A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 29 โง่เขลา

"เชิญครับคุณปัญญาวี" ชายชุดสูทรูปร่างสูงโปร่งดูทะมัดทะแมงเอ่ยพลางกับผายมือออกด้านข้างลำตัวเพื่อเชื้อเชิญให้บอดี้การ์ดสาวขึ้นไปบนรถตู้คันหรูสีดำที่มีคนเป็นนายนั่งรอก่อนแล้ว
"ขอบคุณค่ะ" เธอตอบพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นบนรถ หลังจากนั้นประตูรถก็ปิดลง
บรรยากาศเดิม ๆ หวนกลับคืนมาอีกครั้ง มันเหมือนกับวันแรกที่เธอได้รับโอกาสและเงินก้อนโต อีกทั้งยังได้ประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีทั้งทุกข์และสุขผสมปนเปกันไปหมด ทั้งเธอและคนเป็นนายต่างยิ้มให้กันและกันเมื่อได้พบหน้าและพูดคุยกันแบบส่วนตัวเป็นครั้งแรก
"เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิด ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณท่านจะต้องปลอดภัย ยินดีต้อนรับกลับมานะคะ"
"ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งนะคุณปัญญาวี ลูกสาวสมปอง เจตคติเก่งสมคำเขาว่าจริง ๆ" เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
"ไม่หรอกค่ะคุณท่าน มันเป็นเพราะฉันทำให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงชีวิตกันขนาดนี้ คุณนงคราญเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะฉันเอาแต่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา"
"แต่คุณก็ปกป้องทุกคนได้จนวันที่ผมกลับมาไม่ใช่เหรอ คุณเป็นคนเก่งนะ" 
แม้มันจะเป็นคำเชยชม  แต่ปัญญาวีกลับรู้สึกว่ามันช่างหนักอึ้งจนไม่กล้าที่จะรับมา เธอสูญเสียบุคคลสำคัญรอบตัวมาตั้งเท่าไหร่ ซ้ำยังเกือบจบชีวิตลูกสาวของคนเป็นนายเพราะโทสะและความแค้น เธอไม่คู่ควรกับคำว่าเก่งแม้แต่น้อย กลับกันเธอรู้สึกว่าตนช่างโง่เขลานัก
ปัญญาวีไม่กล้าแม้แต่จะยิ้มกลับไป ได้แต่ก้มหน้าเก็บงำความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเอาไว้จนความเงียบครอบงำคนทั้งสอง ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
"คุณท่านมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ" สิ้นคำถามของเธอ รอยยิ้มจึงค่อย ๆ จางหายไปจากใบหน้าของคนเป็นนายอย่างช้า ๆ ก่อนเขาจะพ่นลมหายใจออกมาคล้ายคนมีเรื่องทุกข์ภายในใจ
"มีหลายอย่างที่ผมอยากจะคุยกับคุณ แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาส วันนี้ผมจึงจะใช้โอกาสนี้มาขอโทษคุณจากใจจริง"
"คุณท่าน...ขอโทษฉันเรื่องอะไรคะ" 
"ได้โปรด...ให้อภัยผมด้วยนะครับ" เขาไม่ว่าเปล่า แต่พยายามที่จะนั่งคุกเข่าลงกับพื้นแต่ปัญญาวีรีบคว้าที่ตัวของเขาเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยวค่ะคุณท่าน!! คุณท่านจะทำอะไรคะ ขึ้นมานั่งดี ๆ เถอะนะคะ"
"อา...ผมน่าจะเรียกคุณไปคุยกันที่อื่นนะ บนรถมันแคบจนผมนั่งคุกเข่าขอโทษคุณไม่ถนัด"
"อะไรกันคะคุณท่าน อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ" ปัญญาวีว่าพลางกับประคองร่างสูงท้วมของคนเป็นนายให้ขึ้นมานั่งบนเบาะรถดังเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดฝุ่นบนขากางเกงให้กับเขา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น
"คุณช่วยยกโทษให้ผมได้หรือเปล่า"
"ฉันไม่เข้าใจค่ะว่าคุณท่านพูดเรื่องอะไร ฉันต้องยกโทษเรื่องอะไรกันคะ ถ้าจะขอโทษเรื่องที่ทำให้ฉันต้องมาเจอเรื่องอันตรายล่ะก็อย่าขอโทษเลยค่ะ เพราะฉันเรียนศิลปะป้องกันตัวและวิชาต่อสู้มาก็เพื่อที่จะปกป้องทุกคนอยู่แล้ว"
"เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันคือความผิดของผมเองครับ" สิ้นคำพูดของเขา ทำเอาปัญญาวีถึงกับชะงัก แต่เธอก็ไม่ได้เข้าใจกับคำพูดของเขานัก
"คะ? ฉันไม่เข้าใจค่ะ"
"วันนี้ผมตั้งใจจะเล่าความจริงทุกอย่างให้คุณฟัง เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความจริงแล้ว...ต้นเหตุมันเกิดจากผมเอง" ความสับสนเริ่มครอบงำจิตใจของเธอจนหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่เขาพูดเรื่องอะไรกัน...
