A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 24 คู่หู

"ปัญ..." เสียงเพรียกหาคล้ายแว่วมาตามลม ความมืดมิดปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ ไม่มีแม้แต่แสงริบหรี่จากหมู่ดาวบนฟากฟ้า อีกทั้งความเงียบสงัดราวกับถูกกักขังอยู่ในที่ใดสักแห่ง มีแค่เพียงเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคยเท่านั้นที่ยังคงเพรียกหาเธอไม่หยุด
"ปัญ..."
"แม่! แม่!!" ตอนนี้หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังเดินอยู่แห่งหนใด จะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นสิ่งใด มันช่างเคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยว
"ปัญ..."
"แม่อยู่ไหน!!?" เธอเริ่มหายใจเหนื่อยหอบ จากการพยายามวิ่งวนอยู่ในที่มืด ๆ เพียงลำพัง แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปเท่าใด เสียงเพรียกหาก็ไม่ได้ชัดเจนขึ้น ราวกับว่ายิ่งห่างไกลออกไปเสียด้วยซ้ำ
"ปัญญาวี แปลว่าผู้มีปัญญา...ลูกอย่าหลงลืมความเป็นตัวเองนะลูก..."
"ฆ่ามัน!!! มันทำให้เปี๊ยกต้องตาย!! พี่ปัญกลับไปแก้แค้นมันให้เปี๊ยกที ฮือ ๆ เปี๊ยกยังไม่อยากตาย ฮือ ๆ เปี๊ยกยังไม่อยากตาย" อีกเสียงหนึ่งที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท มันดังก้องไปทั่วบริเวณแทบจะกลบเสียงหวานไปเสียหมด หญิงสาวทำได้แค่ใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะตัวเองเอาไว้ด้วยความสับสน ก่อนเข่าทั้งสองข้างจะทิ้งลงกระทบกับพื้น
ตุบ!!
"เปี๊ยกไม่ได้อยากฆ่าลุงปองนะพี่!! เปี๊ยกถูกบังคับ ฮือ ๆ พี่ปัญช่วยเปี๊ยกด้วย พี่ปัญต้องไปฆ่ามัน!! พี่ปัญต้องไปฆ่ามัน!!"
"ปัญ...มีสตินะลูก..."
"มันฆ่ากู!!! มันฆ่าแม่กู!! มันจ้างให้เปี๊ยกเผาค่ายมวยของพี่ พี่ต้องไปแก้แค้นมัน!!!"
"ปัญ...ฟังแม่นะลูก ลูกจงมีสติ"
"ปัญ...ฟังพ่อ...ปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต"
"พี่ปัญ!!! พี่ต้องไปฆ่ามัน!!!"


"เฮือก!!!" ร่างหญิงสาวสะดุ้งเฮือกจากฝันร้ายที่กัดกินหัวใจของเธอซ้ำ ๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว ๆ ด้วยความหวาดหวั่น ก่อนเม็ดเหงื่อบนหน้าผากจะถูกปาดออกไปด้วยมือข้างขวา
ปัญญาวีนอนเรียกสติตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองไปรอบ ๆ มุ้งสีขาวที่กางครอบตัวเธอที่นอนอยู่ตรงกลาง ทางด้านซ้ายมีคุณหนูณิชานอนซบแขนของเธออยู่ และด้านขวามีน้องสาวนอนหลับตาพริ้ม ทั้งสองคงจะเหนื่อยล้าจากการหลบหนีเหตุการณ์ต่าง ๆ มาทั้งวัน และยังต้องคอยดูแลพี่เลี้ยงสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม้โดยมีมุ้งกันยุงอีกอันครอบเอาไว้เช่นกัน
บนเรือนไม้ไม่ได้มีการคั่นแยกเป็นห้อง ๆ เหมือนบ้านเรือนสมัยใหม่ แต่กลับเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แบบโล่ง ๆ แล้วนำข้าวของเครื่องใช้มาแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดเป็นส่วนแทน ซึ่งทั้งสามรวมกับพี่เลี้ยงสาวนอนหันศีรษะเข้าผนังฝั่งขวามือ และสองสามีภรรยารวมถึงโก นอนหันศีรษะไปอีกทางหนึ่งโดยหันปลายเท้าเข้าหาพวกเธอ
ส่วนบริเวณรอบเรือนไม้มีเสียงจักจั่นเรไรร้องระงม บรรยากาศยามค่ำคืนนั้นไม่ได้ร้อนอบอ้าวอย่างในตัวเมือง แต่กลับเย็นสบายแม้จะไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ตาม และมีเพียงตะเกียงโบราณที่ตั้งอยู่ข้างเตียงพี่เลี้ยงสาวที่ส่องแสงสว่างยามราตรี ปัญญาวีใช้แขนยันร่างของตนลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะหันไปมองร่างคุณหนูที่ยังคงหลับใหลบนเสื่อที่ใช้ปูนอน มันไม่ได้นุ่มฟูเหมือนเตียงนอนราคาแพง ไม่มีหมอนใบนุ่มให้หนุน ไม่มีผ้าห่มผืนหนา แต่มีเพียงผ้าห่มผืนบาง ๆ ที่ให้ความอบอุ่นอยู่เท่านั้น
