A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 6 สวะ

24 Cํ
25 Cํ 
ภายในห้องนอนที่เงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศราคาแพงที่กำลังทำงานอยู่ ปัญญาวีเอาแต่นอนใช้มือขวาก่ายหน้าผากพร้อมกับมองตัวเลขอุณหภูมิที่ปรับแบบอัตโนมัติตามที่คุณหนูณิชาได้บอกเอาไว้เมื่อช่วงหัวค่ำ
ชีวิตของเธอตอนนี้ราวกับนางเอกละครหลังข่าว ที่กราฟชีวิตทุกอย่างจมดิ่งถึงขีดสุด แต่จู่ ๆ สวรรค์ก็ประทานทุกอย่างมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน บ้าน และรถ แต่ต้องแลกกับการที่ต้องดูแลคนที่พรากชีวิตแม่ของเธอไป แม้เธอจะได้ทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ต่างกับบททดสอบความแกร่งของหัวใจที่เธอจะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ภายในเวลา 3 เดือน
พ่อ...แม่...ตอนนี้ปัญกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทำไมปัญรู้สึกเหมือนเจอทางตันแบบนี้ ใจหนึ่งก็โกรธแค้นยัยคุณหนูบ้านั่น แต่อีกใจหนึ่งปัญก็ทำร้ายเธอไม่ลง ปัญจะทำยังไงดี...
คำถามที่เธอสามารถตั้งคำถามได้เพียงในใจเท่านั้น มันไม่อาจส่งไปถึงปลายทาง และไม่มีคำตอบใด ๆ ที่จะช่วยนำทางเธอได้เลย...ไม่มีเลย


ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เพราะความอ่อนล้าที่สะสมมานาน ทำให้บอดี้การ์ดสาวผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนาฬิกาข้อมือดิจิตอลเรือนสีดำที่วางเอาไว้บนหัวเตียงส่งเสียงร้องเตือน ปัญญาวีสะดุ้งเฮือกขึ้นจากห้วงนิทราในทันที
"หลับไปตอนไหนวะเนี่ย"
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
21:40
เธอเอื้อมมือหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาที่แสดงบนหน้าจอพร้อมกับกดปุ่มเพื่อปิดเสียงแจ้งเตือน ก่อนจะใช้สองมือพยุงร่างของตนให้ลุกขึ้นจากเตียงนอนสีขาวดูสะอาดสะอ้าน พร้อมทั้งจัดเสื้อนอนลายทางสีขาวเทาให้เข้าที่


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ขออนุญาตค่ะคุณหนู" 
"เชิญค่ะคุณปัญ" เมื่อได้รับการอนุญาต บอดี้การ์ดสาวในคราบชุดนอนลายทางจึงเอื้อมมือเปิดประตูเข้าไปช้า ๆ จึงได้เห็นร่างหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังอยู่บนรถเข็นพร้อมกับมองออกไปทางหน้าต่างห้องนอน ก่อนเธอจะหันมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสอย่างเคย