"นงน่าจะเล่าเรื่องภรรยาของผมให้คุณฟังมาบ้างแล้วใช่ไหม"
"ค่ะ" เธอตอบแบบไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก
"แต่มีอีกเรื่องที่นงไม่ได้บอกคุณ เพราะเธอเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าภรรยาของผมมีฝาแฝดชื่อแพรวกับพราว แม่ของณิชาคือพราว...ส่วนแม่ของแอนนา คือแพรว แล้วคนที่อยู่ที่นี่กับเราในตอนนี้ก็คือแพรว"
"ค่ะ เรื่องนี้ฉันทราบค่ะคุณท่าน ฉันได้ฟังเรื่องราวมาจากคุณนงค่ะ"
"เปล่า...อีกเรื่องที่นงไม่รู้น่ะ คือพ่อของแอนนาและณิชาคือ...ผมเอง" หัวใจของปัญญาวีหล่นวูบคล้ายพลัดตกจากที่สูง เธอแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อเธอหันไปมองแววตาของผู้พูด มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
"น...นี่มัน...เรื่องอะไรกันคะคุณท่าน!?"
"แอนนาและณิชาคือลูกสาวของผม พวกเธอไม่รู้เรื่องนี้กันทั้งคู่ แม้แต่นงเองก็ไม่รู้ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับแพรว และมันจึงเป็นสาเหตุที่ผมไม่ลงมือทำอะไรเลยตั้งแต่รู้ว่าแพรวแฝงตัวมาเป็นพราว เพราะผมรู้อยู่แก่ใจว่าเธอกลับมาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้น..." เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพื่อบรรเทาความหนักอึ้งภายในหัวใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อที่จะสารภาพความจริงทั้งหมดให้เธอได้ฟัง
"ผมกับแพรว เราเคยเป็นคนรักกันมาก่อน ผมเจอเธอที่ผับแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมและเธอรักกันมากถึงขั้นที่มองอะไรก็เป็นเธอเพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ความหลงใหล...เงิน...และเซ็กส์...ความมึนเมาทำให้ผมลืมคิดถึงความเป็นจริง ว่าผมค่อนข้างที่จะมีหน้าตาทางสังคมพอสมควร และผมยังมีพ่อที่คาดหวังอะไรในตัวผมไว้มากมาย
เราทั้งสองต่างก็ดื้อรั้น ไม่สนใจใคร เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังแม้แต่คำตักเตือนจากผู้ใหญ่ จนผมพลาดทำเธอท้อง ตอนนั้นเราคิดว่าพ่อของผมคงจะยอมรับหากมีหลานให้อุ้ม เราจึงเข้ามาหาพ่อของผมเพื่อที่จะคุยเรื่องแต่งงาน และจุดเริ่มต้นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็เกิดขึ้น
พ่อของผมเป็นคนอารมณ์ร้าย และไม่ยอมให้แต่งงานเด็ดขาดเพราะไม่อยากมีลูกสะใภ้ไม่รักดี หวังจะจับผู้ชายรวย มันจะทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ส่วนเราก็ไม่ยอมและดื้อรั้นที่จะแต่งงานอยู่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งท่านก็ยอม แต่มีเงื่อนไขว่า คนที่จะเป็นเจ้าสาวของผมจะต้องเป็นน้องสาวของเธอเท่านั้น ซึ่งก็คือพราว เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนโยน ผิดกับแพรวแบบลิบลับ ตอนนั้นแพรวก็ยอมเพราะคิดว่าคงแค่ให้น้องสาวมาบังหน้าวันแต่งงานเฉย ๆ เพราะพราววางตัวได้ดี จะไม่ทำให้ตระกูลของผมเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน แล้วตอนเข้าห้องหอค่อยเปลี่ยนตัวให้แพรวกลับมาทำหน้าที่คนรักของผมเหมือนเดิม"
"แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นคะคุณท่าน"
