A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 30 รอยแค้นสีจาง (จบ)

เสียงเพลงที่กำลังเคล้าคลอบนรถเก๋งคันเก่าสีแดงเลือดหมู ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในเพลงโปรดที่ไพเราะเสนาะหูแต่หาได้ทำให้ปัญญาวีรู้สึกผ่อนคลายลงได้ เธอเอาแต่นั่งเหม่อลอยพลางกับใช้แขนเท้าไปที่ขอบหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก จนพี่ชายคนสนิทต้องเหลือบมองดูเธอเป็นระยะ ๆ
"ปัญ พี่ถามจริง ๆ นะ ปัญจะไม่ลาน้องณิหน่อยเหรอ"
"ไม่ค่ะ ปัญทำแบบนี้มันดีแล้ว" เสียงเรียบนิ่งตอบกลับมาและไม่แม้แต่จะหันมามองคู่สนทนา
"ทำไมล่ะปัญ ทำแบบนี้มันดีตรงไหนกัน"
"ถ้าได้เจอคุณหนู ปัญจะทำใจลำบากที่จะบอกลา การไม่ได้เจอกันมันจึงเป็นทางที่ดีที่สุด"
"อย่างน้อยก็น่าจะได้บอกลากันหน่อยนะ น้องณิจะได้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง พี่ว่าปัญไม่ควรหนีมาทั้งอย่างนี้เลย ไหนจะต้องตอบคำถามน้องปุณอีก"
"เรื่องน้องปุณน่ะปัญจัดการได้ พี่โกไม่ต้องห่วงหรอก ส่วนเรื่องคุณหนู...เดี๋ยวพ่อเขาก็เป็นคนบอกเองนั่นแหละ"
"เฮ้อ...ปัญ พี่ว่าการทำแบบนี้มันไม่แฟร์เลย ทำไมไม่แคร์ความรู้สึกของน้องณิหน่อยล่ะ"
"อะไรคือคำว่าแฟร์เหรอพี่โก พี่ก็เห็นว่าปัญเจอเรื่องอะไรมาบ้าง พ่อของคุณหนูทำให้ปัญสูญเสียคนที่ปัญรักไปตั้งเท่าไหร่ พี่ยังจะให้ปัญแคร์ความรู้สึกคนพวกนั้นอีกเหรอ!!?" เมื่อเธอหันมาตวาดเขาดังลั่น โกจึงได้แต่นั่งถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
เขารู้ดีว่าเธอเจ็บปวดมากเพียงใด และเธอเองก็รักณิชาไม่น้อยเลยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้อีก คงต้องรอให้เธอใจเย็นลงกว่านี้อีกสักนิด แต่เขาก็ยังหวังลึก ๆ ว่าปัญญาวีจะเปลี่ยนใจและขอให้เขาตีรถกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อร่ำลากันเสียก่อน แต่ไม่ว่าจะขับรถไปนานเท่าใด เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย
แสงไฟสองดวงจากหน้ารถส่องสว่างมาตามทางจนมาหยุดยังบริเวณลานกว้างใต้ต้นมะขามขนาดใหญ่ เด็กสาวตัวเล็กก็วิ่งถือตะเกียงโบราณออกมายืนรอด้วยความตื่นเต้น แต่แล้ว...เมื่อแสงไฟหน้ารถและเสียงเครื่องยนต์ดับลง ทั้งปัญญาวีและโกต่างเปิดประตูลงจากรถกันคนละฝั่ง แต่คนที่ปุณญิสากำลังรออยู่ไม่ได้ลงจากรถมาด้วย เธอจึงพยายามชะเง้อหาและใช้สองมือป้องที่กระจกรถเพื่อส่องดูด้านใน
"พี่ปัญ แล้วพี่นงกับพี่ณิล่ะ"
"ทั้งสองคนจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว หลังจากนี้จะมีแค่เรานะปุณ"
"ทำไมล่ะพี่ปัญ พี่นงปลอดภัยใช่ไหม!? บอกปุณมาสิ!!" ปุณญิสาว่าพลางกับเขย่าแขนคนเป็นพี่ด้วยความร้อนใจ ก่อนปัญญาวีจะคว้าตัวน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้ด้วยแขนขวาเพียงข้างเดียว ส่วนแขนซ้ายมีการดามแขนเอาไว้
"ทุกคนปลอดภัยดีนะปุณ ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างมันจบแล้ว แค่พี่นงกับพี่ณิจะไม่มาอยู่กับเราแล้วแค่นั้นเอง"
"ทำไมอะพี่ปัญ ทำไม...พี่นงสัญญากับปุณแล้วนะว่าจะกลับมาหา" เธอถามพลางกับผละออกจากอ้อมกอด แสงไฟจากตะเกียงส่องกระทบบนใบหน้าของน้องสาวจึงได้รู้ว่าเจ้าตัวคาดหวังที่จะได้เจอคนทั้งสองมากเพียงใด ทำเอาปัญญาวีถึงกับจุกอยู่ในอกที่ทำให้น้องสาวต้องผิดหวัง
"พี่นงกับพี่ณิจะไปต่างประเทศ ทั้งสองคนจะไม่อยู่กับเราแล้ว"
"ม...ไม่จริงใช่ไหม พี่ปัญโกหก...พี่นงสัญญาแล้วว่าจะมาหาแล้วก็จะมาอยู่กับเราด้วย พี่นงไม่ผิดสัญญาหรอก!!" เด็กสาวตัวเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเมื่อได้รู้ความจริงจากปากคนเป็นพี่ โกที่รู้เหตุการณ์ดีจึงได้แต่มองเธอด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นการปลอบโยน
"ปุณ ไม่ร้องนะคนเก่ง พี่ปัญจบเรื่องทุกอย่างได้แล้วนะ พาพี่ปัญขึ้นไปพักบนบ้านกันดีกว่าเนอะ"
"ทำไมพี่ปัญไม่พาพี่นงกับพี่ณิมาด้วย ฮือ ๆ" 
"ปุณ! เลิกถามหาคนอื่นสักทีได้ไหม!? พี่ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บตัว เคยสนใจหรือเป็นห่วงพี่บ้างไหม!!? ปุณควรจะดีใจนะที่พี่ยังกลับมายืนอยู่ตรงนี้ คนอื่นก็ช่างมันปะไร!!" ปัญญาวีตวาดกลับอย่างหัวเสียจนคู่สามีภรรยาต้องรีบเข้ามาห้ามปราบทันที
"เอาล่ะ ๆ เป็นพี่น้องอย่าทะเลาะกันสิ ปัญ เอ็งกลับมาเหนื่อย ๆ ก็ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ"
"ค่ะพ่อ" พูดจบเธอก็เดินจากไปทันที ทั้งที่น้องสาวก็ยังคงยืนร้องไห้โฮอยู่อย่างนั้น


"น้องณิคะ...เรื่องที่ผ่านมา พี่ขอโทษนะคะ" เมื่อแอนนาเอื้อมมือหวังจะจับมือคนเป็นน้องเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา ณิชาก็รีบชักมือหลบและสืบเท้าถอยหลังหนีไปอยู่อ้อมกอดของนงคราญด้วยความหวาดระแวง
"อย่านะ ฮือ ๆ อย่าเข้ามา!!"
