A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 25 ฝืนใจ

ช่วงเวลาที่ตะวันอยู่เหนือศีรษะบ่งบอกเวลาเที่ยงตรงเข้าไปแล้ว หญิงสาวที่ต้องฝึกฝนสมาธิยังคงนั่งอยู่บนท่อนไม้ดังเดิม โชคยังดีที่บริเวณที่เธอต้องฝึกนั้นห้อมล้อมไปด้วยต้นมะขามขนาดใหญ่ช่วยให้ร่มเงา และครามที่เปรียบเสมือนเป็นครูในเวลานี้ก็ยังนั่งอยู่บนท่อนไม้ตรงข้ามกับเธอด้วย
เขานั่งมองหญิงสาวที่เปียกปอนไปทั้งตัวไม่มีทีท่าว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จะแห้งแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่า 'คนเก่ง' ก็สามารถไร้ซึ่งสมาธิได้เมื่อมี 'ความรัก' ปัญญาวีได้แต่เกร็งคอเพื่อประคองขันน้ำบนศีรษะพลางกับกัดฟันฮึดสู้แม้จะหิวจนไส้จะกิ่วแล้วก็ตาม
"เป็นไง...หิวไหม" เสียงทุ้มจากชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
จ๊อก ~ โครก ~
คงไม่ต้องรอคำตอบใด ๆ จากปากของหญิงสาว เพราะเสียงท้องร้องโครกครากนั้นก็เป็นคำตอบได้ดีแล้ว เธอจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ออกมาก่อนจะหดคอลงราวกับดอกไม้กำลังเหี่ยวเฉาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ขันน้ำบนศีรษะตกลงจนได้
ซ่า...
"ม...ไม่ไหวแล้วค่ะลุง หนูหิวจนไม่มีแรงแล้ว"
"ความอดทนต่ำ ไร้สมาธิ ไร้ปัญญา ใช้แต่อารมณ์"
โฮก!!
ปัญญาวีแทบน้ำตาตกในเมื่อถูกต่อว่าอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งที่เขาพูดนั้นมันจริงทั้งหมด แต่เมื่อเธอกำลังจะลุกไปตักน้ำอีกครั้ง ก็ถูกเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน
"ไม่ต้องไปตักแล้วล่ะ นั่งอยู่นี่แหละ"
"อะ...ค่ะ..." เธอตอบเสียงแผ่ว
"ที่ผ่านมาผ่านบททดสอบการฝึกมาได้ยังไง ไม่มีใครเขาสอนเอ็งเรื่องสมาธิและความอดทนหรือยังไง"
"สอนค่ะ...แต่เมื่อก่อนหนูไม่เคยเป็นแบบนี้เลย หนูไม่เคยเสียสมาธิมาก่อนเลยนะคะลุงคราม"
"คิดว่าการปกป้องใครสักคนมันต้องเก่งแต่วิชาต่อสู้งั้นเหรอ" ปัญญาวีก้มหน้าเงียบ ก่อนที่เขาจะพูดเสริม
"ตอนที่ลุงให้แม่หนูนั่นมาเรียกเอ็ง ทั้ง ๆ ที่ลุงก็ย้ำหลายครั้งว่าถ้าไม่ใช่คำว่า ไปกินข้าว ก็ห้ามเอาขันลงเด็ดขาด ทำไมถึงไม่มีสติว่ามันไม่ใช่คำที่ลุงบอก"
"ขอโทษค่ะ เพราะเป็นคำพูดของคุณหนู หนูก็เลย..."
"ถ้าแม่หนูนั่นบอกให้ฆ่าน้องสาวตัวเอง หรือบอกให้เอ็งฆ่าแม่หนูนั่น เอ็งก็จะทำหรือไง..." 
"เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจเฮือกของปัญญาวีเมื่อคิดถึงคำพูดของชายผู้เปรียบเสมือนครู พูดตอนที่อยู่ระหว่างการฝึกทำเธอกลัดกลุ้มใจไม่น้อย
ความรู้สึกผิดหวังในตัวเองเริ่มคืบคลานจวนจะครอบงำจิตใจไปเสียแล้ว เพราะนอกจากเธอจะไม่มีสมาธิกับการฝึกแล้ว เธอยังแสดงจุดอ่อนออกมาให้ผู้ร้ายที่คิดลอบทำร้ายคุณหนูณิชารู้ตัวตลอดเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย ซ้ำร้าย...เธอเกือบฆ่าคนที่เธอรัก เพียงเพราะ...ความแค้น
บรรยากาศโดยรอบมีเสียงจิ้งหรีดและจักจั่นร้องระงมรับกันสองฝั่งซ้ายขวา แข่งกับเสียงน้ำที่ไหลราดลงกับพื้นห้องน้ำ แต่ก็ยังทำให้ปัญญาวีใจลอยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงรบกวนใด ๆ ในยามพลบค่ำแม้แต่น้อย
"กรี๊ด!!!" ทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในห้องน้ำ ปัญญาวีถึงกับสะดุ้งเฮือกเรียกสติคืนกลับมาได้ในทันที ก่อนที่เธอจะใช้ไหล่ข้างขวากระแทกกับประตูไม้อย่างแรง
"คุณหนู!!! เป็นอะไรคะ!!?"
"กรี๊ด!!! คุณปัญ!!! ช่วยณิด้วย!!!"