"คืนนั้นแพรวหายตัวไป ไม่มาเข้าห้องหอตามนัดของเรา ผมจึงออกตามหาเธอจนพบว่าเธอไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น ตอนนั้นผมเสียใจมากจนไม่ฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ผมเลยกลับไปนอนกับน้องสาวของเธอ ซึ่งแน่นอน...ผมไม่เคยรักพราวเลย แต่ผมนอนกับเธอเพราะคิดว่าเธอเป็นตัวแทนของแพรวเท่านั้น และก็เพื่อประชดชีวิตที่มันเฮงซวย จนเธอท้องณิชา ผมก็ยังไม่รักเธอ แต่ปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นแค่นางบำเรอเพื่อสนองความต้องการของผม
แต่ก็ตลกร้ายนะ ที่ต่อให้ผมจะทำเลวแค่ไหน พราวกลับรักและภักดีกับผมมาตลอด เธอเป็นผู้หญิงที่แสนดีที่สุดในชีวิตของผม จนวันที่ผมมาทราบข่าวว่าเธอเสียชีวิต ตอนนั้นผมเพิ่งจะเข้าใจว่าการสูญเสียคนที่มีค่าที่สุดในชีวิตไปมันเป็นยังไง และแพรวก็กลับมา กลับมาพร้อมกับความแค้น เธอกลับมาเพื่อที่จะล้างแค้นและทำลายชีวิตของผม คุณคงจะเดาได้ใช่ไหมว่าทำไมเธอถึงได้อยากทำลายชีวิตผมขนาดนั้น"
"คืนวันแต่งงาน...เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นใช่ไหมคะ" ปัญญาวีตอบ ก่อนเขาจะผงกศีรษะและรอยยิ้มก็ปรากฎบนใบหน้าของคนเป็นนาย แต่รอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"พ่อของผมวางแผนที่จะทำลายชีวิตเธอ ผู้ชายที่นอนกับเธอก็คือคนที่ท่านจ้างไปนั่นแหละ เธอถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป และต้องโซซัดโซเซหอบลูกหนีไปอยู่ที่ต่างประเทศ เพราะหากเธอยังอยู่ที่นี่ ทั้งเธอและลูกก็จะถูกฆ่า 
ช่วงที่เธออยู่อเมริกา ผมให้คนของผมคอยติดตามเธอ คนคนหนึ่งใช้ชีวิตราวกับตกนรก คนคนหนึ่งได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งความรักจากพ่อของผม มันทำให้เธอเสียสติไปช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เสพติดการมีเซ็กส์เพื่อที่จะลืมความเจ็บปวด จนผมต้องให้ลูกน้องพาเธอไปทำหมันเพื่อที่จะไม่ให้มีเด็กเกิดมารับกรรมอีก ความจริงแล้วผมรู้มาตลอดว่าเธอวางแผนที่จะทำอะไร และเธอแอบทำอะไรลับหลังผมบ้าง 
แต่ที่ผมยังเฉย ก็เพราะผมยังรักเธออยู่ ไม่คิดเหมือนกัน...ว่าเธอจะทำร้ายณิชาได้ลง แพรวเป็นคนสั่งให้เกริกพลตัดสายเบรกรถของณิชา ครั้งนั้นผมยอมไม่ได้อีกแล้ว และที่หนักไปกว่านั้น...แพรวใช้ครอบครัวเพื่อนของผมเพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นด้วย แพรวสั่งให้เกริกพลจัดการค่ายมวย และจงใจโยนความผิดให้ผมและณิชา เพื่อที่จะสุมความแค้นในใจและให้คุณกลับมาแก้แค้นคนที่ทำให้แม่ต้องตาย คุณพอจะมองภาพออกไหมปัญญาวี"
"คือ...คุณท่านจะบอกฉันว่า...เพื่อนของคุณท่าน...คือพ่อของฉัน และผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดแม้แต่วันที่แม่ฉันตายคือคุณแพรว เพราะคุณแพรวให้เกริกพลตัดสายเบรกรถของคุณหนู จุดประสงค์คือตั้งใจที่จะกำจัดคุณหนู แต่เธอดันรอด ส่วนคนที่ตายดันเป็นแม่ของฉันแทน แล้วคุณแพรวก็ใช้โอกาสนี้มาสุมความแค้นให้ฉันเพิ่มด้วยการเผาค่ายมวย ฆ่าคนรอบตัวของฉัน และใช้ฉันเป็นเครื่องมือกำจัดคุณหนูอีกที...ใช่ไหมคะ?" 
