A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 20 จำเลย

ในขณะที่รถเก๋งสีขาวเคลื่อนตัวไปตามทางบนถนนที่มีรถราสัญจรไม่หนาตานัก หญิงสาวคนขับใช้สมาธิในการมองถนนพลางสังเกตกระจกทุกมุมมองเป็นระยะเพื่อเฝ้าระวังว่ามีใครขับตามมาหรือไม่ กระจกมองหลังที่สะท้อนให้เห็นร่างของคุณหนูณิชาที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมกอดของบอดี้การ์ดสาวพร้อมกับที่เจ้าตัวก็ประทับรอยจูบที่หน้าผากหลายต่อหลายครั้ง สีหน้าและแววตาของปัญญาวีนั้นแสดงออกถึงความเสียใจและความรู้สึกผิดเต็มประดา นงคราญจึงเอื้อมมือปรับองศากระจกให้แหงนขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการระราบระล้วงเรื่องส่วนตัวของคนเป็นนาย
"คุณนม ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ"
"..." นงคราญยังคงนั่งเงียบและใช้สมาธิในการขับรถต่อไป
"การที่คุณท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขนาดนั้น ทำไมคุณถึงยังใจเย็นอยู่ได้"
"ฉันเชื่อว่าคุณท่านยังอยู่ค่ะ"
"อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อคนที่โทรมาบอกคือ..." ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามจบ ปัญญาวีจึงสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของนงคราญราวกับตัวร้ายที่ปฏิบัติตามแผนการได้สำเร็จ
"คุณ..."
"คุณท่านเป็นคนฉลาดค่ะ อย่างที่ฉันเคยบอกคุณไป ว่าคุณท่านเองก็สงสัยภรรยาของตัวเองมาตลอด ที่ผ่านมาที่คุณท่านไม่ทำอะไรเลยไม่ได้แปลว่าปล่อยผ่านเรื่องทั้งหมดนะคะ คุณท่านให้ฉันเก็บข้อมูลและรวบรวมหลักฐานทั้งหมดให้แบบลับ ๆ เพียงแค่เมื่อก่อนคุณแพรวยังไม่ลงมือทำอะไรนอกจากขโมยเงินไปให้คุณแอนนาเท่านั้น จนกระทั่งวันที่คุณหนูประสบอุบัติเหตุเท่ากับว่าเป็นการเปิดศึกแล้วล่ะค่ะ ที่กล้าแตะต้องตัวลูกสาวของท่าน"
"แต่ตอนนี้คุณท่านพลาดท่าแล้วนะคะ"
"ฉันคิดว่าไม่ค่ะ น่าจะเปิดการเปิดโปงหมากอีกตัวของคุณแพรวมากกว่า"
"อย่าบอกนะคะว่า...คนที่ร่วมมืออีกคนคือคุณเกริกพล!!?" รอยยิัมมุมปากเผยออกมาอีกครั้ง แต่ปัญญาวีกลับร้อนใจเมื่อคิดถึงเรื่องที่น้องชายพยายามจะสื่อสารกับเธอก่อนที่จะถูกยิงต่อหน้าต่อตา
"ช่างสังเกตขึ้นแล้วนี่คะ ฉันเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณเกริกพลจะกล้าหักหลังคุณท่านได้"
"นี่มันหมายความว่าไง ฉันงงไปหมดแล้ว สรุปคือคุณเกริกพลเป็นตัวร้ายอีกคนเหรอคะ"
"ฉันก็ตอบไม่ได้เต็มปากค่ะ เพราะฉันยังไม่มั่นใจ แต่การที่คุณเกริกพลเป็นคนโทรมาหาคุณหนูด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่ฉันย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้มีเรื่องมากระทบกระเทือนจิตใจคุณหนูเด็ดขาด มันเลยทำให้ฉันเพ่งประเด็นไปที่คุณเกริกพลค่ะ"
"มิน่าล่ะ...ก่อนที่เปี๊ยกจะถูกยิง มันบอกฉันว่าพวกคุณคือคนที่จ้างให้มันลอบวางเพลิงค่ายมวยของฉัน" สิ้นเสียงของเธอ นงคราญถึงกับคิ้วขมวดก่อนเธอจะปรับองศากระจกมองหลังเพื่อให้สามารถสบตากับบอดี้การ์ดสาวได้
"คุณว่าอะไรนะคะ"
"เปี๊ยกบอกฉันว่าพวกคุณคือคนจ้างให้มันลอบวางเพลิง และมันคงจะเห็นคุณกับคุณเกริกพลที่โรงพยาบาลเลยไม่กล้าไปเฝ้าน้องปุณเลยสักครั้ง"