ร่างเปลือยภายใต้ผ้าถุงอาบน้ำโผเข้ามาสวมกอดเธอทั้งที่ทั้งตัวยังคงเปียกโชก พร้อมกับย่ำเท้าสลับกับกระโดดอยู่ในอ้อมกอดบอดี้การ์ดสาว เจ้าตัวจึงใช้มือขวาประคองศีรษะให้ซบลงที่บ่าของเธอก่อนจะมองสำรวจรอบ ๆ ห้องน้ำจนได้พบกับแมลงสาบเจ้าปัญหากำลังเพ่นแนบออกไปจากห้องน้ำแบบพอดิบพอดี
"ฮือ ๆ คุณปัญคะ ณิกลัวแมลงสาบ ฮือ ๆ มันออกไปหรือยังคะ" ร่างบางในอ้อมกอดสั่นระริก
"ชู่ว...โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะคะคุณหนู ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ชิ่ว ๆ ไปนะ อย่ากลับมาอีกนะเข้าใจไหม!!" พูดพลางกับพ่นลมออกจากปากไล่ลมไล่อากาศ เพราะแมลงสาบเจ้าปัญหาหนีไปนานแล้วน่ะสิ แต่เธอก็ยังคงสวมกอดคุณหนูของเธออยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย
"มันไปหรือยังคะคุณปัญ!!?" 
"ไปแล้วค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ"
"เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว" ร่างบางผละออกจากอ้อมกอดด้วยท่าทีหวาดผวา ก่อนจะสะดุ้งโหยงแล้วโผเข้ามากอดร่างบอดี้การ์ดสาวเอาไว้แน่นอีกครั้ง
"อ๊ะ!!! คุณหนู!! แมลงสาบ!!"
"กรี๊ด!!!"
"ฮ่า ๆ โดนแกล้งคืนบ้างมันเป็นยังไงคะ"
ทันทีที่รู้ว่าถูกแกล้ง ณิชาจึงผละออกจากอ้อมกอดและไม่ลืมที่จะฟาดคนตรงหน้าไปหลายที
"นี่ ๆ ๆ ใครบอกให้แกล้งณิแบบนี้คะ!!"
"โอ๊ย ๆ คุณหนูคะ!! แขนฉันเจ็บอยู่นะคะ โอ๊ย!!"
"คนบ้า!! นี่แน่ะ!!" 
"โอ๊ย!! คุณหนู! เจ็บค่ะ"
"ฮึ่ย!!" พูดจบ คนตัวเล็กมองค้อนเล็กน้อย ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเอี้ยวตัวหลบเพื่อที่จะเดินหนีแต่กลับถูกเรียวแขนขวาคล้องเอวเธอเอาไว้ได้ทัน ทำให้ร่างบางเซถลาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง
"จะหนีไปไหนคะ"
"ปล่อย! ณิจะไปแต่งตัวค่ะ"
"หอมแก้มฉันก่อนค่ะ เดี๋ยวจะปล่อย"
"เรื่องอะไรล่ะคะ ฝึกก็ฝึกไม่ผ่าน ณิก็อุตส่าห์เอาข้าวไปนั่งป้อนคุณระหว่างฝึกด้วย ยังมีหน้ามาแกล้งณิอีก"
"ว้า...โดนดุเข้าซะแล้ว...แย่จัง..." เธอใช้น้ำเสียงออดอ้อนพลางกับใช้คางเกยที่บ่าของคุณหนูณิชาเอาไว้ หนำซ้ำยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก ไม่ได้มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด มันน่านัก!
"คุณปัญ...ปล่อย...เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นหรอก"
"ไม่มีหรอกค่ะ เราอยู่ตั้งไกล ใครเขาจะมาเห็นกันคะ" พูดจบก็หอมแก้มเนียนไปฟอดหนึ่ง
"คุณปัญ!!"
"คุณหนูอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ตัวห้อมหอม"
"คนทะลึ่ง ปล่อยเลยนะ ให้ณิไปแต่งตัวเถอะ"
"อาบน้ำให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ"
"ไม่ค่ะ"
"น่านะคุณหนู ฉันเจ็บแขนจังเลยค่ะ เนี่ย...พอเกร็งคอนาน ๆ มันปวดเมื่อยไปหมดเลย ยกขันตักน้ำอาบไม่ไหวแล้วน้า..." ปัญญาวียังใช้น้ำเสียงออดอ้อนอยู่เช่นเดิม แต่เธอไม่อาจรู้เลยว่าคนตัวเล็กนั้นเขินจนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อไปแล้ว
"คุณหนูคะ...คุณหนูของพี่ปัญ..."
"คะ?" ณิชาถึงกับหันขวับเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัวที่ผิดไปจากเดิม ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไปเพราะมัวแต่ออดอ้อนคนตัวเล็กอยู่น่ะสิ
"อะไรเหรอคะคุณหนู" เธอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
"เมื่อกี้คุณปัญแทนตัวเองว่าอะไรนะคะ"
"ไม่ได้แทนว่าอะไรนี่คะ ฉัน? เหรอคะ"
"ม...ไม่ค่ะ..."
"เมื่อกี้ฉันพูดอะไรออกไปนะ จำไม่ได้เลยค่ะ" ณิชามองค้อนเล็กน้อย ก่อนจะพยายามแกะเรียวแขนที่โอบกอดเธอด้วยความยากลำบาก ทำไมถึงได้แรงเยอะแบบนี้กันนะ
"คุณปัญปล่อยณิได้แล้ว! เสื้อผ้าคุณเปียกหมดแล้วนะ"
"เปียกก็ให้คุณหนูอาบน้ำให้ต่อเลยไงคะ"
"ไม่เอา..." เอ่ยปฏิเสธเสียงแผ่ว
"ทำไมล่ะคะ"
"ณิอาย..."
"โธ่คุณหนูคะ เห็นก็ออกบ่อย ทำอย่างกับไม่เคยเห็นของฉันงั้นแหละ"
"คุณนี่มันน่าไม่อายจริง ๆ เลย"
"ฮ่า ๆ"
"หัวเราะอะไรเล่า!!"
