไม่มาก รบกวนช่วยตามฉันออกมาด้วยนะคะ" 
ผู้หญิงที่มีท่าทีสุขุมคนนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าเธอคือใคร มาจากไหน แต่เธอกลับออกคำสั่งและเดินนำฉันออกไปหลังจากที่พูดจบ ดู ๆ แล้วคงเป็นพวกคนรวยที่มีบอดี้การ์ดคอยเดินตามแน่ ๆ ทำไมกันนะ...ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเจอคนมีเงินที่ชอบข่มคนจนนัก เห็นแล้วมันเจ็บแปลบอยู่ในอก... ปัญญาวีคิดในใจ แต่ก็เดินตามทั้งสองไปแต่โดยดี


หญิงสาวและชายชุดสูทปริศนาเดินนำปัญญาวีไปที่รถตู้หรูสีดำคันหนึ่ง โดยหญิงสาวนามว่า นงคราญ ขึ้นไปนั่งรอเธอที่เบาะหลังคนขับ และมีชายที่คาดว่าจะเป็นบอดี้การ์ดยืนรออยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะผายมือออกด้านข้างเชื้อเชิญให้เธอเดินขึ้นไปบนรถ
"เชิญครับคุณปัญญาวี"
"ค่ะ" 
ทันทีที่ปัญญาวีก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะเคียงข้างหญิงสาวปริศนา ประตูรถก็เลื่อนปิดแบบอัตโนมัติ บริเวณหน้าต่างของรถตู้นั้นมีผ้าม่านปิดสนิทรอบคัน และเครื่องปรับอากาศบนรถยังคงทำงานได้ดีจนเย็นเฉียบสร้างความหวาดหวั่นให้ปัญญาวีไม่น้อย สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน...
"ฉันได้ทราบข่าวเรื่องค่ายมวยเจตคติเมื่อวันก่อน ฉันขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณพ่อของคุณ"
"ขอบคุณค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ แล้วทำไมต้องพาฉันมาคุยที่นี่ด้วย"
"ขอโทษที่ทำให้คุณต้องตกใจนะคะ เรื่องสำคัญ มันจำเป็นต้องหาที่ส่วนตัวคุยกันน่ะค่ะ" เธอไม่ตอบคำถามตามที่ปัญญาวีได้ถามเธอไป แต่กลับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้
"มันคืออะไรคะ"
"ลองเปิดดูก่อนค่ะ แล้วคุณจะเข้าใจ" 
แม้สถานการณ์ตอนนี้จะดูไม่น่าไว้ใจ แต่ปัญญาวีก็รับซองสีน้ำตาลมาไว้ในมือพร้อมกับพยายามรวบรวมสติเพราะหากเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดซองสีน้ำตาลแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีหัวกระดาษตัวใหญ่ว่า...
"สัญญาจ้าง!?" เธอถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจปนสับสนพร้อมกับหันมามองหน้าหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยท่าทีสุขุมเช่นเดิม
"ลองอ่านดูสิคะ"
สิ้นคำตอบของหญิงสาว ปัญญาวีจึงดึงกระดาษสีขาวด้านในออกมาพรวดเดียว พร้อมกับกวาดสายตาอ่านข้อความในกระดาษด้วยความตั้งใจ
"เป็นบอดี้การ์ดเนี่ยนะคะ!? ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมคุณไม่ไปหาตามบริษัทที่เขาจัดหาบอดี้การ์ดโดยเฉพาะล่ะคะ"
"เจ้านายของฉันกำชับมาว่าต้องเป็นคุณเท่านั้นค่ะ"
"ทำไมคะ"
"เจ้านายของฉันได้ทราบข่าวเรื่องไฟไหม้ค่ายมวยเจตคติ แล้วก็ได้ทราบว่าลูกสาวค่ายมวยนั้นฝีมือเลื่องลือมาก บวกกับว่าช่วงนี้ท่านกำลังหาบอดี้การ์ดที่จะไปช่วยดูแลลูกสาวด้วย ท่านเลยอยากหยิบยื่นโอกาสนี้มาให้กับคุณค่ะ ซึ่งค่าตอบแทนก็ตามที่ระบุในสัญญาเลยค่ะ" ปัญญาวีขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะก้มลงอ่านสัญญาจ้างอีกครั้ง
"1 ล้านบาทต่อเดือน!!? ทำไมมันเยอะขนาดนี้ล่ะคะ!?"
