"คุณหนูยังเจ็บอยู่หรือเปล่าคะ"
"ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ"
"เดี๋ยวฉันจะพยายามเบามือที่สุดนะคะ"
"ค่ะ"
ปัญญาวีส่งยิ้มที่อ่อนโยนไปให้ณิชา ก่อนจะบรรจงแต้มเจลสำหรับลดอาการอักเสบและฟกช้ำอย่างเบามือที่สุด ซึ่งบนร่างบางยังหลงเหลือร่องรอยจากการถูกกัดจนเป็นรอยฟกช้ำ และบางจุดก็เป็นแผลเล็กน้อย บอดี้การ์ดสาวจึงได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ภายในใจ แม้ตอนนี้เธออยากไปแก้แค้นอีกคนมากเพียงใด แต่เธอก็ทำได้แค่ทะนุถนอมร่างบางที่ใช้ผ้าปกปิดพื้นที่สงวนทั้งท่อนบนและท่องล่างไว้เท่านั้น
"คุณปัญเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา เพราะเจ้าตัวนิ่งเงียบไประหว่างที่มองเรือนร่างที่มีแต่รอยฟกช้ำ
"โกรธค่ะ" ปัญญาวีตอบเสียงแผ่วแต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
"ณิขอโทษ"
"เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้โกรธคุณหนู แต่ฉันโกรธยัยแอนนา"
"คุณปัญอย่าทำอะไรพี่แอนนาได้ไหมคะ"
"ทำไมคะ มันทำกับคุณหนูขนาดนี้ คุณยังจะปกป้องมันอีกเหรอ"
"แต่พี่แอนนาเป็นพี่สาวของณินะคะ"
"พี่สาวเหรอคะ พี่สาวที่ทำกับน้องตัวเองได้ขนาดนี้มันยังมีความเป็นคนอยู่ไหม"
"เวลาคุณโกรธ คุณน่ากลัวมากเลยนะคะรู้ตัวหรือเปล่า ณิกลัว...คุณในตอนนั้น" ณิชาพูดพลางกับเอื้อมมือมาประคองใบหน้าของปัญญาวีเอาไว้ ทำให้สีหน้าของเธอสลดลงทันที เพราะภาพที่เธอทำร้ายคุณหนูณิชาจนเกือบสิ้นลมมันยังเป็นตราบาปที่คอยทิ่มแทงหัวใจเธออยู่
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ ณิไม่ได้ดุคุณนะคะ แค่บอกว่าคุณดูน่ากลัว"
"ฉันขอโทษนะคะคุณหนู ขอโทษที่ทำร้ายคุณ ฉันโกรธตัวเองม..." ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ คนตัวเล็กก็ลุกขึ้นมาประกบริมฝีปากเข้าด้วยกันเสียก่อน ทำให้ผ้าผืนเล็กที่ปกปิดเรือนร่างก็ร่วงลงด้วยเช่นกัน
"ค...คุณหนู..."
"เลิกพูดขอโทษได้หรือยังคะ ถ้าคุณยังไม่ยกโทษให้ตัวเอง ณิก็จะไม่ยกโทษให้ตัวเองเหมือนกัน"
"ไม่เอาสิคะ คุณไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันตั้งใจ"
"ยังไม่หยุดใช่ไหมคะ...ได้ค่ะ งั้นณิจะทำให้คุณหยุดพูดแล้วนะคะ" ปากก็พูดไป มือก็พยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของบอดี้การ์ดสาวไปด้วย แต่มือเรียวกลับรีบกุมมือยั้งการกระทำของเธอก่อน
"คุณหนูจะทำอะไรคะ"
"จะทำให้คุณหยุดพูด"
"ด้วยวิธีไหนกัน"
"..." ณิชามองค้อนเล็กน้อย เพราะสภาพของเธอตอนนี้ไม่มีอาภรณ์แม้แต่ชิ้นเดียว ยอดปทุมถันอมชมพูก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แต่เจ้าตัวกลับเอาแต่โทษตัวเองอยู่ได้ เธอจึงทิ้งตัวลงหนุนหมอนด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดก่อนจะดึงผ้าห่มมาปิดตัวเสียมิดชิด
"คุณหนูเป็นอะไรคะ"
"คุณไม่ออกไปอยู่กับน้องปุณเหรอคะ เอาแต่มาเฝ้าณิแบบนี้เดี๋ยวน้องปุณน้อยใจแย่หรอก"
"น้องปุณดูหนังกับคุณนมอยู่น่ะค่ะ"
"ค่ะ"
"คุณหนู" เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงนอนหันหลังให้อยู่อย่างนั้น มือเรียวทั้งสองข้างจึงปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด ก่อนจะถอดออกไปเหลือแค่เพียงบราสีดำที่สวมอยู่
"คุณหนูคะ"
"..."