"เรามีอะไรกันบ่อยแล้วนะคะ ยังอายอยู่อีกเหรอ"
"รู้ด้วยเหรอคะว่าเรามีอะไรกันบ่อย ไม่เห็นขอคบสักท...อุ๊บ!" ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค คนตัวเล็กก็รีบเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ทันทีเพราะเผลอหลุดปากพูดออกมา
"คุณหนูพูดว่าอะไรนะคะ" คนด้านหลังเอียงคอชะโงกหน้ามาถามด้วยความฉงน และแขนขวาก็ยังโอบกอดร่างบางอยู่อย่างนั้นทั้งที่แขนซ้ายก็ยังมีผ้าขาวม้าคล้องดามแขนเอาไว้อยู่
"ม...ไม่มีอะไรค่ะ"
"คุณจะไม่อาบน้ำให้ฉันจริง ๆ เหรอคะ ฉันอ้อนสุด ๆ แล้วนะ"
"อ้อนให้ตายก็ไม่อาบให้หรอกค่ะ ณิให้คุณฝึกความอดทนอยู่"
"โธ่...คุณหนู"
"ไม่ต้องมาคุณนงคุณหนูเลยค่ะ อาบเองนะคะ โตแล้ว"
"เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ วันนี้คุณใจร้ายกับฉันทั้งวันเลย เทียวมาแกล้งทำลายสมาธิฉันอยู่เรื่อย จนฉันได้อดข้าวเที่ยง" พูดพลางกับบึนปากล่างแสดงท่าทีน่าสงสาร แต่คนตัวเล็กก็ใช่ว่าจะใจอ่อนง่าย ๆ
"ณิก็มานั่งป้อนข้าวคุณตอนคุณฝึกแล้วไงคะ ณิใจร้ายตรงไหน"
"แต่หลังจากนั้นคุณก็แกล้งฉัน จนฉันเปียกเป็นร้อย ๆ รอบได้"
"ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้คุณไม่จดจ่อกับการฝึกเอง"
"ก็ถ้ามันเป็นคุณหนู ฉันจะจดจ่อกับการฝึกได้ยังไงกันคะ ฉันเป็นห่วงแทบแย่"
"ไม่ต้องใช้เสียงอ้อนค่ะ ปล่อยณิได้แล้ว ณิจะไปแต่งตัว"
"คุณหนูขา...อาบน้ำให้หน่อย"
"ไม่ค่ะ!!"
"เฮ้อ...ก็ได้ค่ะก็ได้ จำไว้เลยนะคะ" ณิชาถึงกับหลุดขำพรืดกับท่าทีของเธอหลังจากที่ปลดปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ แต่ช่วงเวลาแบบนี้เธอจะตามใจบอดี้การ์ดสาวมากไม่ได้ แม้เธอเองก็อยากทำตามคำขอมากแค่ไหนก็ตาม
"คุณปัญคะ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะคะ คนอื่น ๆ ก็อยู่ด้วย ถึงเราจะแยกมาอาบน้ำกันที่เรือนฝึกก็เถอะ แต่ตอนนี้เรายังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนะคะ คุณจะเอาแต่ใจไม่ได้" 
"ค่ะคุณหนู ฉันขอโทษนะคะ" ปัญญาวีสลดลงทันทีเมื่อถูกดุด้วยท่าทีที่จริงจังของคุณหนูณิชา ถ้าหากเธอมีหูเฉกเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงคงได้เห็นเธอหูลู่ลงเป็นแน่
"รีบ ๆ อาบน้ำนะคะ จะได้ไปกินข้าวเย็นกัน เดี๋ยวคนอื่น ๆ จะรอ"
"ค่ะคุณหนู"
แม้ณิชาจะรู้ว่าบอดี้การ์ดสาวต้องพยายามอาบน้ำอย่างทุลักทุเลเป็นแน่ และแม้เธออยากจะช่วยเหลือด้วยการอาบน้ำให้ด้วยตัวเองก็ตาม แต่เธอจำเป็นต้องทำใจให้แข็งไม่ตามใจบอดี้การ์ดสาวมากนัก เพราะถือเป็นการฝึกความอดทนตามที่ชายวัยกลางคนได้มอบหมายหน้าที่ให้กับเธอ


"ไม่ว่าปัญจะขอร้องอะไรหนูก็ตาม อย่าตามใจ อย่าใจอ่อน สถานการณ์แบบนี้ปัญควรที่จะจดจ่อกับการฝึกฝนและฝึกสมาธิของตัวเองให้สำเร็จเสียก่อน หนูก็เห็นว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการทำอะไรแบบไร้ปัญญา แข็งใจตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าปล่อยให้ทุกอย่างมันพังไม่เป็นท่า เพราะตอนนั้นมันจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว"
"เข้าใจแล้วค่ะลุงคราม"
ถึงจะเป็นการฝืนใจกับการที่เธอต้องเป็นเหยื่อล่อในการทำลายสมาธิบอดี้การ์ดสาวก็ตาม แต่ณิชาก็ต้องทำให้สำเร็จ เพราะหากปัญญาวีผ่านการทดสอบนี้ไปได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลดีทั้งนั้น ตราบใดที่คนร้ายยังลอยนวลอยู่ เธอก็คงไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขกับบอดี้การ์ดสาวเป็นแน่
ถ้าทุกอย่างจบ เราสองคน...จะคบกันได้ไหมนะ...


การฝึกฝนล่วงเลยไปถึงวันที่ห้าเข้าไปแล้ว ดูท่าปัญญาวีจะจดจ่อกับสมาธิของตนได้มากขึ้น ถึงขั้นที่ว่า แม้คนที่เธอรักจะมาก่อกวนด้วยการนั่งอยู่บนตัก เธอก็ยังคงนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ได้ จะเรียกว่าจดจ่อกับสมาธิได้แบบขั้นสุดเลยก็ว่าได้ จนความน้อยใจผุดเข้ามาในก้อนเนื้อน้อย ๆ ที่เรียกว่าหัวใจเล็กน้อย แม้เธอจะรู้ว่านี่เป็นการฝึกอยู่ก็ตาม
"ใจคอจะไม่ลืมตามองณิหน่อยเหรอคะ" เธอเอ่ยเสียงแผ่วแสดงความน้อยใจออกมาผ่านน้ำเสียงได้ดีเลยทีเดียว แต่บอดี้การ์ดสาวก็ยังคงนั่งหลับตาจดจ่อกับการฝึกอีกทั้งยังประคองขันน้ำบนศีรษะได้ดีจนไม่พลาดทำตกเลยสักครั้ง
"..."