"งั้นฉันไม่แปลกใจเลยค่ะที่วันนั้นพอเขาวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลพอเห็นฉันกับคุณเกริกพลเขาก็วิ่งหนีไปเลย หึ...คาดไม่ถึงเลยค่ะ"
"แสดงว่าที่คุณเกริกพลไม่ให้ฉันติดต่อใครเลยก็เป็นเพราะว่ากลัวไอ้เปี๊ยกติดต่อฉันได้สินะคะ"
"ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นค่ะ ฉันก็แปลกใจเหมือนกันที่เพื่อนของคุณที่ชื่อโกถามหาคุณกับน้องปุณตลอด ทำไมถึงไม่ติดต่อหาคุณโดยตรง"
"ให้ตายสิ...ฉันก็นึกว่าเป็นกฎ แล้วทำไมต้องขนบอดี้การ์ดไปคุ้มกันน้องปุณขนาดนั้นคะ แทนที่จะเอามาคุ้มกันคุณหนู ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น"
"คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าคุณก็เป็นบอดี้การ์ด"
"คุณต้องการจะสื่ออะไร" เธอเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่นงคราญต้องการจะสื่อ
"คุณหนูแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว และคุณหนูก็คิดว่าแค่มีคุณคนเดียวมันก็เกินพอแล้ว อีกอย่างถ้าหากว่าเราขนบอดี้การ์ดมาคุ้มกันคุณหนูเยอะแยะ มันจะทำให้เราดำเนินตามแผนไม่ได้"
"แผนอะไรคะ"
"หลอกล่อคุณแอนนาให้เข้าหาคุณหนูค่ะ"
"งั้นก็หมายความว่า...คุณหนูเอง...ก็รู้ตัวอยู่แล้วใช่ไหมคะว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
"คุณหนูรู้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ และคุณหนูก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะมันจะเกิดอะไรขึ้น ถึงขั้นที่ว่าถ้าหากคุณจะโกรธเกลียดคุณหนูและทิ้งไปเลยหรือจะกลับมาแก้แค้นอย่างสาสมก่อนจากไปคุณหนูก็ยอม แต่ก็ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นเร็วและมีเรื่องที่เกินขอบเขตเพิ่มมาอีก"
"ทำไมคุณหนูถึงยอมทำเพื่อฉันขนาดนี้"
"คุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณหนูเนี่ยเฝ้ามองคุณมาตลอด จะเรียกว่าแฟนคลับเลยก็ยังได้ค่ะ เป็นรักที่ไม่มีเงื่อนไข แต่พอวันหนึ่งตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนที่ตัวเองรักต้องทุกข์ทรมาน คุณหนูเองก็ทรมานไม่ต่างจากคุณหรอกค่ะ เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมคุณหนูถึงชอบนั่งมองออกไปที่หน้าต่างห้องนอน"
"อา...ฉันว่าจะถามคุณหนูอยู่เหมือนกัน เพราะฉันเห็นคุณหนูนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างทุกคืนเลย"
"ค่ะ คุณหนูจะนั่งสำนึกผิดที่ตรงนั้นทุก ๆ คืน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุค่ะ ฉันเลยพยายามส่งคุณหนูเข้านอนก่อนเวลาเกิดเหตุเพื่อไม่ให้คุณหนูคิดมาก แต่ก็นั่นแหละค่ะ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย แค่ให้คุณหนูได้นอนไวแค่นั้น"
สิ่งที่ปัญญาวีเฝ้าสงสัยตั้งแต่แรกพบในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็ถูกไขกระจ่างแล้ว ความรู้สึกภายในใจที่เดิมทีเป็นความแค้นที่สั่งสมมานานแต่วันนี้มันกลับตกตะกอนเป็นความรู้สึกผิด เธอโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่น ต่อจากนี้ไป เธอขอปฏิญาณตนว่าจะปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต หากใครคิดที่จะมาแตะต้องตัวคุณหนูของเธออีก มันผู้นั้นต้องตกนรกทั้งเป็น!