"คุณหนู"
"..." มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงใช้ปลายจมูกโด่ง ๆ ถูไถบริเวณต้นคอระหง จนณิชาต้องดึงผ้าห่มปิดสูงจนมาถึงลำคอ แต่เมื่อเธอหันมาเพราะหวังจะเอ็ดบอดี้การ์ดสาวก็พบว่าอีกคนเตรียมพร้อมที่จะร่วมรักแบบเต็มแก่ เธอจึงได้แต่กลืนน้ำลายดังอึก
"อะไรคะ ถอดเสื้อทำไม"
"เมื่อกี้คุณไม่ได้อ่อยฉันหรอกเหรอ"
"คุณปัญ!!"
"อันที่จริงแค่ให้ฉันทายาให้ ไม่เห็นจะต้องแก้ผ้าขนาดนี้เลยนี่คะ ฉันรู้สึกว่าคุณนี่...ดูโตขึ้นทุกวัน"
"อ...อะไรคะ!?"
"หน้าอกล่ะมั้งคะ"
"คุณปัญ!! คนทะลึ่ง!!" ปากเอ็ดคนตรงหน้าพร้อมกับมองค้อน แต่แก้มของเธอกลับร้อนผ่าวจนขึ้นสีเป็นสีแดงระเรื่อ และเมื่อบอดี้การ์ดสาวใช้มือไพล่หลังเธอจึงรีบดึงผ้าห่มคลุมโปงไว้ทันที
"ทำอย่างกับไม่เคยเห็นหน้าอกฉันงั้นแหละคุณหนู"
"หยุดพูดเลย!!"
"ขอฉันวัดดูหน่อยได้ไหมคะ ว่าของเรามันเท่ากันหรือยัง"
"คุณปั...อ๊ะ..."
เมื่อผ้าห่มผืนหนาถูกดึงออกพรวดเดียว ณิชาจึงรีบขดตัวเพื่อปกปิดเรือนร่างของตนไว้ทันทีก่อนจะมีร่างหนึ่งประกบแนบจากทางด้านหลังและลมหายใจอุ่น ๆ รดต้นคอระหงอยู่ แถมมือไม้ก็เริ่มซุกซนเลื้อยมาบีบเค้นที่หน้าอก เธอจึงรีบใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้ทันที
"มันใหญ่ขึ้นจริง ๆ ด้วย"
"ค...คงจะเป็นเพราะประจำเดือนณิกำลังจะมาแล้วมั้งคะ"
"เหรอคะ...งั้น...ฉันควรที่จะรีบทำตุนเอาไว้เยอะ ๆ แล้วสิ"
"ค...คุณปัญ...อา..."
"อ๊า...อ๊า...พี่แอนนาขา...เร็วอีกค่ะ ซี๊ด...เร็วอีก!! อ๊า! อ๊า!!"
"แฮก ๆ โอ้...เบบี้...."
สองร่างเปลือยเปล่าที่บรรเลงเพลงรักอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ บ่าข้างซ้ายของคนเบื้องล่างก็ถูกขบกัดจนระบม ข้อมือข้างขวาที่มีรอยสักรูปเข็มทิศก็ทำหน้าที่ได้ดีจนน้ำหวานจากดอกไม้จวนจะทะลักออกมาอยู่แล้ว ยิ่งเธอเร่งจังหวะขึ้นคนใต้ร่างก็ยิ่งจิกที่แผ่นหลังของเธอแน่นขึ้น พร้อมกับเสียงครวญครางราวจะขาดใจ ก่อนจะกระตุกเกร็งในที่สุด
"อื๊อ!!! อ๊า!!!!"
"ซี๊ด...อา...น้ำรักหนูเลอะที่นอนพี่หมดแล้ว"
"ข...ขอโทษค่ะ" ร่างบางสั่นระริกด้วยความเสียวซ่านพลางกับก้มลงดูผลงานของตนที่ทำให้ผ้าปูเตียงสีเทาเปรอะไปหมด
"ช่างเถอะ เสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว"
"คะ? ขอหนูอยู่กับพี่แอนนาก่อนไม่ได้เหรอคะ"
"เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เสร็จแล้วก็แยกเหมือนทุกครั้ง" หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงเอ่ยพลางกับหยิบเสื้อมาสวมไว้ดังเดิมโดยไม่สวมบรา แต่อีกคนกลับนั่งกัดฟันแน่นแล้วคว้าที่คอเสื้อก่อนจะบังคับร่างของเธอให้โน้มตัวลงนอนกับที่นอนพร้อมกับกดที่ไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้
"หนูยอมมีอะไรกับพี่มาตลอด แค่ให้สถานะหนูแค่นี้มันไม่ได้เลยเหรอคะ"
"พี่ก็บอกพิงกี้ตั้งแต่วันแรกแล้วนะ ว่าพี่ต้องการแค่เซ็กส์"
"เหรอคะ...ถ้าชอบมากก็ทำอีกสิคะ ทำจนกว่าพี่จะพอใจ"
"กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวคนต่อไปจะรอ"
"พี่แอนนา!!" ปลายนิ้วมือของเธอจิกที่ไหล่ทั้งสองข้างด้วยความโกรธ แต่คนอย่างแอนนากลับไม่ได้สะทกสะท้านต่อความเจ็บปวดแม้แต่น้อย หนำซ้ำเธอยังชอบเสียอีก
"ซี๊ด...คืนนี้กลับมาหาพี่อีกนะ ถ้าเสร็จจากอีกสองคนแล้วพี่จะโทรบอก"
เพี้ยะ!!!