"ใช่...คุณเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นแผนการแก้แค้นของแพรวทั้งนั้น และเธอก็ใช้เกริกพลกับคุณเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นด้วย เพราะสาเหตุนี้แหละคุณปัญญาวี ที่ผมอยากจะชดใช้ให้คุณด้วยสิ่งของและเงินจำนวนหนึ่งที่มันจะเพียงพอให้คุณได้เริ่มต้นใหม่กับน้องสาวได้ หากผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณ มันคงจะเป็นตราบาปในหัวใจผมไปตลอดชีวิตแน่ ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริง ผมพร้อมที่จะชดใช้ให้คุณทุกอย่าง และหลังจากนี้ผมจะจัดการต่อเอง คุณไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อปกป้องลูกสาวของผมอีกต่อไปแล้ว"
ภายในรถตู้คันหรูที่เปิดแอร์เอาไว้จนเย็นเฉียบยังไม่อาจคลายความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจของปัญญาวีที่ร้อนรุ่มดั่งไฟกำลังสุมอก กับความคิดที่ตีรวนสวนทางเพราะตอนนี้คนเป็นนายได้ปรากฎกายต่อหน้าเธออีกครั้ง และเขาอยู่ที่นี่กับเธอ บนรถตู้คันหรูสีดำที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องวุ่นวายทั้งหมด 
สิ่งที่ปัญญาวีได้รับรู้นั้นมันเกินกว่าที่เธอจะรับได้ไหว ชีวิตคนมากมายต้องมาเสียไปเพียงเพราะครอบครัวของคนเป็นนาย ความเห็นแก่ตัว...คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดที่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นจุณได้ ต่อให้ชดใช้ด้วยเงินมหาศาลมันก็เทียบไม่ได้กับชีวิตของคนสำคัญที่จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับ
หัวใจของเธอไม่ต่างกับโดนลูกศรอาบยาพิษทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีวันที่มันจะหายดี หนำซ้ำยังทำให้เธอทุกข์ทรมานไม่มีวันจบสิ้นดั่งหัวลูกศรจากรอยสักที่เธอเป็นคนเลือกด้วยตัวเองทำร้ายตัวเธอเองอย่างไรอย่างนั้น ปัญญาวีกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด และทำได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจแม้แต่น้อยจนอีกคนรับรู้ได้ว่ารู้สึกเช่นไร
"ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด เพราะผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกับคุณ"
ไม่...ไม่เลย...ฉันสิที่เจ็บกว่า ครอบครัวของฉัน แม่...พ่อ...ไอ้เปี๊ยก...น้านวล ทุกคนไม่รุ้อีโหร่อีเหน่อะไรเลย แต่กลับต้องมาตายเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกคนรวยอย่างนั้นเหรอ แถมฉัน...ฉันยังตกเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นครั้งนี้อีก โง่...โง่เขลาสิ้นดี ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้เฮงซยแบบนี้!!
ปัญญาวีคิดในใจ และเอาแต่นั่งเงียบเพราะเธอเจ็บปวดจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว
"ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณไม่ต้องมาทำหน้าที่บอดี้การ์ดอีกแล้วนะครับ หลังจากที่จบเรื่องนี้ผมจะพาภรรยาไปรักษาที่ต่างประเทศ รวมถึงณิชาด้วย เธอยังมีอาการแพนิคจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นจนไม่สามารถขับรถยนต์ได้อีก ผมต้องพาเธอไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจของเธอ คุณต้องการอะไร คุณบอกผมได้เลย ผมยินดียกให้คุณทุกอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษและแทนคำขอบคุณที่คุณช่วยดูแลลูกสาวของผม"
สิ้นคำพูดของเขา ปัญญาวีแทบกระอักอีกครั้ง นี่เธอ...จะไม่ได้พบกับคุณหนูณิชาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...
"ว่ายังไงครับคุณปัญญาวี คุณต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะ"
"ไม่ไป...ไม่ได้เหรอคะ" ปัญญาวีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะเธอพยายามข่มอารมณ์และความเจ็บปวดเอาไว้
"ครับ?" คนเป็นนายเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ที่คุณท่านให้มามันก็มากมายแล้วค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับน้องสาว"
"ครับ หลังจากที่จับกุมตัวเกริกพลได้ ชีวิตของคุณก็จะได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาตามทำร้ายครอบครัวคุณได้อีกแน่นอน ส่วนแพรวและแอนนา ผมจะจัดการเอง"
"ค่ะ แล้วตอนนี้เกริกพลอยู่ที่ไหนคะ"
"เดี๋ยวอีกไม่นาน เขาก็จะมาที่นี่เองครับ เพราะเขาต้องกลับมาหาแพรวแน่นอน ผมมั่นใจ"
"แล้วสรุปว่าคุณแพรวกับเกริกพล..."
"ก็อย่างที่ผมบอกไป แพรวใช้เกริกพลเป็นเครื่องมือน่ะ แต่ก็...เปลืองตัวใช่เล่น แต่ที่เธอเป็นแบบนี้มันก็เพราะผม ไว้ทุกอย่างจบผมจะพาเธอไปรักษาเอง"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น หนึ่งในบอดี้การ์ดหนุ่มก็เคาะที่กระจกรถขัดจังหวะเขาและเธอ ก่อนประตูรถจะเปิดออกพรวด
"ขออภัยครับคุณท่าน! เกริกพลมันกลับมาที่บ้านคุณท่านแล้วครับ!"