"ได้เวลาส่งณิเข้านอนแล้วสินะคะ"
"ค่ะ คุณนมไม่มาทำหน้าที่เหรอคะ"
"ทำไมเรียกพี่นงว่านมล่ะคะเนี่ย ตอนแรกณินึกว่าฟังผิด ที่ไหนได้ คุณตั้งใจเรียกพี่นงแบบนี้ชัด ๆ"
"หมั่นไส้น่ะค่ะ"
"ตอบตรงจังเลยนะคะ"
"ไม่จำเป็นต้องโกหกนี่คะ แล้วสรุปว่าคุณนมไม่มาส่งคุณหนูเข้านอนเหรอคะวันนี้"
"พี่นงออกไปทำงานข้างนอกค่ะ"
"คะ? ตอนนี้เนี่ยนะคะ" 
"ใช่ค่ะ พี่นงทำงานแทบไม่ได้พักหรอกค่ะ"
"เป็นพี่เลี้ยงให้คุณหนูยังไม่พอเหรอคะ ทำไมต้องออกไปทำงานข้างนอกด้วย"
"ที่พี่นงออกไปทำก็คืองานของครอบครัวณินี่แหละค่ะ"
"อ๋อค่ะ แสดงว่าฉันต้องทำหน้าที่แทนคุณนมทุกอย่าง กรณีที่คุณนมไม่อยู่ใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะ แต่อาจจะมากกว่าในเรื่องดูแลความปลอดภัยค่ะ"
"อ๋อค่ะ...แล้ว...คุณหนูแปรงฟันหรือยังคะ" เมื่อณิชาได้ยินคำถามจากบอดี้การ์ดสาว เธอถึงกับหลุดขำออกมาเบา ๆ เพราะไม่คิดว่าปัญญาวีจะทำหน้าที่แทนพี่เลี้ยงสาวอย่างนงคราญได้เป๊ะราวกับเป็นคนเดียวกัน
"ขำอะไรคะคุณหนู"
"เปล่าค่ะ ณิแปรงฟันแล้ว"
"ค่ะ งั้นเข้านอนกันค่ะ" ตอบพร้อมกับเดินไปเข็นรถกลับมาที่ข้างเตียง ก่อนจะก้มลงเตรียมจะช้อนร่างบาง แต่ณิชารีบห้ามเธอเอาไว้เสียก่อน
"เดี๋ยวค่ะคุณปัญ!! จะทำอะไรคะ!?"
"อุ้มคุณหนูไปนอนไงคะ"
"ม...ไม่ต้องอุ้มก็ได้ค่ะ ณิลุกไปนอนเองก็ได้"
"ก็ถ้าให้ดูแลความปลอดภัย ฉันควรจะอุ้มคุณไปนอน เผื่อคุณล้ม ฉันจะโดนทำโทษนะคะ"
"ไม่มีใครมาทำโทษคุณหรอกค่ะคุณปัญ คือณิก็พอเดินได้ค่ะ แค่ช่วยพยุงก็พอ"
"เหรอคะ งั้นค่อย ๆ ลุกนะคะ" 
บอดี้การ์ดสาวใช้แขนซ้ายโอบที่เอวบางเอาไว้พร้อมกับใช้มือขวาจับที่แขนของคุณหนูณิชาให้มั่น ก่อนจะออกแรงประคองร่างให้ลุกไปนั่งที่เตียงด้วยความระมัดระวัง
ณิชาโน้มตัวลงหนุนหมอนใบนุ่มอย่างว่าง่าย พร้อมกับที่ปัญญาวีคว้าผ้าห่มผืนหนามาห่มให้ความอบอุ่นกับเธอ แต่เธอกลับนอนมองเพดานกะพริบตาปริบ ๆ อยู่อย่างนั้น จนปัญญาวีถึงกับขมวดคิ้วและแหงนหน้ามองบนเพดานตามไปด้วย
"คุณหนูมองอะไรคะเนี่ย บนเพดานไม่เห็นมีอะไรเลย" ถามทั้งที่ยังคงแหงนหน้ามองเพดานแบบคิ้วขมวด ณิชาจึงยิ้มออกมาที่เห็นท่าทีแบบนั้นของบอดี้การ์ดสาว
"เปล่าค่ะ ไม่ได้มองอะไร แต่ณิกำลังคิดอยู่"
"คิดอะไรคะ"
"คือ...ไม่รู้ว่าณิจะขอคุณดีไหม แต่ถ้าไม่มีคนทำให้ณิก็คงนอนไม่หลับ"
"ขอมาได้เลยค่ะ"
"เอ่อ...ช่วยจับมือและลูบหัวณิจนกว่าจะหลับได้ไหมคะ"
"คะ!?"