ฝ่ามือบางตบเข้าที่ใบหน้าสวยของสาวลูกครึ่งอย่างแรงจนได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ในปาก ทำให้มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นทันที ก่อนจะใช้มือเรียวข้างที่มีรอยสักคว้าที่ต้นคอของคนที่อยู่บนร่างพร้อมกับออกแรงบีบอย่างแรงจนเจ้าตัวต้องทุบที่แขนของเธอ
"แค่ก ๆ"
"มึงรู้ไหมว่าคนที่แล้วที่มันทำกับกูแบบนี้มันตายยังไง!!!?"
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
เพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้หญิงสาวร่างบางหล่นตุ๊บลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับหายใจพะงาบ ๆ หากไม่มีเสียงเคาะประตูเธออาจหมดลมหายใจก่อนเป็นแน่
"รีบใส่เสื้อผ้าแล้วกลับไปได้แล้ว! หมดเวลาของมึงแล้วพิงกี้"
"อีเลว...แฮก ๆ"
"มึง!!!"
ก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!!
เมื่อแอนนาง้างฝ่ามือเตรียมจะลงไม้ลงมือกับร่างเปลือยเปล่าที่นอนหายใจรวยริน เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเสียงดังและหนักแน่นขึ้นอีก คาดว่าของเล่นชิ้นต่อไปต้องเป็นคนใจร้อนเป็นแน่ เธอจึงรีบไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวมาพันรอบเอว ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูห้องด้วยความเร่งรีบ
ก๊อก!!! ก๊อก!! ก๊อก!!!
"มาแล้วจ้าฮันนี่จ๋า พี่มาแล้ว..."
แอ๊ด....
ทันทีที่แอนนาเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเธอถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ หญิงสาวเจ้าของผมดำประบ่ายิ้มให้กับเธอพร้อมกับดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นราวกับกำลังจะสาปให้เธอกลายเป็นหินอย่างไรอย่างนั้น
"ม...มึงมาทำไม!!?"
"คำทักทายไม่ค่อยเป็นมิตรเลยนะคะคุณแอนนา"
สิ้นเสียงพูด แอนนารีบคว้าประตูเพื่อหวังจะปิด แต่มือเรียวข้างหนึ่งกลับคว้าประตูเอาไว้อย่างรวดเร็วจนเธอไม่สามารถปิดประตูได้ ซึ่งเธอพยายามยื้อยุดฉุดกระชากอย่างไรก็ไม่สามารถสู้แรงหญิงสาวอีกคนได้แม้แต่น้อย
"ปล่อย!!!!"
"ว้าว...มีสาวมานอนด้วยก็ไม่บอก จะได้ไม่มาขัดจังหวะ" เธอพูดพลางกับเหลือบมองเข้าไปในห้องที่มีหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าลุกขึ้นมาสวมชุดของตนให้เข้าที่ ก่อนจะประคองร่างที่โซซัดโซเซมาที่ประตูช้า ๆ
"พิงกี้อย่าเพิ่งไป!!! อยู่กับพี่ก่อน!"
"อีเลว!!" หญิงสาวพูดจบก็เอี้ยวตัวหลบทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วรีบวิ่งหนีไป และเธอก็ยังไม่ลืมที่จะด่าทอด้วยความโกรธก่อนจะจากไปด้วย
"มึงมาทำไม!!!?"
"มาคิดบัญชี" สิ้นเสียงพูด ปัญญาวีก็ผลักแอนนาเข้าไปในห้องจนเธอถึงกับเสียหลักล้มลงกับพื้น ก่อนจะล็อกประตูให้เรียบร้อย และก้าวเข้าหาอีกคนที่พยายามตะเกียกตะกายหนี แต่ข้อเท้าของเธอก็ถูกคว้าเอาไว้ได้ทัน
"ปล่อยกู!!!"