ทำไมคุณหนูอย่างคุณต้องมาลำบากที่นี่กันนะ... ปัญญาวีคิดในใจพลางกับใช้ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยผมไปทัดที่หลังหู ก่อนจะบรรจงลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบาด้วยความห่วงใย
"คุณปัญญาวี..." เสียงเอ่ยเรียกแผ่วเบาดังมาจากทางเตียงไม้ด้านข้างที่พี่เลี้ยงสาวนอนอยู่ ทำเธอถึงกับหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจอีกครั้ง
"ฉันหิวน้ำ" 
"อืม สักครู่ค่ะ" เมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นคำตอบว่าเธอไม่ได้หูแว่วแต่อย่างใด ปัญญาวีจึงใช้มือขวาเปิดมุ้งกันยุงออก ก่อนจะเดินไปยังโหลแก้วที่ตั้งอยู่บนโต๊ะซึ่งภายในภาชนะบรรจุน้ำสีเขียวเข้มเอาไว้ เธอจึงใช้กระบวยที่ทำจากกะลามะพร้าวตักน้ำมาถือเอาไว้ แล้วจึงมุดเข้าไปในมุ้งที่ครอบเตียงเพื่อยื่นให้กับพี่เลี้ยงสาว แต่สภาพของเธอนั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลบริเวณด้านหลังไหล่ด้านขวาพันอ้อมไปด้านหน้า และกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง ทำให้ปัญญาวีต้องวางกระบวยเอาไว้ ก่อนจะใช้แขนขวาที่ใช้งานได้อยู่ค่อย ๆ ประคองร่างอีกคนให้ลุกขึ้นด้วยความระมัดระวัง
"ระวังนะคุณนม"
"โอ๊ย..." แม้แต่เสียงโอดครวญยังออกมาอย่างแผ่วเบา ปากของเธอซีดและแห้งกร้าน จนปัญญาวีอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระบวยมาป้อนน้ำพี่เลี้ยงสาว แต่เธอกลับกลืนลงไปได้เพียงอึกเดียวก็ทำสีหน้าเหยเกออกมา ปัญญาวีถึงกับหลุดขำพรืดเพราะรู้ดีว่าน้ำที่ดื่มไปนั้นมีรสชาติเหม็นเขียวจนกลืนแทบไม่ลง เพราะเธอเป็นหนูทดลองไปก่อนหน้าแล้วนั่นเอง
"ขำอะไรกัน"
"เห็นคนที่ทำหน้าเหมือนเส้นประสาทบนใบหน้าตายมีปฏิกิริยาแบบนี้มันก็ต้องขำเป็นธรรมดา นึกว่าจะแสดงความรู้สึกไม่เป็นนะเนี่ย"
"ฉันก็คนนะคะ แล้วนี่มันคือน้ำอะไรคะเนี่ย ไม่มีน้ำธรรมดาให้กินเหรอ"
"น้ำใบบัวบกน่ะ ป้าจำปาบอกว่าเราสองคนต้องกินน้ำนี่ให้หมด เห็นบอกว่ามันช่วยลดไข้และแก้ช้ำในนะ"
"น่าอายจริง ๆ ที่น้ำนี่ทำให้คุณหัวเราะเยาะฉัน"
"ถ้าคุณเห็นฉันกินมันครั้งแรก คุณเองก็คงจะขำฉันเหมือนกันนั่นแหละ อ้วกแทบพุ่ง" นงคราญทำได้แค่ยิ้มขมุบขมิบแอบขำหญิงสาวอีกคน เพราะหากหัวเราะออกมาเกรงว่าจะสะเทือนไปถึงบาดแผลได้
"ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยสิ คุณเคยเรียนยิงปืนมาก่อนเหรอ ทำไมคุณถึงยิงปืนแม่นขนาดนั้น"
"คุณเกริกพลเป็นคนสอนฉันน่ะค่ะ รวมถึงศิลปะป้องกันตัวด้วย แต่มันก็แค่ท่าพื้นฐานแค่นั้น เพราะฉันไม่มีเวลาเรียนรู้มากนัก"
"คุณเข้ามาปกป้องฉันทำไม ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะคุณเนี่ย"
"ฉันแค่ปกป้องหัวใจของคุณหนูน่ะค่ะ" คำตอบของนงคราญ ทำเอาปัญญาวีถึงกับอึ้ง
"คุณคงจะรักคุณหนูมากสินะ"
"ถึงฉันจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ฉันเองก็รักคุณหนูไม่น้อยไปกว่าคุณหรอกนะคะ"
"ถ้าคุณรักคุณหนูมาก คุณคงไม่คิดที่จะหักหลังคุณหนูหรอกใช่ไหม"
"ต่อให้ฉันจะต้องฆ่าคุณหนูเพื่อที่ฉันจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ฉันก็ไม่ทำหรอกค่ะ ฉันยอมตายยังดีกว่าที่จะทำแบบนั้น" 