จริงสิ! เหมือนเคยเห็นยัยคุณนมนั่นทำเมื่อคืนนี้นี่นา นี่ฉันต้องทำแบบนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ... ปัญญาวีคิดในใจ แต่ก็เอื้อมมือไปจับมือคุณหนูณิชาอย่างว่าง่าย พร้อมกับเอื้อมมือขวาที่มีผ้าพันแผลไปลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา
"ขอบคุณนะคะคุณปัญ"
"อ่า...ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ามันเป็นหน้าที่ ฉันก็ต้องทำ"
"ฝันดีนะคะคุณปัญ"
"ฝันดีค่ะ...คุณหนู"
ปัญญาวีนั่งมองอีกคนที่นอนหลับตาพริ้มหลังจากที่เธอจับมือพร้อมกับลูบศีรษะตามคำขอ เธอจ้องมองพร้อมกับพินิจพิเคราะห์ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางทำให้ดูอ่อนเยา ริมฝีปากอมชมพูอวบอิ่ม ขนตางามงอน และจมูกคมสวย
คุณหนูของเธอราวกับตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันจากช่างมากฝีมือ จนเธออดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู มือข้างขวาก็ยังคงลูบศีรษะอย่างแผ่วเบาขอเพียงกล่อมให้ตุ๊กตาที่งดงามนี้หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราอย่างอุ่นใจ
มือคุณหนูนี่นุ่มชะมัด ผมก็นุ่ม...เฮ้อ...เหมือนน้องปุณอะไรขนาดนี้นะ 
ยิ่งคิด รอยยิ้มก็ยิ่งแต้มบนใบหน้าของเธอมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เธอเอาแต่ชื่นชมอีกคนจนลืมความแค้นในใจไปเสียหมด...


พรึ่บ!!
แสงไฟจากตู้เย็นสว่างจ้าทำให้เห็นสิ่งของบริเวณโดยรอบตามรัศมีของแสงที่ตกกระทบถึง ปัญญาวีรีบหรี่ตาลงทันที เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง เพราะเธอเพิ่งจะเดินฝ่าความมืดเข้ามาในครัวเพื่อที่จะหาน้ำดื่มแก้กระหาย
เธอเอื้อมมือไปจับด้ามขวดโหลที่บรรจุน้ำดื่มเอาไว้จนเต็ม ก่อนจะนำมารินใส่แก้วน้ำ แล้วกระดกดื่มรวดเดียวราวกับหิวกระหาย แต่แล้วหางตาของเธอกลับเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ที่หน้าประตูครัวกำลังตรงเข้ามาทางเธอ สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเธอจึงทำงานทันที
ปัญญาวีพยายามรวบรวมสติพร้อมกับค่อย ๆ วางขวดโหลให้เข้าที่ ก่อนจะใช้มือปิดประตูตู้เย็นเบา ๆ ส่วนมือข้างซ้ายกำแก้วน้ำเอาไว้แน่น ยังไม่ทันที่เงาตะคุ่มจะได้เข้าใกล้ถึงตัว เธอก็รีบพลิกตัวหลบออกด้านข้าง จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าไปใช้แขนขวาล็อกต้นคอเอาไว้ พร้อมกับใช้แก้วน้ำมาแนบที่ขมับราวกับใช้ปืนขู่เหยื่อ
"ค...คุณปัญคะ!! ฉันเองค่ะ!!"
"เฮ้ย!! คุณผู้หญิง!! ฉ...ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ!!" 