"มึงทำอะไรคุณหนูของกู!!!?" เมื่อปัญญาวีง้างหมัดเตรียมพร้อม เจ้าตัวก็รีบพนมมือเอาไว้กลางอกทันที
"ยอมแล้ว!! ยอมแล้ว!! ฉันยอมแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าอยากได้มันมากฉันยกให้ก็ได้ ฉันไม่เอาแล้ว ฉันพอใจแล้ว"
พลั่ก!!!!
"อัก!!"
ความเคียดแค้นที่ปะทุอยู่ในใจทำให้ปัญญาวีไม่มีความปราณีและไม่ฟังคำอ้อนวอนใด ๆ ทั้งสิ้น หมัดที่เหวี่ยงอัดเข้าใบหน้าของแอนนาแบบเต็มเหนี่ยวทำเอาเธอแทบหมดสติ
"มึงลุกขึ้นมา!! กูไม่อนุญาตให้มึงสลบ!!" ปัญญาวีก้าวขึ้นนั่งคร่อมร่างของหญิงสาวลูกครึ่งเอาไว้ ก่อนจะกระชากคอเสื้อขึ้นมาและเขย่าร่างอีกทั้งมือข้างหนึ่งก็ตบหน้าเรียกสติไม่หยุด
"ยอมแล้ว...ยอมแล้ว...อย่าทำอะไรฉันเลย"
"ตอนที่มึงทำคุณหนูไม่เห็นมึงร้องขอชีวิตแบบนี้!!?"
"ฮือ ๆ เอาไปเลย ๆ ถ้าอยากได้ก็เอาไปเลย ฉันยกให้ ฉันจะไม่ยุ่งกับน้องณิอีกแล้ว"
"ไม่ยุ่งเหรอ!!? ไม่ยุ่งเหรอ!!? มึงพูดมาได้ยังไง มึงทำร้ายคุณหนูไปแล้ว และที่สำคัญ คุณหนูคือน้องสาวของมึง มึงทำแบบนั้นได้ยังไง!!!?"
พลั่ก!!!!
อีกครั้งที่ใบหน้าสวยถูกหมัดเหวี่ยงอัดเข้าแบบเต็มเหนี่ยว หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน เธอจึงได้แต่นอนแน่นิ่งในสภาพที่สะบักสบอม แต่ปัญญาวีก็เขย่าร่างเรียกสติของเธออีกครั้ง
"มึงฟื้นขึ้นมา!!!"
"แก...ต้องการ อะไร..."
"ถ้าคุณหนูไม่ขอร้องกูไว้ ป่านนี้กูเอาปืนมายิงหัวมึงให้ตายไปแล้ว!!!"
"หึ...น้องณิติดใจฉันงั้นเหรอ ถึงได้ขอร้องให้บอดี้การ์ดหน้าโง่แบบแกไว้ชีวิตฉัน"
มือทั้งสองข้างของปัญญาวีสั่นเทาด้วยความโกรธ จริงอย่างที่เธอพูด หากคุณหนูณิชาไม่ขอร้องเธอเอาไว้ ป่านนี้คนปากเสียได้ตายคามือของเธอไปแล้ว
"กูต้องไว้ชีวิตมึงเพื่อที่จะล่อแม่มึงกลับมา"
"เกี่ยวอะไรกับแม่กู!!? มึงอย่ามายุ่งกับแม่กูนะ!!"
"เหอะ...มึงกับแม่วางแผนชั่ว ๆ อะไรไว้ สารภาพมาให้หมด!!!"
"มึงพูดอะไรของมึง"
พลั่ก!!!
"พูดออกมา!!!!"
พลั่ก!!!
พลั่ก!!!
"พูดสิวะ!!! มึงคิดที่จะทำอะไร พูด!!!"
แม้ร่างของแอนนาจะแน่นิ่งไร้สติไปแล้วแต่ปัญญาวีก็ยังคงระบายความแค้นกับใบหน้าสวยนั่นไม่ยั้ง แต่ท้ายที่สุดเธอก็พลันคิดถึงคำขอร้องจากคุณหนูณิชาทำให้หมัดข้างขวาค้างกลางอากาศอยู่อย่างนั้น
"โธ่เว้ย!!!!"
ซ่า!!
ทันทีที่น้ำเย็น ๆ สาดเข้าใส่ใบหน้าที่มีบาดแผลและรอยฟกช้ำ แอนนาถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้น ก่อนจะพบว่า ร่างของเธอถูกจับมัดแขนและขาอยู่บนเก้าอี้ และคนที่สาดน้ำเรียกสติเธอจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากคนที่เคียดแค้นเธอถึงขึ้นต้องถ่อมาคิดบัญชีกับเธอเพียงลำพัง
"ฟื้นได้สักทีนะ" เสียงเรียบนิ่งของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัวด้านหน้าเธอ ก่อนจะมีมือข้างหนึ่งจับเชยคางเงยขึ้นให้ได้เห็นแววตาที่กำลังจ้องมองมาด้วยความโกรธ
"แผนของมึงคืออะไร"
"มึงพูดอะไรของมึง"
"อย่ามาทำไขสือ จำได้ใช่ไหม เมื่อปีที่แล้วคุณหนูประสบอุบัติเหตุเพราะรถถูกตัดสายเบรก มันเป็นแผนของพวกมึงใช่ไหม!?"
"อะไรของมึง กูไม่รู้เรื่อง!!"
"โกหก!!! สารภาพมาตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ตำรวจจะมาลากคอมึงเข้าคุก!!"
"จับข้อหาอะไรวะ!!? แค่นอกใจเนี่ยนะ"
"แอนนา! มึงเลิกทำตัวเหมือนไม่รู้เรื่องสักที มึงกับแม่วางแผนอะไรกัน พวกมึงทำร้ายคุณหนูของกูทำไม!!? พวกมึงตัดสายเบรกเธอทำไม!!!?"
"กูไม่รู้เรื่อง!! มึงพูดบ้าอะไรของมึงวะ!!?"
เพี้ยะ!!!
เมื่อเจ้าตัวยังปฏิเสธเสียงแข็ง ปัญญาวีก็ตบใบหน้าของเธออย่างจังเพราะไม่อาจยั้งมือได้อีกแล้ว สภาพของแอนนาสะบักสะบอม แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ดูโอดครวญแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังยิ้มแลดูมีความสุขเสียอย่างนั้น
"มึงเป็นปีศาจมาจากนรกขุมไหนกันวะ!!?"
"ซี๊ด...กูจำได้นะว่ามึงทำอะไรกับกูบ้าง อย่าให้กูหลุดออกไปได้แล้วกัน เดี๋ยวมึงจะได้ร้องขอชีวิตกับกูแน่..." รอยยิ้มของเธอราวกับโรคจิตก็ไม่ปาน ยิ่งทำให้ปัญญาวีฉุนหนักขึ้นไปอีก
"เวรเอ๊ย!!!"
พลั่ก!!!
"อา...หมัดหนักเป็นบ้า...ชอบว่ะ เอาอีก ขออีก"
"กูน่าจะเอาปืนมาเป่ากบาลมึง บอกกูมาเดี๋ยวนี้!!! ว่ามึงกับแม่มึงมีแผนอะไร!!?"
"จะให้กูตอบอีกกี่ครั้งวะ ว่ากูไม่รู้เรื่อง!!!"
"กูไม่เชื่อ!!!"
"คนไม่รู้ มึงก็จะบังคับให้รู้ มึงมันบ้า!!!"
"แต่มึงมันเลวทราม ที่ทำกับน้องสาวตัวเองได้ขนาดนั้น นรกส่งมึงมาเกิดสินะ"
"มึงพูดอะไรของมึง ใครน้องสาวกูวะ"
"ก็คุณหนูไง"
"น้องณิทำไม"
"คุณหนูคือน้องสาวของมึงไง!! แม่ของคุณหนูคือน้าของมึง มึงทำแบบนั้นได้ยังไง!!!?"
เมื่อได้ยินที่ปัญญาวีพูด แอนนาจึงขมวดคิ้วและเอียงศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าของเธอคล้ายคนขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นแบบเต็มแก่
"อะไรวะ มึงพูดอะไรของมึงวะบอดี้การ์ดหน้าโง่"
"นี่ไม่รู้เหรอ ว่าแม่มีน้องสาวฝาแฝด และคุณหนูเป็นญาติของมึง"
"จะบ้าหรือไง!!? ถ้าเป็นญาติกันจริง ๆ แม่จะให้ฉันจีบน้องณิทำไม!!?"
"ว่าไงนะ!!?" ปัญญาวีคว้าที่คอเสื้อของเธอแน่นพลางกับจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเพื่อจับพิรุธ แต่ดวงตาคู่นั้นก็สบตากับเธอโดยไม่มีปฏิกิริยาส่อพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้นจนเป็นเธอเสียเองที่ผละตัวออกและแสดงสีหน้าเป็นกังวลใจออกมา
อืด อืด อืด ~
ทันทีที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืด ปัญญาวีจึงรีบล้วงออกมารับและสายตาก็ยังคงจับจ้องผู้ต้องหาแบบไม่ละสายตา
"ฮัลโหล"
"คุณปัญญาวีคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมคุณไปตลาดนานขนาดนั้น"
"คุณนมคะ คุณช่วยมาหาฉันที่คอนโดคุณแอนนาหน่อยได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันอยู่กับเธอที่นี่"
"อะไรนะ!!!?"
"นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณ!!!?" นงคราญเห็นสภาพของแอนนาที่ถูกจับมัดมือมัดขากับเก้าอี้ พร้อมทั้งใบหน้าที่สะบักสะบอมเธอถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
"ขอโทษค่ะ ฉันยั้งมือไม่อยู่จริง ๆ"
"คุณนี่มันบ้าระห่ำ ไม่เชื่อฟังคำใครเลยนะคุณปัญญาวี!! ทำไมคุณไม่คิดให้รอบคอบก่อน แล้วนี่คุณมาคนเดียวแบบนี้ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!!?"
"โอ๊ย!! รำคาญโว้ย!!! ถ้าจะด่ากันก็ไปด่ากันที่อื่น จะแห่มาทะเลาะกันที่คอนโดฉันทำไม!!? โอ๊ย! ปล่อยกู!! อย่าให้กูออกไปได้นะ กูจะฆ่าพวกมึง!!" ทั้งสองได้แต่หันไปมองหญิงสาวลูกครึ่งโวยวายไม่หยุด แต่เมื่อนงคราญเห็นว่ามือของบอดี้การ์ดสาวกำหมัดแน่น เธอจึงจับที่บ่าของปัญญาวีเอาำว้ทันที
"ใจเย็น ๆ ค่ะคุณปัญญาวี"
"เราควรหาอะไรปิดปากมันนะคะ"
"ปล่อยกู!!! กูจะฆ่าพวกมึง!! แล้วกูก็จะเอาคุณหนูของพวกมึงให้ตายกันไปข้างเลย"
พลั่ก!!!
"ขยะเอ๊ย..." นงคราญสบถออกมาอย่างหัวเสียพลางกับสะบัดมือข้างขวาเพื่อคลายความเจ็บปวด ปัญญาวีจึงได้แต่อ้าปากเหวอเมื่อเห็นหญิงสาวอีกคนสามารถทำให้แอนนาสลบได้เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้น
"คุณก็หมัดหนักเหมือนกันนะเนี่ย"
"หมัดนี่คือความแค้นที่ฉันสั่งสมมานานหลายปี นี่ยังไม่รวมกับเรื่องคุณพราวอีก แต่ตราบใดที่คนพวกนันไม่กลับมาเผยความจริง ฉันก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ กลัวว่าคุณแอนนาจะตายด้วยมือของฉันเสียก่อน"
"อาจจะไม่ถึงมือคุณหรอกค่ะ แค่มันทำกับคุณหนู ฉันก็อยากจะฆ่ามันให้ตายไปซะ"
"แล้วคุณเรียกฉันมาทำไม ถ่อมาถึงที่นี่ตัวคนเดียวแบบนี้ คงไม่ต้องพึ่งพาฉันแล้วมั้ง"
"ก่อนหน้านี้ฉันพยายามจะถามความจริงกับมันค่ะ แต่ยัยแอนนาบอกว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องรถคุณหนูถูกตัดสายเบรก รวมไปถึงเรื่องที่คุณหนูเป็นน้องสาวของมันด้วย" สิ้นคำพูดของปัญญาวี นงคราญถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองร่างที่ไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้
"มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันคะ ในเมื่อ..."
"เป็นไปได้ไหมคะว่าคุณแอนนาแค่ลงมือ แต่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง"
"ถ้าถามฉันมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ แต่คุณแพรวจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ต้องการกำจัดคุณหนูแต่ไม่บอกความจริงกับลูกตัวเองเนี่ยเหรอ"
"หรือเพราะกลัวว่าถ้ายัยแอนนารู้ว่าคุณหนูคือน้องสาวตัวเองแล้วจะไม่กล้าลงมือทำอะไร เลยใช้ลูกตัวเองเป็นเครื่องมือในการทำร้ายคุณหนู ไม่ว่าจะด้วยทางกายหรือทางใจ"
"เหอะ...จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันต้องทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ทั้ง ๆ ที่คุณหนูเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่ง แถมยังเป็นหลานสาวของเธออีก ฉันว่ามันต้องมีเรื่องอะไรที่เรายังไม้รู้แน่เลยค่ะคุณปัญญาวี"
"แน่นอนค่ะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าคนพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่"
"เราไปดูอาการของน้องชายคุณกันเถอะค่ะ เผื่อเขาฟื้นขึ้นมา เราจะได้พูดคุยกับเขาด้วย"
"ก็ดีเหมือนกันค่ะ แล้วยัยแอนนาเราจะทำยังไงกันดีคะ"
"เดี๋ยวฉันจะโทรให้คนมาเฝ้าเอาไว้ค่ะ" สิ้นคำพูด นงคราญจึงไม่รอช้ารีบโทรศัพท์หาใครบางคนทันที ปัญญาวีเองก็ไม่ได้เชื่อใจเธอมากนัก เพราะสถานการณ์แบบนี้ที่เธอโดนหักหลังซ้ำแล้วซ้ำอีก เธอจะสามารถเชื่อหรือไว้ใจใครได้บ้างอย่างนั้นหรือ
เธอจึงได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นสำหรับติดตามไว้ที่เครื่องของเธอและแอนนาเอาไว้ก่อนที่นงคราญจะมาที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้น หรือผู้ต้องสงสัยอย่างแอนนาหนีไปได้ เธอก็จะสามารถติดตามไปได้และยังช่วยให้มั่นใจอีกว่า พี่เลี้ยงสาผู้แสนดีคนนี้ แท้จริงแล้วมาดีหรือมาร้ายกันแน่...