"แต่คุณรู้ใช่ไหม ว่าการที่คุณทำแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเชื่อใจคุณ" คำพูดของปัญญาวีทำให้นงคราญนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับแววตาที่ว่างเปล่าจนปัญญาวีไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของเธอได้เลย
"คุณยิ้มอะไรของคุณ"
"ฉันขอนอนคุยได้ไหมคะ การนั่งคุยมันทำให้ฉันปวดแผล" ปัญญาวีเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะประคองเธอนอนลงด้วยท่านอนคว่ำเช่นเดิม แล้วเธอจึงนั่งลงกับพื้นโดยทั้งสองหันหน้าเข้าหากันเพื่อที่จะพูดคุยกันได้สะดวกยิ่งขึ้น
"การที่คุณไม่ไว้ใจใครแบบนี้มันถูกต้องแล้วค่ะ เพราะคนที่ฉันไว้ใจก็กล้าหักหลังคุณหนูได้แบบนี้ ฉันควรที่จะระวังตัวมากขึ้น แต่ฉันกลับโดนซ้อนแผนตลบหลังได้"
"ซ้อนแผนที่ว่า คือเรื่องไอ้เปี๊ยกใช่ไหม"
"ค่ะ ทุกคนที่คอยคุ้มกันน้องปุณรวมไปถึงคนที่คอยเฝ้าที่หน้าห้องของเปี๊ยกคือคนของคุณท่านทั้งหมด มันทำให้ฉันสงสัยคนใกล้ตัวคุณท่านที่สุดอย่างคุณเกริกพล เขาน่าจะรู้แผนของคุณท่านแน่ ๆ ถึงได้ซ้อนแผนฉันได้แนบเนียนขนาดนี้"
"อืม...ฉันรู้แล้วนะ คนที่คุณสงสัย คือคนที่มาว่าจ้างให้เปี๊ยกเผาค่ายมวยของฉัน ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าเขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ครอบครัวฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย"
"คุณรู้ได้ยังไงคะ" นงคราญถามด้วยสีหน้าที่แสดงความสนอกสนใจ
"เปี๊ยกมันบันทึกเรื่องต่าง ๆ ไว้ในโทรศัพท์ที่มันให้ฉันมาก่อนจะตายค่ะ คุณเกริกพลต้องร่วมมือกับคุณแพรวแน่"
"ทำไมมันถึงได้เลวกันขนาดนี้ ตอนนี้ฉันชักไม่มั่นใจว่าคุณท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรืออาจจะพลาดท่าให้พวกมันแล้วจริง ๆ"
"คุณท่านไม่เป็นอะไรหรอกค่ะเชื่อฉัน แต่คุณช่วยยืนยันให้ฉันมั่นใจหน่อยได้ไหม ว่าคุณไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง ๆ" นงคราญยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของปัญญาวี ก่อนจะเอื้อมมือออกมาช้า ๆ เพื่อมาวางไว้บนบ่าข้างซ้าย แล้วจึงเลื่อนมือต่ำลงช้า ๆ จนมาหยุดอยู่บริเวณไหปลาร้าที่มีหัวลูกศรจากรอยสักอยู่
"ฉันกล้าสาบานด้วยคำสัจจริง ว่าฉันมีหน้าที่ปกป้องคุณหนู ไม่ใช่ทำลาย ฉันเองก็ไม่ต่างจากคุณหรอกค่ะคุณปัญญาวี ฉันยอมตายเพื่อปกป้องคุณหนู เพราะเธอคือลูกสาวของคนที่ฉันรักสุดหัวใจ" สิ้นคำพูดของนงคราญ ปัญญาวีจึงวางมือข้างขวาผสานแนบกับหลังมือของพี่เลี้ยงสาวเอาไว้ ก่อนใบหน้าของเธอจะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
"ฉันเชื่อใจคุณนะคุณนม ขอบคุณที่ช่วยฉันกับน้องปุณ ตอนนี้เราเป็นคู่หูกันแล้วนะคะ ต่อไปนี้เราคือคู่หูผู้พิทักษ์นมปัญ"
"ชื่อไม่สร้างสรรค์เลยค่ะ" ทั้งสองต่างหลุดขำพรืดออกมาเพราะชื่อเรียกที่ดูไม่สร้างสรรค์นัก
"งั้นจะเรียกทีมเราว่าอะไรดี"
"แบดบอดี้การ์ดดีไหมคะ เพราะคุณคิดไม่ซื่อกับคุณหนู ส่วนฉันคิดไม่ซื่อกับแม่ของคุณหนู เราสองคนดูเลวดี แต่เป็นคนเลวที่ปกป้องคนที่เรารัก" แม้ความหมายที่นงคราญตั้งนั้นจะดูไม่งามเท่าไรนัก แต่ปัญญาวีกลับพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะโน้มตัวลงนอนข้าง ๆ เตียงที่มีพี่เลี้ยงสาวนอนอยู่ โดยใช้แขนขวาเป็นหมอนหนุน
"คุณทำอะไรของคุณน่ะคุณปัญญาวี"
"นอนเฝ้าคุณไง เผื่อคุณหิวน้ำตอนดึก ๆ จะได้ปลุกฉันได้"
"ขอบคุณนะคะ ยังไงก็ขอรบกวนด้วยนะคู่หู"
"อืม หายไว ๆ นะคู่หู จะได้มาฝึกด้วยกัน เดี๋ยวฉันจะช่วยสอนคุณเอง"
"เอาแขนตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่ะ ค่อยมาสอนฉัน"
"ชิ..." 