"คุณปัญ...แอบนั่งหลับหรือเปล่าเนี่ย"
"เปล่าค่ะคุณหนู"
"งั้นก็ลืมตามองณิสิคะ" สิ้นเสียงพูด ปัญญาวีจึงลืมตาขึ้นช้า ๆ จึงได้เห็นคนตัวเล็กนั่งหน้างออยู่บนตักจนเธออดที่จะยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนี่ไม่ไหว
"ยิ้มอะไรคะ"
"เห็นคนน่ารักมานั่งกอดคอฉันแล้วทำหน้างออยู่บนตักแบบนี้จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงล่ะคะ" ณิชารีบชักแขนที่คล้องคอบอดี้การ์ดสาวกลับทันทีก่อนจะลุกพรวดจากตักนุ่ม ๆ ที่นั่งอยู่พลางกับทำหน้างอไม่เลิก
"ไม่ต้องมาพูดเลย คุณแทบจะไม่สนใจณิแล้ว"
"คุณรู้ไหมว่าฉันต้องฝืนใจตัวเองแค่ไหนที่จะไม่แตะต้องตัวคุณ หรือทำอะไรตามใจทั้งคุณและตัวเอง แต่นี่มันคือการฝึก ฉันก็ต้องทำค่ะคุณหนู"
"แน่ใจเหรอคะว่ามันเป็นแค่การฝึก นึกว่าคุณจะเบื่อณิไปแล้วนะเนี่ย"
"ไม่มีวันเบื่อค่ะ มีแต่จะรักมากขึ้นกว่าเดิม" ว่าพลางกับส่งยิ้มที่อ่อนโยนกลับไป
รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคนตัวเล็ก ก่อนเธอจะรีบเดินจากไปเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ว่าเธอเขินจนหน้าขึ้นสีไปแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่ณิชาจะต้านทานรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นได้ หัวใจที่เต้นตึกตักก็เป็นคำตอบได้ดีว่าเธอเองก็มีแต่จะรักบอดี้การ์ดสาวมากขึ้นเช่นกัน
ณิชาก้มมองสองเท้าของตนที่ก้าวเดินได้อย่างอิสระ นานนับปีที่เธอต้องเอาแต่นั่งบนรถเข็นเพื่อทำตามแผนที่พ่อเธอวางเอาไว้และแอบเดินไปไหนมาไหนภายในบ้านในวันที่แม่ตัวปลอมของเธอไม่อยู่บ้านเท่านั้น
สองเท้าที่สวมรองเท้าแตะแบบคีบที่ใหญ่กว่าเท้าเล็กน้อยค่อย ๆ หยุดเดินจนมาวางอยู่คู่กัน ก่อนเธอจะเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนใหญ่ที่มีคนอื่น ๆ รออยู่ แขนทั้งสองกางออกแบบสุดแขนจนรู้สึกได้ถึงสายลมที่ปะทะกับแขนของเธอ รอยยิ้มแต้มบนใบหน้า นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ แบบนี้ 
"อารมณ์ดีเชียวนะคะคุณหนู" นงคราญพูดพลางกับอมยิ้ม มือของเธอถือกระบวยน้ำสีเขียวเข้มที่เธอดื่มบ่อยจนแทบจะชินกับรสชาติเหม็นเขียวไปแล้ว ก่อนจะยกขึ้นดื่มแต่ก็ยังไม่วายทำหน้าเหยเกกับรสชาติของน้ำใบบัวบกอยู่ดี
"อร่อยไหมคะพี่นง" เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"ลองชิมดูสักหน่อยไหมคะ"
"ไม่ดีกว่าค่ะ ณิไม่อยากแย่งคนเจ็บดื่ม" ทั้งสองต่างหลุดขำออกมาเบา ๆ คุณหนูก็ยังเป็นคุณหนูที่ยังเป็นเด็กในสายตาพี่เลี้ยงสาวเสมอแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม
โป๊ก!! โป๊ก!! โป๊ก!!