"น้องณิ..."
"อย่าเพิ่งเข้าหาคุณหนูตอนนี้เลยค่ะคุณแอนนา คุณทำอะไรไว้คุณน่าจะรู้ตัวนะคะ"
"ฉันรู้ ฉันถึงรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปไง...พี่ไม่ได้ตั้งใจนะคะน้องณิ"
"ณิจะไปหาคุณปัญ!!!" ณิชาวิ่งออกไปจากห้องทั้งน้ำตา แต่เมื่อแอนนาจะวิ่งตามไป คนเป็นพ่อจึงใช้มือขวางเอาไว้ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งตามลูกสาวของตนไป
แม้คนเป็นพ่อจะมีรูปร่างสูงท้วมแต่เขากลับวิ่งได้อย่างคล่องแคล่วจนสามารถคว้าร่างของลูกสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดได้ ซึ่งเธอร้องไห้โฮจนไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะยืนหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด จนพ่อของเธอต้องประคองร่างบางเอาไว้อย่างทุลักทุเล
"ณิชา! พ่อขอโทษ"
"ฮือ ๆ พ่อใจร้าย!! พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง  ฮือ ๆ ฮึก! พ่อไม่เคยรักณิกับคุณแม่เลย ฮือ ๆ แล้วพ่อมาบอกเรื่องพี่แอนนาเอาป่านนี้เนี่ยเหรอคะ!!?"
"พ่อขอโทษลูก พ่อผิดไปแล้ว พ่อรักหนูกับแม่นะ แต่พ่อ..." ยังไม่ทันที่เขาจะพูดได้จบประโยค ลูกสาวก็ผลักร่างของเขาอย่างแรงพลางกับร้องไห้สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ
"ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ!! ฮือ ๆ ฮึก! ข้ออ้างของคนเห็นแก่ตัว ต่อให้พ่อจะพูดยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นหรอก!! ฮึก! พ่อรู้เรื่องทุกอย่างแต่ยังปิดบังณิกับพี่นงอีก ฮึก! ถ้าบังเอิญว่าคนที่ตายคือณิด้วย ฮึก! พ่อจะรู้สึกยังไง!!?"
"พ่อไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายได้ขนาดนี้"
"พ่อควรที่จะทำอะไรสักอย่างตั้งแต่ป้าแพรวกลับมาแล้ว!! ฮึก ๆ แต่พ่อยังปล่อยให้พวกเขาทำอะไรต่อมิอะไรอยู่ได้ตั้งนาน พ่อรู้แม้กระทั่งเรื่องที่พี่แอนนาเข้ามาจีบณิ แต่พ่อกลับยังเฉยอยู่ได้ ฮือ ๆ เพราะณิไม่ได้เกิดจากความรักเหรอคะ ถึงได้ปล่อยให้ณิเผชิญกับเรื่องที่เลวร้ายขนาดนี้ ณิต้องเจอกับอะไรบ้างพ่อรู้บ้างไหม!!!?"
"ณิชา พ่อยอมรับผิดทุกอย่าง เราไปเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะ ถือเสียว่าป้าแพรวคือแม่ของลูกไง"
"สุดท้ายพ่อก็ยังเห็นแก่ตัว...ถ้าพ่อรักป้าแพรวขนาดนั้น ก็ปล่อยณิไปตามทางของณิเถอะค่ะ!! ณิจะกลับบ้าน ณิจะกลับไปหาคุณปัญ!!" พูดจบณิชาจึงวิ่งไปที่รถตู้โดยมีนงคราญวิ่งตามออกมาทั้งที่เธอยังคงสวมชุดของโรงพยาบาลอยู่เสียด้วยซ้ำ
"ณิชา!!! หยุดนะ!!!" 
"คุณท่านคะ เดี๋ยงฉันจัดการเองค่ะ!"
"นง!! ช่วยตามลูกฉันกลับมาให้ที!" คนเป็นนายอ้อนวอนอย่างร้อนรน
"ตอนนี้ช่วยปล่อยให้คุณหนูได้ทำในสิ่งที่อยากทำเถอะนะคะ แล้วถ้าคุณหนูไม่อยากอยู่กับคุณท่านก็น่าจะเข้าใจเธอนะคะ เพราะที่ผ่านมาเธอแบกรับอะไรบ้างคุณท่านก็น่าจะทราบดี"
"ฉันรู้นง แต่ที่ฉันพูดก่อนหน้าว่าปัญญาวีกลับบ้านแล้วน่ะ ฉันหมายถึงว่าปัญญาวีไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดให้ณิชาแล้ว แต่เขากลับไปอยู่บ้านแล้ว"
"อะไรนะคะ!!?" 
"ฉันไม่ให้เขามาทำงานแล้ว เพราะฉันจะพาลูก ๆ ไปอยู่ที่ต่างประเทศ เราจะไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกา ช่วยพาณิชากลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนได้ไหม ฉันจะปรับปรุงตัวและทำเพื่อลูก..."
พลั่ก!!!!
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดได้จบประโยค นงคราญก็เหวี่ยงหมัดเข้าที่ใบหน้าของคนเป็นนายอย่างจังจนเขาเสียหลักตามแรงของเธอ
"หวังว่าหมัดนี่จะทำให้คุณได้สตินะคะ ฉันขอลาออกค่ะ!! ถ้าคุณคิดที่จะทำเพื่อคุณหนูจริง ๆ คุณควรที่จะถามเธอก่อนว่าเธอต้องการอะไร ไม่ใช่คิดเองเออเอง คุณทำร้ายชีวิตเธอมามากพอแล้ว หลังจากนี้ฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง!!" สิ้นคำพูดของนงคราญ เธอก็รีบวิ่งตามณิชาไปที่รถทันที ก่อนรถตู้สีดำจะขับออกไปอย่างรวดเร็วจนคนเป็นนายได้แต่ระบายอารมณ์ด้วยการเตะกระป๋องน้ำอัดลมที่ถูกทิ้งไว้อยู่บนพื้นอย่างหัวเสีย
"โธ่เว้ย!!!"


บนรถตู้สีดำที่เคลื่อนไปตามทางด้วยความระมัดระวังโดยอาศัยไฟจากหน้ารถช่วยส่องสว่างนำทางให้เพราะเป็นเวลาที่จวนจะเปลี่ยนวันใหม่แล้ว ณิชาที่เอาแต่ร้องไห้ตั้งแต่ขึ้นรถมาได้ก็ผล็อยหลับในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงสาวด้วยความอ่อนเพลีย
"เรากำลังจะไปที่ไหนกันเหรอครับคุณนงคราญ สองฝั่งข้างทางมันมืดมากเลย" ชายผู้รับหน้าที่เป็นคนขับรถเอ่ยถาม
"ขับไปตามที่ฉันบอกเถอะค่ะ เดี๋ยวถึงก็รู้เอง"
"แล้วคุณหนีออกจากโรงพยาบาลมาทั้งอย่างนี้มันจะดีเหรอครับ"
"ตราบใดที่คุณท่านยังอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แค่มีเงินเรื่องทุกอย่างก็จบลงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว"
"เอ่อ...แล้วคุณหนูทะเลาะอะไรกับคุณท่านเหรอครับ"
"มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปเถอะค่ะ"
"อะ...อ่า...ขอโทษครับ"
เมื่อรถตู้สีดำขับมาถึงที่หมาย แสงไฟจากตะเกียงโบราณก็สว่างพรึ่บ ก่อนจะมีร่างหนึ่งวิ่งลงจากบนบ้านยกสูงแล้วเข้ามาสวมกอดอีกคนเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ
"พี่นง!!!! ปุณคิดแล้วว่าพี่นงต้องรักษาสัญญา!!"