แม้ทั้งสองจะเคยไม่ถูกชะตากันมาก่อน มีหมั่นไส้กันบ้างตั้งแต่แรกพบ แต่ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการเสี่ยงชีวิตในสถานการณ์ที่พวกเธอต่างตกอยู่ในอันตรายกันทั้งคู่ อย่างน้อย...พวกเธอก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องคนที่ตนรักด้วยชีวิต


เอี๊ยด เอี๊ยด
เสียงแผ่นไม้ที่ดังเสียดสีกันเมื่อมีน้ำหนักกดลงจากการเดิน ปัญญาวีถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นจึงได้เห็นเงาตะคุ่มร่างหนึ่งกำลังถือตะเกียงโบราณลงจากเรือน เธอจึงรีบลุกขึ้นเพื่อที่จะตามร่างนั้นไปทันที
ท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมด้วยความมืดแต่ก็มีสีฟ้าครามปะปนเป็นการบ่งบอกว่าตะวันจะทำหน้าที่ของวันใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ก็ยังต้องอาศัยแสงไฟจากตะเกียงช่วยส่องทาง ก่อนจะมีดวงไฟลุกพรึ่บบริเวณเตาถ่านใต้ถุนบ้านพร้อมกับกลิ่นควันที่โชยมาตามลม ทำให้ปัญญาวีรู้ได้ทันทีว่าเงาตะคุ่มนั้นกำลังทำอะไรอยู่ภายใต้แสงไฟตะเกียงและเปลวไฟนั่น
"อ้าวปัญ ตื่นแล้วเหรอลูก ทำไมตื่นเร็วจังล่ะ"
"พอดีหนูเป็นคนรู้สึกตัวง่ายน่ะค่ะ พอได้ยินเสียงเดิน หนูก็เลยตื่น"
"ป้าขอโทษนะลูกที่ทำให้หนูตื่น"
"ไม่เป็นไรค่ะป้า มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ"
"ไม่หรอก ไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวก็ได้ตื่นไปฝึกกับพี่ครามไม่ใช่เหรอ"
"ตื่นแล้วก็ไปฝึกกันเลยแล้วกัน" เมื่อได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ดังขัดบทสนทนา ปัญญาวีจึงรีบหันไปตามต้นตอของเสียงก่อนจะพบว่า ชายร่างกำยำสวมเสื้อผืนบาง และกางเกงขาก๊วยสีดำม้วนขึ้นจนถึงต้นขาราวกับเตรียมพร้อมจะฝึกซ้อมมวย เธอจึงรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
"แต่แขนหนูบาดเจ็บแบบนี้จะฝึกได้เหรอคะลุงคราม"
"ได้สิ ตามลุงมา" เขาเดินนำเธอเข้าไปใต้ถุนบ้าน ก่อนจะหยิบกระบวยที่ทำจากกะลามะพร้าวออกมาสองอันยื่นให้กับเธอ โดยอันหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเสียอีก ส่วนอีกอันขนาดใหญ่ราวกับกะโหลกคนอย่างไรอย่างนั้น
"ชอบอันไหน เล็กหรือใหญ่"
"อันเล็กแล้วกันค่ะ น่ารักดี" ปัญญาวีรับกระบวนอันเล็กมาจากคราม ก่อนเขาจะเดินดุ่ม ๆ หายไปในความมืด เธอจึงเร่งฝีเท้าตามเขาไปโดยไม่รีรอ กระบวยนี่คืออาวุธประเภทหนึ่งอย่างนั้นหรือ


"เอากระบวยนั่นตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม" สิ้นเสียงทุ้ม ปัญญาวีถึงกับทำหน้าเหวอเพราะตุ่มที่ว่านั้นมีขนาดใหญ่ถึงขั้นที่เธอสามารถลงไปหลบได้เลย แต่กระบวยกลับอันเล็กกว่าฝ่ามือ จะต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงกันถึงจะตักน้ำได้เต็มตุ่ม
"ด้วยไอ้นี่น่ะเหรอคะลุงคราม!?"
"ใช่ ก็ให้เลือกแล้วไง แต่เอ็งเลือกอันเล็ก ช่วยไม่ได้"
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!! เริ่มต้นการฝึกด้วยการเสี่ยงดวงเหรอเนี่ย!!!?
"นี่คือการฝึกเหรอคะ ลุงไม่ได้หลอกใช้หนูตักน้ำใส่ตุ่มใช่ไหม"
"ฮ่า ๆ นี่แหละการฝึก"
"แล้วหนูต้องตักน้ำจากที่ไหนคะ"
"บ่อน้ำข้างหลังเอ็งนั่นไง เอ็งต้องเอาคุตักน้ำจากบ่อ แล้วก็เอากระบวนมาตักน้ำจากคุลงตุ่มอีกที ห้ามเทน้ำจากคุโดยตรงเด็ดขาด" ปัญญาวีหันไปมองบ่อบาดาลที่มีการนำท่อปูนมาก่อกักเก็บน้ำเอาไว้ก่อนจะดวงตาเบิกโพลงราวกับไข่ห่าน
"โอ้โหลุง!!! บ้าไปแล้ว!!!"