เมื่อรถเก๋งสีขาวมาจอดที่ประตูรั้วหน้าบ้านสองชั้นขนาดพอดีอยู่ หนึ่งในผู้ดูแลบ้านจึงรีบวิ่งมาเปิดประตูด้วยความเร่งรีบพร้อมกับที่เหล่าผู้เฝ้าระวังนอกเครื่องแบบคอยสอดส่องดูแลตามจุดต่าง ๆ แบบไม่ให้คาดสายตา ทันทีที่เครื่องยนต์ดับสนิทปัญญาวีจึงช้อนร่างของคุณหนูณิชาขึ้นอุ้มด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านโดยที่น้องสาวเปิดประตูเอาไว้รอแล้ว
"พี่ปัญ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ทำไมถึงได้อุ้มพี่ณิมาบ้านตอนนี้" ปุณญิสาถามด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว การที่ทุกคนมาอยู่ที่บ้านแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเป็นแน่
"พี่ณิเป็นคนหลับลึกน่ะ ขึ้นไปนอนได้แล้วปุณ จัดหาที่นอนให้คุณนมด้วยนะ พี่จะพาคุณหนูไปนอนที่ห้องพี่" พูดพลางกับอุ้มร่างคุณหนูของเธอขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเลโดยมีน้องสาวและพี่เลี้ยงสาวตามขึ้นไปติด ๆ 
"ทำไมไม่ให้พี่ณินอนกับพี่นงล่ะ"
"พี่จะดูแลคุณหนูเอง"
"ทำไมเหรอ อยากนอนกอดพี่ณิเหรอ"
"ปุณ!! ทำไมถามอะไรแบบนี้!!?" เมื่อนงคราญเห็นบอดี้การ์ดสาวแสดงท่าทีส่อพิรุธ เธอถึงกับหลุดขำออกมาเบา ๆ แสดงความห่วงใยออกหน้าออกตาขนาดนั้นใครกันจะไม่รู้
"ขำอะไรของคุณ มาช่วยฉันอุ้มคุณหนูดีกว่าไหม"
"เห็นเก่งน่ะค่ะ เลยไม่อยากเข้าไปช่วยเดี๋ยวจะเกะกะเปล่า ๆ"
"คุณนม!!"
"อย่าโวยวายสิพี่ปัญ นี่ตีสองนะไม่ใช่บ่ายสอง ไปกันเถอะค่ะพี่นง เราไปนอนกันเถอะ" พูดจบปุณญิสาจึงเอื้อมไปจับที่มือของนงคราญก่อนจะจูงมือกันเดินแยกออกไปที่ห้องนอนของเธอ ทำเอาปัญญาวีถึงกับมองคิ้วขมวด
"อะไรปุณ พี่บอกให้หาที่นอนให้คุณนม แล้วนั่นจะพากันไปนอนที่ไหน"
"นอนห้องปุณไง ปกติปุณก็นอนกับพี่นงอยู่แล้วนะ ก็ถ้าพี่ปัญจะนอนกับพี่ณิก็ตามสบายเลยค่ะ"
"เฮ้ยปุณ! เดี๋ยว!!" น้องสาวตัวแสบไม่ได้สนใจกับคำห้ามปรามของคนเป็นพี่แม้แต่น้อย แต่เธอกลับจูงมือคนอื่นเข้าไปในห้องนอนของตัวเองต่อหน้าต่อตา ปัญญาวีจึงรีบอุ้มร่างของคุณหนูณิชาเข้าไปวางบนเตียงนอนขนาดห้าฟุตโดยมีพี่เลี้ยงสาวเปิดประตูรอเอาไว้แล้ว ก่อนจะสะบัดแขนเพื่อคลายความปวดเมื่อย
"น้องปัญนี่แข็งแรงจังเลยนะคะ"
"เมื่อก่อนอุ้มเจ้าตัวแสบตลอดน่ะค่ะ ชอบงอแงขี้เกียจเดินหาเรื่องขี่หลังหรือไม่ก็ให้ปัญอุ้มตลอด"
"ฮ่า ๆ มีพี่สาวเก่งแบบนี้เป็นใครก็อยากอ้อนทั้งนั้นแหละค่ะ น้องปัญพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็เรียกได้เลยนะคะ" หญิงสาวพี่เลี้ยงคนใหม่ของปุณญิสาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณนะคะ พี่ปูไปนอนพักได้เลยนะคะมันดึกมากแล้ว เดี๋ยวที่เหลือปัญจัดการเอง"
"โอเคค่ะ งั้นพี่ขอตัวนะคะ"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ"
เมื่อพี่เลี้ยงสาวเดินจากไปจนลับตา เธอจ้องมองร่างที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติสลับกับหันไปมองที่ประตูห้องด้วยความร้อนใจ ทำไมกันนะ ทำไมสองคนนั้นถึงดูสนิทสนมถึงขั้นนอนห้องเดียวกันขนาดนั้น ยิ่งคิดยิ่งสงสัย ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ
"คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...." เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนนุ่มเพื่อไปอาบน้ำ อย่างน้อยการที่ให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกันที่นี่จะได้ช่วยกันสอดส่องดูแลและคอยปกป้องคุณหนูณิชาอีกด้วย


"ทำไมถึงยังไม่นอนอีกล่ะคะ นี่มันตีสองแล้วนะ" นงคราญถามพลางกับเกลี่ยผมหน้าม้าที่ยาวเลยคิ้วจนปกมาถึงเปลือกตาอย่างแผ่วเบา ก่อนเด็กสาวตัวเล็กจะใช้แขนโอบเอวของเธอเอาไว้
"พี่ปูบอกว่าพี่นงจะพาทุกคนมาอยู่ที่นี่ ปุณตื่นเต้นก็เลยนอนไม่หลับค่ะ" เธอพูดด้วยรอยยิ้มจนอีกคนอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"รู้ไหมคะว่าเด็กดื้อไม่เชื่อฟังพี่ต้องโดนอะไร" 
"โดนพี่นงหอมแก้ม คิกคิก" ยิ่งเห็นพี่เลี้ยงสาวทำหน้าดุปุณญิสายิ่งได้ใจแล้วกระชับอ้อมแขนคว้าเอวเข้ามากอดให้แน่นขึ้นจนในที่สุดนงคราญก็พ่ายแพ้ต่อความดื้อรั้นแบบน่ารัก ๆ ของเธอเข้าจนได้ ก่อนจะก้มลงหอมแก้มนุ่มไปฟอดใหญ่จนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีของคนตัวเล็ก
"พี่ก็แพ้รอยยิ้มของน้องปุณตลอดเลย"
"และพี่จะแพ้ปุณไปตลอดเลยค่ะ"
"ปกติพี่ไม่เคยแพ้หรือยอมใครมาก่อนเลยนะคะ มีแค่น้องปุณคนเดียวที่พี่ยอมอ่อนข้อให้"
"น่ารัก เดี๋ยวปุณหอมคืนบ้าง"
"ไม่ต้องมาเนียนเลยค่ะ ไปนอนได้แล้ว พี่จะไปอาบน้ำแล้ว"
"เหนื่อยไหมคะพี่นง"
"เหนื่อยค่ะ มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะเลย"
"อืม...งั้น...เดี๋ยวปุณอาบน้ำให้นะคะ"
"ไม่หรอกค่ะ น้องปุณไปพักผ่อนเถอะ ตีสองแล้วเป็นเด็กก็ควรเข้านอนได้แล้วค่ะ"
"ปุณจะเป็นเด็กดีของพี่นงก็ต่อเมื่อพี่นงเป็นเด็กดีของปุณก่อน"
"น้องปุณ...เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ..." แม้จะอยากปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ต้องยอมเดินตามคนตัวเล็กเข้าไปในห้องน้ำแต่โดยดี...


"เฮือก!!" ปัญญาวีถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นเมื่อเธอสัปงกจนเกือบจะตกเก้าอี้เพราะผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สิ่งที่เธอเป็นกังวลยังตามไปหลอกหลอนแม้แต่กระทั่งในฝัน
"บ้าเอ๊ย...หรือว่า...ที่คุณนมคอยเฝ้าน้องปุณไม่ห่างคงเป็นเพราะ..." สิ้นเสียงพูดเธอจึงวิ่งพรวดออกไปที่นอกห้องทันที แม้เวลาจะล่วงเลยจนเข็มสั้นของนาฬิกาแขวนผนังจะชี้ที่เลขสามแล้วก็ตาม แต่การที่จะปล่อยให้น้องสาวที่ยังเด็กแบบนี้อยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอจะหลับลงได้อย่างไร
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ปุณ!! เปิดประตูให้พี่หน่อย!!!" เธอเค้นเสียงเรียกเจ้าของห้องในยามวิกาลพลางกับเคาะประตูหลายต่อหลายครั้งด้วยความร้อนใจ แต่กลับไม่มีวี่แววว่าใครจะมาเปิดประตูให้ เธอจึงตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง
ก๊อก!!
"ปุณ!! ป..."
พรืด!!!
ยังไม่ทันที่เธอจะเคาะประตูไปอีกครั้ง บานประตูไม้ก็เปิดเข้าไปจนเธอถึงกับชะงัก ซึ่งคนที่มาเปิดประตูคือพี่เลี้ยงสาวในคราบชุดนอนลายหมีสีเหลืองดูน่ารักผิดกับท่าทีสุขุมเยือกเย็นเป็นไหน ๆ ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกเสียจากของน้องสาวตัวแสบของเธอนั่นเอง ปัญญาวีถึงกับหลุดขำพรืดออกมาราวกับคนกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว
"อุ๊บ!! ฮ่า ๆ"
"คุณนี่ไร้มารยาทจริง ๆ นะคะ มาเคาะประตูปลุกคนอื่นตอนตีสามแล้วยังมายืนหัวเราะหน้าตาเฉย ฉันเหนื่อยกับคุณจริง ๆ"
"ขอโทษค่ะ แล้วน้องปุณล่ะคะ" ถามพลางกับชะเง้อมองหาน้องสาว ซึ่งแสงไฟจากหน้าห้องที่สาดส่องเข้าไปภายในห้องทำให้มองเห็นน้องสาวตัวเล็กกำลังหลับใหลราวกับเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่บนเตียง
"ก็อย่างที่เห็นค่ะ น้องปุณหลับตั้งแต่เข้าห้องแล้ว คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ"
"แล้วคุณนอนตรงไหน"
"นี่คุณคงไม่คิดว่าฉันจะนอนบนเตียงกับน้องปุณหรอกใช่ไหมคะ" สิ้นเสียงของนงคราญเป็นจังหวะเดียวกับที่ปัญญาวีเหลือบไปเห็นกองผ้าห่มและหมอนใบโตวางอยู่บนโซฟาพอดี เธอจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไปพลางกับใช้มือลูบท้ายทอยเพื่อแก้เขิน นงคราญจึงกอดอกจ้องมองเธอตาเขม็ง
"คุณปัญญาวีคะ"
"ขอโทษค่ะ คือ...ฉันเป็นห่วงน้องสาวน่ะ น้องยังเด็กอยู่ อย่าทำอะไรแกนะคะ"
"บอกตัวเองดีกว่าไหมคะ คุณหนูก็อายุแค่สิบเก้า ในขณะที่คุณยี่สิบแปด คุณไม่ต่างกับยัยแก่โรคจิตเลยนะคะ"
"เฮ้คุณ!!!" ใบหน้าของเธอถึงกับร้อนผ่าวจนขึ้นสี อุตส่าห์เป็นห่วงน้องสาวแท้ ๆ ไฉนเธอกลับถูกต้อนให้จนมุมแบบนี้กันนะ
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันนอนที่โซฟา ฉันไม่เหมือนคุณที่ไปนอนกอดคุณหนูทุกคืนหรอก อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะคะ"
"ฝันดีค่ะ"
นงคราญได้แต่อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของปัญญาวีราวกับลูกไก่ในกำมือ เพียงแค่พูดความจริงเข้าหน่อยเจ้าตัวก็หน้าแดงแล้วเดินหนีไปเลย ก่อนเธอจะส่ายศีรษะและเดินกลับเข้าไปในห้องนอนดังเดิม


จะว่าไป...ฉันก็มีคุณหนูเป็นคนแรกในหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน ทำไมกันนะ...ทำไมฟ้าต้องกลั่นแกล้งเราด้วย ทำไมถึงไม่ให้เรารักกันดี ๆ ทำไมต้องให้คนดี ๆ อย่างคุณหนูต้องมาทุกข์ทรมานกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย คิดแล้วก็แค้น...ยัยแอนนา แกกล้ามาแตะต้องตัวคุณหนูของฉัน ฉันจะตามไปหักแขนแกแน่!!
ปัญญาวีคิดในใจพลางกับลูบศีรษะคุณหนูณิชาอย่างแผ่วเบา เจ็บปวดเหลือเกินที่เธอเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ณิชาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่แบบไม่ให้หยุดพัก เธอจึงก้มลงจูบที่หน้าผากทั้งน้ำตาทั้ง ก่อนน้ำตาของเธอจะหยดลงที่ใบหน้าคนเบื้องล่าง ตามด้วยเสียงสะอื้นคล้ายคนกำลังนอนละเมอ เธอจึงรีบผละออกด้วยความร้อนใจ
"ไม่...ฮึก ๆ คุณโกหก...คุณพ่อยังไม่ตาย ฮึก ๆ คุณโกหก...ฮึก ๆ"
"คุณหนูคะ! คุณหนู" เธอพยายามเขย่าร่างบางเพื่อปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายแต่ก็ไม่เป็นผล เธอจึงก้าวขึ้นบนเตียงก่อนจะโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่น
"ฮือ ๆ คุณพ่อ...ฮึก ๆ คุณพ่อ..."
"คุณหนูคะ ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันอยู่นี่แล้วค่ะ..." ยิ่งกอดแน่นเท่าไหร่ เธอยิ่งเจ็บปวดหัวใจมากขึ้นเท่านั้น หากไม่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของคนในอ้อมกอดว่าที่ผ่านมาณิชาก็ทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดเฉกเช่นเดียวกับที่เธอทรมานที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เธอคงจะไม่เห็นใจผู้หญิงคนนี้เป็นแน่
"คุณหนูคะ...ฉันรักคุณนะ...ตื่นขึ้นมาฟังฉันบอกรักได้แล้วค่ะ ฮึก ๆ อย่าเอาแต่ฝันร้ายอยู่เลยนะคุณหนู ฉันรักคุณ..."
ปัญญาวีโอบกอดร่างเบาเอาไว้อย่างนั้นจนเสียงสะอื้นค่อย ๆ สงบลงในเวลาเพียงไม่นานก่อนที่เธอจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


"ฮึ...ฮึ...อา..."
เพราะเสียงของใครบางคนดังอยู่ภายในห้องทำให้ณิชาถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นก่อนจะเห็นเงาลาง ๆ ของบอดี้การ์ดสาวกำลังออกกำลังกายที่พื้นห้องด้านข้างเตียงนอนด้วยท่าซิทอัพ เธอจึงพยายามรวบรวมสติก่อนจะมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวงเพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอคุ้นตา แถมผ้าม่านผืนทึบยังปิดเอาไว้เสียสนิท ไม่มีแสงจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามาได้ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องก็แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ หรือบอดี้การ์ดสาวจะจับตัวเธอมาคุมขังเป็นจำเลยรัก สองมือจึงกำผ้าห่มผืนหนาเอาไว้แน่นพร้อมกับที่น้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมา
นี่คุณ...เกลียดณิขนาดนี้เลยเหรอ...
"ฮึก ๆ" เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมาได้เพียงน้อยนิดแต่เงาพร่ามัวกลับหยุดชะงักและหันมาทางเธอราวกับได้ยินเสียงแบบชัดเจน เธอจึงปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น
"ตื่นแล้วเหรอคะ" เสียงจากเงาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนพาทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ทำไมถึงไม่เอาชีวิตของเธอไป จะจับมาคุมขังและปล่อยให้เธอตายอย่างทุกข์ทรมานหรืออย่างไรกัน
"ละเมออีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ...ฉันจะจัดการยังไงดีนะ"
ณิชายังคงแกล้งหลับอยู่อย่างนั้นพลางกับนอนฟังเสียงของคนที่คุ้นเคยกำลังคิดหาทางแก้แค้นเธอด้วยวิธีต่าง ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงปิดประตูเธอจึงลุกขึ้นพรวดทันที 
"ที่นี่ที่ไหน...พี่นง...พี่อยู่ไหน คุณพ่อคะ ฮึก ๆ ช่วยณิด้วย"
ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจจนเธอได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่บนเตียง ภายในห้องทั้งเงียบและมืดจนมองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงเงาพร่ามัวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกจนดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะแสงไฟจากห้องน้ำสาดส่องกระทบเรือนร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยกำลังยืนมองดูเธอ และไม่นานปัญญาวีก็พุ่งพรวดเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
"กรี๊ด!! อุ๊บ!!"
"หยุดนะ!! หยุดร้องเดี๋ยวนี้!!!" 
ร่างของณิชาถูกคว้าแล้วกดลงกับเตียงพร้อมกับมือเรียวข้างหนึ่งปิดปากเธอเอาไว้แน่นจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ แม้แต่แรงจะต่อต้านยังไม่มีเธอจึงได้แต่นอนร้องไห้จนร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่นั่นกลับทำให้อีกคนเข้าโน้มตัวลงมากอดเธอเอาไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงที่ซอกคอของเธอราวกับเสือหิวกระหายเหยื่อก็ไม่ปาน
"ถ้ายังไม่หยุดร้องอีกฉันจะปล้ำคุณจริง ๆ ด้วย คุณนมของคุณยิ่งบอกว่าฉันเป็นยัยแก่โรคจิตอยู่ด้วย หึหึ...อยากกินเด็กจริง ๆ"
"ฮือ ๆ อย่าให้ณิต้องทรมานแบบนี้เลยค่ะคุณปัญ ฮือ ๆ"
"ทรมานเหรอ...คุณต้องการฉันจนทรมานเลยเหรอคะ งั้น...ฉันขอชิมต้นคอคุณหน่อยนะ"
"คุณปัญ! ฮึก ๆ ณิกลัวแล้ว ฮือ ๆ คุณเกลียดณิถึงขั้นต้องจับมาเป็นจำเลยเลยเหรอคะ ฮึก ๆ"
"ฮะ?" ปัญญาวีถึงกับหยุดชะงักราวกับถูกสั่งการด้วยรีโมทคอลโทรลแต่มันกลับเป็นเพียงเพราะได้ยินสิ่งที่ณิชาพูด 
"ฮือ ๆ ณิขอโทษ...ณิขอโทษที่ทำให้แม่ของคุณต้องตาย ถ้าคุณโกรธแค้นณิมากคุณก็เอาชีวิตของณิไปสิคะ ฮือ ๆ ทำไมคุณต้องจับตัวณิมาด้วย ฮึก ๆ"
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
"คุณปัญญาวีเกิดอะไรขึ้น!!?" เสียงที่คุ้นเคยจากด้านหลังประตูพร้อมกับเสียงเคาะประตูรัว ๆ ทำเอาณิชาถึงกับชะงักไม่ต่างกัน ก่อนเงาของร่างสูงโปร่งจะพุ่งตัวไปเปิดประตูโดยเร็ว
"เกิดอะไรขึ้น!? เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงคุณหนู"
"สงสัยละเมอมั้งคะ ถึงขั้นละเมอมานั่งกอดเข่าร้องไห้ที่บนเตียงเลย ฉันตกใจหมดนึกว่าผีหลอก"
"คุณปัญญาวี!!" 
"คุณช่วยเข้าไปดูคุณหนูหน่อยค่ะ ยังละเมออยู่เลย เธอละเมอว่าฉันจับตัวมา คงจะฝันร้ายน่ะค่ะ"
"ค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง" ณิชายังคงนอนกะพริบตาปริบฟังทั้งสองคุยกันด้วยความมึนงง หรือนี่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนะ
"คุณหนูตื่นแล้วนี่คะ" นงคราญพูดพลางกับนั่งลงบนเตียงก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะณิชาอย่างแผ่วเบา
"นี่มันอะไรกันคะ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนคะ"
"บ้านหลังใหม่ของคุณปัญญาวีไงคะ"
"คะ!? ณิไม่ได้โดนจับตัวมาเหรอคะ"
"คุณหนูแค่ฝันร้ายน่ะค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าเราอยู่ที่นี่ทุกคนจะปลอดภัยแน่นอนค่ะ ตอนนี้ที่บ้านหลังนั้นไม่ปลอดภัยอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคุณแอนนาจะเล่นงานเราเมื่อไหร่ เราต้องถอยมาตั้งหลักกันก่อนค่ะ" แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่การที่พี่เลี้ยงสาวกับบอดี้การ์ดสาวอยู่ด้วยกันได้แบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเธอหวาดกลัวไปเองทั้งหมด
"พี่นงคะ...คุณพ่อ..."
"อย่าเพิ่งเชื่อคุณเกริกพลนะคะ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้กลับมาที่นี่พร้อมกับศพของคุณท่าน พี่ก็ไม่เชื่อว่าคุณท่านจะเสียชีวิตได้หรอกค่ะ"
"แต่ว่า...คนที่โทรมาบอกคือคุณเกริกพลนะคะ"
"เพราะเป็นคุณเกริกพลนั่นแหละค่ะ พี่ถึงไม่เชื่อ ยังไงตอนนี้พี่ว่าคุณหนูนอนพักผ่อนดีกว่าเพราะไม่ต้องรีบตื่นมาออกกำลังกายแล้วค่ะ"
"เอ่อ..."
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"ขอณิอยู่กับคุณปัญได้ไหมคะ"
"ได้สิคะ ถ้างั้นพี่ขอตัวนะคะ" 
"ค่ะ" ณิชานอนมองพี่เลี้ยงสาวเดินจากไปจนลับตา ภายในห้องนั้นกลับมามืดอีกครั้งเมื่อปัญญาวีปิดประตูเอาไว้ ก่อนเธอจะเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา
"ทำไมถึงฝันร้ายว่าฉันจับตัวคุณมาได้ล่ะคะคุณหนู"
"ข...ขอโทษค่ะ"
"อย่าขอโทษเลยค่ะ เพราะมันทำให้ฉันเจ็บปวด คนที่ควรขอโทษมันควรเป็นฉันที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ ฉันขอโทษนะคะคุณหนู ต่อไปนี้ฉันจะไม่ห่างคุณหนูไปไหนทั้งนั้น ฉันจะไม่ให้ยัยแอนนาทำอะไรคุณได้เด็ดขาด!"
"คุณปัญ! ฮือ ๆ" ณิชาโผเข้าไปกอดเธอเอาไว้แน่นก่อนจะปล่อยโฮออกมาด้วยความดีใจ น้ำเสียงและสัมผัสที่อ่อนโยนกลับมาอีกครั้งจึงช่วยสลัดความหวาดกลัวให้หายเป็นปลิดทิ้ง มือเรียวข้างหนึ่งลูบศีรษะปลอบประโลมช้า ๆ ส่วนอีกข้างโอบกอดร่างของเธอเอาไว้แน่นราวกับต้องการจะสื่อสารบางอย่างผ่านการกระทำ
ทั้งสองต่างโอบกอดกันและกันแน่นราวกับกลัวว่าจะพรากจากกัน ไออุ่นที่ได้รับจากอ้อมกอดของบอดี้การ์ดสาวนั้นทำให้ณิชาอบอุ่นหัวใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้เธอกำลังถูกปลอบประโลมจนลืมเรื่องร้าย ๆ ไปเสียหมด
"ฉันรักคุณนะคะคุณหนู...ฉันจะปกป้องคุณด้วยชีวิต ฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรคุณหนูอีกแล้ว ฉันสัญญา"
"คุณ...รักณิ...เหรอคะ" เสียงเอ่ยถามแผ่วเบาทั้งที่ยังคงโอบกอดกันและกันอยู่อย่างนั้น
"รักค่ะ...ยกโทษให้ฉันได้ไหมคะ กับสิ่งที่ฉันทำผิดพลาดไป ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวจะได้ไหม"
"ณิยกโทษให้คุณ แล้วคุณล่ะคะ...ยกโทษให้ณิได้หรือเปล่าคะ ณิไม่ได้ตั้งใจ"
"ค่ะ...ฉันรู้แล้ว ฉันรับรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ฉันยกโทษให้คุณนะคะ ทำไมคุณถึงไม่บอกความจริงกับฉัน ว่าวันนั้นรถของคุณถูกตัดสายเบรก"
"ณิกลัวว่ามันจะเป็นการหาข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอด ณิเลยไม่กล้าพูดเรื่องนั้นออกไป"
"ไม่เอานะคะ...ไม่เอาแล้ว อย่าคิดแบบนั้น มีอะไรก็เล่าให้ฉันฟัง คุณพูดได้ทุกเรื่องเลยค่ะ"
"ขอบคุณนะคะ..." 
"คุณหนูคะ..."
"คะ"
"ร่างกายของคุณที่คุณเคยให้ยัยแอนนา...ฉันขอทวงคืนนะคะ" พูดจบร่างบางจึงถูกประคองให้โน้มตัวลงบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ช้า ๆ พร้อมกับที่ร่างในความมืดจะคร่อมร่างของเธอเอาไว้ตามด้วยจับมือทั้งสองข้างของเธอกดลงกับที่นอนแล้วแทรกประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแบบแนบแน่น
"คุณรู้..."
"ค่ะ ฉันรู้"
"คุณไม่รังเกียจณิเหรอคะ"
"ฉันเคยบอกแล้วนี่คะ ต่อให้คุณจะเคยเป็นของใครฉันก็ไม่รังเกียจคุณ และฉันจะไม่มีวันรังเกียจคุณแน่"
"ทำไมกันคะ...แม้แต่ณิยังรังเกียจตัวเองเลย คุณทำได้ยังไง"
"งั้นหลังจากนี้คุณต้องเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวนะคะ เข้าใจไหม"
"ณิยกให้คุณทั้งตัวและหัวใจแล้วนี่คะ"
"ค่ะ...ต่อไปนี้ฉันจะทวงของของฉันคืนแล้วนะคะ บอกฉันหน่อยค่ะ ว่ามันจูบคุณตรงไหนบ้าง ฉันจะทวงคืนให้หมด"
"ไม่ถามถึงคนอื่นได้ไหมคะ คุณอยากได้อะไรคืนคุณก็ทำเลย"
"งั้นฉันคงต้องกินคุณลงไปทั้งตัวแล้วล่ะค่ะ เพราะฉันหวงคุณทั้งตัวเลย" สิ้นเสียงพูดเธอจึงก้มลงประทับรอยจูบที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพรมจูบไล่ไปให้ทั่วใบหน้าอย่างช้า ๆ จนริมฝีปากนุ่มมาหยุดอยู่ที่ใบหู ลมหายใจอุ่น ๆ กำลังรดใบหูจนขนทั่วทั้งตัวลุกซู่อย่างพร้อมเพรียง
"อา..." 
"อย่าเสียงดังนะคะคุณหนู เพราะน้องปุณนอนอยู่ห้องข้าง ๆ น้องยังเด็กอยู่น่ะค่ะ ไม่ควรได้ยินเสียงอะไรแบบนี้"
"ช่วยปิดปากณิหน่อยได้ไหมคะ เพราะณิกลัวว่าจะกลั้นเสียงไม่ไหว"
"ได้สิคะ...ฉันจะปิดปากของคุณ...ด้วยปากของฉันเอง..."


ทุก ๆ สัมผัสที่บอดี้การ์ดสาวมอบให้นั้นช่างอ่อนโยนราวกับต้องการทะนุถนอมร่างบางเอาไว้ จังหวะรักที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รุ่งสางจนกระทั่งตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าให้สัญญาณของเช้าวันใหม่ ความหวาดกลัวและความโกรธแค้นถูกแทนที่ด้วยความรักจนแผดเผาให้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดมอดไหม้ให้เป็นจุณ และมลายหายไปราวกับเป็นเพียงแค่ฝันร้ายในคืนที่ผ่านมาเท่านั้น
ต่อให้เธอจะตกเป็นจำเลยที่ถูกกักขังและทรมานอย่างในละคร เธอก็ยินยอมเพราะหัวใจของเธอนั้น ตกเป็นของปัญญาวีแต่เพียงผู้เดียว...