"อ๊ะ!! น้องปุณคะ พี่เจ็บแผลค่ะ"
"อ๊า! ปุณขอโทษค่ะ ปุณดีใจเกินไปหน่อย" เมื่อรู้ตัวว่าตนทำให้พี่เลี้ยงสาวเจ็บกับบาดแผลเธอจึงรีบคลายอ้อมกอดทันทีก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกคนด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นทุกคนจึงทยอยลงมาจากบนบ้าน เว้นก็แต่...
"น้องปุณ แล้วคุณปัญล่ะคะ"
"พี่ปัญอยู่บนบ้านค่ะ" สิ้นคำพูดของปุณญิสา ณิชาก็รีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านสวนกับคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินเข้ามาต้อนรับทันที
"คุณปัญ!! คุณปัญคะ ณิมาแล้ว!!" หญิงสาวว่าพลางกับใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเพื่อส่องหาใครอีกคนที่เธอต้องการที่จะพบหน้าที่สุดในตอนนี้ แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่าและความเงียบสงัด
"คุณปัญคะ คุณอยู่ไหน ฮึก ๆ ว๊าย!!"
เมื่อจู่ ๆ แสงจากไฟฉายกระทบกับร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนมองมาทางเธอจากความมืด ณิชาถึงกับสะดุ้งโหยง แต่เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้ว่าเป็นร่างของคนที่อยากเจอมากที่สุด เธอจึงโผเข้าไปสวมกอดทั้งน้ำตาพลางกับสะอึกสะอื้นจนร่างกายสั่นเทา แต่อีกคนกลับยืนนิ่งไม่ได้ตอบรับการกอดแต่อย่างใด
"คุณปัญ ฮือ ๆ ทำไม ฮึก! ทำไมกลับมาที่นี่ไม่รอณิเลยคะ ฮึก!"
"คุณมาทำไม" เสียงเรียบนิ่งเอ่ยถาม แต่มันกลับทำให้หัวใจคนฟังถึงกับหล่นวูบ
"ก...ก็...มาอยู่กับคุณไงคะ"
"คุณกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ"
"งั้นเรากลับไปด้วยกันนะคะคุณปัญ ฮึก ๆ กลับไปอยู่บ้านหลังนั้นของคุณก็ได้"
"ไม่ค่ะ ไม่มีอะไรที่เป็นของฉัน และฉันจะไม่มีวันกลับไปที่นั่นอีกเด็ดขาด  ถ้าคุณไม่กลับไปวันนี้ งั้นก็รอให้เช้าแล้วค่อยกลับก็ได้ค่ะ" พูดจบปัญญาวีจึงพยายามผละออกจากอ้อมกอดและหันหลังเพื่อจะกลับเข้าไปในมุ้ง แต่ณิชาก็เข้าไปสวมกอดเธออีกครั้งจากทางด้านหลัง เธอจึงได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้
"คุณปัญ!! ฮือ ๆ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณบอกณิได้นะ ฮึก! คุณพ่อณิพูดไม่ดีกับคุณใช่ไหม ทำไมคุณถึงเย็นชากับณิแบบนี้ ฮึก ๆ เรากลับไปอยู่ด้วยกันนะคะคุณปัญ"
"พอเถอะค่ะ ฉันไม่ใช่บอดี้การ์ดของคุณแล้ว"
"ถ้าคุณพ่อไม่จ้างคุณแล้ว เราก็ไปอยู่ด้วยกันในฐานะคนรักไงคะคุณปัญ คุณสัญญาว่าจะพาณิไปขับรถเที่ยวไม่ใช่เหรอคะ ฮึก! ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว เราไปเที่ยวกันไหมคะ ฮือ ๆ"
"ฉันไม่อยากมีอะไรข้องเกี่ยวกับคนที่พรากชีวิตครอบครัวของฉัน...เพราะฉะนั้น...ปล่อยฉัน และเลิกยุ่งกับฉันสักที" น้ำเสียงของปัญญาวีนั้นช่างบีบหัวใจดวงเล็ก ๆ ของณิชาเหลือเกิน อีกทั้งการกระทำที่พยายามหลุดพ้นจากเรียวแขนที่โอบกอดได้สำเร็จจนณิชาต้องกลั้นใจข่มเสียงสะอื้นเอาไว้แม้เธอจะเจ็บปวดจนแทบขาดใจแล้วก็ตาม
"คุณรู้ทั้งรู้ว่ารถคันนั้นมันเป็นของคุณ มันเป็นรถที่คุณขับชนแม่ของฉัน คุณยังกล้าเอามาให้ฉันอีกเหรอ คุณทำแบบนี้เพื่ออะไรณิชา!!!?" เธอพูดพลางกับกระชากแขนบางขึ้นมาอย่างแรง แต่ณิชากลับเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมตอบคำถาม ยิ่งทำให้ทวีความโกรธขึ้นอีก
"คุณตอบฉันมาสิ!! ว่าคุณเอารถคันนั้นมาให้ฉันทำไม!!?"
"ฮึก ๆ ณิไม่รู้จริง ๆ ค่ะ"
"ไม่รู้เหรอ งั้นคนที่เอาให้ฉันคงเป็นพ่อคุณสินะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นคงไม่ได้คิดอะไรหรอก คิดแต่จะเอาเงินฟาดหัวฉัน เอาของนู่นนี่ให้แทนคำขอโทษแล้วก็ให้เรื่องทุกอย่างมันจบ เหอะ! ของพวกนั้นเอากลับไปให้หมดเลย ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!! พวกคุณอยู่กับการหลอกลวงมาขนาดนี้ได้ยังไง มีอะไรที่มันจริงบ้างงั้นเหรอ พรุ่งนี้เช้าคุณก็กลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก"
"คุณปัญไม่รักณิแล้วเหรอคะ ฮึก ๆ" สิ้นคำถาม ปัญญาวีถึงกับชะงัก
"ณิไม่รู้จะชดใช้ให้คุณยังไงคุณถึงจะให้อภัย ฮึก! แต่ณิไม่ได้ตั้งใจ และที่ผ่านมาณิรักคุณจริง ๆ ณิถึงมาหาคุณที่นี่ตอนนี้ ณิเองก็สูญเสียคุณแม่ไปเหมือนกัน ณิไม่เหลือใครแล้วค่ะคุณปัญ ฮึก!"