เมื่อเห็นว่าใครบางคนที่เธอกำลังล็อกตัวอยู่คือนายหญิงของเธอเอง ปัญญาวีจึงรีบปล่อยตัวทันที พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษขอโพยแบบยกใหญ่
"ขอโทษนะคะคุณผู้หญิง ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ฉันนึกว่าเป็นโจร"
"ไม่เป็นไรค่ะ แต่โจรเข้ามาในบ้านไม่ได้หรอกนะคะคุณปัญญาวี มีทั้ง รปภ. ทั้งบอดี้การ์ดขนาดนี้ คงไม่มีใครกล้ามาปล้นหรอกค่ะ"
"ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณผู้หญิง"
"พอแล้วค่ะ ไม่ต้องขอโทษแล้ว แต่พอเห็นคุณระวังตัวได้ดีขนาดนี้ ฉันรู้สึกว่าเราเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ"
"เอ่อ...ขอบคุณนะคะ มันเคยชินน่ะค่ะ"
"ดีแล้วค่ะ ตอนนี้คุณง่วงหรือยังคะ ถ้าจะรบกวนคุณไปคุยกับฉันสักหน่อยจะได้ไหมคะ"
"ได้ค่ะคุณผู้หญิง"


ไฟในห้องทำงานที่ปัญญาวีเคยเข้ามาในคืนก่อนถูกเปิดให้สว่างจ้าเผยให้เห็นคนเป็นนายที่สวมชุดนอนแบบกระโปรงคล้ายวันแรกที่ได้พบกัน ต่างเพียงแค่สีเท่านั้น ปัญญาวีจึงเหยียดหลังตรงพร้อมกับกุมมือเอาไว้ด้านหน้าแสงท่าทีเคร่งขรึมทันที
"ทำตัวตามสบายเถอะค่ะ ตอนนี้นอกเวลางานแล้ว" พูดพลางกับเดินไปนั่งที่โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะมอบรอยยิ้มกลับมาเพื่อให้ปัญญาวีรู้สึกผ่านคลาย
"ไปบุกครัวกลางดึกแบบนี้ หิวเหรอคะคุณปัญญาวี"
"แค่หิวน้ำน่ะค่ะ"
"อันที่จริงคุณจะเอาไปตั้งไว้ในห้องก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องออกมาดื่มกลางดึกแบบนี้"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะได้ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านด้วย"
"ฉันเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ" คนเป็นนายพูดด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณนะคะ แล้วคุณผู้หญิงมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ"
"คุณส่งลูกสาวฉันเข้านอนแล้วใช่ไหมคะ"
"เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหนูหลับไปแล้ว"
"ขอบคุณนะคะ แล้วเป็นยังไงบ้างคะที่ได้ดูแลลูกสาวของฉัน เธอทำให้คุณหนักใจหรือเปล่า"
"ไม่เลยค่ะคุณผู้หญิง ไม่มีอะไรให้ฉันหนักใจเลย"
"อย่างงั้นเหรอคะ"
"ค่ะ"
"คุณมีอะไรข้องใจเกี่ยวกับหน้าที่ของคุณไหมคะ"
"ไม่มีค่ะ แต่ฉันมีคำถามเกี่ยวกับคุณหนู ไม่ทราบว่าฉันสามารถถามได้หรือเปล่าคะ"
"ได้สิคะ คุณถามมาได้เลย ฉันอยากให้คุณเข้าใจทุกอย่างก่อนที่เราจะเดินทางไปต่างประเทศพรุ่งนี้"
"เอ่อ...คือ...ฉันสงสัยว่า ทำไมคุณหนูต้องให้ลูบหัวและก็จับมือถึงจะนอนได้คะ"
"ก็คงเป็นเอฟเฟคจากอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้วล่ะมั้งคะ ลูกสาวฉันตกใจกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากจนสูญเสียความทรงจำแบบฉับพลัน ถึงเธอจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่อาการจิตตกก็ยังตามทำร้ายเธออยู่ สิ่งที่เราทุกคนทำได้คือการทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเพื่อให้เธอสามารถนอนหลับได้น่ะค่ะ"
"อ๋อ...ค่ะ แล้วถ้าสมมติว่า มีอะไรไปกระตุ้นทำให้คุณหนูจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้จะเกิดอะไรขึ้นคะ"
"เคยมีเพื่อนของเธอพูดถึงอุบัติเหตุค่ะ วันนั้นเธอก็ช็อกไปเลย แต่พอฟื้นมาเธอก็จำเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้เหมือนเดิม แถมยังลืมด้วยว่าใครเป็นคนพูด ประมาณว่า ถ้าคุณพูดวันนี้ ถ้าถึงวันพรุ่งนี้ เธอก็จะลืมเรื่องของวันนี้ไปด้วย"
"งั้นก็หมายความว่า คุณหนูจะไม่สามารถจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลยสิคะ"
"ก็คงจะเป็นแบบนั้นนะคะ ให้เธอลืมเรื่องร้าย ๆ ในวันนั้นไปน่ะดีแล้วค่ะ เราทุกคนพยายามประคับประคองอาการของเธออย่างดีมาตลอด ถึงขั้นต้องเปลี่ยนที่เรียนใหม่ เปลี่ยนสังคมใหม่ ๆ เพื่อที่จะไม่มีใครพูดเรื่องนั้นกับเธออีก แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่พร้อมกลับไปเรียนหรอกค่ะ เราก็ต้องเข้าใจ"
ไม่ยุติธรรม!! ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!!