"อาชีพที่เสี่ยงชีวิตแบบนี้ค่าตอบแทนมันก็ต้องสูงเป็นธรรมดาค่ะ นอกจากนี้คุณยังจะได้บ้าน รถ พร้อมค่ารักษาน้องสาวของคุณด้วย"
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...ก็พอจะรู้หรอกนะว่าการเป็นบอดี้การ์ดมันเสี่ยง แต่นี่มันไม่มากไปหน่อยเหรอ เหมือนอยากมอบชีวิตใหม่ให้ฉันมากกว่าโดยการเอาสัญญาจ้างมาเป็นข้ออ้าง เพราะในสัญญาระบุแค่ 3 เดือนเอง ฉันทำงาน 3 เดือน ได้เงิน 3 ล้าน แถมยังได้บ้าน รถ และค่ารักษาน้องปุณอีก...เจ้านายที่พูดถึงคือใครกันนะ แต่โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หากันง่าย ๆ ฉันต้องรีบคว้าเอาไว้ ถึงจะเสี่ยงแค่ไหนฉันก็ยอม ขอแค่ปุณสุขสบาย!! 
"ให้เริ่มงานเมื่อไหร่คะ!? ฉันพร้อมเริ่มงานเลยค่ะ เจ้านายของคุณหยิบยื่นโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้ ฉันขอปฏิญาณตนตรงนี้เลยค่ะ ว่าฉันจะดูแลลูกสาวเจ้านายของคุณอย่างดีที่สุด ไม่ให้ใครมาทำอะไรได้แม้แต่สัมผัสปลายผม!!" 
"หลังจากคุณเซ็นสัญญา คุณสามารถเริ่มงานได้ทันทีค่ะ ซึ่งหากคุณพร้อมเริ่มงานเลย เราก็จะพาคุณไปที่บ้านของคุณท่านคืนนี้เลย"
"จริงเหรอคะ!!? ตกลงค่ะ!! ขะ...ขอยืมปากกาหน่อยค่ะ!!"
หญิงสาวมองและยื่นปากกาด้ามสีดำให้ด้วยท่าทีสุขุมเช่นเดิม แต่ท่าทีของปัญญาวีนั้นดูตื่นเต้นจนมือไม้สั่นพร้อมกับพยายามเซ็นสัญญาด้วยความดีใจก่อนโผเข้ามากอดเธออย่างคนลืมตัว
"ขอบคุณนะคะคุณนมคลาน!! ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ!!"
"อะ...เอ่อ...คุณคะ นงค่ะ นงคราญ กรุณาเรียกชื่อฉันให้ถูกด้วยนะคะ แล้วก็ช่วยปล่อยฉันด้วยค่ะ"
"ขอโทษนะคะคุณนมคราญ ฉันดีใจจนลืมตัว ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!!"
"นงค่ะ นอหนู งองูค่ะ ไม่ใช่มอม้าสะกด"
"ค่ะ ๆ ขอโทษค่ะ! ไปกันเลยไหมคะ!?" 
"คุณจะไม่ไปแจ้งคนอื่น ๆ ก่อนเหรอคะ ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ดูแลน้องสาวของคุณตลอด 3 เดือน"
"อะไรนะคะ!? คือฉันต้องอยู่บ้านเจ้านายคุณเหรอคะ"
"ใช่ค่ะ คุณมีหน้าที่ดูแลคุณหนูตลอด 24 ชั่วโมง"
"ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันมานะคะ คุณรอฉันที่นี่นะคะ ห้ามไปไหนนะคะ!!" พูดจบปัญญาวีจึงหันไปงัดแงะประตูรถเพื่อพยายามที่จะเปิดประตูออกไป แต่ไม่ว่าเธอจะงัดแงะบริเวณไหน ประตูก็ไม่ยอมเปิดออกเสียที จนนงคราญถึงกับถอนหายใจเบา ๆ แล้วโน้มตัวไปกดปุ่มเปิดล็อกให้ ปัญญาวีก็ยังไม่วายหันมาสวมกอดเธออีกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจราวกับเด็ก ๆ
"เธอจะไหวไหมครับเนี่ยคุณนงคราญ"
"ถ้าเรื่องความซื่อสัตย์ก็คงไว้ใจได้ค่ะ แต่ถ้าเรื่องการวางตัวคงติดลบ แต่ทำยังไงได้ล่ะคะ ก็คงต้องเทรนด์เธอสักหน่อย"
"ฮ่า ๆ ผมว่าไม่นิดนะครับอาการแบบนี้ ดีไม่ดีอาจจะสร้างปัญหาให้คุณตามแก้ก็ได้"
"ฉันก็เกรงว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ..."