"ใครบอกว่าคุณไม่เหลือใคร คุณยังมีครอบครัวอยู่ไง พ่อของคุณจะพาทุกคนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา เพราะงั้น...ที่นี่มันไม่ใช่ที่ของคุณ"
"ที่ผ่านมาณิเจออะไรบ้างคุณก็รู้ คุณยังจะให้ณิอยู่กับพวกเขาอีกเหรอคะคุณปัญ ณิอยากอยู่กับคุณ ต่อให้ลำบากแค่ไหนณิก็อยู่ได้"
"พอสักทีเถอะ!!!" ทันทีที่ปัญญาวีสะบัดแขน ณิชาจึงเสียหลักล้มลงไปกับพื้น หัวใจของณิชาที่รักเธอทั้งใจตอนนี้มันแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
"คุณปัญญาวี!! คุณทำอะไรของคุณ!!?" นงคราญโผเข้ามาประคองร่างของคุณหนูณิชาที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นด้วยความร้อนใจ แต่อีกคนกลับยืนนิ่งอย่างไม่ไยดี
"เรากลับกันเถอะค่ะพี่นง ฮือ ๆ"
"ท...ทำไมคะคุณหนู"
"ที่นี่ไม่มีณิมันน่าจะดีกว่าค่ะ ณิเข้าใจ ฮึก ๆ ไม่มีใครรักณิได้เท่าพี่นงแล้วแหละเนอะ" แม้เธอจะยิ้มออกมา แต่แววตาก็บ่งบอกได้ว่าเธอเจ็บปวดมากเพียงใด นงคราญจึงได้แต่กัดฟันแน่นและประคองร่างของณิชาเดินออกไป ก่อนจะหันมาทิ้งท้ายประโยคที่ทิ้มแทงหัวใจของปัญญาวีแทบกระอัก
"คุณโชคดีนะคะคุณปัญญาวีที่ได้ความรักที่แสนบริสุทธิ์จากคุณหนู แต่น่าเสียดาย...ที่คุณกลับทิ้งขว้างมันในเวลาที่คุณหนูต้องการคุณมากที่สุด..." พูดจบนงคราญจึงพยายามประคับประคองร่างบางเดินลงจากเรือนไม้ยกสูงด้วยความทุลักทุเล เพราะณิชาเอาแต่ร้องไห้จนไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินต่อ ส่วนปุณญิสาที่วิ่งสวนขึ้นมาเห็นคนเป็นพี่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอจึงโผเข้ามาทุบตีพี่สาวทันที
"พี่ปัญ!! พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย!!? ทำไมถึงไม่รั้งพี่ณิไว้ พี่ณิเลือกพี่นะ!!" ปุณญิสาตวาดลั่น แต่คนเป็นพี่หาได้สนใจเธอแม้แต่น้อย
"ให้ทุกอย่างมันดำเนินไปในแบบที่มันควรจะเป็นเถอะปุณ เมื่อก่อนก็มีแค่เรา ตอนนี้มันก็จะมีแค่เรา"
"คนที่ใจร้ายที่สุดก็คือพี่นั่นแหละพี่ปัญ!! พี่ทำร้ายพี่ณิแบบนี้ได้ยังไง!!!?"
"แล้วที่เราสูญเสียทุกคนไปล่ะปุณ!!!? คนพวกนั้นมันชดใช้ให้เราได้ไหม ก็ไม่!!!"
"แล้วพี่ณิผิดอะไร!!? ที่ปุณยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้พี่ยังไม่พอใจอีกเหรอ!!? พี่มันโง่!!! ปุณเกลียดพี่ปัญ!!! ปุณเกลียดพี่ปัญ!!!" สิ้นคำพูด เด็กสาวตัวเล็กก็วิ่งลงไปร้องไห้โฮในอ้อมกอดของหญิงวัยกลางคน ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่ยืนมองดูเหตุการณ์ด้วยความเห็นใจแต่กลับไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้เลย ไม่แม้แต่จะพูดบรรเทาความเจ็บปวดของทุกคนได้ 
ทำได้เพียง...ปล่อยให้ทุกคนแยกกันไปตามทางของตน ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา...


1 อาทิตย์ผ่านไป
"ไว้ผมจะพาช่างมาช่วยรีโนเวทบ้านให้สวย ๆ เลยนะครับลุงคราม ป้าจำปา" ชายหนุ่มว่าพลางกับยกมือไหว้คู่สามีภรรยาก่อนปุณญิสาจะเข้าไปสวมกอดเขาด้วยรอยยิ้ม
"เดินทางปลอดภัยนะคะพี่โก รีบมาหาปุณนะ"
"ขอบคุณนะปุณ อาทิตย์หน้าพี่ก็มาแล้ว"
"ขอบคุณนะคะพี่โกที่มาส่ง ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่างด้วย" ปัญญาวีพูดด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเธอจะเดินไปยืนเคียงข้างน้องสาว เจ้าตัวก็เดินหนีไปยืนข้างคนเป็นแม่แทน จนปัญญาวีได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับพี่ชายคนสนิท
"ดีใจที่ได้เคียงบ่าเคียงไหล่นะน้องสาว ไว้เจอกันใหม่นะครับทุกคน" 
ทุกคนต่างโบกมือลาชายหนุ่ม ก่อนรถเก๋งสีแดงเลือดหมูจะขับออกไปจนลับตา เด็กสาวตัวเล็กก็จูงมือแม่คนใหม่หายขึ้นไปบนบ้านโดยไม่แม้แต่จะหันมาสนใจคนเป็นพี่ ซึ่งทั้งสองไม่พูดไม่จากันตั้งแต่เกิดเรื่อง
"เฮ้อ..."