"หึ...เป็นอย่างที่คิด คนอย่างมันไม่มีวันไปมือเปล่าแน่ สุดท้ายมันก็คงกลับมาตายรัง คุณอยู่ที่นี่ก็ได้นะปัญญาวี เดี๋ยวจะไปจัดการมันเอง"
"ไม่ค่ะ ฉันจะไปด้วย ฉันมีเรื่องต้องสะสาง"
"อืม" สิ้นคำตอบ เขาจึงพยักหน้าให้กับบอดี้การ์ดหนุ่มเพื่อส่งสัญญาณ ก่อนประตูรถจะปิดลงพร้อมกับที่คนขับรถขึ้นมาประจำตำแหน่ง
ปัญญาวีเหลือบมองคนเป็นนายที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดกล่องสแตนเลสที่เป็นกล่องสำหรับเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างที่เธอเคยได้รับเมื่อวันเริ่มต้นทำงาน ก่อนเขาจะหยิบกระบอกปืนพร้อมกับแมกกาซีนออกมาเตรียมความพร้อมสำหรับเผชิญหน้ากับเกริกพลโดยเฉพาะ
"คุณท่านคงไม่ได้คิดที่จะฆ่าเกริกพลหรอกใช่ไหมคะ"
"หึหึ...คุณรู้ไหมว่าทำไมผมไม่ให้เจ้าหน้าที่จัดการเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ผมอยู่ที่เมืองนอก ทั้ง ๆ ที่ผมรู้และมีหลักฐานทุกอย่าง คุณว่าผมควรจะทำยังไงกับคนที่แอบมามีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับภรรยาผม และยังทำร้ายลูกสาวของผมด้วย คนอย่างมัน...ต้องจบชีวิตด้วยมือของผมเท่านั้น" เมื่อเขาพูดจบ ปัญญาวีจึงเอื้อมมือไปวางบนหลังมือของเขาทันที
"ใครก็รักชีวิตค่ะคุณท่าน คุณควรให้กฎหมายจัดการเขา"
"แต่คนเลว ๆ อย่างมันต้องตายด้วยน้ำมือของผม!"
"การแก้แค้นไม่เคยทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี มีแต่จะเป็นชนวนสร้างความเจ็บปวดไม่จบไม่สิ้น ให้มันจบแค่นี้เถอะนะคะคุณท่าน คุณหนูคงไม่อยากมีพ่อเป็นฆาตกรหรอกค่ะ ขอฉันเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองนะคะ" เขาถึงกับสะอึกกับคำพูดของเธอ จริงอย่างที่เธอว่า คงไม่มีใครอยากมีพ่อเป็นฆาตกร
"อืม...คุณนี่นอกจากจะเก่งแล้วยังเป็นคนดีอีก เหมือนกับพ่อคุณไม่มีผิด"
"ฉันเหมือนแม่ค่ะ แม่สอนให้ฉันรักและเมตตาทุกชีวิต ส่วนพ่อสอนให้ฉันเข้มแข็งและสู้ชีวิต"
"อืม...คุณเป็นคนเก่งที่ผมชื่นชมมาตลอด เอาล่ะ...ไปลากคอมันเข้าคุกกัน!!"


ภายในคฤหาสน์หรูที่ไม่มีแม้แต่ผู้ใดคอยรักษาความปลอดภัย มันช่างแสนสะดวกต่อการรวบรวมของมีค่ายิ่งนัก แต่หารู้ไม่ว่ามันคือกับดักชั้นดีเพื่อหลอกล่อคนโลภมากอย่างเกริกพลเท่านั้น
เกริกพลเก็บของมีค่าที่เขาต้องการใส่ลงในกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่เขาเคยรวบรวมไว้ก่อนหน้า แต่มันกลับถูกจัดเก็บให้เข้าที่โดยคนที่เขาต้องการที่จะพาหลบหนีไปตั้งต้นใหม่เสียด้วยซ้ำ โดยเขาอาศัยแค่เพียงแสงไฟจากไฟฉายประจำตัวช่วยส่องสว่าง แม้จะไม่มีผู้ใดอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วก็ตาม
ก่อนที่เขาจะเก็บกระเป๋าออกไปก็ยังไม่ลืมที่จะใช้ไฟฉายส่องไปที่กรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นวางของ ความเจ็บปวดและความแค้นสุมอยู่ในอกจนมือทั้งสองข้างกำแน่น
"เหอะ...ไว้กูจะกลับมาจัดการมึงทีหลัง อีคนทรยศ...คิดที่จะหักหลังกู มึงคิดผิดแล้ว..."
"มึงก็เหมือนกัน" ทันทีที่เขาได้ยินเสียงทุ้มดังแทรกเข้ามาไล่หลังจากเขา ทำเอาเขาถึงกับหันขวับ ก่อนดวงไฟสีขาวจะส่องสว่างจ้าจนเผยให้เห็นคนเป็นนายและบอดี้การ์ดสาวกำลังยืนมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม
"ไอ้เหี้ย!!!?"