เสียงตอกตะปูอย่างขยันขันแข็งจากเหล่าชายผู้แข็งแกร่งทั้งสองที่ช่วยกันซ่อมแซมบ้านไม้ที่ผุพังเพราะอายุอานามมากจนเก่าคร่ำครึ โชคดีที่มีลูกชายช่างไม้อย่างโกที่มีฝีมือไม่แพ้คนเป็นพ่อมาช่วยออกแบบและดัดแปลงบ้านให้น่าอยู่และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างน้อย ๆ ควรมีประตูบ้านที่ปิดได้มิดชิด และหน้าต่างที่เปิดรับลมและปิดป้องกันภัยในยามค่ำคืนได้ แม้จะไม่มีใครกล้าย่างกรายมายังอาณาเขตของตระกูลนักมวยก็ตาม แต่กันไว้ก็ย่อมดีกว่าแก้
ส่วนปุณญิสาและคนเป็นภรรยาก็ช่วยหาน้ำหาท่าคอยให้บริการเหล่าพ่อบ้านไม่ห่าง ณิชายืนมองแววตาของพี่เลี้ยงสาวที่มองไปทางเด็กสาวพลางกับอมยิ้ม รอยยิ้มที่สดใสของนงคราญนั้นเธอก็ไม่ได้เห็นมานานแล้วเช่นกัน
"พี่นงชอบน้องปุณเหรอคะ" รอยยิ้มหุบลงทันทีเมื่อคุณหนูของเธอถามจบ ก่อนจะรีบยกมือโบกปัดแบบทันควัน
"ป...เปล่านะคะคุณหนู!" ณิชายิ้ม พี่เลี้ยงของเธอเคยมีท่าทีแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ
"ณิก็สังเกตมาได้สักพักแล้วนะคะ พี่นงจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษตอนน้องปุณคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ เฮ้อ...พี่นงเนี่ยโตขึ้นเยอะเลยนะคะ"
"คะ?" นงคราญเอียงศีรษะด้วยความฉงน สิ่งที่คุณหนูต้องการจะสื่อมันหมายความว่าอย่างไรกัน คำว่าโตขึ้นแล้วที่ว่า เธอโตกว่าคุณหนูถึงสิบปีเชียวนะ 
"ฮ่า ๆ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะพี่นง"
"คุณหนูหมายความว่ายังไงคะเนี่ยที่ว่าโตขึ้น อย่างพี่เรียกว่าแก่เลยดีกว่าค่ะ"
"พี่นงยังไม่แก่เลย อายุยี่สิบเก้านี่ไม่เรียกว่าแก่นะคะ" พูดจบจึงนั่งลงบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้านเคียงข้างพี่เลี้ยงของตนก่อนจะพูดเสริมจากเดิม
"ณิหมายถึงว่า พี่นงโตขึ้นจากความทุกข์น่ะค่ะ นานแล้วนะคะที่ณิไม่เห็นพี่นงสดใสแบบนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็คงยาวนานมาก ๆ นานจนณิเกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนพี่นงเป็นคนที่มีรอยยิ้มที่น่ารักและสดใสขนาดไหน"
"มันดูไม่เหมาะสมเลยนะคะ" เธอเอ่ยเสียงแผ่วพลางกับก้มมองกระบวยที่ถืออยู่ในมือ
"คะ? อะไรไม่เหมาะสมเหรอคะ"
"คนแรกที่ได้ครอบครองหัวใจของพี่ก็คือแม่ของคุณหนู ตอนนี้ก็ดันเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มสดใสไม่ต่างจากคุณพราวเลย"
"สรุปว่าพี่นงชอบน้องปุณสินะคะ"
"จะเรียกว่าชอบได้ไหมนะ เพราะเธอทำให้พี่คิดถึงคุณพราวน่ะค่ะ อีกอย่าง...ตอนนี้เธอยังเด็กมาก พี่ไม่กล้าคิดอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ แค่...มีความสุข ที่ได้มีเธออยู่ในชีวิต"
"เด็กก็ใช่ว่าจะโตไม่เป็นนี่คะ"
"คะ?" 
"อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองเลยค่ะ ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก ถ้ามีความสุขที่มีน้องปุณ พี่ก็แค่ยอมรับและฟังเสียงของหัวใจตัวเอง ถ้าพี่มองว่าตอนนี้มันยังไม่เหมาะสมเพราะน้องปุณยังเด็ก แต่น้องก็โตเป็นผู้ใหญ่ได้ในสักวันนี่คะ จริงไหม"
"แต่พี่กับน้องปุณอายุห่างกันสิบสามปีเลยนะคะคุณหนู"
"ความรักไม่จำกัดอายุหรอกนะคะ ณิกับคุณปัญยังห่างกันตั้งเก้าปี ก็ถ้าคนมันจะรัก ก็อย่าเอาอายุมาเป็นตัวกำหนดเลยค่ะพี่นง แค่พี่นงอาจจะต้องรอให้น้องปุณโตขึ้นอีกสักหน่อย"
"พี่ก็ทำแบบนั้นมาตลอดค่ะ แค่มองน้องปุณเติบโต พี่ก็มีความสุขแล้ว พี่ไม่กล้าหวังอะไรหรอกค่ะ อนาคตเธออาจจะเป็นที่รักของใครสักคนที่เหมาะสมกว่าพี่ก็ได้ พี่ไม่ได้หวังที่จะครอบครองเธอ"
"พี่นงเกิดมาเพื่อที่จะมอบความรักอยู่ฝ่ายเดียวเหรอคะ พี่เองก็เป็นคนดีและดูแลทุกคนเป็นอย่างดีมาตลอด ณิอยากให้พี่นงมีความสุขบ้าง"
"ก็บอกแล้วไงคะ...แค่ได้มองเธอเติบโต พี่ก็มีความสุขแล้ว" นงคราญพูดพลางกับอมยิ้มขณะที่มองเด็กสาวหัวเราะคิกคักกับการเป็นผู้ช่วยส่งอุปกรณ์แบบผิด ๆ ถูก ๆ ให้กับโก
ณิชายิ้มด้วยความชื่นชมกับความรักความหวังดีในตัวพี่เลี้ยงสาวที่เธอได้เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ภายในใจเธอก็แอบหวังอยู่ไม่น้อย ว่าถ้าหากเรื่องทุกอย่างจบ ทั้งเธอและพี่เลี้ยงสาวจะสามารถอยู่กับคนที่ตนรักได้อย่างมีความสุขได้ไหมนะ...