ปัญญาวีถอนหายใจเฮือก เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามง้อน้องสาวอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนง่าย ๆ เธอจึงเดินเข้าไปยังสวนมะขามอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะใช้คุพลาสติกตักน้ำจากบ่อและคว้ากระบวยกะลามะพร้าวมานั่งประจำที่ที่เธอเคยมาฝึกฝนความอดทนเมื่อไม่นานมานี้
เธอบรรจงใช้กระบวยขนาดเล็กกว่าฝ่ามือตักน้ำจากคุมาเติมลงในตุ่มขนาดใหญ่ที่ตัวคนสามารถลงไปอยู่ได้ ก่อนเสียงฝีเท้าหนัก ๆ คู่หนึ่งจะเดินเข้ามาทางเธอ
"เอ็งมาทำอะไรที่นี่"
"ตักน้ำใส่ตุ่มค่ะ หนูไม่อยากคิดอะไร"
"ลองใช้กระบวยอันใหญ่ดูไหม" เขาไม่ว่าเปล่า แต่กลับยื่นกระบวยกะลามะพร้าวที่มีขนาดใหญ่กว่าที่ปัญญาวีถืออยู่เป็นเท่าตัว แต่อุปสรรคของการตักน้ำคือการเจาะรูไว้ที่ก้นนั่นเอง
ปัญญาวีไม่ตอบอะไร และเอื้อมมือไปคว้ากระบวยจากมือของเขามาตักน้ำอย่างว่าง่าย ซึ่งไม่ว่าเธอจะพยายามตักอย่างไรมันก็รั่วออกจนหมด ไม่อาจะเติมลงไปในตุ่มได้
"ความรู้สึกของเอ็งในตอนนี้ก็เหมือนน้ำในกระบวยนี่แหละนะปัญ"
"ค่ะ...ยิ่งทุ่มเท ยิ่งสูญเปล่า"
"เปล่าหรอก เพียงแต่เอ็งไม่รู้วิธีกักเก็บน้ำในกระบวยนี่มากกว่า" ครามพูดจบก็เอื้อมมือมาจับด้ามกระบวยแล้วปรับองศาให้เอียงเล็กน้อย ก่อนจะออกแรงบังคับพามือของปัญญาวีไปตักน้ำในคุแบบตะแคงข้าง ซึ่งมันสามารถกักเก็บน้ำได้ปริมาณเทียบเท่ากับกระบวยเล็กเลยก็ว่าได้
"เอ็งเห็นอะไรไหมปัญ"
"มันตักน้ำได้เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย"
"ทั้งสองอันนี้มีอุปสรรคในตัวของมันเอง แต่ท้ายที่สุดมันก็สามารถทำให้น้ำเต็มตุ่มได้ เพียงแค่มันอาจจะต้องใช้เวลาแค่นั้นเอง ปัญเอ้ย...พ่อไม่รู้หรอกนะว่าในใจเอ็งเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่การที่แม่หนูนั่นเติมเต็มความรักให้กับเอ็งทีละเล็กละน้อย มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เอ็งอยากให้อภัยเลยใช่ไหม" คำถามของคนเป็นพ่อ ทำปัญญาวีถึงกับเจ็บแปลบในใจ เธอจึงเอาแต่นั่งจ้องมองที่กระบวยพลางกับกัดฟันแน่น
"หนูให้อภัยเธอนานแล้วค่ะ"
"แล้วทำไมเอ็งถึงปล่อยแม่หนูนั่นไป ทั้ง ๆ ที่เขาดั้นด้นมาหาเอ็งถึงที่นี่"
"ก่อนที่หนูจะมาที่นี่ พ่อของคุณหนู...บอกให้หนูปล่อยมือลูกสาวของเขาเพื่อให้ไปมีอนาคตที่ดี และใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกอย่างสุขสบาย พ่อจะให้หนูรั้งเขาไว้ที่นี่เหรอคะ"
"เอ็งคิดว่าแม่หนูนั่นจะสุขสบายงั้นเรอะ ที่ผ่านมาไอ้พ่อนั้นก็ใช่ว่าจะใส่ใจลูกตัวเองไม่ใช่เรอะ เห็นว่าเจอเรื่องมาหนักหนาสาหัสเลยนี่ เอ็งกล้าปล่อยให้แม่หนูนั่นกลับไปได้ยังไง ใครจะดูแลแม่หนูนั่นได้ดีเท่าเอ็ง พ่อบอกได้เลยว่าไม่มีหรอก"
"..." ปัญญาวีเงียบ เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นมันแทงใจจนเธอพูดอะไรไม่ออก
"ที่น้องสาวโกรธให้เอ็งจนไม่คุยด้วยน่ะ ไม่ใช่เพราะรักแม่หนูนั่นมากกว่าเอ็งหรอกนะปัญ แต่เพราะแกรักเอ็งมาก อยากให้พี่สาวมีความสุขกับคนที่รัก และไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หัวใจตัวเองถึงได้โกรธขนาดนั้น ปุณน่ะ...รักเอ็งมากกว่าใครเอ็งก็น่าจะรู้นะ และแม่หนูนั่นก็รักเอ็งถึงถ่อมาที่นี่ เพราะความสุขเดียวที่แม่หนูนั่นต้องการก็คือเอ็ง ไม่ใช่ชีวิตในเมืองนอก"
"จริงด้วย!!! คุณหนูจะอยู่กับคนพวกนั้นอย่างมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อคุณหนูเคยเจอเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นมาก่อน!!" เมื่อปัญญาวีคิดตามเขาได้ เธอจึงหันมาคว้าที่แขนของคนเป็นพ่ออย่างร้อนรน เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะแย่งกระบวยในมือมาทุบลงที่หน้าผากของเธอไปหนึ่งที
โป๊ก!!!
"โอ๊ย!!! พ่อตีหัวหนูทำไมคะเนี่ย!!?"
"ทำไมเอ็งมันถึงได้โง่นักนะไอ้ปัญ เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องความรัก แกนี่มันไม่ได้ครึ่งไอ้ปองเลย"
"โอ๊ย...แล้วพ่อจะให้หนูทำยังไง หนูแค่ไม่อยากให้คุณหนูมาทนลำบากด้วย"
"ตอนนี้เอ็งมีทุกอย่างแล้วนะปัญ เหลือแค่หางานดี ๆ ทำ เอ็งจะมานั่งอมทุกข์กับพ่ออยู่นี่ไปตลอดไม่ได้!! แล้วเอ็งจะไม่ให้น้องสาวเอ็งกลับไปเรียนหรือยังไง!!?"
"หนูลืมคิดเรื่องนี้เลย"
"กูอยากจะทุบหัวเอ็งอีกสักที!! จะไปไหนก็ไปเถอะไป!! รำคาญลูกตา!!" เมื่อเขาง้างมือทำท่าจะเอากระบวยทุบลงที่ศีรษะเธออีก ปัญญาวีก็รีบเอี้ยวตัวหลบอย่างรู้ทัน ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นอย่างลุกลน
"พ่อคะ!! พ่อมีรถไหมคะ!!?"
"ไอ้หนุ่มนั่นมันจอดรออยู่ไม่ไกล รีบวิ่งตามมันไปแล้วก็ตามหัวใจกลับมาซะถ้าเอ็งไม่อยากเสียใจไปตลอดชีวิต"
"จริงเหรอคะ!!!? งั้นหนูไปก่อนนะพ่อ!!! เอาใจช่วยหนูด้วยนะคะ!!" พูดจบเธอก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที จนชายวัยกลางคนถึงกับส่ายศีรษะไปมาพลางกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ
"เฮ้อ...ไอ้ปองเอ๊ย...ลูกมึงนี่มันโง่เรื่องความรักเหมือนมึงเลยว่ะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ฮ่า ๆ"


เมื่อรถเก๋งสีแดงเลือดหมูมาจอดที่คฤหาสน์หรู ปัญญาวีก็รีบวิ่งลงจากรถทันที เธอกระวนกระวายเพราะไม่เจอรถยนต์สักคันจอดอยู่ ไม่มีแม้แต่รถสปอร์ตสีดำด้านที่เดิมทีเคยเป็นสีเทาเคลือบเงาซึ่งเป็นรถของคุณหนูณิชาเอง แต่เมื่อเธอเห็นร่างของหญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่บ้านเดินมาชะโงกหน้าดูที่หน้าประตู เธอก็รีบวิ่งเข้าไปทักทายโดยพลัน
"ป้าคะ!! ทุกคนไปไหนกันหมดคะ!!?"