"พยายามอย่าให้ใครมาทำร้ายจิตใจเธอเด็ดขาดเลยนะคะ ต่อให้ตื่นมาจะลืมก็เถอะ แต่การจะต้องสูญเสียความทรงจำแบบฉับพลันบ่อย ๆ คงไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอแน่ ๆ ฉันกลัวว่าหากเกิดขึ้นบ่อย ๆ เธอจะปะติดปะต่อเรื่องราวในชีวิตไม่ได้ มันจะส่งผลให้เธอเครียดและจิตตกหนักกว่าเดิม เพราะงั้น...ฉันเลยอยากได้บอดี้การ์ดที่จะคอยช่วยเหลือและดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด ก็ตามที่เคยบอกไปน่ะค่ะ ว่านงคราญจะต้องไปดูแลงานส่วนอื่น ๆ คงไม่มีเวลามาดูแลลูกสาวฉันเหมือนเดิมแล้ว"
ปัญญาวียืนกุมมือและนิ่งเงียบหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากคนเป็นนายหญิง อยากทำให้คนที่เคยพรากชีวิตแม่ของเธอได้รู้เหลือเกินว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดมากแค่ไหน และการจดจำทุกอย่างได้มันทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น 
"คุณปัญญาวีคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมเหม่อล่ะคะ"
"อะ อ๋อ! เปล่าค่ะ ฉันคงเบลอ ๆ น่ะค่ะ ขออภัยค่ะคุณผู้หญิง"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ คุณคงจะเหนื่อย เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องมากมายกับคุณ แต่เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่าทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ เข้มแข็งไว้นะคะคุณปัญญาวี"
"ขอบคุณค่ะคุณผู้หญิง แค่ฉันได้รับโอกาส ก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันแล้วล่ะค่ะ" คนเป็นนายได้ฟังคำตอบเช่นนั้นจึงส่งรอยยิ้มกลับไปอีกครั้ง
"เดี๋ยวพรุ่งนี้รถของคุณก็คงมาส่งแล้ว ช่วงกลางวันถ้าคุณอยากขับไปพักผ่อนคุณก็ทำได้นะคะ เพราะช่วงนั้นส่วนใหญ่ลูกสาวฉันจะอยู่แต่ในห้องหนังสือ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ"
"เอ๊ะ!? แต่คุณนงคราญบอกกฎกับฉันว่าห้ามออกไปไหน ถ้ายังทำงานไม่ถึงเดือนนี่คะ"
"ไม่มีกฎอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ นงคราญนี่ก็ตึงเกินไปตลอด เอาเป็นว่าคุณได้รับอนุญาตจากฉันแล้ว คุณพักผ่อนได้ตามสบายเลยค่ะ"
"เฮ้อ...โล่งใจไป ขอบคุณค่ะคุณผู้หญิง ฉันนึกว่าจะออกไปเยี่ยมน้องสาวไม่ได้แล้ว ฉันเป็นห่วงน้องสาวมาก ถ้าต้องรอถึงเดือนฉันคงใจขาดตายแน่ ๆ"
"คุณไปได้นะคะ แค่แจ้งลูกสาวฉันก่อนจะออกไปไหนก็พอ เธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงคุณเวลาคุณหายไป"
"เป็นห่วง?" ถามพร้อมกับเอียงศีรษะแสดงสีหน้าฉงน
"ค่ะ ลูกสาวฉันจะเป็นห่วงคุณ"
"เอ่อ...ค่ะ รับทราบค่ะคุณผู้หญิง"
"ตอนนี้ฉันอุ่นใจมากเลยค่ะที่มีคุณมาดูแลลูกสาวของเรา แต่ฉันก็คงจะขอเหมือนเดิมค่ะ ช่วยดูแลลูกสาวของเราเสมือนเป็นน้องสาวของคุณจะได้ไหมคะคุณปัญญาวี"
"ได้ค่ะคุณผู้หญิง ฉันจะดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุด"
ฉันจะดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุด... ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของปัญญาวีทันทีที่พูดจบ มันกำลังย้ำเตือนว่าเธอควรจะดูแลคุณหนูให้ดีตามที่ลั่นวาจา เพราะคนเป็นพ่อได้สอนเอาไว้เสมอว่า...