ตกเย็น
"มีสมาธิขึ้นมามากแล้วนี่" เสียงทุ้มเอ่ยขณะที่เดินมานั่งบนท่อนไม้ด้านหน้าหญิงสาว
"ก็มีบ้างที่หลุดสมาธิค่ะลุงคราม แต่หนูก็มีสมาธิกว่าเดิมเยอะเลย"
เขามองเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ในวันนี้ไม่มีร่องรอยจากการเปียกน้ำแม้แต่น้อย ความภูมิใจก่อตัวขึ้นในใจ สมกับเป็นลูกสาวของสหายรักที่เก่งรอบด้าน จนเขาไม่เคยเอาชนะได้เลยสักครั้งเมื่อได้มีการประลองฝีมือกันเกิดขึ้น
"ไอ้ปองนี่มันเก่งนะ สามารถปั้นลูกสาวที่เก่งเหมือนมันได้ขนาดนี้" เขาพูดพลางกับยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างนึกเอ็นดู
"เมื่อก่อนพ่อเคยฝึกแบบนี้ไหมคะ"
"เคยฝึกมาหมดทุกอย่างนั่นแหละ โหดกว่านี้เยอะ แต่มันก็ผ่านบททดสอบได้หมด"
"พ่อเก่งจังเลยนะคะ"
"ใช่ มันเก่ง เก่งกว่าลุงหลายเท่าเลยล่ะ และเอ็งก็เก่งเหมือนมัน"
"ขอบคุณค่ะ"
"เอ็งรู้ไหม ว่าทำไมลุงถึงให้แม่หนูนั่นมาเป็นเหยื่อล่อทำลายสมาธิของเอ็ง"
"เพราะหนูเอาแต่เป็นห่วงเธอ อยากปกป้องเธอจนขาดสติ"
"ใช่ จำไว้นะปัญ ถ้าหากศัตรูรู้จุดอ่อนของเอ็งเมื่อไหร่ มันก็จะเล่นงานจุดอ่อนของเอ็งเพื่อให้เอ็งเสียสติ ซึ่งมันทำสำเร็จไปหลายครั้งแล้ว ยิ่งมันรู้ว่าเอ็งรักแม่หนูนั่นแค่ไหน มันก็จะยิ่งหลอกล่อให้เอ็งไปตายได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นชนวนหลอกล่อให้เอ็งฆ่าแม่หนูนั่นด้วยมือของเอ็งด้วยซ้ำ" ปัญญาวีเจ็บแปลบกับคำพูดของเขาราวกับมีเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงหัวใจ ใช่...เขาพูดถูก เธอเกือบจะจบชีวิตคุณหนูณิชาด้วยมือของตัวเองมาแล้ว 
"ต่อให้ศัตรูจะขู่หรือทรมานแม่หนูนั่นต่อหน้าเอ็ง เอ็งก็ต้องใจแข็งและมีสติ ใช้ปัญญาไตร่ตรองหาทางรอดให้ดี ถ้าคิดที่จะปกป้องใครสักคน ก็อย่าอ่อนไหวกับคำพูดและการกระทำของศัตรู เดี๋ยวเอ็งจะตายไปเสียก่อน"
"เข้าใจแล้วค่ะลุงคราม"
"ก้มหัวลง ลุงจะเป่าหัวให้" 
"ลุงจะล่อให้หนูก้มหัวแล้วทำให้ขันตกใช่ไหมล่า...หนูรู้ทันนะ" เขายิ้มเล็กน้อยที่เธอมีไหวพริบมากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขันลงจากศีรษะของเธอแล้วเขกหน้าผากเธอไปหนึ่งที
โป๊ก!
"โอ๊ย!!"
"ก้มหัว"
"ค...ค่ะ" เธอก้มศีรษะลงอย่างว่าง่าย 
"พนมมือ"
เมื่อปัญญาวีพนมมือไว้ที่กลางอกตามคำสั่งของเขา ครามจึงพนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังท่องคาถา ก่อนจะหยิบขันน้ำมาราดลงบนศีรษะของเธอ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด
"ขอให้หลังจากนี้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง ขอองค์เทพยดา ครูบาอาจารย์ ช่วงปกปักรักษาให้แม่หนูนี่ปลอดภัย ชนะมาร ศัตรูทุกสารทิศที่คิดร้าย ขอให้มันแพ้ภัยตัวเอง" สิ้นเสียงพูดแบบหนักแน่นฟังชัด เขาก็เป่าลงกลางศีรษะ ปัญญาวีจึงยกมือขึ้นให้หัวแม่มืออยู่ระหว่างคิ้วเพื่อรับพร ก่อนมือหนาจะวางลงที่ศีรษะของเธอและตบเบา ๆ
"จากนี้เอ็งคือลูกหลานของลุงแล้วนะ เอ็งผ่านบททดสอบแล้ว ลุงขอให้เอ็งปลอดภัย รวมถึงทุก ๆ คนด้วย พ่อเอ็งต้องภูมิใจในตัวเอ็งมากแน่"
"ขอบคุณนะคะ เอ่อ...หนูขอเรียกลุงว่าพ่อได้หรือเปล่าคะ"
"ก็รับเป็นลูกแล้วนี่ไง"
"ขอบคุณนะคะพ่อ" เขายิ้มด้วยความภูมิใจ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่กำลังเดินถือเสื้อผ้าชุดใหม่มาพอดี
"รางวัลเอ็งมาแล้ว" พูดพลางกับตบบ่าเธอเบา ๆ สองถึงสามครั้ง ก่อนจะเดินจากไป
"เป็นยังไงบ้างคะคุณปัญ"
"คุณหนูเองเหรอคะ" รางวัลที่ว่าคงจะเป็นการได้เจอคุณหนูสินะ
"ป้าจำปาให้ณิเอาชุดมาให้คุณเปลี่ยนค่ะ เหมือนรู้เลยนะคะว่าคุณจะต้องเปียกแน่ ๆ ฝึกไปตั้งหลายวันแล้วคุณยังทำขันตกอีกเหรอคะ"
"เปล่าหรอกค่ะ นี่คือน้ำมนต์น่ะ พ่อให้พรแล้วก็อาบน้ำมนต์ให้ค่ะ"
"คะ?" ณิชาเอียงศีรษะเล็กน้อยกับสรรพนามที่เปลี่ยนไป และไม่เข้าใจกับสิ่งที่เธอพูด
"เอาเป็นว่า...ฉันผ่านบททดสอบแล้วนะคะ"
"เก่งมากเลยค่ะคุณปัญ" คนตัวเล็กยิ้มออกมาทันทีที่ได้ฟังข่าวดีจากคนตรงหน้า
"คุณหนูช่วยฉันเปลี่ยนชุดหน่อยได้ไหมคะ ถือเป็นรางวัลของฉันที่ผ่านบททดสอบ"
"เอ่อ...ได้ค่ะ" ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังบ้านไม้ด้านข้างที่ทุกคนเรียกว่า 'เรือนฝึก'
สภาพของเรือนฝึกนั้นแม้จะดูเก่าแต่ก็ยังคงสภาพดีกว่าหลังใหญ่ด้านหน้าสำหรับพักอาศัย อาจจะเป็นเพราะสองสามีภรรยาช่วยกันดูแลและปรับปรุงเรือนฝึกแห่งนี้อยู่เป็นประจำ แม้แต่ฝุ่นบนพื้นยังไม่มี จะมีก็เพียงหยากไย่ตามคานไม้ด้านบนเท่านั้น
ณิชาค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อของคนตรงหน้าทีละเม็ดเพื่อที่จะช่วยบอดี้การ์ดสาวเปลี่ยนชุดใหม่จนเผยให้เห็นรอยสักรูปลูกศรที่คุ้นเคย ก่อนเธอจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่หัวลูกศรช้า ๆ ซึ่งเป็นบริเวณใต้ไหปลาร้าด้านซ้าย หรือเหนือหัวใจนั่นเอง เธอสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจทร่เต้นเป็นจังหวะคงที่ก่อนจะมีมือเรียวข้างขวาวางประสานลงที่หลังมือและกุมมือเล็กเอาไว้
"ตอนนี้เป้าหมายของคุณค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหมคะ"
"ชัดเจนมากจนฉันพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องต่าง ๆ อย่างมีสติแล้วค่ะ"
"คุณปัญคะ ถ้าเรื่องทุกอย่างจบ...คุณจะยังอยู่เคียงข้างณิเหมือนเดิมไหมคะ" เธอละสายตาจากรอยสักจนได้สบตาคนร่างสูงที่ก้มลงมองเธออยู่เช่นกัน 
"คุณอยากให้ฉันอยู่หรือเปล่า"
"ณิอยากอยู่กับคุณ ณิกลัวว่าถ้าทุกอย่างจบคุณจะไม่อยู่กับณิแล้ว" เธอเอ่ยเสียงแผ่ว
ใจหนึ่งเธอก็รู้ดีว่าตัวเธอเองนั้นไม่ได้คู่ควรกับคุณหนูณิชาแม้แต่น้อย แต่การที่อีกฝ่ายมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอถึงเพียงนี้ เธอจะทิ้งอีกคนเอาไว้ได้อย่างไร ปัญญาวีโน้มตัวไปประทับรอยจูบบนหน้าผากคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะมีวงแขนบางสวมกอดเธอเอาไว้แน่น
"ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณจนกว่าคุณจะหมดรักฉัน"
"ไม่มีทางหรอก ณิจะไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น เพราะณิไม่มีวันหมดรักคุณ"
"อะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะคุณหนู เราไม่รู้อนาคตหรอก"
"ไม่เอา...ณิไม่อยากเสียคุณไป" คนตัวสูงยิ้มเล็กน้อยเมื่อถูกอีกคนงอแงราวกับเด็ก ๆ อยากจะสะบัดผ้าขาวม้าที่ดามแขนออกไปให้พ้น ๆ แล้วก็กอดคุณหนูให้หนำใจเลยจริง ๆ
"ฉันเองก็คิดภาพวันที่ไม่มีคุณหนูไม่ออกเลยค่ะ ท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะต้องได้แยกจากกันก็ได้ แต่ตอนนี้...ขอฉันกอดคุณเอาไว้แบบนี้ก่อนได้ไหมคะ ฉันรักคุณนะคุณหนู"
"ณิก็รักคุณค่ะ...พี่ปัญ" เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคุณหนูเอ่ยเรียกเธอแบบนี้ ทำให้ปัญญาวีตกใจเล็กน้อยก่อนจะผละออกจากอ้อมกอด
"เมื่อกี้เรียกฉันว่าอะไรนะคะ"
"เปล่าค่ะ"
"ขออีกทีได้ไหมคะคุณหนู"
"เปล่าสักหน่อย ณิก็เรียกคุณว่าคุณปัญไง"
"ไม่ค่ะ เมื่อกี้...ไม่ใช่"
"คุณปัญนั่งลงหน่อยได้ไหมคะ ณิจะช่วยนวดให้ คุณคงเมื่อยน่าดูเลย" ณิชาพยายามเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับผลักบอดี้การ์ดสาว แม้จะยังงงแต่เธอก็นั่งลงบนพื้นอย่างว่าง่าย
"คุณหนูนวดเป็นด้วยเหรอคะ"
"ดูถูก เห็นแบบนี้นะ ณินวดเก่งนะจะบอกให้"
"คุณไปนวดให้ใครมาคะ"
"นวดแป้งค่ะ" คำตอบที่ได้ยินทำเอาปัญญาวีถึงกับหลุดขำพรืดออกมาด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อมือน้อย ๆ กำลังออกแรงนวดที่บ่าของเธอกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงได้อย่างเหลือเชื่อ
"อือ...อือ..." ดูท่าแล้วบ่าของเธอคงจะแข็งไม่น้อย เพราะเสียงออกแรงนวดดังมาจากข้างหลังทำให้เธอนึกขำ แม้แต่เจ้าตัวเองก็กัดฟันออกแรงนวดจนเส้นเลือดปูดพาดบนหน้าผาก การนวดแป้งมันต้องออกแรงก็จริง แต่มันก็ไม่ได้แข็งถึงขนาดนี้
"ไหวไหมคะคุณหนู"
"บ่าคุณทั้งแข็งทั้งตึง ณิจะหมดแรงแล้ว"
"ฮ่า ๆ ทำไงได้คะ ฉันต้องเกร็งคอตั้งหลายวัน เส้นก็คงตึงเป็นธรรมดา"
"อื๊อ..."
"ฮ่า ๆ พอเถอะค่ะคุณหนู ไม่ต้องนวดแล้ว เกรงใจค่ะ"
"ไม่ ณิจะนวด อื๊อ!!" 
ในขณะที่เจ้าตัวยังคงนวดบ่าด้วยความตั้งใจ แต่ปัญญาวีกลับจับมือเธอเอาไว้จนเธอถึงกลับชะงัก ก่อนที่เธอจะดึงมือข้างหนึ่งให้โน้มตัวมาใกล้เธอมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงร่างอุ่น ๆ ที่กำลังสัมผัสแนบอยู่ด้านหลังของเธอ ณิชาจึงใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอเธอเอาไว้ราวกับกำลังขี่หลัง
"ไม่ให้นวดต่อเหรอคะ"
"แค่ได้กอดคุณหนู ความเหนื่อยล้าและความปวดเมื่อยของฉันก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ"
เมื่อได้ยินคำตอบณิชาจึงใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของอีกคนให้หันมาทางเธอก่อนริมฝีปากของทั้งคู่จะประกบเข้าด้วยกัน 
ต่างฝ่ายต่างขยับริมฝีปากช้า ๆ อย่างอ่อนโยนพร้อมกับที่ดวงตาหลับเคลิ้มตามจังหวะการจูบ แม้จะไม่ใช่สัมผัสที่เร่าร่อนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นชนวนชั้นดีที่กำให้อารมณ์ของบอดี้การ์ดสาวปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว
"เฮือก!" เพราะอีกคนผละริมฝีปากออกอย่างรวดเร็ว ทำณิชาถึงกับหายใจเฮือกเพราะเผลอทำอะไรตามใจตัวเอง หรือว่า...บอดี้การ์ดของเธอจะโกรธเข้าให้แล้ว
"ก...โกรธเหรอคะ"
"ประจำเดือนคุณหนูหายหรือยังคะ"
"หายได้สองวันแล้วค่ะ ทำไมเหรอคะ"
"ฉัน...ขอ...ทำได้หรือเปล่าคะ"  ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากเสียงกลืนน้ำลายดังอึกแทนคำตอบ ร่างสูงหันกลับมาช้า ๆ พร้อมกับเอื้อมมือประคองใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง ร่างบางแทบอ่อนระทวยตามจังหวะการจูบที่ดูดดื่มจนสติกระเจิง 
แม้แขนซ้ายจะยังใช้การไม่ได้ แต่มือขวาก็สามารถปลดเปลื้องเสื้อผ้าชิ้นน้อยใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่วจนร่างบางเหลือแต่เพียงร่างเปลือยเปล่า กลิ่นกายที่คุ้นเคย สัมผัสที่ต่างฝ่ายต่างโหยหามาเป็นเวลานาน วันนี้ได้รับมันเสียที ทั้งสองราวกับแม่เหล็กที่ดูดเข้าหากัน รสจูบที่ดูดดื่มพาลทำหัวใจเต้นระรัวราวกับจะระเบิดเอาให้ได้
ร่างบางถูกบังคับให้นอนลงช้า ๆ ก่อนที่ร่างสูงจะก้มลงจูบที่ต้นคอระหง เธอพรมจูบอย่างอ่อนโยนสวนทางกับหัวใจที่แทบจะมอดไหม้ 
มือเล็กโอบกอดท้ายทอยคนบนร่างเอาไว้ก่อนจะหลุดเสียงครางกระเส่าออกมาเบา ๆ เมื่อยอดปทุมถันอมชมพูถูกลิ้นอุ่นตวัดหยอกเย้าจนร่างถึงกับกระตุกเป็นพัก ๆ คิดถึงสัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้เหลือเกิน หัวใจที่เต้นระรัวกำลังสูบฉีดเลือดให้ทั้งเรือนร่างขึ้นเป็นสีชมพูระเรื่อ ยิ่งอีกคนพรมจูบไล่ลงช้า ๆ ไปถึงหน้าท้อง ขนทั่วทั้งตัวก็ลุกซู่ด้วยความเสียวซ่าน
"ค...คุณปัญ...ณิ...ไม่ไหวแล้วค่ะ" เสียงกระเส่าร้องขออย่างเว้าวอน ทำให้อีกคนพรมจูบไล่ลงไปอีกจนมาหยุดอยู่ตรงระหว่างขาทั้งสองข้าง ก่อนจะบรรจงโลมเลียกลีบดอกไม้ที่มีน้ำหวานฉ่ำ ๆ สร้างความพึงพอใจไม่น้อยจนทำให้ร่างบางถึงกับบิดเกร็งตามจังหวะ
ผมประบ่าสีดำถูกขยุ้มเอาไว้แน่น ถึงเวลานับถอยหลังที่อารมณ์ของเธอจะถูกปลดปล่อยราวกับนกที่โบยบินบนฟากฟ้าแล้ว
"อ๊า...ค...คุณปัญ...ซี๊ด..." ห้า....
สี่...
"อา..." สาม...
สอง....
หนึ่ง...
"พี่ปัญ!!! ไปกินข้าว!!!!"
จังหวะที่ร่างบางกระตุกเกร็งเป็นจังหวะเดียวกันที่ได้ยินเสียงเด็กสาวตะโกนเรียกจากด้านนอกทำเอาต่างฝ่ายต่างสะดุ้งโหยงและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคุณหนูณิชาก็คือ...ถีบ!!
โครม!!!
"อ๊า!!! ค...คุณหนู..."
"กรี๊ด!!!! คุณปัญ!!!"
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“จบไม่สวยอีกแล้วนะคะคุณปัญเนี่ย โธ่... ตอนที่แล้วโดนแกล้ง ตอนนี้โดนถีบค่ะ 555555555”