"อ้าวคุณปัญญาวี ไม่รู้เหรอคะว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่แล้ว นี่คุณท่านให้ป้าแวะมาทำความสะอาดให้น่ะค่ะ"
"อ...อะไรนะคะ!!? หมายความว่ายังไงคะที่ไม่มีคนอยู่แล้ว"
"คุณท่านพาทุกคนไปอเมริกาเมื่อวันก่อนนี่เองค่ะ เห็นบอกว่าบินด่วนเลย นี่คุณปัญญาวีไม่ทราบเหรอคะ"
"ทราบค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะด่วนขนาดนี้"
"เพราะต้องพาคุณผู้หญิงไปรักษาน่ะค่ะเลยรอช้าไม่ได้ ป้าขอตัวก่อนนะคะ เพราะป้าต้องกลับไปดูหลานต่อ"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ" 
ความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่จนปัญญาวีถึงกับเข่าทรุด นี่เธอมาช้าเกินไปอย่างนั้นหรือ...เธอทำได้แค่ทิ้งตัวลงนั่งที่หน้าประตูบ้านก่อนจะใช้มือเสยผมสีดำประบ่าที่ตอนนี้ผมด้านหน้าไม่ได้มีการเซ็ตเก็บไว้อย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เป็นเพียงเสื้อยืดคอกลมและกางเกงยีนส์ที่เป็นชุดลำลองธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่ชุดสูททางการอีกต่อไป อดคิดถึงไม่ได้เลย...คิดถึงคนที่สอนเธอผูกเนกไท คิดถึงคนที่เธอนอนกอดในทุก ๆ คืน น้ำตาจึงค่อย ๆ รินไหลออกมาช้า ๆ พลางกับเสียงสะอื้นอย่างคนสิ้นหวัง
"ฮึก ๆ คุณหนู...ฉันขอโทษ..."
"ปัญ เป็นยังไงบ้าง ทุกคนล่ะ!?" 
"พี่โก!! ฮือ ๆ ปัญมาไม่ทัน คุณหนูไปต่างประเทศแล้วพี่ ฮือ ๆ" เธอร้องไห้โฮกอดพี่ชายคนสนิทเอาไว้แน่นจนร่างกายของเธอสั่นเทา เขาจึงได้แต่ลูบศีรษะปลอบประโลมเธออยู่อย่างนั้น
"ไม่เป็นไรนะปัญ เดี๋ยวเราค่อยหาทางบินไปอเมริกาก็ได้ มันยังไม่สายไปหรอก"
"ฮือ ๆ ปัญควรที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู แต่ปัญกลับทำให้คุณหนูเสียใจ ฮึก ๆ"
"ไม่เอาน่า...มันต้องมีทางสิปัญ พี่จะหาทางช่วยจนกว่าปัญจะได้เจอน้องณิอีก พี่สัญญา"
"คุณปัญญาวีคะ คุณท่านติดต่อมาค่ะ" เมื่อแม่บ้านยื่นโทรศัพท์มาให้กับปัญญาวี เธอจึงผละออกจากอ้อมกอดพร้อมกับใช้มือปาดน้ำตาก่อนจะรับโทรศัพท์มาทั้งที่มือยังคงสั่นเทาอยู่อย่างนั้น
"สวัสดีครับ บังเอิญจริง ๆ ที่ผมติดต่อไปในวันที่คุณอยู่ที่นั่นพอดี" ภาพอดีตคนเป็นนายแสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งตอนนี้เขากำลังวิดีโอคอลกับเธออยู่ เบื้องหลังคือท้องฟ้ายามค่ำคืนและแสงไฟจากดวงไฟระโยงระยางบ่งบอกได้ว่าเวลาของปลายสายนั้นเป็นตอนกลางคืนเป็นแน่ แม่บ้านไม่ได้โกหกเธอแต่อย่างใด
"สวัสดีค่ะคุณท่าน ตอนนี้...อยู่ที่อเมริกาเหรอคะ"
"ใช่ครับ ผมพาครอบครัวมากินข้าวข้างนอกน่ะ"
"เหรอคะ คุณท่านสบายดีนะคะ"
"สบายดีครับ แต่ที่นี่อากาศหนาวมากเลย ผมไม่ค่อยชอบอากาศเย็น ๆ แบบนี้เท่าไหร่ มันทำให้ผมเป็นหวัดบ่อย"
"รักษาสุขภาพด้วยนะคะ แล้ว...คุณหนูสบายดีไหมคะ"
"ก็ที่ผมติดต่อไปก็เพื่อจะถามแม่บ้านนี่แหละ ว่าลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง เธอไม่คุยกับผมเลยน่ะ เลยต้องถามข่าวกันทั้งแบบนี้แหละ"
"คะ!? ยังไงนะคะ คุณหนูไม่ได้ไปอเมริกาเหรอคะ"
"ณิชาเธอไม่อยากอยู่กับผม ผมก็ต้องเข้าใจเธอ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยใส่ใจลูกเลย มาทำเอาป่านนี้ก็คงจะดูแปลก ๆ นะว่าไหม"
"แล้วคุณหนูอยู่ที่ไหนกับใครคะคุณท่าน!!?"
"อยู่ที่บ้านที่ผมยกให้คุณนั่นแหละ เธอไปอยู่กับนงคราญน่ะ เห็นบอกว่ารอคุณกลับมานะ"
"จริงเหรอคะ!!!?" คำพูดจากปลายสายทำให้ปัญญาวีแทบหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง เธอดีใจจนสติแทบกระเจิง โกจึงตบที่บ่าของเธอเพื่อเรียกสติ
"ปัญใจเย็น ๆ พูดเลย! โอกาสนี้แหละ!!" เมื่อพี่ชายยกกำปั้นให้กำลังใจ ปัญญาวีจึงหันไปพยักหน้าให้กับเขา ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ 
"คุณท่านคะ จำได้ไหมคะที่คุณท่านเคยถามฉันว่า ถ้าฉันอยากได้อะไร หรืออยากให้คุณชดใช้ยังไงคุณจะให้ได้ทุกอย่าง"
"จำได้ครับ คุณคงไม่ได้จะขอลูกสาวผมหรอกใช่ไหม"
"ค่ะ...ฉันขอลูกสาวของคุณ ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นคนดูแลคุณหนูเองค่ะ!!"


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"เข้ามาเลยค่ะพี่นง! ณิไม่ได้ล็อก!!"
เอี๊ยด...
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ มันช่างแปลกกว่าวันไหน ๆ ปกติพี่เลี้ยงสาวไม่เคยเดินเข้ามาในห้องแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่เมื่อเธอกำลังจะหันหลังไปดูก็มีร่างหนึ่งมายืนซ้อนจากทางด้านหลังและใช้มือขวาปิดปากเธอเอาไว้แน่น ส่วนมือซ้ายใช้บางสิ่งบางอย่างจี้ที่เอวจนเธอถึงกับสะดุ้งเฮือก
"อื๊อ!!! อือ!!!" เสียงอู้อี้ดังได้แค่จากในลำคอเท่านั้น เพราะร่างของเธอถูกบังคับให้เดินไปที่เตียงช้า ๆ ก่อนณิชาจะรวบรวมสติที่มีแล้วใช้ข้อศอกกระทุ้งใส่ท้องคนด้านหลังอย่างแรง และใช้สองมือจับบริเวณต้นแขนให้มั่น พร้อมกับใช้สะโพกยัดเข้าให้ลึกเพื่อยกร่างด้านหลังจับทุ่มในท่ายูโดที่เคยร่ำเรียนมา
ตุ๊บ!!!