เขาสบถออกมาพร้อมกับเซถลาถอยหลังด้วยความตกใจ เพราะเขาเป็นคนวางแผนจบชีวิตคนเป็นนายด้วยตัวเองแท้ ๆ ไฉนกลับมายืนอยู่ที่บ้านในตอนนี้ หรือจะเป็นวิญญาณอาฆาตกันแน่ความหวาดกลัวและความตกใจทำให้เขาก้าวถอยหลังเพื่อที่จะหนี ไปพร้อม ๆ กับที่คนทั้งสองก็ก้าวเข้าหาเขาด้วยเช่นกัน
"ค...คุณท่าน!!! ผมกลัวแล้วครับ ผมกลัวแล้ว!! อย่ามาหลอกมาหลอนผมเลย!! อัก!!!"
พลั่ก!!!
ปัญญาวีไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ เธอสืบเท้าเข้าหาตัวเกริกพลก่อนหมัดฮุคข้างขวาจะอัดเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างจังจนเสียหลักล้มลงกับพื้น
"สติกลับคืนมาหรือยังคะคุณเกริกพล โดนต่อยขนาดนี้น่าจะได้สติแล้วนะว่าไม่ใช่ความฝัน คุณท่านคะ เกริกพล...ขอฉันจัดการเองนะคะ"
"ตามสบายเลยครับคุณปัญญาวี"
"คุณท่าน!? นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!!? ม...มึงยังไม่ตายเหรอวะ!!!?"
"มึงคิดว่ากูจะตายง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะเกริกพล"
"ทำไมวะ!!!? ทำไมมึงถึงรอดมาได้ ในเมื่อวันนั้นกูเห็นรถมึงคว่ำต่อหน้าต่อตา!!"
"กูเหนือและเก่งกว่ามึงร้อยเท่า เพราะกูรู้แผนของมึงต้องแต่แรกแล้วไงไอ้โง่ อ้อ...ที่สำคัญ กูกว้างขวางกว่ามึงเยอะ ต่อให้กูจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนคอยช่วยเหลือกู น่าสมเพช...ดิ้นรนแทบตาย แต่มึงก็ไม่ต่างกับหมาจนตรอกที่ให้เขาใช้เป็นเครื่องมือ มึงโดนหลอกใช้มาตลอดนะรู้ตัวไหม"
"ไม่จริง!! คุณแพรวรักกู!! และตอนนี้กูมีลูกกับคุณแพรว...เหอะ! มึงน่ะมันน่าสมเพชยิ่งกว่ากูอีก เมียนอกใจมามีอะไรกับกูจนมีลูกขนาดนี้ มึงต้องเป็นผัวที่ไม่ได้เรื่องขนาดไหนกันวะ" เขาพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน แต่อีกคนกลับแสยะยิ้มอย่างมีชัย
"ฮ่า ๆ นี่มึงคงไม่รู้อะไรเลยสินะ เกริกพล...แพรวน่ะ ทำหมันมาตั้งนานแล้ว เธอไม่มีวันท้องกับคนอย่างมึงหรอก"
"หึ...กูไม่เชื่อ"
"ยอมรับความจริงเถอะ ว่ามึงถูกหลอกใช้ แต่ถ้ามึงยังโง่อยู่ สงสัยต้องให้ปัญญาวีทำให้มึงตาสว่างสินะ"
ปัญญาวีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ก่อนจะก้าวขึ้นมาข้างหน้าและย่อขาลงเพื่อตั้งการ์ดเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
"สู้กับฉันหน่อยไหมคะ ตัวต่อตัว..."
"อย่าคิดว่าตัวเองจะเจ๋งอยู่คนเดียวนะครับคุณปัญญาวี" เกริกพลเปลี่ยนท่าทีเมื่อหันมาพูดกับปัญญาวี ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยันอีกครั้ง
"ถ้าคิดว่าเอาชนะฉันได้ก็ลองดูค่ะ แขนฉันเจ็บ ส่วนคุณก็บาดเจ็บ ถือว่าไม่มีใครเอาเปรียบใครนะคะ"
"เหอะ...ต่อให้ผมจะมีแค่แขนเดียวผมก็สู้คุณได้ แต่จะให้สู้กันเฉย ๆ มันดูไม่สมเกียรติเท่าไหร่เลยนะ ถ้าผมชนะคุณ ผมจะได้อะไร"
"ทุกอย่างในกระเป๋าใบนั้นจะตกเป็นของคุณ และคุณจะไม่ถูกจับกุมในวันนี้"
"เหอะ...คิดผิดแล้วที่จะไม่จับผมในวันนี้"
"ฉันคิดถูกแล้วค่ะ เพราะยังไงฉันก็เอาชนะคุณได้แน่ และถ้าฉันชนะ...คุณจะไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย เพราะคุณจะต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก...ตลอดชีวิต"