"อาการของเขาเป็นยังไงบ้างคะ" นงคราญเอ่ยถามพลางกับยืนมองร่างชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางและเครื่องช่วยหายใจผ่านกระจกขนาดเล็กที่สามารถส่องเข้าไปได้ โดยหน้าห้องฉุกเฉินนั้นมีชายสวมชุดสูทสองคนยืนเฝ้าที่หน้าประตูด้วย ปัญญาวีจึงเหลือบมองท่าทีของบุคคลเหล่านั้นพลางกับพยายามสังเกตถึงความผิดปกติ
"อาการทรงตัวครับคุณนงคราญ เรายื้อชีวิตของเขาได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่"
"ทำยังไงได้ล่ะคะ ก็คงต้องรอจนกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา"
"ถ้าเขาฟื้นเมื่อไหร่ ผมจะรีบแจ้งไปทันทีครับ"
"ฝากด้วยนะคะ"
ดูไม่ออกเลย ว่าคนพวกนี้เป็นคนดีหรือเปล่า แม้แต่คุณเกริกพลที่ไม่น่าจะหักหลังคุณหนูได้ ยังทำกันได้ลงคอ แต่ทำไมกันนะ...ทำไมคุณเกริกพลถึงย้ำให้ฉันตรวจสอบเบรกให้ดีก่อนล่ะ คือถ้าคุณเกริกพลคิดที่จะทำร้ายคุณหนูจริง ๆ เขาจะไม่บอกฉันเรื่องนี้ก็ได้ นี่มันเรื่องอะไรนักหนาวะเนี่ย ฉันจะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น...
ปัญญาวีคิดในใจ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องบริเวณประตูที่มีช่องกระจกขนาดไม่ใหญ่มากนักเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าน้องชายของเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ภาพที่เห็นคือร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูผอมบางคล้ายกับรูปร่างของเปี๊ยก แต่ใบหน้านั้นบวมจนมองได้ไม่ชัดเจนนัก
"นั่นเปี๊ยกจริง ๆ เหรอคะ"
"ก็ใช่สิคะ คุณไม่เชื่อฉันงั้นเหรอคะ"
"ดูไม่เหมือนเขาเลย" นงคราญหัว้ราะในลำคอเล็กน้อยเมื่อได้ยินปัญญาวีพูด แต่เธอก็ไม่ได้โต้แย้งใด ๆ
"ดีแล้วค่ะที่ไม่เชื่อใจฉัน เพราะบอดี้การ์ดที่ดีไม่ควรไว้ใจใครง่าย ๆ เดี๋ยวคนที่คุณต้องคุ้มกันจะได้รับอันตรายไปด้วย ซึ่งมันก็เกิดขึ้นไปแล้วด้วย"
"คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่"
"ไม่ใช่แค่คุณหรอกนะคะที่ไม่เชื่อใจฉัน เพราะฉันก็ไม่เชื่อใจคุณนักหรอก ถ้าไม่ติดว่าคุณหนูรักคุณล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้คุณหนูต้องคลาดสายตาฉันแม้แต่วินาทีเดียว แต่คุณกล้าที่จะปล่อยคุณหนูเอาไว้จนเกิดเรื่องต่าง ๆ กับเธอ จะให้ฉันเชื่อใจคุณได้ยังไงกัน"
"เหอะ...การที่คุณไม่ไว้ใจฉันนี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ อย่าลืมสิคะว่าฉันต้องสูญเสียใครไปบ้าง!"
"ก็เพราะคุณต้องสูญเสียนั่นแหละค่ะ ฉันถึงไม่ไว้ใจ วันดีคืนดีคุณจะทำร้ายคุณหนูหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือถ้าคุณพยายามแก้แค้นคุณหนูแล้วฉันจะทำยังไง!!?"
"คุณนม!!! ฉันไม่มีวันทำร้าย..." ปลายนิ้วชี้ของเธอชี้ที่หน้าของพี่เลี้ยงสาวด้วยความโกรธ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบประโยค ภาพเหตุการณ์ที่เธอเป็นคนทำร้ายคุณหนูณิชาก็ผุดเข้ามาในความคิดจนเธอถึงกับชะงักและชักมือกลับทันที
"ดูคุณไม่มั่นใจกับคำพูดของตัวเองเลยนะคะคุณปัญญาวี"
"ฉันมั่นใจค่ะ ฉันจะไม่มีวันทำร้ายคุณหนูเด็ดขาด"
"ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะคะ"
ติ๊ง!
ทันทีที่เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกับรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกง ปัญญาวีจึงรีบล้วงออกมาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าสัญลักษณ์วงกลมสีแดงในแผนที่มีการเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิม เธอจึงรีบเร่งฝีเท้าออกจากจุดนี้ทันที
"คุณปัญญาวีจะไปไหนคะ!!!?"
"เวรเอ๊ย..."
ยัยแอนนามันหนีออกมาขนาดนี้แล้วทำไมไม่มีใครโทรมาบอกคุณนมล่ะ แบบนี้ก็หมายความว่า...คุณนมก็อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เหมือนกันสินะ ให้มันได้อย่างนี้สิ!!!
ปัญญาวีขับรถเก๋งสีขาวออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความเร่งรีบพลางกับเหลือบมองกระจกมองหลังที่มีรถตู้สีดำที่คุ้นเคยขับตามมาติด ๆ สัญลักษณ์สีแดงก็กำลังเคลื่อนที่แล้วมุ่งหน้าไปทางบ้านหลังใหม่ของเธอเอง
ตอนนี้คุณหนูกับน้องปุณกำลังตกอยู่ในอันตราย บ้าเอ๊ย!!!!
เมื่อรถตู้สีดำพยายามขับขึ้นมีตีคู่ เธอก็รีบหักหลบและเปลี่ยนเส้นทางไปไปอย่างรวดเร็ว เธอพยายามหักพวงมาลัยซ้ายขวาขับแซงคันแล้วคันเล่าด้วยความฉวัดเฉวียน แต่รถตู้สีดำก็ยัคงตามเธอมาได้แบบไม่ได้ทิ้งห่างแม้แต่น้อย
อืด อืด อืด~
โทรศัพท์มือถือของเธอสั่นครืดอยู่บนแท่นวางโทรศัพท์ที่ยึดเกาะกับคอนโซลรถยนต์ และคนที่โทรศัพท์เข้ามาหาเธอก็คือคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนนั่นเอง เธอจึงใช้นิ้วชี้สัมผัสที่หน้าจอเพื่อรับสายทันที
"คุณปัญญาวี!! คุณขับรถอะไรของคุณ คุณจะรีบไปตายหรือไง!!?"
"คุณมีแผนอะไรคุณนม!!!?"
"คุณพูดอะไรของคุณ!!?"
"โธ่เว้ย!!! ใครอยู่เบื้องหลังจากเรื่องนี้กันแน่วะ!!! แม่งเอ๊ย!!!!" ปัญญาวีสบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับพยายามเร่งความเร็วรถขึ้นไปอีก แม้ถนนหนทางจะมีรถมากมายแต่เธอก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะลดความเร็วลงแต่อย่างใด
"คุณปัญญาวี คุณเป็นบ้าอะไร!!! คุณหยุดรถเดี๋ยวนี้!!!"
"ยัยแอนนามันกำลังไปที่บ้านของฉัน!! มันเป็นแผนของคุณใช่ไหม!!!? คุณพาฉันไปหาไอ้เปี๊ยกตัวปลอมเพื่อที่จะเปิดทางให้ยัยแอนนาไปหาคุณหนูกับน้องปุณใช่ไหม!!?"
"อะไรนะ!!!?"
เธอรีบเอื้อมมือวางสายเพื่อที่จะดูสัญลักษณ์วงกลมสีแดงในแผนที่จากแอปพลิเคชั่นที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากบ้านของเธอแล้ว ใจของเธอร้อนรนแทบจะหลุดออกจากอก สองมือของเธอเริ่มสั่นเทาจนสติสัมปชัญญะเริ่มจะเลือนลาง เธอจึงใช้มือซ้ายจิกที่ต้นขาของตนทันทีเพื่อให้ความเจ็บปวดนั้นเรียกสติของเธอคืนกลับมา
อืด อืด อืด ~
ครั้งนี้เป็นสายเรียกเข้าจากดวงใจของเธอเอง ยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวหนักเป็นทวีคูณ
"ค่ะคุณหนู กำลังจะกลับแล้วนะคะ..." เธอพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม้ให้ปลายสายต้องเป็นห่วง แต่แล้ว...เสียงที่ตอบกลับมานั้นทำเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้นเอาให้ได้
"มาเจอกันบ้านน้องณิหน่อยเป็นไง ถ้ามึงมาช้าเกินสิบนาที ทั้งคุณหนูและน้องสาวของมึง ได้ตายคาอกกูแน่"
"แอนนา!!! มึง!!!!"
ตรู๊ด...ตรู๊ด...
"โธ่เว้ย!! โธ่เว้ย!!!!!"