"พี่โก ๆ ปัญมีงานทำแล้วนะ!!! ฝากบอกไอ้เปี๊ยกหน่อยนะพี่ ว่าปัญจะไม่อยู่ 3 เดือน พอดีเจ้านายมีที่พักให้น่ะ ไปก่อนนะ!!" ปัญญาวีวิ่งมาหน้าตาตื่นก่อนจะคว้าข้อมือชายหนุ่มแล้วเขย่าด้วยความดีใจ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะวิ่งกลับไป เขาจึงคว้าข้อมือของเธอห้ามเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยวปัญ!! งานอะไร ที่ไหน ทำไมถึงไม่ได้อยู่ตั้ง 3 เดือน แล้วเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ล่ะ เรายังคุยกันไม่เสร็จเลยนะ"
"มีคนมาจ้างให้ปัญไปสอนศิลปะป้องกันตัวน่ะพี่ แบบว่าต้องอยู่สอนในโรงเรียน 3 เดือน เงินเดือนดีมาก ปัญจะมีเงินรักษาน้องปุณแล้วนะ!! ส่วนเรื่องที่เราคุยกันค้างเอาไว้ พี่โกค่อยโทรมาหาปัญก็ได้ ปัญไปนะพี่ ต้องไปแล้ว!!"
"ปัญ!! เดี๋ยวปัญ!!" หญิงสาวไม่ฟังคำร้องห้ามใด ๆ นอกจากวิ่งจากไปด้วยความดีใจ จนชายหนุ่มถึงกับทรุดลงนั่งกับเก้าอี้พร้อมกับกุมขมับเอาไว้
"โธ่เว้ย...จะทำยังไงดีวะ!!"


รถตู้คันหรูสีดำขับไปตามทางแบบไม่รีบร้อนนัก แต่หนึ่งในผู้โดยสารกลับนั่งกุมมือพร้อมกับสั่นขาด้วยความตื่นเต้นตลอดเส้นทาง พอหญิงสาวผู้มีท่าทีสุขุมหันมามองเธอ เธอจึงหันไปยิ้มเจื่อน ๆ ให้ แต่ก็ยังคงสั่นขาอยู่อย่างนั้นราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้
"คุณปัญญาวีคะ ช่วยหยุดสั่นขาด้วยนะคะ เบาะมันสั่นแล้วฉันเวียนหัวค่ะ"
"อะ...ขะ ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันไปนั่งข้างหลังนะคะ" พูดจบปัญญาวีจึงปีนข้ามไปเบาะด้านหลังทันที ทั้ง ๆ ที่เธอสามารถเดินอ้อมไปได้  แต่ไฉนกลับทำตัวแบบนี้กันนะ นงคราญได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดเศษดินที่ติดมาจากรองเท้าที่ปัญญาวีเพิ่งจะเหยียบเบาะเพื่อข้ามไปด้านหลังเมื่อสักครู่
กึก ๆๆๆๆ
ดูเหมือนหญิงสาวที่ชื่อปัญญาวีจะสร้างความหนักใจให้นงคราญไม่น้อย เพราะแม้เธอจะย้ายไปนั่งเบาะหลังแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่เลิกสั่นขาจนได้ยินเสียงส้นเท้าดังกระทบกับพื้นรถดังกึก ๆ ตามมาจากทางด้านหลัง ทำให้เส้นเลือดสีม่วงช้ำปูดขึ้นมาพาดหน้าผากของเธอทันที
ยัยเด็กนี่มันกวนประสาทฉันหรือเปล่าเนี่ย! คุณหนูนะคุณหนู ไม่น่าอยากให้คนแบบนี้ไปเป็นบอดี้การ์ดเลย มีหวังฉันได้เครียดตายแน่ ๆ 


"ว้าว...บ้านหรือคฤหาสน์เนี่ย!!?"
ทันทีที่รถตู้สีดำขับเข้ามายังเขตคฤหาสน์หรู ปัญญาวีถึงกับพุ่งไปเกาะขอบหน้าต่างพร้อมกับใช้มือป้องเพื่อส่องออกไปด้านนอก แถมยังส่งเสียงรบกวนหญิงสาวที่นั่งด้านหน้าของเธออีกด้วย
"จุ๊ ๆๆๆๆ อู้ว....โอ้โห...ว้าว...."
"คุณปัญญาวีคะ ช่วยนั่งเงียบ ๆ ด้วยนะคะ พอฉันพาคุณเข้าไปพบคุณท่านแล้ว ช่วยสำรวมท่าทีตัวเองสักนิดนะคะ ตอนนี้คุณคือบอดี้การ์ดค่ะ ไม่ใช่เด็ก 3 ขวบ"
"อู้ว...โคตรใหญ่เลย! ถึงว่าล่ะ จ้างได้ขนาดนี้ เงิน 3 ล้านคงเป็นแค่เศษเงินสินะ...อืม..."
"คุณปัญญาวีคะ!! ได้ยินที่ฉันพูดไหมคะ!?"
"อะไรนะคะ คุณพูดว่าอะไรนะคะ" นงคราญถึงกับกำหมัดแน่นและพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อไม่ให้ระเบิดลง ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นบอดี้การ์ดเลยสักนิด!!
"ฉันบอกคุณว่า ถ้าฉันพาคุณเข้าไปหาคุณท่านแล้ว ช่วยสำรวมท่าทีด้วยนะคะ เพราะตอนนี้คุณคือบอดี้การ์ด ไม่ใช่เด็ก 3 ขวบ อย่าคิดที่จะทำอะไรเล่น ๆ นะคะ เพราะถ้าคุณพลาด ฉันไม่เอาคุณไว้แน่"
"เข้าใจแล้วค่ะ"
"แล้วเวลาฉันพูดอะไร กรุณาฟังด้วยความตั้งใจค่ะ ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำหลายครั้ง คุณท่านเชื่อใจคุณ กรุณาทำงานให้เหมือนมืออาชีพเขาทำกันด้วยนะคะ"
"แล้วมืออาชีพเขาต้องทำกันยังไงคะ ฉันไม่ได้ถูกฝึกมานะคุณ"
"ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวคุณเกริกพลจะช่วยเทรนด์ให้คุณก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศกับคุณท่านค่ะ"
"เกริกพลคือใครคะ แล้วจะไปต่างประเทศทำไมคะ"
"เลิกตั้งคำถามสักทีได้ไหมคะ ลงไปได้แล้วค่ะ คุณท่านรอคุณอยู่"
"รับทราบค่า..." ปัญญาวีตอบแบบทอดเสียงยาวแกมยั่วโมโหก่อนจะเดินลงจากรถอย่างว่าง่าย ถ้าไม่ทราบประวัติมาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้อายุ 28 ปี นงคราญคงจะเข้าใจว่าเธอเป็นเด็กอายุ 10 ขวบที่โตแต่ตัวเป็นแน่ 


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"คุณท่านคะ ฉันพาคุณปัญญาวีมาแล้วค่ะ" หญิงสาวมาดสุขุมเคาะประตูไม้แกะสลักดูหรูหราเพื่อให้สัญญาณ ในขณะที่ปัญญาวียังคงมองไปรอบ ๆ เพราะตื่นตาตื่นใจที่จะได้ทำงานในคฤหาสน์หรูแห่งนี้
"พาเข้ามาได้!" เสียงทุ้มจากคนด้านในให้การอนุญาต นงคราญจึงกระตุกชายเสื้อของปัญญาวีเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
"กรุณาสำรวมท่าทีด้วยค่ะ"
"ค่ะ รับทราบค่ะ"
ทันทีที่ประตูไม้ถูกเปิดเข้าไปจากด้านนอกเผยให้เห็นชายรูปร่างสูงท้วมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยเขาแต่งกายด้วยชุดนอนลายทางสีเทา พร้อมกับหญิงวัยกลางคนอีกคนที่สวมชุดนอนแบบกระโปรงยาวคลุมเข่ายืนอยู่ด้านข้างโต๊ะทำงาน ทำเอาเธอถึงกับหัวใจเต้นตึกตักและดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
คู่สามีภรรยาที่ปัญญาวีรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเธอพบเห็นพวกเขาได้จากรายการทีวีหรือแม้แต่ในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่เครือเกษมไพโรจน์ ใช่...นามสกุลเกษมไพโรจน์ มันคือตระกูลฆาตกรที่พรากชีวิตแม่ของเธอไปเมื่อ 1 ปีก่อน 
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่หยิบยื่นโอกาสให้กับฉัน มันคือตระกูลฆาตกร หึ...แบบนี้ก็หมายความว่า คนที่ฉันต้องดูแลคือยัยคุณหนูณิชานั่นสินะ...ในที่สุดโชคก็เข้าข้างฉันสักที ไม่คิดเลยว่าฟ้าจะลิขิตให้ฉันมาอยู่ใกล้ตัวฆาตกรขนาดนี้ ฉันตามหาเธอมานานแล้วณิชา...ฉันจะแก้แค้นให้แม่ของฉัน แล้วฉันจะเอาคืนอย่างสาสม!!!