"ไม่มีวันนั้นหรอก!!!" สิ้นคำพูด หมัดขวาก็เหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ปัญญาวีจะไม่ทันได้ตั้งตัวแต่เธอกลับสามารถเอี้ยวตัวหลบได้เร็วกว่า ก่อนหมัดซ้ายจะตามมาติด ๆ
"อา...ยังไม่ได้บอกให้เริ่มเลย คุณนี่ไร้มารยาทจริง ๆ"
"ถุ้ย!!! มาถามหามารยาทอะไรวะ!!?" เขาไม่ว่าเปล่า แต่กลับออกกระบวนท่าทั้งหมัดและศอกซึ่งปัญญาวีก็ป้อง ปัด และปิดได้ทุกครั้งราวกับอ่านเกมของกันและกันออก
ต่างคนต่างหอบเหนื่อยเพราะไม่มีใครโจมตีอีกฝ่ายได้ก่อนจนกินเวลาไปนานหลายนาที อาการบาดเจ็บก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น คนหนึ่งบาดเจ็บที่ศีรษะและสูญเสียเลือดไม่น้อย อีกคนก็ถูกฟาดด้วยของแข็งที่แขนจนเคลื่อนไหวได้ลำบาก แต่ศักดิ์ศรีของการเป็นบอดี้การ์ดที่ต้องสู้ด้วยชีวิตจึงไม่มีใครยอมใครและพร้อมที่จะฟาดฟันแม้จะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม 
"สู้สิครับคุณปัญญาวี เป็นฝ่ายรับอย่างเดียวแบบนี้มันดูไม่สมกับเป็นคุณเลย คนที่มุทะลุลุยเดียว ใช้แต่อารมณ์และกำลังในการแก้ปัญหาอย่างคุณน่ะ มันต้องสวนผมคืนบ้างสิ"
"ใจเย็นสิคะ ฉันกำลังอ่านการเคลื่อนไหวของคุณอยู่ต่างหาก ถ้าฉันรุกเมื่อไหร่ เกมมันก็จบเร็วสิคะ"
"อย่าอวดเก่งให้มันมากนัก!!!" เมื่อหมัดซ้ายพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ปัญญาวีจึงยกแขนขวาขึ้นป้อง แต่กลับผิดคาดเพราะเขาใช้หมัดขวาฮุคเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างจังจนล้มไปกับพื้น เพราะแขนซ้ายของเธอไม่สามารถยกมาป้องกันได้นั่นเอง
พลั่ก!!!
"ปัญญาวี!!"
"อย่าค่ะคุณท่าน!!! ปล่อยให้ฉันจัดการเอง!!" เมื่อคนเป็นนายที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่จะวิ่งเข้ามาช่วยก็ต้องชะงักเมื่อเธอร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
"คุณไหวใช่ไหม"
"ไหวค่ะ" พูดพลางกับประคองร่างของตนลุกขึ้นช้า ๆ ซึ่งใบหน้าของเธออาบไปด้วยเลือดกำเดาก่อนมันจะถูกเช็ดออกไปด้วยมือขวา
"ดูท่าน่าจะไม่ไหวนะครับคุณปัญญาวี ยอมแพ้ผมเถอะ"
"ไม่มีทางค่ะ ฉันไม่มีวันยอมแพ้คุณแน่"
"เหอะ...มันจะจบเดี๋ยวนี้แหละ!!" 
ทันทีที่เกริกพลพุ่งตัวเข้าใส่ ปัญญาวีจึงยกการ์ดตั้งรับ ก่อนจะยันที่หน้าอกของเขาจนเสียหลักไปทางด้านหลัง และเธอก็สืบเท้าเข้าไปตามด้วยกระโดดฟันศอกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
พลั่ก!!
ร่างของเกริกพลค่อย ๆ ทรุดลงแต่เขายังสามารถใช้ขายั้งประคองร่างไม่ให้ล้มได้ แต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ปัญญาวีพุ่งเข้าไปใช้เท้าซ้ายเหยียบบนขาท่อนบน และใช้เท้าขวาเหยียบบนไหล่ไปพร้อม ๆ กับใช้ศอกปักลงที่กลางศีรษะของเกริกพลแบบเต็มแรง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วในชั่วพริบตาก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะร่วงลงกับพื้นทันที
เสียงปรบมือด้วยความชื่นชมดังตามมาหลังจากที่เธอสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้แม้จะบาดเจ็บอยู่ก็ตาม ใจจริงเธออยากกระชากคอเสื้อเกริกพลขึ้นมาแล้วต่อยไม่ยั้งจนกว่าจะพอใจ เอาให้ตายกันไปข้างเพื่อระบายความแค้นในใจที่สุมอยู่ในอกราวกับกำลังจะมอดไหม้ให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เธอจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน...