'เจตคติ คือตระกูลที่ซื่อสัตย์และภักดี เราร่ำเรียนและสอนมวยไทยมารุ่นสู่รุ่น เราปกป้องคนที่ตัวเองรักเยี่ยงชีวิต หากได้ลั่นวาจา อย่าคิดที่จะผิดวาจาเด็ดขาด เพราะมึง...จะไม่ต่างจากสวะ...'
"คุณกลับไปนอนพักผ่อนเถอะค่ะ วันนี้คุณคงเหนื่อยมากแล้ว ขอโทษที่รบกวนเวลาของคุณนะคะ"
"รับทราบค่ะ" ปัญญาวีตอบรับพร้อมกับโค้งตัวเป็นการเคารพคนเป็นนายอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกหน่วงอยู่ในอก บริเวณโถงทางเดินและบันไดที่ทอดยาวไปยังชั้นหนึ่งว่ามืดแล้ว มันยังไม่เท่ากับหนทางชีวิตของเธอตอนนี้เสียด้วยซ้ำ...


"เรียบร้อยค่ะ" ณิชาพูดพลางกับอมยิ้มดีใจราวกับเด็ก ๆ
"ขอบคุณนะคะคุณหนู" ปัญญาวีตอบพร้อมกับยกมือข้างขวาที่มีพลาสเตอร์ลายการ์ตูนน่ารัก ๆ ติดตามนิ้วมือ และแปะบริเวณแผลที่ถลอก ก่อนจะอมยิ้มออกมาอย่างคนลืมตัว เพราะได้เห็นรอยยิ้มของคุณหนูณิชา ทำให้เธออดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ไม่เป็นไรค่ะ ณิยินดี ไปกันค่ะ ณิพร้อมออกกำลังกายแล้ว"
"ค่ะ" 
บอดี้การ์ดสาวตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเผยให้เห็นร่างสูงโปร่งสวมชุดสูทแบบเต็มตัว วันนี้เนกไทถูกผูกตามที่สอนแล้ว แม้มันจะไม่ได้เรียบร้อยมากนัก แต่เธอก็สามารถทำได้ดีแม้ณิชาจะสอนไปแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ณิชาจึงมองและอมยิ้มด้วยความชื่นชม ก่อนรถเข็นไฟฟ้าของเธอจะถูกเข็นออกไปที่หน้าบ้านเพราะถึงเวลาที่ต้องออกกำลังกายแล้ว


"ไม่ต้องช่วยนะคะ ณิอยากลองลุกด้วยตัวเอง"
"ไหวเหรอคะคุณหนู"
"ขอลองดูก่อนนะคะ" พูดพร้อมกับใช้สองมือค้ำกับที่พักแขนเอาไว้มั่นก่อนจะออกแรงยันตัวให้ลุกขึ้น แต่แขนก็พาอ่อนแรงจนเกือบจะล้ม โชคยังดีที่บอดี้การ์ดสาวรีบคว้าตัวเธอเอาไว้ทัน
"คุณหนูนี่ดื้อจังเลยนะคะ ไว้ฉันเห็นพัฒนาการของคุณมากกว่านี้ก่อนแล้วกัน ฉันถึงจะให้คุณลองยืนด้วยตัวเอง" พูดพร้อมกับประคองร่างบางให้มาอยู่ในอ้อมกอด คุณหนูณิชาจึงพยายามยกเท้าเหยียบลงที่พื้นหญ้าด้วยความระมัดระวัง
"เจ็บไหมคะ"
"ขามันตึง ๆ ค่ะ"