"ครึ่งตุ่มแลกกับข้าวเช้า เต็มตุ่มแลกกับข้าวเที่ยง ลุงไปล่ะ" คำทิ้งท้ายที่ทำปัญญาวีแทบหมดสติ นี่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรืออย่างไรกัน ดูก็รู้ว่าหลอกใช้ให้เธอตักน้ำใส่ตุ่มชัด ๆ
"หนูจะถือว่าเป็นการตอบแทนที่ลุงให้พวกเรามาอยู่ที่นี่แล้วกันนะคะ เฮ้อ..." แม้จะไม่พอใจนัก แต่ปัญญาวีจำต้องยอมใช้คุพลาสติกตักน้ำจากบ่อน้ำข้างหลังเพื่อไปวางลงข้างตุ่ม แล้วจึงใช้กระบวยขนาดเล็กจิ๋วตักน้ำจากคุลงตุ่มอีกที ทำเอาเธอถึงกับน้ำตาตกใน
"รู้งี้เลือกกระบวยใหญ่ก็ดี แกมันไม่เหมาะกับอะไรน่ารัก ๆ หรอกไอ้ปัญเอ๊ย...กระซิก ๆ"


เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง ตอนนี้ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่แล้ว ชายวัยกลางคนยืนใช้มือไพล่หลังเพื่อดูหญิงสาวใช้กระบวยตักน้ำลงตุ่มแบบตักไปบ่นไป จนเขาอดขำท่าทีของเธอไม่ได้
"ไอ้ปองเอ๊ย...ลูกมึงขี้บ่นเหมือนมึงไม่มีผิด เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ"
"คิดถึงพี่ปองเลยนะจ๊ะพี่ ตอนที่พ่อให้พี่ปองตักน้ำใส่ตุ่ม ก็เอาแต่บ่นแบบนี้เหมือนกันเป๊ะ"  จำปาพูดพลางกับอมยิ้ม
"ฮ่า ๆ แต่ไอ้ปองมันได้กินข้าวนะ ไม่รู้ลูกมันจะได้กินหรือเปล่า"
"ในเมื่อพี่บอกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว ยังไงฉันก็เชื่อว่าปัญเหมือนกับพี่ปองแน่นอนจ้ะ" 
ทางด้านของปัญญาวี ด้วยการที่ต้องใช้แขนข้างเดียวตักน้ำมาเป็นชั่วโมงทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่าแขนขวาของเธอมันล้าเต็มทน อยากจะใช้น้ำอยู่คุเทราดลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อลูกชายของคนที่ชื่อว่าเป็นครูของครูบอกว่ามันคือการฝึกแล้ว เธอก็ทำได้แค่กัดฟันตักน้ำต่อไป แม้จะตักไปบ่นไปก็ตาม และในที่สุดเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น ทำปัญญาวีแทบน้ำตาไหลพราก
"ปัญ ลุงครามเรียกไปกินข้าว"
"ฮือ!!! พี่โก!!! ปัญนึกว่าแขนปัญจะหลุดแล้ว โฮก!!" ปัญญาวีโผเข้าไปกระชากคอเสื้อของคนเป็นพี่ทั้งน้ำตา จนเขาต้องกอดปลอบเธอยกใหญ่
"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่มาช่วย"
"ฮือ ๆ พี่ต้องมาช่วยปัญนะพี่ พี่เลือกเอากระบวยใหญ่เท่าบ้านมาเลยนะ ขอแบบตักทีเดียวเต็มตุ่มเลยอะ"
"ได้!! เดี๋ยวพี่จัดให้!!"


2 ชั่วโมงผ่านไป...
"เอ็งไม่มีสิทธิ์ให้ใครช่วยทั้งนั้น นั่นมันหน้าที่ของเอ็ง เอ็งก็ต้องทำให้สำเร็จ" 
"เฮือก..." ปัญญาวีถึงกับหงายหลังล้มตึ้งและนอนน้ำหูน้ำตาเล็ดอย่างไร้เรี่ยวแรง ท่ามกลางสายตาห้าคู่ที่จับจ้องมาทางเธอ ตอนนี้ไม่มีอาการเหนียมอายใด ๆ ทั้งสิ้น อยากจะอ้อนคนรักเต็มแก่แล้ว แต่กลับได้เจอกันแค่เพียงตอนกินข้าวเท่านั้น
"สู้ ๆ นะคะคุณปัญ ณิเชื่อว่าคุณทำได้"
"พี่ปัญทำไม่ได้หรอกค่ะพี่ณิ เห็นแข็งแรงแบบนี้ขี้เกียจที่หนึ่งเลยค่ะ"
"ปุณ!! อย่าซ้ำเติมเซ่!!"
"อิ่มแล้วก็ไปทำหน้าที่ของเอ็งได้แล้ว อย่าลืมนะ เต็มตุ่มเพื่อแลกกับมื้อเที่ยง"
"ลุงครามคะ!! หนูขอใช้กระบวยอันใหญ่ได้ไหมคะ" ปัญญาวีถามด้วยแววตาที่มุ่งมั่นและจริงจัง
"ขอกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ"
"ได้โปรด...ใจดีกับหนูเถอะนะคะ"
"แต่ถ้าเอ็งเปลี่ยนเป็นอันใหญ่คือเอ็งไม่มีสิทธิ์กลับมาใช้อันเล็กแล้วนะ" เขาพูดพลางกับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ปัญญาวีจึงฉุกคิดได้ทันที
หรือว่า...กระบวยอันใหญ่จะมีการเจาะรู ไม่ได้ ๆ ฉันต้องใช้อันเล็กตักน้ำใส่ตุ่มให้สำเร็จ!!
"งั้นหนูไม่เปลี่ยนแล้วค่ะ หนูไปตักน้ำต่อก่อนนะคะ"
"อืม ดีมาก ตั้งใจล่ะ แล้วอย่าแอบใช้คุเทน้ำลงตุ่มล่ะเข้าใจไหม ลุงรู้ลุงเห็น"
"ลุงมีตาทิพย์เหรอคะ"
"กุมารลุงบอก"
"เฮือก!!" ทุกคนที่ร่วมวงกินข้าวถึงกับสะดุ้งเฮือกกับคำพูดของชายกำยำที่พูดแบบทีเล่นทีจริง ท่าทางของเขาไว้ใจไม่ได้แม้แต่น้อย ตั้งแต่หลอกให้เธอตักน้ำใส่ตุ่มแล้ว!!


"เฮ้อ...มันเป็นเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย ไหนบอกว่าจะพาฝึกไง ฝึกที่ว่าคือฝึกอะไร ฉันต้องผ่านความอดทนก่อนที่จะได้ฝึกใช่ไหม"
"ใช่" เมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังตามหลังมา ปัญญาวีถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นกระบวยขนาดใหญ่อยู่ในมือของชายวัยกลางคน
"อยากลองใช้อันนี้ดูไหม" เขาถามพร้อมกับยื่นให้เธอ ปัญญาวีจึงรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเลือกอันนี้แล้ว หนูก็ต้องทำให้เสร็จ" ครามอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินมายืนที่ข้างตุ่ม แล้วจึงใช้กระบวยขนาดใหญ่ตักน้ำขึ้นมา ซึ่งกระบวยนั้นมีการเจาะรูอย่างที่ปัญญาวีคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด 
"ได้ข้อสรุปแล้วนี่"
"คะ?"
"ที่เอ็งพูดเมื่อกี้ เอ็งพูดว่าอะไรนะ" ปัญญาวีขมวดคิ้วด้วยความฉงน ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่บ่น ข้อสรุปอะไรกัน
"คืออะไรคะลุงคราม"
"สิ่งที่เอ็งทำอยู่นี่มันคือการฝึกในรูปแบบหนึ่ง ลองทายสิ ว่าลุงกำลังสอนให้เอ็งรู้จักเรื่องอะไร"
"ความแข็งแรงเหรอคะ" เธอตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก
"อันที่จริงลุงก็ไม่ได้อยู่เฝ้า เอ็งจะแอบใช้คุตักน้ำลงตุ่มเพื่อที่จะได้กินข้าวก็ได้ถูกไหม แต่เอ็งไม่สงสัยเหรอ ว่านี่ยังไม่ถึงครึ่งตุ่ม แต่ทำไมลุงให้ไอ้หนุ่มนั่นมาตามเอ็งไปกินข้าว"
"อย่าบอกนะคะว่าความซื่อสัตย์!!?" รอยยิ้มเผยออกมาจากใบหน้าชายกำยำที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นใต้ตา ซึ่งหญิงสาวก็เอาแต่บ่นจนลืมคิดไปเลยว่าเธอยังตักน้ำไม่ถึงครึ่งตุ่มเสียด้วยซ้ำ
"ลุงแค่อยากรู้ว่าเอ็งมีความซื่อสัตย์ไหม พ่อเอ็งก็เคยทำแบบนี้และเลือกกระบวยอันเล็กเหมือนกับเอ็งนี่แหละ มันทำไปบ่นไป จนพ่อลุงมาเฉลย ความซื่อสัตย์มันคือพื้นฐานของความเป็นคนที่ทุกคนพึงมี รวมไปถึงความอดทนด้วย ซึ่งเอ็งผ่านบททดสอบนี่แบบฉลุยเลยล่ะ"
"จริงเหรอคะ!!?" ปัญญาวีฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่เธอผ่านบททดสอบหฤโหดนี้ได้
"และอีกหนึ่งข้อคิดที่เอ็งได้ เมื่อกี้เอ็งพูดไปแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่าจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปใช่ไหม" เธอทำหน้าครุ่นคิดและเอียงศีรษะด้วยความฉงน ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาอีกครั้ง
"เลือกแล้วต้องทำให้สำเร็จใช่ไหมคะ!!?"
"อืม เอ็งเห็นแล้วใช่ไหมปัญ ไม่ว่ากระบวยอันใหญ่หรืออันเล็กมันก็มีอุปสรรคในการตักน้ำให้เต็มตุ่มทั้งนั้น แต่ในเมื่อเอ็งเลือกแล้ว เอ็งก็ต้องทำมันให้สำเร็จ ถ้าเอ็งยอมแพ้กลางคัน เอ็งก็จะไม่ได้กินข้าว แล้วถ้าสมมติว่ามันเป็นชีวิตจริงล่ะ ช่วงชีวิตหนึ่งที่เอ็งกำลังประสบกับปัญหาและไม่มีทางเลือกในชีวิตมากมายนัก ถ้าเอ็งเลือกเดินทางใดทางหนึ่งแล้ว เอ็งก็ต้องเดินต่อไปให้สุด เอ็งถึงจะได้รางวัลตอบแทนที่เอ็งอดทนทำมัน แต่ถ้าเอ็งยอมแพ้ นอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนแล้ว ยังอาจทำให้เอ็งเลือกทางผิดคิดไปถึงจุดหมายด้วยทางลัด ผลสุดท้ายมันก็มักจะจบไม่สวยนัก"
"หนูเข้าใจแล้วค่ะลุงคราม หนูนึกว่าลุงจะหลอกให้หนูตักน้ำใส่ตุ่มซะอีก"
"ฮ่า ๆ อันที่จริงมันก็ใช่ แต่หลังจากนี้ให้ไอ้หนุ่มนั่นมาตักต่อเถอะ ลุงแค่อยากทดสอบเอ็งเท่านั้นแหละ การฝึกจริง ๆ มันคือหลังจากนี้ต่างหาก ตามลุงมา" พูดจบเขาก็เดินนำเธอไปยังสวนมะขามหลังบ้านที่เธอเคยไปเมื่อครั้งก่อน แต่แตกต่างจากเดิมคือหญ้าถูกตัดจนโล่งเตียน มีการถางป่าให้เป็นทางเดินได้แบบสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ก่อนจะได้พบกับบ้านไม้หลังเล็กที่รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์การฝึกมวยไทยโบราณ นั่นยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
"ที่ผ่านมาเอ็งพลาดอะไรบ้างรู้ไหม"
"ลุงหมายถึงอะไรเหรอคะ"
"เอ็งเป็นคนเก่งนะปัญ แต่เอ็งมักจะให้อารมณ์ครอบงำจิตใจตัวเองตลอด นั่งสิ" เขาพูดพลางกับชี้ไปที่ท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ตัดทำเป็นที่นั่ง หญิงสาวจึงนั่งลงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
"ขัดสมาธิ" สิ้นเสียงทุ้มหนักแน่น เธอก็ขัดสมาธิตามคำสั่งทันที แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์แต่เธอก็เชื่อฟังคำสั่งจากคนตรงหน้า
"ลุงจะให้หนูนั่งครกเหรอคะ"
"เปล่า ทรงตัวให้ดีล่ะ อย่าให้ขันน้ำนี่ตกเด็ดขาด ถ้าตก เอ็งก็เปียก" เขาพูดก่อนจะใช้ขันพลาสติกตักน้ำในตุ่มพอประมาณมาวางไว้บนศีรษะของหญิงสาว เธอจึงยืดหลังตรงเพื่อทรงตัวไม่ให้ขัดตกลงมาจากศีรษะ หลังจากนั้นเขาจึงนั่งลงบนท่อนไม้อีกตัวต่อหน้าเธอ
"นี่คือการฝึกการทรงตัวเหรอคะ"
"เปล่า มันคือการฝึกสมาธิ จดจ่อกับขันน้ำบนหัวนั่นให้ดี แล้วลุงจะค่อย ๆ ถามคำถามเอ็งทีละคำถาม"
"รับทราบค่ะ"
"คำถามที่หนึ่ง เอ็งรู้ตัวหรือเปล่า ว่าเอ็งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนรอบตัวต้องตาย รวมถึงทำให้แม่หนูนั่นถูกยิงด้วย"
ซ่า!
ขัดที่บรรจุไปด้วยน้ำจนเกือบเต็มร่วงหล่นจากศีรษะของเธอทันทีเมื่อชายวัยกลางคนถามจบ ทำให้ร่างของเธอเปียกปอนไปทั้งตัว เธอจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไป แต่แววตาของชายตรงหน้ากลับไม่มีการหยอกล้อแบบทีเล่นทีจริงอย่างที่เคยเป็น เขาดูสุขุมและน่าเกรงขาม ก่อนจะลั่นคำสั่งออกมาเสียงแข็ง
"ไปตักน้ำแล้วเอามาวางบนหัวอีก" 
"ค่ะ!!" หญิงสาวรีบนำขันน้ำไปตักน้ำในตุ่มแล้ววิ่งกลับมานั่งบนท่อนไม้อีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ วางขันน้ำพลาสติกลงบนศีรษะของตน
"เอ็งนี่มันไม่สมกับเป็นลูกไอ้ปองเลย นี่น่ะหรือคนที่เขาล่ำรือว่าเก่งนักหนา แค่ลุงพูดแค่นี้เอ็งก็เสียสมาธิแล้ว"
"แต่สิ่งที่ลุงพูด..."
"ไม่ต้องเถียงแล้วฟัง ชีวิตมันไม่ใช่เกม ที่หากแพ้แล้วก็เริ่มเล่นใหม่อีกครั้งได้ คนที่ตายไปแล้วไม่มีวันฟื้นขึ้นมาเคียงข้างเอ็งอีกแล้ว เอ็งพลาดอะไรไปบ้าง เอ็งสูญเสียใครไปบ้างจากความใจร้อนของเอ็ง ถ้าเอ็งตั้งสติแล้ววางแผนให้รอบคอบอีกสักนิดคนรอบข้างเอ็งอาจจะไม่ตายก็ได้ ก่อนจะกลับไปลุงก็สอนเอ็งแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ค่ะ" หญิงสาวทำได้เพียงกัดฟันตอบรับด้วยความเจ็บปวดในใจ แต่เมื่อเธอก้มศีรษะลงด้วยท่าทีสลด ทำให้ขันน้ำที่อยู่บนศีรษะเทน้ำพรวดใส่ตัวเธอจนเปียกปอนอีกครั้ง ส่วนเขายังคงนั่งมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย
"ลืมไปแล้วหรือยังไง ว่าขันน้ำยังอยู่บนหัวอยู่"
"ขอโทษค่ะลุง"
"ไม่ต้องขอโทษแล้วไปตักน้ำมาวางไว้บนหัวอีก" เขาพูดพลางกับมองหญิงสาวลุกขึ้นไปตักน้ำก่อนจะส่ายศีรษะช้า ๆ
"มาแล้วค่ะ"
"ถ้าสมมติว่านี่ไม่ใช่การฝึก ถ้าสมมติว่าสิ่งที่อยู่บนหัวเอ็งทำให้เอ็งต้องตาย เอ็งไม่มีวันกลับมาแก้ไขอะไรอีกแล้วนะ มีสมาธิสิ"
"เข้าใจแล้วค่ะลุงคราม"
"ตอนนี้มีอะไรกวนใจเอ็งอยู่ใช่ไหม"
"ค่ะ เมื่อคืนหนูฝันถึงพ่อกับแม่ เสียงของพ่อกับแม่พยายามเตือนสติหนู แต่มันก็มีอีกเสียงหนึ่งที่ทำให้หนูรู้สึกกระวนกระวายใจ มันทำให้ความแค้นในใจหนูถูกปลุกอีกครั้ง หนูแค้นที่หนูปกป้องทุกคนไม่ได้"
"แม้แต่ขันน้ำบนหัวเอ็งยังปกป้องไม่ได้เลย เอ็งจะมีปัญญาปกป้องชีวิตใครได้" คำพูดของเขาทำปัญญาวีถึงกับเจ็บแปลบราวกับมีตะปูมาตอกลงในหัวใจของเธอ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกทั้งหมด เพียงแค่เรื่องง่าย ๆ เธอยังปกป้องไม่ได้ แต่ชีวิตคนนั้นไม่มีโอกาสเริ่มต้นใหม่เหมือนกับการเล่นเกมแน่นอนอยู่แล้ว มันจึงทำให้เธอได้แง่คิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
"เอ็งเก่งแต่เรื่องใช้กำลังหรือยังไง ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิกับความอดทนเลยเหรอ เหมือนกับเป็นคนละคนกับที่ทำให้ลุงล้มได้"
"เพราะเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันทำให้หนูขาดสติ"
"ลืมเรื่องที่กวนใจเอ็งไปให้หมดซะ ถ้าเอ็งอยากปกป้องใครสักคน มัวแต่ใจร้อนใช้อารมณ์มีแต่เอ็งจะพาแม่หนูนั่นไปตาย"
"เข้าใจแล้วค่ะลุงคราม"
"นั่งอยู่แบบนี้จนกว่าจะได้ยินคำว่า ไปกินข้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นห้ามเอาขันออกจากหัว และห้ามให้ขันตกเด็ดขาด ถ้าถึงเวลากินข้าวเที่ยงแต่เอ็งยังเปียกอยู่แบบนี้แสดงว่าเอ็งไม่มีคุณสมบัติที่จะปกป้องใครเลย"
"รับทราบค่ะ!!" สิ้นคำตอบอย่างมุ่งมั่นของหญิงสาว ครามจึงลุกเดินจากไป แต่ก็ยังมีคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
"อย่าลืมนะปัญ ถ้าไม่ใช่คำว่า ไปกินข้าว ห้ามเอาขันออกจากหัว มีสมาธิจดจ่อกับขันน้ำบนหัวเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
"รับทราบค่ะ!!"
"ดี!!"


เวลาผ่านไปหลายนาที ปัญญาวีก็ยังคงจดจ่อกับการประคองขันน้ำบนศีรษะด้วยความตั้งใจ จนบ่าและคอของเธอเริ่มปวดเมื่อยเพราะต้องเกร็งเป็นเวลานาน หลังจากนั้นกำลังใจของเธอก็เดินมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม เธอแทบอยากกระโจนเข้าไปกอดเสียด้วยซ้ำ แต่ตราบใดที่ยังอยู่ในการฝึก เธอก็ต้องกลั้นใจนั่งตัวตรงเพื่อประคองขันน้ำต่อไป
"เหนื่อยไหมคะคุณปัญ" เสียงหวานเอ่ยถาม
"เหนื่อยมากเลยค่ะคุณหนู ฉันเมื่อยคอไปหมดแล้ว"
"ลุงครามบอกว่าคุณพักได้แล้วนะคะ เอาขันวางไว้ได้เลยค่ะ" ทันทีที่ได้ยินเสียงสวรรค์ ปัญญาวีก็รีบนำขันน้ำลงจากศีรษะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ยินเสียงหวานเอ่ยจนเธอแทบจะหงายหลังล้มตึ้งไปเสียให้ได้
"ลุงครามบอกว่า ถ้าไม่ใช่คำว่า ไปกินข้าว ห้ามเอาขันลงไม่ใช่เหรอคะ นี่เป็นการทดสอบน่ะค่ะ มื้อเที่ยงคุณอดกินข้าวนะคะ"
"อะไรนะคะ!!?"
"ณิไปก่อนนะคะคุณบอดี้การ์ด สู้ ๆ ค่ะ ณิเป็นกำลังใจให้ อย่าลืมเอาขันใส่น้ำวางไว้บนหัวเหมือนเดิมด้วยนะคะ"
"โฮก!! คุณหนู!!!" แม้ขันน้ำจะไม่ได้เทน้ำราดตัวเธอ แต่การที่เธอนำขันน้ำออกจากศีรษะเท่ากับว่าเธอพลาดท่าเข้าให้แล้ว
นี่คงเป็นการฝึกความอดทนที่ยากที่สุดตั้งแต่ปัญญาวีเคยพบเจอ เพราะคนที่เทียวมาทำลายสมาธิเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นการเดินผ่านแล้วแกล้งสะดุด แกล้งทำเป็นของตก แกล้งเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ มันทำให้เธอเปียกปอนไปทั้งตัวจากการที่เธอร้อนรนจะเข้าไปช่วยเหลือทำให้ขันน้ำร่วงตกจากศีรษะเธอในที่สุด จนผู้ที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา
"พี่ปัญทำอับอายขายขี้หน้ามาก เฮ้อ..." ปุณญิสาพูดก่อนจะถอนหายใจเฮือก ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลุดขำออกมาด้วยความนึกเอ็นดูหญิงสาว
"พี่เราก็คลั่งรักเหมือนกันนะเนี่ย กลัวแต่น้องณิจะเจ็บตัวจนลืมไปว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่"
"จะรอดไหมคะเนี่ย"
"พี่ว่าไม่น่ารอด ถ้าลุงครามให้น้องณิเป็นเหยื่อหลอกล่ออยู่แบบนี้ เพราะปัญไม่ทีสมาธิเลยถ้าคนตรงหน้าคือน้องณิ"
"ฮ่า ๆ เชื่อเขาเลย..."
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ฝากเอาใจช่วยเหล่าแบดบอดี้การ์ดด้วยนะคะ ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดีหรือไม่ จะต้องสูญเสียใครอีกไหม แล้วคุณปัญของเราจะมีสมาธิกับการฝึกหรือเปล่าถ้ายังถูกคุณหนูณิมาหลอกล่ออยู่แบบนี้ 55555 โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ”