A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 18 เกษมไพโรจน์

"อะไรนะพี่โก!? ศพไอ้เปี๊ยกหายไปเหรอ เป็นไปไม่ได้!!" ปัญญาวีตวาดเสียงดังลั่นด้วยความตกใจปนโกรธหลังจากที่ทราบข่าวจากพี่ชายคนสนิท ก่อนจะรีบใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้เพราะตอนนี้อยู่ที่ห้องส่วนตัวของเธอเอง แล้วกลัวว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดจะได้ยินเข้า
"มันเป็นไปแล้วปัญ พี่ตามหาจนทั่ว แม้แต่ศพน้านวลก็ไม่อยู่"
"ไม่จริงน่า..."
"อาจจะเป็นไปได้ว่าหลังจากที่ปัญออกมาจากจุดเกิดเหตุ พวกมันก็กลับไปทำลายหลักฐาน"
"เวรเอ๊ย! รู้งี้ปัญจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองก่อนก็ดี"
"พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรให้บอก ทำไมปัญไปจัดการเรื่องทุกอย่างคนเดียวแบบนี้"
"ปัญขอโทษค่ะพี่โก ปัญคิดว่าตัวเองสามารถคุยกับไอ้เปี๊ยกได้ ไม่คิดว่าจะโดนตลบหลังแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แม้แต่เสียงรถมอเตอร์ไซค์ปัญยังไม่ได้ยินเลย"
"หรือไม่ก็อาจจะยังตกใจอยู่เลยไม่ทันได้ระวัง"
"เฮ้อ...แล้วโทรศัพท์ของมันเปิดดูข้อมูลด้านในได้ไหมคะ"
"โทรศัพท์มันพังเปิดไม่ได้เลย พอเอาการ์ดออกมาลองใส่เครื่องพี่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรข้างในนั้น พี่คิดว่าข้อมูลทุกอย่างอาจจะอยู่ในเครื่อง ไม่งั้นมันไม่เอาให้ปัญหรอก"
"ปัญก็คิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ ค่ะพี่โก"
"ไม่ต้องห่วงนะ พี่พอจะซ่อมได้ แต่อาจจะใช้เวลาสักหน่อย"
"ปัญมีเวลาไม่มากนะคะพี่โก เรื่องปัญน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ปัญห่วงน้องปุณ"
"เดี๋ยวพี่ทำแผนพาน้องปุณไปอยู่กับป้าจำปากับลุงครามเอง ที่นั่นน่าจะปลอดภัย และพี่ก็จะได้รื้อฟื้นวิชามวยด้วย"
"โอเคค่ะ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรนะคะ ถ้าเรากระโตกกระตากเดี๋ยวไก่จะตื่น ที่เหลือปัญต้องรบกวนพี่โกจัดการต่อด้วยนะคะ อยู่ที่นี่ปัญทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้แค่ตามสืบเล็ก ๆ น้อย ๆ และทำให้ตัวประกันตายใจ"
"อืม ปัญก็ระวังตัวด้วยนะ"
"ค่ะ ทางนั้นก็เหมือนกันนะคะ ไม่รู้ว่าพี่โกจะติดร่างแหไปด้วยไหม"
"ไม่เป็นไร พี่จะระวังตัวให้ดี กล้องวงจรปิดพี่มีอ้อมบ้านไม่ต้องห่วง พี่จะช่วยปัญให้ถึงที่สุด"
"ขอบคุณมากเลยนะคะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ปัญออกมาคุยโทรศัพท์กับพี่โกนานแล้ว เดี๋ยวพวกมันจะสงสัย วางนะคะ"
"อืม ขอให้ปลอดภัยนะปัญ" สิ้นเสียงตอบรับ ปัญญาวีจึงรีบลบประวัติการโทรทันที ก่อนจะหมุนลูกบิดประตูเชื่อมช้า ๆ ซึ่งคุณหนูณิชาก็ยังคงนอนหันหลังอยู่บนเตียงนอน เธอจึงมองด้วยความแปลกใจ ทำไมวันนี้คุณหนูณิชาไม่อ่านหนังสือ ทั้งที่เป็นเวลาส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ
แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เธอจึงเดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียง แต่เมื่อเธอเอื้อมมือไปสัมผัสที่ต้นแขน ร่างบางก็สะดุ้งเฮือกราวกับคนกำลังตกใจกลัว
"คุณหนู...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
"คุณปัญคะ...ช่วยนอนกอดณิหน่อยได้ไหมคะ"
"ได้สิคะ" บอดี้การ์ดสาวสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างว่าง่าย ซึ่งวันนี้เธอสวมชุดลำลองเตรียมที่จะออกไปหาข้อมูลข้างนอก แต่วันนี้คุณหนูณิชากลับมีท่าทีที่แปลกไปไม่ร่าเริงอย่างเช่นทุกวัน ไม่แม้กระทั่งอ่านหนังสือทั้งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเธอเสียด้วยซ้ำ ปัญญาวีจึงสวมกอดร่างบางเอาไว้ ก่อนคนตัวเล็กจะหันมากอดตอบแน่นจนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นระริก จนปัญญาวีเริ่มร้อนใจ
"ทำไมคุณปัญแต่งตัวแบบนี้คะ คุณจะไปไหน"
"ฉันว่าจะออกไปหาน้องปุณน่ะค่ะ"
"ไม่ไปได้ไหมคะ นะคะคุณปัญ คุณอยู่กับณิได้ไหมคะ"
"คุณหนูเป็นอะไรคะ คุณดูแปลกไปตั้งแต่เช้าแล้วนะคะ"
"ณิกลัว..."