"น่าจะเพราะคุณหนูเพิ่งจะมาหัดเดินใช่ไหมคะ"
"ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าใช่ไหม แต่ก็คงจะใช่ เพราะณิเพิ่งมาหัดเดินช่วงไม่กี่เดือนนี่เองค่ะ"
"ทำไมถึงปล่อยเอาไว้นานแบบนี้ล่ะคะคุณหนู"
"ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ณิรู้สึกว่าเหมือนตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปก็ไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกมันบอกว่าณิไม่ได้ตกบันได ณิก็เลยลงโทษตัวเอง แต่พอเห็นพี่นงพยายามที่จะทำให้ณิกลับมาเดินได้ ณิก็เลยยอมแพ้ความคิดนั้น แล้วกลับมาฮึดสู้ค่ะ" คำตอบที่ปัญญาวีเองก็แอบเจ็บในใจลึก ๆ เธอไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย
"อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ หลังจากนี้คุณมีฉัน ฉันจะทำให้คุณกลับมาเดินได้เหมือนเดิม"
"ขอบคุณนะคะ ณิพร้อมแล้วค่ะ" 
"ฉันจะถอยหลังออกไปรอรับนะคะ ขอฉันดูสักหน่อย ว่าคุณเดินได้แค่ไหนแล้ว"
ปัญญาวีผละออกจากอ้อมกอดพร้อมกับเดินถอยหลังช้า ๆ มือทั้งสองยื่นออกมาข้างหน้าและหงายเอาไว้เตรียมรับตัวคุณหนูณิชาเพราะหากเกิดอะไรขึ้น เธอจะได้รีบเข้าไปช่วยได้ทัน ณิชาจึงยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ปลายนิ้วของบอดี้การ์ดสาวเอาไว้ เพราะสีหน้าของเธอดูกังวล ปัญญาวีขึ้นจับมือนุ่มเอาไว้แน่น
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะไม่ปล่อยมือคุณ ค่อย ๆ ก้าวตามฉันมาช้า ๆ นะคะคุณหนู"
"ค่ะ...ณิทำได้"
"ค่ะ คุณหนูทำได้"
พูดจบปัญญาวีก้าวถอยหลังช้า ๆ อีกครั้ง พร้อมกับที่ณิชาค่อย ๆ ก้าวขาตามเธอไปด้วยความตั้งใจ ภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่ต่างจากตอนที่ปัญญาวีเคยสอนน้องสาวหัดเดินในตอนเด็ก ๆ หากจะบอกว่าท่าทางของน้องสาวและคุณหนูณิชานั้นราวกับถอดแบบกันมาเลยก็ว่าได้ รอยยิ้มด้วยความชื่นชมปรากฏบนใบหน้าของบอดี้การ์ดสาวทันที พร้อมกับน้ำตาที่ค่อย ๆ รินไหลผ่านแก้มเนียนช้า ๆ คิดถึงเหลือเกิน ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ...
"คุณปัญคะ!? คุณร้องไห้ทะ...อ๊ะ!!!" เมื่อณิชาเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ เพราะเธอสามารถก้าวเดินตามบอดี้การ์ดสาวได้ถึงสามก้าวแล้ว แต่เมื่อเห็นน้ำตาที่กำลังรินไหลอยู่นั้นทำเอาเธอสะดุดแล้วพุ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของบอดี้การ์ดสาวทันที
"ข...ขอโทษค่ะคุณปัญ ณิไม่ทันระวัง" ไม่มีเสียงตอบรับจากคนร่างสูงโปร่ง แต่เธอกลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับประคองศีรษะณิชาให้ซบลงที่บ่าของเธอเอาไว้
"ขอโทษนะคะคุณหนู...ฉันเห็นคุณแล้วฉันคิดถึงน้องปุณ ฉันขอกอดคุณแบบนี้อีกหน่อยได้ไหมคะ"
"ด...ได้ค่ะ" ตอบด้วยหัวใจที่เต้นแรงและรัวราวกับจะทะลักออกมาจากอก
"น้องปุณนี่คือน้องสาวของคุณเหรอคะ"
"ค่ะ ชื่อจริงชื่อ ปุณญิสา ชื่อเพราะใช่ไหมคะ"
"เพราะมากเลยค่ะ มีความหมายว่าอะไรเหรอคะ"
"ผู้มีบุญยิ่งใหญ่ค่ะ น้องปุณคงมีบุญมากจริง ๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวของคุณหนู ขอบคุณนะคะที่ช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาล"
"ม...ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคิดถึงและเป็นห่วงน้องสาวมาก วันนี้ณิจะพาไปหานะคะ"
"จริงเหรอคะ!!? คุณจะพาไปจริง ๆ ใช่ไหมคะ"
"ค่ะ แต่ก่อนอื่น...ช่วยปล่อย...ณิก่อนได้ไหมคะ"
"อ๊ะ!! ฉันขอโทษค่ะที่มากเกินไป!" พูดพลางกับผละตัวออกจากอ้อมกอดจนได้เห็นใบหน้าขึ้นสีของคุณหนูณิชาที่กำลังหลบสายตาของเธออยู่จนใบหน้าของเธอเองก็ร้อนผ่าวไม่ต่างกัน
บ้าเอ๊ย!! นี่ฉันทำบ้าอะไรเนี่ย ถ้าทุกคนออกมาเห็นฉันกอดคุณหนูแบบนี้จะทำยังไง!! 


"จะไม่ออกไปห้ามหน่อยเหรอคะคุณท่าน"
เสียงที่ดูเยือกเย็นแต่ยังแฝงไปด้วยความนอบน้อมจากพี่เลี้ยงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างกายคนเป็นนายร่างสูงท้วม ซึ่งการกระทำของปัญญาวีและคุณหนูณิชานั้นอยู่ในสายตาของทั้งสองมาตั้งแต่ต้น 
"อะไรที่ทำให้ลูกสาวฉันยิ้มได้ ก็แกล้ง ๆ ทำเป็นว่ามองไม่เห็นไปบ้างนะนง" คนเป็นนายตอบ พลางกับยืนมองทั้งสองผ่านหน้าต่างบานใหญ่
"แต่ฉันเกรงว่ามันจะเกิดปัญหาตามมานะคะ"
"ฉันเชื่อใจปัญญาวี"
"แต่ฉันไม่เชื่อใจเธอค่ะ ดูก็รู้ว่าเธอโกรธแค้นคุณหนูมากแค่ไหน แต่คุณท่านก็ยังจะให้ฉัน..."
"เจตคติจงรักภักดีต่อคนบุคคลอันเป็นที่รัก ต่อให้โกรธแค้นมากแค่ไหน มันก็กลบคำว่าภักดีในหัวใจไม่ได้หรอกนะนง"
"แต่คุณท่านคะ นี่มันคนละคนกันนะคะ"
"ขึ้นชื่อว่าอยู่ในตระกูลเจตคติ...เราเชื่อใจได้ทุกคน" เสียงทุ้มที่พูดแบบหนักแน่น แต่กลับไม่ได้คลายความกังวลภายในใจนงคราญแม้แต่น้อย เธอยืนมองทั้งสองด้วยความหวาดหวั่นพร้อมกับบีบมือของตัวเองเอาไว้แน่น
ถ้าคุณคิดที่จะทำร้ายคุณหนูล่ะก็...ฉันไม่ปล่อยเอาไว้แน่...