"ฮึก ๆ มึงฆ่าทุกคนทำไม!!? ฮือ ๆ ทำไม!! ทำไมไม่เป็นมึงที่ตาย ทำไมต้องเป็นทุกคนด้วย!!! ฮือ ๆ" เสียงสะอื้นร่ำไห้จากหญิงสาวที่คุกเข่าลงกับพื้นทั้งน้ำตา สองมือของเธอกำแน่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนคนเป็นนายจะเดินมาจับที่บ่าข้างซ้ายของเธอ
"มันจบแล้วปัญญาวี ทุกอย่างมันจบแล้ว ที่เหลือให้เจ้าหน้าที่มาจัดการเถอะนะ"
"เอาชีวิตพ่อกับแม่กูคืนมา!!! เอาชีวิตน้องกูคืนมา!!! ไอ้ระยำ!!!" เธอคว้าที่คอเสื้อของเกริกพลพร้อมกับเขย่าร่างไร้สติ ก่อนจะต่อยที่ใบหน้าของเขาแบบไม่ยั้งจนคนเป็นนายต้องลากตัวเธอออกอย่างทุลักทุเล
"ปัญญาวี!! หยุด!!!"
"เอาชีวิตทุกคนคืนมา!!!!"
"พอได้แล้วคุณ!!!"
"คุณท่าน!! เอาทุกอย่างที่ให้ฉันกลับคืนไป แล้วชีวิตพ่อฉันคืนมา!! ฮือ ๆ ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!!"
"ผมขอโทษ"
"ไหนบอกว่าคุณให้ฉันได้ทุกอย่างไง ฮือ ๆ คุณท่านให้ฉันไม่ได้เหรอ"
"เรื่องนี้ผมให้คุณไม่ได้ ผมขอโทษจริง ๆ แต่ทุกอย่างมันจบแล้วนะครับ จะไม่มีการสูญเสียอีกแล้ว คุณและน้องสาวของคุณจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระแล้วนะ ส่วนผมต้องพาครอบครัวไปรักษาและฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ต่างประเทศ ต่อจากนี้คุณไม่ต้องทำงานที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้อีกแล้ว"
"ฮือ ๆ ๆ" 


"พี่นงคะ...ถ้าเรื่องทุกอย่างจบ พี่นงจะยังอยู่กับณิไหมคะ" ณิชาเอ่ยถามพลางกับห่มผ้าให้กับพี่เลี้ยงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
"อยู่สิคะ พี่จะอยู่ดูแลคุณหนูตลอดไปเลย"
"แล้ว...กับน้องปุณล่ะคะ"
"พี่ก็คงรักเธออยู่ในที่ของพี่แบบนี้นั่นแหละค่ะ"
"ไม่สู้หน่อยเหรอคะพี่นง น้องปุณก็ดูรักพี่นงออก"
"หัวใจเธอยังคงบริสุทธิ์ค่ะคุณหนู ให้เธอรักพี่ในแบบพี่สาวน่ะดีแล้วค่ะ" ณิชาถึงกับทำหน้ามุ่ยเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของอีกคน
"พี่นงก็เป็นแบบนี้ทุกที หวังดีแต่กับคนอื่น ณิอยากให้พี่นงมีความสุขกับคนที่พี่นงรัก ณิว่านะคะ...เราให้คุณปัญกับน้องปุณมาอยู่กับเราดีไหมคะ เราจะได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักกันทั้งคู่เลย"
"ดูคุณหนูเสพติดคุณบอดี้การ์ดคนนี้จังเลยนะคะ เอาแต่พูดถึงไม่เลิกเลย" เมื่อถูกพี่เลี้ยงสาวเอ่ยแซว เจ้าตัวก็หน้าขึ้นสีทันที ก่อนจะอมยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเพราะเธอวาดฝันอนาคตที่แสนมีความสุขเอาไว้ราวกับวิมาน
"ณิไม่อยากมีบอดี้การ์ดแล้ว ณิจะขอคุณปัญเป็นแฟน คิกคิก..."
"โธ่คุณหนู ไปขอก่อนแบบนี้ได้ยังไงกันคะ"
"ไม่รู้แหละ ณิรักคุณปัญ คุณปัญสัญญาว่าจะพาณิขับรถไปเที่ยวด้วยนะคะ ถึงตอนนั้นณิต้องมีความสุขมาก ๆ เลย" 
"เฮ้อ...คุณหนูของพี่เนี่ย จะได้มีความสุขสักทีนะคะ..."
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่ณิชาจะโน้มตัวเข้าไปสวมกอดคนเป็นพี่เลี้ยงและซบหน้าลงที่หน้าอกด้วยท่าทีออดอ้อน
"ณิรักพี่นงจัง นอกจากแม่ก็พี่นงนี่แหละที่อยู่ทุกช่วงเวลาของณิเลย ขอบคุณนะคะ ณิจะไม่ยอมมีความสุขอยู่คนเดียวแน่นอน ณิจะให้น้องปุณมาอยู่ด้วย พี่นงจะได้กระชุ่มกระชวยหัวใจ คิกคิก"
"แหม...เอาใจพี่จังเลยนะคะ พี่ก็ไม่เป็นอันทำงานกันพอดี"
"ฮ่า ๆ เฮ้อ...อยากให้ทุกอย่างจบเร็ว ๆ อยากไปเที่ยวกับคุณปัญแล้ว..."