ร่างใครบางคนถูกทุ่มลงบนเตียงจนเสียงดังลั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นโดยพลันเพราะกลัวว่าจะถูกอัดเข้าเสียก่อน
"เดี๋ยวค่ะคุณหนู!! ฉันเองค่ะ!!!" หมัดขวาของณิชาชะงักกลางคันทันทีที่เห็นว่าคนที่เข้ามาประกบตัวเธอเมื่อสักครู่คือปัญญาวีนั่นเอง ก่อนเธอจะคว้าหมอนขึ้นมาได้ก็ฟาดใส่หน้าไม่ยั้ง
"คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!!! ณิตกใจหมดเลย!!! คนบ้า!!! คนใจร้าย!!! คุณกลับมาทำไม!!!"
"โอ๊ย ๆ คุณหนูคะ!! หยุดก่อนค่ะ!! อุ๊บ!! อ๊ะ!! โอ๊ย!!"
ตุ๊บ!!! ตุ๊บ!!! ตุ๊บ!!!
"ณิเกลียดคุณ!!! คนใจร้าย!!! อ๊าย!!!" ตัวของณิชาถูกจับเหวี่ยงและกดลงกับเตียง พร้อมกับที่ปัญญาวีลุกขึ้นมาคร่อมตัวของเธอเอาไว้ จนเธอไม่อาจดิ้นหลุดไปไหนได้
"ปล่อยนะ!!! พี่นงช่วยด้วย!!!"
"หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณหนู!!"
"พี่นงช่วยด้วย!!! ใครก็ได้ช่วยณิด้วย!!!"
"ต้องให้ฉันปิดปากคุณด้วยปากของฉันไหมคะ คุณถึงจะหยุด!!? ตอนนี้คุณนมอยู่กับน้องปุณค่ะ ไม่มีใครขึ้นมาช่วยคุณหรอก"
"คนปลิ้นปล้อน!!! อุ๊บ!!!" สิ้นคำพูดของเธอ คนบนร่างก็ก้มลงประกบปากของเธอทันที จนเธอถึงกับชะงักและนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
"คิดถึงจังเลยค่ะ คิดถึงจนใจจะขาดอยู่แล้ว" เสียงแหบพร่ากระซิบบอก จนได้เห็นแก้มสีแดงก่ำของคนใต้ร่าง แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้ามุ่ยและเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
"คนใจร้าย"
"พี่ปัญขอโทษค่ะ พี่ปัญนี่น่าตีจังเลยนะคะ แต่ต้องตีพี่ด้วยปากนะคะ พี่ถึงจะเลิกใจร้าย" พูดจบเธอก็ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มหลายครั้ง แต่ณิชากลับเอาแต่หลับตาปี๋เพราะสรรพนามที่ใช้แทนตัวนั้นมันทำให้เธอเขินจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด
อย่านะณิ...อย่าใจอ่อนนะ... ณิชาพยายามห้ามใจตัวเอง แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกคนก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นรสจูบที่อ่อนโยนและนุ่มนวลจนร่างของเธอแทบอ่อนระทวย
"น้องณิคะ...พี่ขอโทษ พี่จะไม่ทำให้น้องณิเสียใจอีกแล้วค่ะ ยกโทษให้พี่ได้ไหมคะ"
"ทำไมถึงใช้สรรพนามแบบนี้คะ ดูไม่ใช่คุณเลย"
"เพราะพี่ไม่ใช่บอดี้การ์ดของน้องณิแล้วไงคะ"
"แล้วณิเป็นอะไรสำหรับคุณคะ"
"เป็นแฟนค่ะ" ในที่สุดรอยยิ้มก็เผยออกมาบนใบหน้าของณิชาจนได้ เธอได้แต่เม้มปากและเบือนหน้าหลบสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องเธอปานจะกลืนกินด้วยสายตาด้วยความเขินอาย
อุตส่าห์เก็บความโกรธมาตั้งนาน จู่ ๆ ก็หายโกรธง่าย ๆ เสียอย่างนั้น แถมยังได้เป็นแฟนโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย คนเจ้าเล่ห์...
"เราเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ณิไม่เห็นรู้เลย"
"ตั้งแต่น้องณิยอมเป็นของพี่ค่ะ"
"หน้าไม่อาย ทำณินอนร้องไห้ตั้งหลายคืน อยู่ดี ๆ ก็มาบอกว่าณิยอมเป็นของตัวเอง หน้าไม่อายมาก ๆ"
"พี่ขอโทษค่ะ เรื่องนั้นพี่ผิดจริง ๆ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก พี่จะทะนุถนอมหัวใจของน้องณิให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตพี่จะทำได้ พี่จะไม่ทำให้น้องณิต้องนอนร้องไห้อีกแล้ว ให้โอกาสพี่ได้ไหมคะ" ณิชาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของคนที่เธอรอคอย ก่อนปัญญาวีจะคว้าร่างของเธอมาสวมกอดเอาไว้แน่น
"ขอโทษนะคะ...ขอโทษจริง ๆ"
"ฮือ ๆ อย่าทิ้งณิไว้แบบนี้อีกนะคะพี่ปัญ ฮึก ๆ"
"จะไม่มีอีกแล้วค่ะพี่สัญญา..."
"ฮึก ๆ ณิรักพี่ปัญ ณิรอพี่ปัญกลับมา"
"พี่อยู่ตรงนี้แล้วคนดี พี่จะไม่ทิ้งไปไหนอีกแล้ว จะลงโทษคนไม่เอาไหนแบบพี่ก็ได้ค่ะ พี่ยอมทุกอย่างเลย ไม่ร้องนะคะ" พูดพลางกับใช้นิ้วปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยหน้าม้าบาง ๆ ที่ตอนนี้เริ่มยาวแล้ว และก้มลงจูบอย่างแผ่วเบา ซึ่งอีกคนก็หลับตาพริ้มรับกับสัมผัสนั้นด้วยรอยยิ้ม
"พี่ปัญคิดถึงน้องณิค่ะ ขอพี่จูบให้หายคิดถึงหน่อยได้ไหมคะ"
"ไม่ได้ค่ะ ณิจะลงโทษพี่ปัญ"
"ทนไหวเหรอคะ น้องณิก็คิดถึงพี่นะ พี่รู้"
"ใครจะไปคิดถึงคนใจร้ายแบบพี่กันคะ พี่ไม่ใช่เจ้าของหัวใจณิสักหน่อย แบร่..."
"หึ...ลืมแล้วเหรอคะ ว่าพี่ได้ครอบครองอะไรในตัวน้องณิบ้าง...เอ...ให้พี่ทวนความจำให้ไหมคะ"
"ตรงไหนบ้างคะที่เป็นของพี่"
"ที่แน่ ๆ ก็เป็น...ปากค่ะ พี่ห้วงหวง ขอจุ๊บหน่อยนะคะ" ว่าพลางกับก้มลงจูบอีกครั้ง ซึ่งณิชาก็ตอบรับจูบด้วยเช่นกันก่อนที่ต่างฝ่ายต่างยิ้มออกมา
"ตรงไหนอีกคะที่เป็นของพี่"
"ถ้าจะให้พี่ไล่ให้ฟังทั้งหมด น้องณิคงต้องถอดหมดเลยนะคะ โอเคไหม? เพราะพี่หวงหมดเลยค่ะ"
"พี่ปัญเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"ตั้งแต่ได้ครอบครองน้องณินั่นแหละค่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ น่ารักจนพี่หวงไปหมดเลย ใครลองมาเข้าใกล้ดูนะ พี่จะเตะผ่าหมากเลย"
"โหดนะคะรู้ตัวไหม ขี้หวงด้วย"
"แฟนใครก็ต้องหวงนะคะ แต่ขอคิดบัญชีคนที่จับพี่ทุ่มเมื่อกี้หน่อยได้ไหมนะ"
"ตัวเองเป็นคนสอนเองกับมือ ควรจะภูมิใจนะคะที่ลูกศิษย์คนนี้ยังไม่ลืมวิชาที่ร่ำเรียนมา"
"แหม...งั้นพี่คงต้องให้รางวัลนักเรียนดีเด่นคนนี้แล้วสิ..."