"กลัวอะไรคะคุณหนู"
"กลัวว่าคุณปัญจะทิ้งณิไป ฮึก ๆ" เมื่อความหวาดกลัวระเบิดออกมาเป็นเสียงสะอื้น ยิ่งทำให้ร่างบางสั่นเทามากยิ่งขึ้น ปัญญาวีจึงดึงร่างบางเข้ามากอดให้แนบแน่นก่อนจะบรรจงจูบที่หน้าผากช้า ๆ
"ไม่ต้องกลัวนะคะคุณหนู...ฉันอยู่นี่ค่ะ อยู่กับคุณหนูนะ ฉันจะไม่ทิ้งคุณไปไหนทั้งนั้น"
"สัญญานะคะ"
"สัญญาค่ะ"
"คุณปัญช่วยณิที..."
"ช่วยอะไรคะ" ถามพลางกับก้มลงมองอีกคนที่กำลังซุกหน้าอยู่ที่หน้าอก เธอจึงผละออกจึงได้พบดวงตาของอีกคนที่กำลังกลอกไปมา บอดี้การ์ดสาวจึงจ้องมองด้วยความแปลกใจ
"คุณหนูคะ ฉันถามจริง ๆ นะคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"
"ณิไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม..."
"เรื่องอะไรคะคุณหนู พูดมาได้เลยค่ะ"
"คือ...ณิ...มีอารมณ์ค่ะ...คุณช่วยณิหน่อยได้ไหมคะ" เสียงตอบอย่างสั่นเครือก่อนจะซุกหน้าลงที่หน้าอกอีกครั้งราวกับกำลังเขินอาย แต่ท่าทีแปลก ๆ ของเธอมันกลับทำให้ปัญญาวีรู้สึกสงสัยในตัวเธอมากขึ้น เพราะณิชาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเธอในเวลากลางวันแบบนี้มาก่อน
แปลก...
"นะคะคุณปัญ ช่วยณิหน่อยได้ไหมคะ ถ้าคุณไม่เริ่มเดี๋ยวณิเป็นคนเริ่มเองก็ได้"
แปลก...
ปัญญาวีคิดในใจพลางกับก้มมองมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวทั้งที่มือยังคงสั่นระริก เธอดูลุกลนจนสังเกตเห็นได้ แต่ยังไม่ทันที่บอดี้การ์ดสาวจะได้ถามอะไร คนตัวเล็กก็พลิกขึ้นคร่อมร่างเอาไว้ ก่อนจะก้มลงซุกไซร้ที่ซอกคอจนปัญญาวีต้องแหงนหน้ารับลิ้นชุ่ม ๆ ที่กำลังซุกซนที่ต้นคอของเธออยู่
"อ๊ะ...คุณหนูคะ จะเริ่มเองจริง ๆ เหรอคะ"
"คุณนอนอยู่เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวณิทำให้ ถ้าคุณมีอารมณ์เมื่อไหร่ คุณค่อยทำให้ณิ แต่ณิขออย่างเดียว"
"อะไรคะ"
"ช่วยเรียกณิตลอดเวลาที่ณิปลุกอารมณ์คุณได้ไหมคะ"
"ก...ก็ได้ค่ะ แต่มันต้องปล่อยออกมาเองนะคะ จะให้ฉันตั้งใจเรียกคุณคงไม่ได้"
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่มันเป็นเสียงของคุณ" สิ้นเสียงพูดริมฝีปากเล็กจึงประกบกับริมฝีปากอมชมพูอย่างรวดเร็วคล้ายคนกำลังมีความต้องการจนอดรนทนไม่ไหว ก่อนลิ้นเล็ก ๆ จะสอดเข้าไปสำรวจในโพลงปากและตวัดทักทายกันไปมาอย่างช่ำชอง
มือเล็กข้างหนึ่งปลดตะขอบราด้านหน้าจนหน้าอกเต่งโผล่พ้นออกมาเรียกสายตา และเห็นรอยสักรูปลูกศรใต้ไหปลาร้าอย่างชัดเจน มือข้างหนึ่งบีบเค้นที่หน้าอกจนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังสู้ฝ่ามือของเธออยู่ ยอดปทุมถันสีเข้มเริ่มแข็งขึ้นไปไต เสียงครางแหบพร่าและลมหายใจที่เริ่มหอบถี่ของอีกคนรับรู้ได้ว่าอารมณ์เริ่มคุกรุ่นแล้ว ณิชาจึงก้มลงใช้ลิ้นเลียยอดปทุมถันสีเข้มช้า ๆ เพื่อหวังจะปลุกอารมณ์อีกคนให้ปะทุเดือดเร็วขึ้น
"ซี๊ด...อา....ค...คุณหนูคะ"
"อารมณ์มาหรือยังคะ ถ้ายัง...ณิจะเลียไปถึงข้างล่างเลยนะ"
"ม...มาแล้วค่ะ อีกนิดค่ะ ทำต่ออีก...นิด...อา..." เมื่อมือเรียวข้างหนึ่งเริ่มคว้าที่ท้ายทอยและอีกข้างควานหาที่ยึดเกาะโดยการกำผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ มือเล็กทั้งสองข้างจึงรีบปลดกระดุมกางเกงยีนส์พลางกับเลื่อนริมฝีปากพรมจูบลงมาช้า ๆ จนมาหยุดอยู่ที่สะดือ ก่อนจะใช้ลิ้นตวัดเลียรอบ ๆ จนร่างที่มีซิกแพ็กบาง ๆ กระตุกเกร็ง
"เรียกณิหน่อยค่ะ"
"คุณหนู..."
"เรียกเรื่อย ๆ นะคะ"
"ค...คุณ...หนู อา..."
ยิ่งลิ้นชุ่มเลียต่ำลงเรื่อย ๆ ความรู้สึกวูบวาบบริเวณท้องน้อยยิ่งทำให้บอดี้การ์ดสาวราวกับถูกทรมาน ตอนนี้สติของเธอแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้วเพราะถูกคุณหนูณิชาคุมเกมทั้งหมด เมื่ออันเดอร์แวร์ท่อนร่างถูกถอดมากองอยู่บริเวณที่ข้อเท้า ขาทั้งสองข้างก็ถูกจับแยกออกจากกัน แต่ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะได้เริ่มมอบความสุข ปัญญาวีก็รีบจับศีรษะของณิชาเอาไว้ แล้วรีบเขยิบตัวถอยออกทันที 
"ทำไมคะคุณปัญ"
"อย่าดีกว่าค่ะคุณหนู เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วค่ะ" พูดจบเธอจึงลุกขึ้นถอดแล้วเสื้อเชิ้ตและบราออกไปให้พ้น ๆ ก่อนจะดึงร่างของณิชาเข้ามาจูบอย่างดูดดื่มด้วยหัวใจที่เต้นรัวและแรงด้วยความตื่นเต้น หากมัวยังชักช้าอยู่ล่ะก็อาจมีใครเข้ามาขัดจังหวะรักของเธอเป็นแน่ เธอจึงรีบเปลื้องชุดกระโปรงของณิชาออกซึ่งเจ้าตัวก็รีบถอดอันเดอร์แวร์ออกด้วยตัวเองอย่างรู้หน้าที่ ก่อนปัญญาวีจะใช้เรียวแขนโอบเอวบางพานอนลงกับฟูกนอนนุ่ม ๆ ทันที
เมื่อมือเรียวสัมผัสได้ว่าความสาวของคนที่ขอความช่วยเหลือเปียกชุ่มจนได้ที่เธอจึงไม่รอช้ารีบสอดนิ้วเรียวเข้าทำหน้าที่ไปพร้อม ๆ กับใช้ริมฝีปากประกบเข้าด้วยกันแนบแน่นเพราะกลัวว่าเสียงครางกระเส่าของคุณหนูจะเป็นการเรียกแขกเข้ามา
"อือ...อือ...อื๊อ..." 


เวลาผ่านไปนานนับสามชั่วโมง ร่างเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนหนาหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่ยังมีอีกคนที่นอนใช้มือลูบไล้ที่แก้มเนียนของคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างแผ่วเบา 
ขอโทษนะคะคุณปัญ...ที่ณิใช้คุณเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ณิสลัดหวาดกลัวออกไป ภาพพี่แอนนามันยังคงตามหลอกหลอนตอกย้ำว่าณิมันน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงขนาดไหน...แต่ถ้ามันจะแลกกับความปลอดภัยของคุณ ณิก็ยอม...
แท้จริงแล้ว...ณิชาไม่ได้มีความต้องการแต่อย่างใด แต่เธอเพียงต้องการให้ภาพคนที่เธอรักมาแทนที่เรื่องที่ทำให้เธอบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ อยากจะลืมเรื่องเลวร้ายทุกอย่างไปให้หมดสิ้น แต่เธอกลับจำเรื่องทุกอย่างได้ดีราวกับถูกบันทึกในหน้าหนังสือที่เธอต้องได้อ่านทุกวัน น้ำใส ๆ ค่อย ๆ รินไหลออกจากตา เธอเจ็บปวดจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว...


"เฮือก!!"
ภาพที่ทำให้ณิชาต้องเจ็บปวดทั้งกายและใจตามมาหลอกหลอนแม้แต่ยามหลับใหล จึงทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาอีกครั้งเมื่อสะดุ้งตื่น
ทำยังไงจะลบภาพนั้นออกไปได้สักที!!! ทรมาน...ไม่ไหวแล้ว...
"คุณหนูเป็นอะไรคะ ทำไมตัวสั่นแบบนี้" บอดี้การ์ดสาวที่สัมผัสว่าร่างในอ้อมกอดกำลังสั่นเทา เธอจึงผละออกด้วยความร้อนใจ
"คุณปัญคะ...ขออีกรอบได้ไหม ช่วยทำจนกว่าจะไม่ไหวแล้วก็หลับไปเหมือนเมื่อกี้ได้ไหมคะ"
"แต่ว่า...ถ้ามีใครเข้ามาเห็นเข้า..."
"วันนี้ไม่มีใครมาหรอกค่ะ ณิไม่ให้แม่บ้านมาทำงาน พี่นงก็ออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้ยินเสียงเราหรอก นะคะคุณปัญ...ช่วยณิหน่อยนะคะ"
"คุณหนูดูแปลกไปนะคะรู้ตัวไหม"
"แปลกยังไงคะ"
"คุณหนูดู...เอ่อ...ต้องการน่ะค่ะ"
"จำคืนแรกของเราไม่ได้เหรอคะ คุณปัญเองก็ทำตั้งหลายครั้งจนณิไม่ได้นอน คุณทำให้ณิติดใจ...ณิต้องการร่วมรักกับคนที่ณิรักนี่มันแปลกเหรอคะ"
"เข้าใจแล้วค่ะ เพราะฉันก็กำลังข่มอารมณ์ตอนที่นอนมองคุณหนูโป๊เหมือนกัน...ไม่อยากหยุดเลย"
"งั้นทำไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ วันนี้เป็นของคุณ คุณจะทำจนหมดแรงหลับแล้วตื่นขึ้นมาทำอีกกี่ครั้งก็ได้ ช่วยณิหน่อยนะคะ..."
ช่วยให้ณิลืมภาพนั้นที...
"ถ้าฉันทำให้คุณหนูติดใจ ฉันก็...จะรับผิดชอบด้วยการมอบความสุขให้คุณแล้วกันนะคะ..."


3 วันผ่านไป...
"เฮ้อ...โล่งอก...ขอบคุณนะคะพี่นงที่ยื้อชีวิตเปี๊ยกเอาไว้ได้"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ พี่ต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายนะคะที่หมอยื้อชีวิตแม่ของเขาเอาไว้ไม่ได้ แต่พี่นำศพไปดำเนินการตามพิธีเรียบร้อยแล้ว คุณหนูไม่ต้องห่วง"
"ขอบคุณจริง ๆ นะคะพี่นง แล้วเรื่องผลตรวจเป็นยังไงบ้างคะ ผลยังไม่ออกอีกเหรอ ณิรอไม่ไหวแล้วนะคะ"
"ใจเย็น ๆ ค่ะคุณหนู อีกไม่นานเราก็ได้รู้แล้วค่ะ แต่พี่ขอถามอะไรคุณหนูหน่อยได้ไหมคะ"
"อะไรเหรอคะพี่นง"
"คุณหนูเอาผมของคุณแอนนามาได้ยังไง" ทันทีที่ได้ยินคำถามจากปลายสาย ณิชาถึงกับชะงักและกลืนน้ำลายดังอึกด้วยความลำบาก
"อะ...เอ่อ..."
"คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมคะ การที่ได้เส้นผมมาเป็นกระจุกขนาดนี้คุณหนูคงไม่ได้ไปดึงมาดื้อ ๆ แน่ ๆ"
"ณ...ณ...ณิหวีผม...ห...ให้พี่แอนนาน่ะค่ะ"
"คุณหนูคะ เราก็อยู่ด้วยกันมานานแล้วนะคะ ถ้าให้นับก็สิบห้าปีเห็นจะได้ พี่รู้หมดแหละค่ะว่าตอนไหนคุณหนูปิดบัง ตอนไหนคุณหนูพูดความจริง"
"พ...พี่นง!! พี่ไม่เชื่อณิเหรอคะ"
"ไม่ค่ะ บอกพี่มาตามตรง ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมคุณหนูถึงเอาผมคุณแอนนามาได้"
"ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะพี่นง แค่นี้ก่อนนะคะณิง่วงแล้ว"
"คุณหนูคะ!! คุณหนูก็รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง จะปิดบังพี่เพื่ออะไรกันคะ บอกพี่มาตรง ๆ เถอะค่ะ"
"พี่นง ฮ๊าว...ง่วงจังเลยค่ะ นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะคะ ไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าเนอะพี่นง..."
"คุณหนูมีข้อแลกเปลี่ยนกับคุณแอนนาเพื่อแลกกับความปลอดภัยของคุณปัญญาวีใช่ไหมคะ" เมื่อณิชาได้ยินเสียงมาจากปลายสายมือถือในมือก็หล่นตุ๊บลงกับที่นอนทันทีพร้อม ๆ กับที่ร่างในความมืดเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดสปีกเกอร์โฟน ก่อนจะใช้นิ้วชี้สัมผัสที่ริมฝีปากของณิชาเอาไว้
"ชู่ว...อย่าส่งเสียงดังนะคะ" เสียงกระซิบแหบพร่าดังมาจากร่างในความมืดแต่เพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านผืนบางบวกกับที่สายตาปรับกับความมืดจนชินแล้วจึงทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นร่างของใคร
"ว่าไงคะคุณหนู คุณหนูมีข้อแลกเปลี่ยนกับคุณแอนนาเพื่อแลกกับความปลอดภัยของคุณปัญญาวีใช่ไหมคะ" ณิชายังคงอึกอักไม่กล้าที่จะตอบคำถาม ร่างในความมืดจึงกระซิบบอกเธออีกครั้ง
"ตอบไปสิคะ"
"เปล่าค่ะพี่นง ณิหวีผมให้พี่แอนนาจริง ๆ"
"พี่ไม่เชื่อค่ะ บอกพี่มาเถอะค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
"ก็บอกว่าหวีผมก็คือหวีผมสิ!! พี่จะถามอะไรนักหนา!!" 
...
ทันทีที่ณิชาตะคอกกลับไปปลายสายก็ตัดสายไปทันที ก่อนที่สันกรามของเธอจะถูกมือเรียวบีบอย่างแรงจนเธอถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
"มันหมายความว่ายังไง อธิบายมา!!!"
"ค...คุณปัญคะ ณิเจ็บ"
"อธิบายเรื่องทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้" ถามพลางกับออกแรงบีบให้แรงขึ้นจนณิชาต้องใช้สองมือพยายามแกะมือของเธอออกแต่ก็ไม่เป็นผล
"คุณปัญคะ ณิเจ็บ!"
"ตอบมา!!!! ก่อนที่ฉันจะเอาปืนยิงหัวเธอ!!" ทันทีที่ปลายกระบอกปืนสัมผัสที่หน้าผากจากเดิมมันเคยเป็นจูบที่อ่อนโยนแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ความหวาดกลัวและความเจ็บปวดจึงระเบิดออกมาเป็นเสียงสะอื้นทันที
"ฮึก ๆ คุณปัญ..."
"ตลอดเวลาสามวันที่เธออ้อนวอนที่จะนอนกับฉัน มันคงเป็นแผนถ่วงเวลาไม่ให้ฉันออกไปสืบเรื่องต่าง ๆ ของไอ้เปี๊ยกสินะ...ฉันก็ว่าทำไมมันแปลก ๆ ดูต้องการผิดปกติ บอกฉันมา!! เรื่องที่คุยโทรศัพท์กับมันหมายความว่ายังไง!!!"
"ไหนคุณบอกณิว่าคืนนี้จะไปนอนกับน้องปุณหลังจากที่ส่งณิเข้านอนแล้วไงคะ ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่"
"มันก็เป็นแผนของฉันเหมือนกันไง เพราะฉันได้ยินสายเรียกเข้าจากยัยพี่เลี้ยงนั่นทุกคืน แต่เพราะเธอกำลังนอนกอดฉันอยู่ เธอเลยลุกขึ้นไปรับสายไม่ได้ แต่วันนี้...ฉันแกล้งบอกว่าจะไปนอนที่อื่นทั้งที่ความจริงฉันก็ยังนั่งอยู่ในห้องนี้เพื่อรอสายเรียกเข้า ซึ่งมันก็จริง...มันเป็นเหมือนที่ฉันคิดไม่มีผิด ตอนนี้เปี๊ยกอยู่ที่ไหน!!!?"
"ณิไม่รู้ ฮึก ๆ"
"ไม่รู้เหรอ อยากให้ปืนมันลั่นใส่หัวเธอใช่ไหมณิชา บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้!!!"
กึก! 
เสียงขึ้นนกจากกระบอกปืนทำให้รู้ได้ทันทีว่าร่างสูงโปร่งในความมืดสามารถจบชีวิตเธอได้ทันทีจากความแค้นที่สั่งสมมานาน ณิชาจึงกุมมือข้างที่ถือปืนเอาไว้ก่อนเสียงสะอื้นราวจะขาดใจจะดังออกมาจนบีบหัวใจของปัญญาวีไม่ต่างกัน
"คุณปัญไม่รักณิแล้วเหรอคะ ฮึก ๆ ฮือ ๆ"
"ฉันไม่เคยรักเธอเลยณิชา...หน้าที่หลักของฉันคือการต้องคอยดูแลคุณหนูอย่างเธอ แต่เบื้องหลังฉันอยากจะฆ่าเธอให้ตายไปซะ!! เพราะเธอฆ่าแม่ของฉัน!! เธอฆ่าทุกคนรอบตัวฉัน แม่...พ่อ...น้านวล...ไอ้เปี๊ยก ฉันไม่มีวันรักคนเลว ๆ อย่างเธอ!!! พูดความจริงมา!!!"
"เอาเลยสิคะ!!! ยิงณิเลย เอาความแค้นของคุณมาจบชีวิตของณิให้ตายไปพร้อมกับทุกคนเลยสิ!!"
"เธออย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะณิชา ฉันขึ้นนกเตรียมที่จะลั่นไกอยู่แล้ว ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม"
แกร๊ก!!
ปลายนิ้วโป้งของณิชาสอดทับนิ้วชี้ของปัญญาวีที่กำลังแตะอยู่ที่ไกปืนก่อนจะกดลั่นไกจนได้ยินเสียงดังแกร๊กเพราะว่าไม่ได้มีแม็กกาซีนอยู่ในนั้น ทำให้ปัญญาวีรีบผละออกทันที
"นี่เธอทำบ้าอะไรของเธอ!!? ถ้ามันมีลูกปืนอยู่ในนี้เธอตายนะณิชา!!!"
"ณิรู้ค่ะ ว่าคุณไม่กล้าฆ่าณิหรอก เพราะคุณรักณิ"
"ฉันไม่มีวันรักคนอย่างเธอ!!! เมื่อไหร่จะพูดความจริงสักที!!"
"ความจริงอะไรคะ"
"โธ่เว้ย!!! เลิกทำเป็นไขสือสักที!!!" ร่างบางถูกผลักให้ล้มพับไปกับเตียงอย่างแรงก่อนที่ปัญญาวีจะปีนขึ้นไปนั่งคร่อมร่างแล้วใช้ทั้งสองมือบีบที่ลำคอที่เธอเคยหวงแหนด้วยโทสะ ความโกรธแค้นกำลังอยู่เหนือเหตุผล แม้แต่คนที่เธอรักหมดหัวใจ เธอก็พร้อมที่จะจบชีวิตลงได้ด้วยน้ำมือของเธอเอง
"แค่ก ๆ"
"พูดความจริงออกมา!!!" มือเล็กทั้งสองพยายามแกะมือของคนที่กำลังระบายความแค้นกับเธออยู่พร้อมกับขาที่กำลังดิ้นที่รนทุรายราวจะขาดใจ แต่เมื่อมือข้างหนึ่งของณิชาเอื้อมไปสัมผัสบริเวณไหปลาร้าที่มีรอยสักรูปลูกศรพร้อมกับนิ้วมือที่จิกเกร็งกับร่างกายของเธอทำให้ความเจ็บปวดแล่นเข้าแทนที่ความแค้นและเรียกสติของเธอได้ในทันที
"แค่ก ๆ"
มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนต้นคอค่อย ๆ อ่อนกำลังลง ภาพเด็กสาวที่เคยเป็นอาสาสมัครในคาบอบรมศิลปะป้องกันตัวก็เข้ามาแทนที่เพราะตอนอบรมในกรณีถูกคนร้ายบีบคอ ณิชาก็เอาแต่ยืนเหม่อไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอกำลังพร่ำสอน เมื่อถึงตอนสาธิต มือเล็ก ๆ จึงควานหาที่ยึดเกาะด้วยการวางมือลงที่ไหปลาร้าด้านซ้ายก่อนปลายนิ้วจะจิกเกร็งด้วยความหวาดกลัว
ม...เหมือนกับ...เด็กคนนั้น...


"ปัญ! มานี่!!"
"อะไรเหรอคะพ่อ" ปัญญาวีเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อที่กำลังนั่งดูภาพถ่ายกิจกรรมการอบรมศิลปะป้องกันตัวจากกล้องถ่ายรูป ก่อนพ่อของเธอจะยื่นกล้องกลับคืนมาโดยการซูมภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีผมหน้าม้าบาง ๆ หน้าตาน่ารักสดใส กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างเธอ
"อะไรพ่อ เรียกทำไม"
"เด็กคนนี้ชื่ออะไร"
"ทำไมเหรอคะ"
"พ่อถามว่าชื่ออะไร"
"ปัญก็ไม่รู้ เด็กที่เข้ามาอบรมน่ะ"
"ชื่อณิชาหรือเปล่า"
"ไม่รู้ค่ะ ปัญจำชื่อเด็ก ๆ ไม่ได้หรอก ทำไมเหรอพ่อ"
"แกมีรายชื่อคนเข้าอบรมจากใบลงทะเบียนไม่ใช่หรือไง ไปเอามาให้พ่อดูหน่อย"
"พ่อจะบ้าเหรอ คุณครูเขาก็เป็นคนเก็บไว้เองสิ ปัญจะเก็บไว้ทำไม"
"ไอ้ปัญ!! ทำไมมึงมันโง่แบบนี้!!!"
"เอ้า!!! ปัญผิดอะไรเนี่ย!!? ปกติก็ไม่เคยเก็บอยู่แล้วไหม ใครจะไปสนใจว่าเด็กที่เข้าอบรมชื่ออะไร"
"ถ้าเป็นคนของตระกูลเกษมไพโรจน์แกต้องดูแลเธอให้ดี ๆ นะ"
"อะไรนะ อะไรโรจน์ ๆ นะ" เพราะปัญญาวียังคงมึนงงกับสถานการณ์ที่ถูกคนเป็นพ่อวีนอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เธอไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าใดนัก เธอจำได้เพียงแค่...ณิชา...
"ทำไมพ่อ อย่าทิ้งบอมบ์ไว้แบบนี้ มีอะไรก็บอกปัญสิ จะได้ไปถามหาชื่อให้"
"ไม่ต้องหรอก แค่เห็นหน้าก็รู้ หน้าเหมือนท่านไพศาลขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าคือลูกสาว"
"ใครอีกเนี่ย ปัญงงไปหมดแล้วนะ"
"มานี่ มานั่งนี่ พ่อจะเล่าให้ฟัง"
"ค่ะ" ปัญญาวีเดินไปนั่งลงที่โซฟาไม้เคียงข้างคนเป็นพ่ออย่างว่าง่ายเพราะเธอยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะหยิบภาพถ่ายเก่า ๆ ในกระเป๋าสตางค์มายื่นให้กับเธอ
"โห...รูปโคตรโบราณเลย ใครเนี่ย"
"ปู่มึงนั่นแหละ"
"สุดยอด! แรร์ไอเทม!! ไม่คิดว่าจะได้เห็นรูปปู่ตอนหนุ่ม ๆ แล้วนี่ใครน่ะพ่อ อย่าบอกนะว่าคือพ่อตอนเด็ก ๆ" เธอถามพลางกับชี้ไปที่เด็กน้อยผู้ชายตัวเล็กที่ยืนอยู่เคียงข้างปู่ของเธอ ซึ่งภาพถ่ายนั้นเก่าจนมองใบหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก
"นี่คือท่านไพศาล"
"คือใคร?"
"ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่พ่อคิดก็คือน่าจะเป็นพ่อของยัยหนูในรูปนี่ แกลองดูเทียบกันสิ น่าตาเหมือนกันอย่างกับแกละ"
"เหมือนตรงไหนเนี่ยพ่อ มองยังไงว่าเหมือน "
"ฮ่า ๆ คงจะเพราะแกยังไม่เคยเห็นท่านไพศาลตอนแก่ แกเลยไม่รู้ว่าหน้าตาเหมือนกัน"
"แล้วยังไง อะไรอย่างไร ไม่เข้าใจ ให้ปัญดูทำไม"
"ปู่ของเราเป็นบอดี้การ์ดให้กับท่านไพศาล"
"โห!! โคตรเท่!!!"
"อืม สมัยนั้นจะเรียกว่าบอดี้การ์ดก็คงไม่ใช่ เรียกว่าผู้ดูแลแล้วกัน"
"อ่า...แล้วยังไงเหรอพ่อ"
"ปู่เคยเล่าให้พ่อฟังว่า สมัยหนุ่ม ๆ ปู่เคยมีความรักกับผู้หญิงมีฐานะคนหนึ่ง เป็นรักแรกที่ทำให้ปู่มีความสุขและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน"
"..." ปัญญาวีนั่งเงียบและตั้งใจฟังคนเป็นพ่อด้วยความตั้งใจ
"ทั้งสองรักกันมาก แต่ปู่เป็นแค่ชาวสวนจน ๆ คนหนึ่ง ผิดกับตระกูลของทางผู้หญิงที่มีหน้ามีตาทางสังคมพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่ง ฝ่ายหญิงถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับลูกชายตระกูลหนึ่งที่เป็นตระกูลผู้ดีเหมือนกัน ปู่เจ็บปวดเคียดแค้นมากที่ถูกพรากทุกอย่างไป เลยจะไปพาคนรักหนีออกมา ไม่ว่าจะทำยังไงก็ทำไม่สำเร็จเพราะเขาเป็นคนมีเงิน จะจ้างใครมาเล่นงานปู่ก็ได้"
"เลวว่ะ..."
"อืม ปู่ถูกซ้อมทุกวัน และมารู้ความจริงในสองเดือนถัดมาว่าผู้หญิงที่ปู่รักยิ่งชีวิตกำลังตั้งท้อง ซึ่งมันก็คือเด็กในภาพนี่แหละ ตอนนั้นปู่แทบล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นบวกกับถูกซ้อมด้วย เลยมานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้เรื่องทุกอย่างมันไม่แย่ลงมากไปกว่านี้ และไม่ให้ฝ่ายหญิงต้องเป็นห่วงด้วยเพราะกำลังท้องกำลังไส้ ปู่เลยขอเข้าไปดูแลแทนการพาหนีออกมา"
"โห...เขายอมเหรอ"
"ฮ่า ๆ ใครจะไปยอมวะ ไปก่อเรื่องไว้ขนาดนั้น และนั่นเป็นสาเหตุที่ปู่ต้องตัดใจแล้วทำให้ปู่ได้มาเจอย่านี่แหละ"
"เอ้า แล้วยังไงพ่อ แล้วปู่กลับไปดูแลท่านไพศาลนี่ได้ยังไง ปัญงง"
"กูยังเล่าไม่จบ มึงจะขัดทำไม!!?" เมื่อกำปั้นข้างหนึ่งยกหงายขึ้นเตรียมจะลงมะเหงกเข้าที่หน้าผาก ปัญญาวีจึงรีบเอี้ยวตัวหลบอย่างรู้ทันก่อนจะใช้สองมือกุมมือคนเป็นพ่อเอาไว้หน้าระรื่น
"ต่อ ๆ ไม่ขัดแล้วจ้า..."
"มึงนี่มันกวนตีนได้ใคร"
"ได้พ่อ"
โป๊ก!!
ในที่สุดมะเหงกจากกำปั้นหนา ๆ ก็เขกเข้าที่หน้าผากเธอจนได้ เธอจึงได้แต่ใช้มือลูบป้อย ๆ ด้วยความเจ็บปวด ก่อนคนเป็นพ่อจะกลับมาตั้งใจเล่าต่อจากเดิม
"หลังจากที่ปู่ได้เจอย่า ปู่ก็เสกพ่อเข้าในท้องย่าภายในสองเดือน"
"ปู่นี่น้ำเชื้อดีจริง ๆ"
"ไอ้ปัญ!!! คราวนี้กูถีบนะ!!!"
"ล้อเล่น!! ต่อ ๆ โอ๊ย หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ ดูตัวเองใช้คำสิ น่าเอ็นดู"
"กวนตีนนะมึงเนี่ย เหอะ...ระหว่างที่ย่าอุ้มท้องพ่ออยู่  วันเวลาผ่านไปจนปู่ได้ทราบข่าวจากคนในบ้านนั้นว่า หญิงคนรักเก่าของปู่เสียหลังจากที่คลอดลูก ปู่เลยเสียใจมากแล้วกลับไปขอร้องอ้อนวอนสามีของผู้หญิงคนนั้นว่าจะขอดูแลลูกให้ เพราะปู่ยังรักผู้หญิงคนนั้นทั้งใจ ทั้งกราบเท้า ทั้งคุกเข่าอ้อนวอนสารพัดจนปู่ถูกซ้อมอีกครั้งเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเด็กที่คลอดออกมาคือลูกของปู่กับเมียตัวเอง แต่ปู่ก็ยืนกรานว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ ปู่ทำไปเพราะอยากดูแลลูกของคนรักเก่าเท่านั้น สามีของผู้หญิงคนนั้นเลยไปตรวจเลือดก็พบว่ามันเป็นลูกของเขาจริง ๆ ไม่ใช่ลูกของปู่"
"..."
"หลังจากนั้นปู่ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ไปดูแลลูกของคนรักเก่า ไม่รู้ว่าเขาสงสารหรือสมเพชเลยยอมทั้งที่ไม่พอใจนักหรอก แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาปู่รักและดูแลเด็กผู้ชายคนนี้อย่างดีมาตลอด จนเขาใจอ่อนและมานั่งเปิดใจกับปู่ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เมียก็ตายไปแล้ว"
"แล้วปู่ว่าไงคะ"
"ปู่บอกว่า...เป็นสัจจะวาจาที่ปู่เคยให้ไว้กับผู้หญิงคนนั้น ว่าถ้ามีลูกจะดูแลลูกให้ดีที่สุด ซึ่งไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะได้ไปแต่งงานกับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง ปู่ก็ยังถือสัจจะกับคำมั่นสัญญามาโดยตลอด และต่อจะให้โกรธแค้นทุกคนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้แต่ปู่ก็ภักดีของพ่อแท้ ๆ ของเด็กผู้ชายคนนี้ด้วยสัจจริง อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องดีที่ปู่รักษาสัจจะขนาดนั้น แต่ปู่ลืมไปว่าลูกตัวเองก็ยังอยู่ในท้องย่า พอย่าคลอดพ่อออกมา ย่าก็ตรอมใจตาย..."
"..."
"ปู่รู้สึกผิดมากเลยกลับมาดูแลพ่อ แต่ก็ยังวนเวียนกลับไปดูแลเด็กคนนี้อยู่ตลอด อาจจะผูกพันมากกว่าพ่อด้วยซ้ำ แต่พ่อก็ไม่เคยโกรธนะ เพราะพ่อเข้าใจว่าการสูญเสียคนรักไปมันคงเจ็บปวดน่าดู สิ่งที่ปู่ทำได้คงเป็นการดูแลส่วนหนึ่งของชีวิตผู้หญิงคนนั้นให้ดีที่สุด และปู่ก็ยังบอกพ่ออีกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้ ถ้าปู่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้วให้รักและดูแลคนของตระกูลนี้ให้ดีถ้ามีโอกาส ซึ่งพ่อก็มีโอกาสได้สอนมวยกับให้ท่านไพศาลด้วย แต่ก็ไม่นานหรอก เพราะเขามีงานต้องทำ มีธุรกิจต้องดูแล เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก อ้อ...ค่ายมวยเจตคติเนี่ย คือเงินของท่านไพศาลนะรู้เอาไว้ด้วย ถ้ามีโอกาสได้ดูแลลูกสาวของท่าน ก็ดูแลให้ดีล่ะปัญ"


ตอนนั้น...ฉันไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครทำอะไรมีบุญคุณต่อใครยังไง ฉันลืมเรื่องทุกอย่างไปทันทีหลังจากวันที่แม่เสีย ฉันเข้าใจแล้ว...ว่าทำไม...ตอนนั้นพ่อถึงดูไม่โกรธแค้นครอบครัวที่พรากชีวิตคนรักของพ่อไป แต่พ่อกลับปลอบใจฉันมาตลอดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่ฉันควรจะดูแลคุณหนูให้ดี แต่ฉันกลับ...ฉันเกือบฆ่าคุณหนูด้วยมือของฉันแล้ว...
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“เอาล่ะค่ะ เผยอีกปมหนึ่งแล้วนะคะ ซึ่งเป็นปมที่พ่อของณิชาคุยกับคุณนงนั่นเอง มีใครยังจำได้ไหมคะ ^^ "เจตคติจงรักภักดีต่อคนบุคคลอันเป็นที่รัก ต่อให้โกรธแค้นมากแค่ไหน มันก็กลบคำว่าภักดีในหัวใจไม่ได้หรอกนะนง"”