"อือ...อ๊าย!!!"


ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านบนทั้งปุณญิสาและนงคราญถึงกับหันขวับ
"พี่นง!!! เกิดอะไรขึ้นคะ เรารีบขึ้นไปดูกันเถอะค่ะ!!" เมื่อเด็กสาวตัวเล็กจะวิ่งขึ้นบันได นงคราญก็รีบคว้าที่ข้อมือของเธอเสียก่อน
"อย่าเลยค่ะน้องปุณ ปล่อยให้พี่ปัญง้อพี่ณิดีกว่านะคะ"
"ง้ออะไรคะ ทำไมถึงเสียงดังแบบนี้ เสียงพี่ณิดูเจ็บปวดทรมานมากเลยนะคะ" เธอพูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาจนนงคราญอดที่จะเอ็นดูในความน่ารักของเธอไม่ได้
"เถอะน่า...เราออกไปหาซื้ออะไรมาบำรุงพี่ณิกันดีกว่า ดูท่าวันนี้คงจะง้อกันยาว ๆ เลยค่ะ"
"เอ๊ะ!? ทำไมคะ ง้อกันทำไมต้องบำรุงด้วย"
"ฮ่า ๆ ไว้น้องปุณโตขึ้นกว่านี้เดี๋ยวก็เข้าใจเองค่ะ"
"ทำไมคะ ปุณยังโตไม่พอที่จะเข้าใจเหรอ"
"ไว้สิบแปดเมื่อไหร่ พี่จะบอกนะคะ...พี่จะรอนะ" 
"อ่า...ก็ได้ค่ะพี่นง" 


เสียงเพลงสากลที่เปิดเคล้าคลอบนรถสปอร์ตคันหรูสีดำที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนท่ามกลางแมกไม้และธรรมชาติของป่าสองฝั่งข้างทาง สายลมที่ตีเข้ามากระทบกับใบหน้ามันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมือซ้ายที่ยื่นออกมาแหวกว่ายต้านกับสายลมมันช่างแสนมีความสุข เพราะตอนนี้ คนรักของเธอกำลังทำตามสัญญาด้วยการขับรถพาเธอท่องเที่ยวตามธรรมชาติสานฝันให้กับเธอ
เสียงเพลงโปรดที่ได้ฟังกับคนที่ตนรักช่างไพเราะและมีความหมายกว่าทุกครั้งที่เปิดฟังเพียงลำพัง ตอนนี้เธอไม่ต่างกับนกที่โบยบินได้อย่างอิสระ ไม่ต้องอยู่กับความหวาดระแวงเพราะมีบอดี้การ์ดส่วนตัว ไม่ต้องอยู่กับความทุกข์ระทม เพราะหัวใจดวงน้อยถูกแทนที่ด้วยความรักจนล้นใจ ส่วนหัวใจอีกดวงที่เดิมทีเคยเต็มไปด้วยรอยแค้น ตอนนี้มันก็ถูกเติมเต็มด้วยความรักเช่นกัน
"พี่ปัญคะ ดื่มน้ำไหมคะ" ณิชาถามพลางกับยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้หญิงสาวคนรักที่กำลังนอนราบบนกระโปรงรถสปอร์ตอย่างสบายใจเฉิบ
"ป้อนหน่อยสิ"
"ลุกขึ้นมาดื่มดี ๆ สิคะ เดี๋ยวก็สำลักหรอก"
"งั้น...ดื่มจากปากที่รักได้ไหม"
"อีกแล้วนะ...คนเจ้าเล่ห์" ว่าพลางกับมองค้อนกลับไป ก่อนจะปีนขึ้นนั่งบนกระโปรงรถเคียงข้างอีกคน
เธอกระดกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มก่อนจะก้มลงป้อนน้ำด้วยปากของเธอเอง มือเรียวข้างหนึ่งประคองที่ท้ายทอยของเธอพลางกับกลืนน้ำลงไปอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่มีทีท่าที่ทั้งสองจะผละออกจากกันแต่อย่างใด
ริมฝีปากทั้งสองต่างบดจูบอย่างดูดดื่มและเร่าร้อนขึ้นจนเกิดการช่วงชิงลมหายใจของกันและกันภายใต้แสงสีทองของอาทิตย์อัสดงที่จวนจะลาลับขอบฟ้าบริเวณจุดชมวิวที่มีเพียงทั้งสองที่กำลังจะรวมร่างกายให้เป็นหนึ่ง
"แฮก ๆ ไปข้างในรถกันเถอะค่ะพี่ปัญ"
"ค่ะ" เสียงแหบพร่าถามตอบด้วยความโหยหา ก่อนที่คนทั้งสองจะเร่งขึ้นไปบนรถเพื่อสานต่อบทเพลงรักที่มีท้วงทำนองไพเราะกว่าบทเพลงไหน ๆ บนโลกใบนี้
"พี่รักน้องณินะคะ..."
"ณิก็รักพี่ปัญค่ะ...อืม...อา..."
ห้วงแห่งความสุข ที่ไม่อาจมีสิ่งใดมากรายกล้ำ รอยแค้นที่เปรียบเสมือนเลือดสีข้น ดั่งมีสายน้ำมาชโลมจนเจือจางและจางหายไปในที่สุด แม้แต่ความทุกข์ระทมที่เคยมืดบอด วันนี้พลันเปลี่ยนเป็นแสงที่ส่องสว่างภายในหัวใจราวกับฟ้าใหม่
แม้แต่รอยสักที่เคยมีเพียงแค่ลูกศร แต่วันนี้มันถูกแต่งเติมด้วยชื่อของใครอีกคน ซึ่งเป็นลายมือที่เจ้าตัวเขียนเองกับมือก่อนจะถูกจารึกลงบนลูกศรให้มีความหมายว่า
เป้าหมายในชีวิตของฉันนับจากนี้...คือการปกป้องคนที่ฉันรัก ที่มีชื่อว่า...ณิชา เจตคติ...
.
.
.
จบบริบูรณ์...
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ณิชา เจตคติ ว่าซ่านนนน ~ แงงง จบแล้วค่าทุกคนนน ตอนนี้ให้อ่านกันแบบยาว ๆ กันไปเลย แอบใจหายเหมือนกันค่ะที่เรื่องนี้จบแล้ว เพราะไรท์อยู่กับตัวละครเรื่องนี้มานานพอสมควรเลย เป็นอีกเรื่องที่ไรท์คิดพล็อตเรื่องจนตีกันไปหมดและไม่คิดว่ามันจะออกมาซับซ้อนขนาดนี้ จนไรท์ลืมพล็อตเองก็มี 55555 // ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ”