A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 4 สูญเสียความทรงจำ

"โธ่เว้ย!!! ไอ้เนกไทบ้านี่มันใส่ยังไงวะ!!!?" เสียงโวยวายจากห้องข้าง ๆ ดังเล็ดลอดผ่านประตูเชื่อมระหว่างทั้งสองห้องเข้ามา คาดว่าใครบางคนที่อยู่ด้านหลังประตูบานนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ณิชาที่กำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนได้ยินอย่างนั้นจึงบังคับรถเข็นให้ตรงไปที่ประตูเชื่อมช้า ๆ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มือนุ่มเอื้อมไปเคาะประตูส่งสัญญาณ แต่ก็ยังมีเสียงบ่นพึมพำดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาดสาย เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูก็พบว่าหญิงสาวร่างสูงโปร่งกำลังยืนส่องกระจกที่ประตูตู้เสื้อผ้า และเนกไทเจ้าปัญหาคงสร้างความรำคาญใจไม่น้อย เพราะเธอพยายามผูกเนกไทพร้อมกับบ่นพำพึมไม่หยุด รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าคุณหนูทันทีเมื่อได้เห็นท่าทีแบบนั้นจากบอดี้การ์ดสาวมือใหม่ ดูเหมือนกับว่าคงต้องสอนอะไรหลาย ๆ อย่างกับเธอ แม้กระทั่งการผูกเนกไท
"ถ้าแกยังไม่อยู่บนคอฉันดี ๆ แกจะได้ไปกองอยู่บนพื้นแล้วถูกฉันกระทืบแน่ไอ้เบื๊อก!!"
"ให้ณิช่วยไหมคะ" เสียงหวานเอ่ยถาม ทำเอาปัญญาวีถึงกับสะดุ้งแล้วรีบหันขวับมาทันที
"คะ...คุณหนู!! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!!?"
"เข้ามาตอนที่คุณกำลังบ่นเนกไทเลยค่ะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่สดใสอย่างเคย
"งั้นก็แปลว่าเข้ามานานแล้วสิ"
"คะ? นี่คุณพยายามผูกเนกไทมานานแล้วเหรอคะ ถ้าผูกไม่เป็นทำไมไม่บอกล่ะคะ"
"เฮ้อ...ช่วยที จะบ้าตายรายวัน" บอดี้การ์ดสาวมือใหม่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับแสดงท่าทีสิ้นหวังกับการผูกเนกไท ณิชาจึงอมยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับบังคับรถเข็นเข้าไปหยุดอยู่ที่ปลายเตียง
"คุณช่วยมานั่งตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวณิช่วยผูกให้" พูดพร้อมกับเอื้อมมือตบบนฟูกนอนสีขาวเบา ๆ ปัญญาวีจึงเดินเข้าไปนั่งลงที่ปลายเตียงอย่างว่าง่าย เพราะเนกไทเจ้าปัญหาแท้ ๆ ทำให้เธอลืมเรื่องราวที่คับแค้นในใจไปเสียหมด 
"ตอนนี้คุณถอดเสื้อสูทออกก่อนก็ได้นะคะ อาจจะเพราะมันร้อนเลยพลอยทำให้คุณหงุดหงิด"
"นั่นสินะ" ปัญญาวีถอดเสื้อสูทออกอย่างว่าง่าย ทำให้ตอนนี้เธอเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีดำ ผมประบ่าสีดำถูกเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้มองเห็นใบหน้าสวยคมได้อย่างชัดเจน พร้อมกับการแต่งตัวแบบทางการทำให้เธอดูดีเป็นอย่างมาก ทำเอาหัวใจดวงน้อยของคุณหนูเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
"เอ่อ...ขออนุญาตถามได้ไหมคะ คุณปัญญาวีสักด้วยเหรอคะ คือณิเห็นแว๊บ ๆ เมื่อตอนเช้าน่ะค่ะ" ณิชาถามพร้อมกับหลบสายตามองต่ำลง 
"ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ ถ้ารู้ว่าสักจะไม่รับเข้าทำงานเหรอคะ" 
"ปะ...เปล่าค่ะ รอยสักมันคือศิลปะนะคะ ณิไม่ได้ตัดสินใครที่รอยสักหรอกค่ะ"
"อืม...คุณหนูเนี่ยก็ตาไวเหมือนกันนะ แบบนี้ก็เห็นหมดแล้วสิ" เธอพูดพร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ณิชาจึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่มีท่าทีเหมือนกับกำลังเขินอายจนหน้าขึ้นสี
"เอ่อ...ถ้าจะบอกว่าไม่เห็นก็จะหาว่าโกหก เอาเป็นว่า ณิโฟกัสที่รอยสักของคุณมากกว่าแล้วกันนะคะ"
"คุณหนูชอบรอยสักเหรอคะ"
"ก็ชอบนะคะ ดูน่าค้นหาดี เพราะส่วนใหญ่รอยสักมักจะแฝงความหมายที่ลึกซึ้งน่ะค่ะ"
"คุณหนูอยากดูรอยสักของฉันไหม"
"เอ่อ...ถ้าไม่เป็นการรบกวน...ณิก็...อยากเห็นชัด ๆ เหมือนกันค่ะ" ตอบพร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่น บอดี้การ์ดสาวได้ยินแบบนั้นจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด ก่อนจะดึงคอเสื้อกล้ามสีขาวด้านในลงเพื่อเปิดรอยสักให้เห็นได้ชัด ๆ
ณิชาจ้องมองรอยสักด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก บริเวณใต้ไหปลาร้าทั้งสองข้างมีรอยสักรูปลูกศรเป็นแนวยาว ซึ่งเป็นจุดที่หากสวมแต่เสื้อกล้ามก็สามารถเห็นได้แบบชัดเจน แต่หากสวมเสื้อคอกลมหรือเสื้อเชิ้ตก็จะปกปิดรอยสักได้แบบมิดชิด
"สวยดีนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
"มันมีความหมายว่ายังไงเหรอคะ"
"ก็แปลได้หลายอย่างค่ะ ทั้งเอาไว้เตือนสติตัวเองว่าให้พุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต และอีกความหมายหนึ่ง มันคือการปกป้องคนที่เรารัก" สิ้นคำตอบของปัญญาวี ทั้งสองจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอย่างอัตโนมัติ ก่อนต่างฝ่ายต่างหลบสายตาไปคนละฝั่ง บอดี้การ์ดสาวสัมผัสได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนจึงรีบติดกระดุมกลับให้เข้าที่ทันที
"อะ...เอ่อ เดี๋ยวณิสอนผูกเนกไทนะคะ" พูดจบณิชาจึงเอื้อมไปหยิบเนกไทที่วางอยู่ข้างตัวบอดี้การ์ดสาวเพื่อแก้เขินทันที
"ช่วยโน้มตัวเข้ามาใกล้ณิอีกหน่อยได้ไหมคะ"
"ค่ะ" ปัญญาวีตอบพลางกับโน้มตัวเข้ามาให้ใกล้ตัวอีกฝ่ายมากขึ้น ก่อนณิชาจะนำเนกไทคล้องคอเธอเอาไว้ พร้อมปรับขนาดความยาวสายทั้งสองข้างให้พร้อมต่อการผูกเนกไท
"ก่อนอื่นคุณจะต้องปรับสายให้ความยาวต่างกันประมาณนี้นะคะ แล้วก็เอาสายยาวอ้อมทับมาแบบนี้ค่ะ...แล้วก็อ้อมสอดขึ้นมาแบบนี้ค่ะ...แล้วก็แบบนี้..."
บอดี้การ์ดสาวมือใหม่ก้มมองวิธีการผูกเนกไทด้วยความตั้งใจราวกับเด็ก ๆ แต่ทุกท่าทางของเธออยู่ในสายตาของคุณหนูณิชาเสียหมด จนรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอหลายต่อหลายครั้ง
"เรียบร้อยค่ะ คราวนี้ลองแก้แล้วผูกเองดูนะคะ"
"อ่า...ถ้าฉันจำไม่ได้ คุณหนูช่วยบอกไปทีละขึ้นตอนทีค่ะ"
"ได้สิคะ" 
ปัญญาวีแก้ปมเนกไท ก่อนจะปรับขนาดสายตามที่คุณหนูได้สอนมาก่อนหน้า เธอพยายามผูกด้วยความตั้งใจจนหน้ายู่ยี่เพราะการทำอะไรแบบนี้มันสร้างความรำคาญใจให้เธอไม่น้อย แต่ณิชากลับแอบขำท่าทีของเธอจนต้องใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา
"คุณหนู แล้วไงต่อคะ"ค
"สอดเข้าไปในรูค่ะ"
"อ๋อ...อย่างงี้นี่เอง โธ่เอ๊ย...ให้เรียนศิลปะป้องกันตัวมันง่ายกว่านี้หลายขุม ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะต้องมาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้"
"แต่อะไรบ้า ๆ แบบนี้มันทำให้คุณดูดีมากเลยนะคะ" เสียงหวานที่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทำปัญญาวีถึงกับกลืนน้ำลายดังอึกพร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่น เพราะหญิงสาวที่มีหน้าม้าบาง ๆ ยาวเลยคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเธอนั้นอ่อนเยาราวกับเด็กวัยใส ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง 
เป็นลูกคุณหนูก็คงดูแลตัวเองดีสินะ หน้าถึงได้ใสขนาดนี้ แก้มนั่นจะนุ่มนิ่มเหมือนของน้องปุณไหมนะ อยากบีบเล่นจริง ๆ ปัญญาวีคิดในใจขณะที่มองรอยยิ้มที่สดใสนั้น จนเธอลืมเรื่องราวและจุดประสงค์ของเธอไปเสียหมด 
"แล้วคุณนมนั่นไปไหนแล้วล่ะ"
"คงถูกคุณพ่ออบรมอยู่น่ะค่ะ"
"อบรมทำไมอะ"
"คุณพ่อมอบหมายหน้าที่ให้พี่นงดูแลคุณ แต่พี่นงกลับทะเลาะกับคุณดังลั่นบ้านขนาดนั้นนี่คะ"
"เหอะ! โดนอบรมได้ก็ดี หยิ่งสุด ๆ จะเก๊กท่าข่มคนอื่นอะไรขนาดนั้น ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้านาย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เป็นคนรับใช้เหมือนกันล่ะวะ"
"พี่นงไม่ใช่คนรับใช้นะคะคุณปัญญาวี แต่พี่นงคือพี่เลี้ยงที่คอยดูแลณิมาตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นพี่นงเป็นแบบนั้น แต่ก็ทำหน้าที่ได้แบบไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยสักครั้ง และพี่นงเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ๆ เลยค่ะ ณิอยากให้คุณปัญญาวีเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของพี่นงนะคะ"
"อ่า...เข้าใจแล้วค่ะ" 
อีกครั้ง...ที่ครอบครัวนี้ทำให้ปัญญาวีรู้สึกแปลกใจ และเข้าใจว่าคนในครอบครัวนี้ต่างให้เกียรติผู้อื่น ผิดจากเรื่องที่เธอเคยได้ยินและเข้าใจมาอย่างลิบลับ แต่เมื่อสติของเธอคืนกลับมา เธอจึงแสดงท่าทีสุขุมเยือกเย็นทันที พร้อมกับเดินมาอยู่ด้านหลังรถเข็น ราวกับก่อนหน้าไม่มีการละลายพฤติกรรมระหว่างเธอกับคนเป็นนาย
"ถึงเวลาทานข้าวแล้วค่ะคุณหนู"
"เอ๊ะ!?" 
อย่าลืมเป้าหมายของแกสิปัญ อย่าไปเชื่อพวกมันนะ...มันทำให้แม่แกต้องตาย มันไม่ใช่คนดี!! ปัญญาวีคิดในใจพร้อมกับเข็นรถวีลแชร์ไปยังประตู แต่เพราะเธอมัวแต่คิดถึงเรื่องในอดีตจนเธอไม่ทันได้ระวัง ทำให้รถเข็นชนเข้ากับประตูจนเธอถึงกับสะดุ้งเฮือก โชคยังดีที่ฐานรองบริเวณเท้ายื่นออกมาด้านหน้า จึงป้องกันส่วนเท้าและขาของณิชาไม่ให้ชนกับประตูได้
โครม!!
"คุณปัญ!!!"
"เฮ้ย!! คะ...คุณหนู ฉันขอโทษค่ะ คือฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณเจ็บตรงไหนไหมคะ" พูดพร้อมกับรีบมาสำรวจที่ขาของณิชาอย่างลนลาน
"ไม่เป็นอะไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย"
"ขอโทษนะคะคุณหนู ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ คนเรามีผิดพลาดกันได้ จริงไหมคะ" ตอบด้วยรอยยิ้ม
"อะ...เอ่อ...ค่ะ"
ขอร้องล่ะณิชา เธออย่ายิ้มสดใสแบบนั้นได้ไหม มันทำให้ฉันเจ็บ...เธอมีความสุขอยู่ได้ยังไง!!


"สวัสดีครับคุณปัญญาวี ต้องขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อวานไม่ได้ทักทายและไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย ผมเกริกพลครับ เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณท่าน" ชายชุดสูทรูปร่างกำยำที่เคยเจอเมื่อวันก่อนกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมา ปัญญาวีจึงเอื้อมมือไปจับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
"ปัญญาวีค่ะ เรียกปัญเฉย ๆ ก็ได้"
"ครับคุณปัญ คุณจะเรียกผมว่าพลเฉย ๆ ก็ได้ครับ" ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ราวกับไม่ได้เป็นบอดี้การ์ด ผิดกับหญิงสาวที่ปัญญาวีทะเลาะด้วยเป็นไหน ๆ
"ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นบอดี้การ์ดแท้ ๆ แต่ไม่เห็นคุณจะเก๊กท่าเหมือนคุณนมนั่นเลย"
"คนเราต้องมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายบ้างน่ะครับ ส่วนเวลางานผมก็ต้องสำรวมไม่ต่างจากคุณนงคราญหรอกครับ"
"แต่นั่นมันเกินกว่าสำรวมนะคะ ทำอย่างกับตัวเองเป็นบอดี้การ์ด"
"ฮ่า ๆ ดูคุณไม่ค่อยชอบคุณนงคราญเท่าไหร่เลยนะครับ"
"ไม่ใช่ว่าไม่ชอบค่ะ แต่หมั่นไส้ อยู่กับคุณฉันสบายใจกว่าตั้งเยอะ เปลี่ยนจากทำงานกับคุณนม มาเป็นทำงานกับคุณก็คงจะดี"
"ผมดีใจนะครับที่ได้ยินแบบนั้น ถ้ามีโอกาสผมก็อยากทำงานร่วมกับคนเก่ง ๆ แบบคุณนะครับ เราคงจะเข้าขากันน่าดู"
"แต่สัญญาของฉันแค่ 3 เดือนเองไม่ใช่เหรอคะ แถมช่วงสัญญาคุณก็ไม่อยู่ด้วย น่าเสียดายนะคะ"
"หลังจากที่คุณท่านกลับมา คุณสามารถพิจารณาต่อสัญญาได้ครับ หวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันนะครับคุณปัญ" เขาพูดพลางกับก้มลงทำบางอย่างที่ใต้โต๊ะ ก่อนจะนำกระเป๋าอลูมิเนียมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะที่ปัญญาวียืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา
"นี่เป็นอุปกรณ์ของคุณนะครับ" 
"มันคืออะไรคะ"
"ลองเปิดดูครับ" เมื่อเขาพูดจบ ปัญญาวีจึงเอื้อมมือไปดึงกระเป๋าอลูมิเนียมเข้ามาใกล้ตัว ก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวตะขอเพื่อเปิดล็อกกระเป๋าทั้งสองข้างราวกับคุ้นชินเป็นอย่างดี
ภายในกระเป๋าอลูมิเนียมนั้นมีปืนสั้น 1 กระบอก พร้อมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นลำกล้อง แม็กกาซีน กระสุนปืน สายสะพายปืนติดลำตัว และเครื่องมือสื่อสาร แบบครบครัน เท่านั้นยังไม่พอ เกริกพลยังนำกล่องสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่จากลิ้นชักขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนมาทางปัญญาวี
"ทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์ของคุณนะครับ หลังจากนี้คุณจะต้องใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ และเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ นอกจากคนในบ้านหลังนี้ คุณสามารถติดต่อได้แค่บุคคลสำคัญเท่านั้น หรือจะให้พูดเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณติดต่อได้แค่น้องสาวของคุณ ส่วนปืนกระบอกนี้ คุณจะต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาที่พาคุณหนูออกไปข้างนอก แต่สามารถนำออกมาใช้กรณีจำเป็นเท่านั้น ห้ามนำไปทำร้ายใครเด็ดขาด คุณเคยใช้ปืนมาก่อนไหมครับ"
"เคยใช้มาบ้างค่ะ"
"ดีครับ เรื่องนั้นผมคงไม่ห่วง เพราะผมก็เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณมาบ้างแล้ว แต่ตอนฝึกกับสถานการณ์จริงนั้นต่างกันลิบลับ คุณจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา คุณต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณหนูเป็นหลัก การปกป้องคุณหนู คือหน้าที่ของคุณ ทราบใช่ไหมครับ"
"ทราบค่ะ!"
"ดีครับ! คุณห้ามพาคุณหนูออกไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนขับรถเด็ดขาด แม้คุณหนูจะอยากไปเดินห้าง ไปซื้อของ หรือไปดูหนัง ก็จะต้องมีคนขับรถไปด้วยทุกครั้ง แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่คุณต้องพาคุณหนูไปด้วยตัวเองจริง ๆ เมื่อขึ้นรถแล้วให้เช็คเบรกและความเรียบร้อยก่อนออกเดินทาง ทราบ!?"
"ทราบค่ะ!!"
ฉันชักจะตื่นเต้นแล้วสิที่ต้องมาเป็นบอดี้การ์ด ทุกอย่างราวกับถอดแบบมาจากในหนัง หัวหน้าบอดี้การ์ดร่างกำยำที่ดูสุขุมและหนักแน่นเวลาทำงาน แต่กลับเป็นมิตรและจิตใจดีเป็นบางเวลาเสมือนเป็นพระเอกของเรื่องที่ใครต่างก็อยากพึ่งพา ฉันชื่นชมคุณเกริกพลจริง ๆ เขาคงเก่งมากแน่ ๆ ที่ได้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณท่านขนาดนี้... ปัญญาวีคิดในใจด้วยความชื่นชมระหว่างที่ชายหนุ่มร่างกำยำกำลังเทรนด์งานให้กับเธอ อย่างน้อยการได้อยู่กับเขาก็ช่วยทำให้เธอผ่อนคลายและลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ ผิดกับตอนอยู่กับผู้หญิง 2 คนนั้น คนหนึ่งก็สร้างแผลลึกที่กัดกินหัวใจเธอมานานนับปี คนหนึ่งก็เก๊กท่าวางมาดเสมือนตัวเองเป็นนาย ไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย...


"มีข้อสงสัยอะไรไหมครับคุณปัญญาวี"
"ไม่ค่ะ คุณอธิบายได้ครบทุกประเด็นเลยค่ะ ฉันไม่มีอะไรสงสัยเลย"
"คุณนี่เป็นคนเรียนรู้ไวเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมชื่นชมคุณจริง ๆ"
"ขอบคุณค่ะ ฉันก็ชื่นชมคุณเหมือนกัน ไม่ทราบว่าคุณทำงานกับคุณท่านมานานแค่ไหนแล้วคะ"
"ปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 9 แล้วครับ"
"โห...สุดยอดเลยค่ะ เอ่อ...คือว่า...ฉันขอถามได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูเหรอคะ ทำไมเธอถึงได้นั่งรถเข็น"
"คุณนงคราญคงไม่เล่าให้คุณฟังสินะครับ"
"ใช่ค่ะ ฉันถามอะไรก็ไม่ค่อยอยากตอบสักเท่าไหร่ ดูเหมือนคนที่ไม่ชอบฉันคงเป็นคุณนมนี่แหละค่ะ"
"ฮ่า ๆ ไม่หรอกครับ เธอแค่ไม่ชอบตอบคำถาม อาจจะเพราะยังไม่ไว้ใจคุณล่ะมั้งครับ แต่ถ้าคุณมีคำถาม ผมยินดีจะตอบคุณทุกเรื่อง"
"ถ้างั้น...ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้ไหมคะว่าคุณหนูป่วยเป็นอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู ทำไมถึงได้นั่งรถเข็นตลอดเวลาคะ" 
"เมื่อ 1 ปีก่อน คุณหนูประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะครับ ซึ่งวันนั้นมีผู้เสียชีวิตด้วย แต่คุณหนูแค่ขาหัก พอคุณหนูฟื้นขึ้นมา เธอกลับสูญเสียความทรงจำในวันนั้นไป โชคยังดีที่เป็นความทรงจำระยะสั้นจากเหตุการณ์เลวร้าย หรือจะให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณหนูลืมเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทั้งหมดไป ทั้งคุณท่านและคุณผู้หญิงเลยพยายามป้อนข้อมูลให้คุณหนูใหม่ว่า คุณหนูความจำเสื่อมเพราะตกบันได ส่วนคุณนงคราญเองก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณหนูกลับมาเดินได้ดังเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันครับ ที่ช่วงแรก ๆ คุณหนูไม่ยอมหัดเดินเลย เธอเพิ่งจะมาหัดช่วงไม่กี่เดือนนี้เองครับ" สิ้นคำตอบของบอดี้การ์ดหนุ่ม ปัญญาวีถึงกับชะงักและรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างทิ่มแทงหัวใจจนเธอพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด...คนที่ตายไปคือแม่ของฉัน...ในขณะที่คนที่มันทำให้แม่ต้องตายเปล่า ยังกินอิ่มนอนหลับ ใช้ชีวิตอยู่สุขสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้ยังไง แล้วฉันล่ะ...ฉันกับน้องปุณที่ต้องทุกข์ทรมานมาเป็นปีเพราะต้องสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไป ไม่มีเงินเยียวยา ไม่แม้แต่จะเหลียวแล ทำไมโลกถึงได้โหดร้ายกับฉันแบบนี้!! คนที่ควรลืมมันควรเป็นฉัน คนที่ควรจำ...จำจนวันตายก็คือมันที่ทำให้แม่ฉันต้องตาย!!!
มือเรียวทั้งสองกำแน่นด้วยความเจ็บปวด อย่านะปัญญาวี...อย่าให้รอยยิ้มนั่นลบความแค้นภายในใจเด็ดขาด ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดจะต้องจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ เธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ยัยคุณหนูนั่นจำเรื่องราวที่ได้กระทำไปให้ได้...
"อ้อ...คุณปัญญาวีครับ ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ อย่าให้คุณหนูทราบเรื่องนี้เด็ดขาด หรือห้ามมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจเธอแม้แต่นิดเดียว เพราะอาจทำให้เธอมีสภาวะสมองเสื่อมฉับพลันได้ พอทราบแบบนี้แล้ว หวังว่าคุณจะดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุดนะครับ"
"ค่ะ...ฉันจะดูแลคุณหนูอย่างดีที่สุด"


"โธ่เว้ย!!!!" ปัญญาวีกำหมัดต่อยที่ผนังห้องน้ำราวกับคนเสียสติ แววตาของเธอแดงก่ำไม่ต่างกับสัตว์ที่ดุร้ายรอวันฉีกเนื้อเหยื่อเป็นชิ้น ๆ รอยแค้นภายในใจของเธอนั้นปะทุโหมหนักขึ้นทวีคูณ มือข้างขวาที่มีเลือดไหลออกมามันเทียบกับความเจ็บปวดภายในใจเธอไม่ได้แม้แต่น้อย
ทำไมวะ!!? ทำไมแม่ต้องตายด้วย ทำไมแม่ถึงต้องตายเปล่าในขณะที่มันยังมีความสุขอยู่!!! ทำไมวะ!!!? 
เสียงแห่งความแค้นดังก้องอยู่ในโสตประสาทจนร่างของเธอสั่นเทา ปัญญาวีกัดฟันแน่นพลางกับมองตัวเองในกระจก น้ำตาค่อย ๆ รินไหลออกมาช้า ๆ เจ็บปวดเหลือเกิน...ไม่มีอะไรยุติธรรมกับเธอเลยสักอย่าง....
ตุบ!! ตุบ!! ตุบ!! 
"คุณปัญญาวีคะ!! เกิดอะไรขึ้นคะ!!? คุณเปิดประตูให้ณิที!! คุณปัญญาวีคะ!!!"
ยิ่งเสียงคนด้านนอกเรียกเธอดังเท่าใด ความเจ็บปวดยิ่งทิ่มแทงหัวใจเธอเท่านั้นแต่เธอทำได้แค่ใช้มือปาดน้ำตาออกไปให้พ้น ๆ แล้วรีบเปิดก๊อกน้ำล้างแผลที่มือโดยเร็ว
"คุณปะ..." ยังไม่ทันที่ณิชาจะได้ทุบประตูเรียกปัญญาวีอีกรอบ ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดเข้าไปจากคนด้านในเผยให้เห็นสภาพของบอดี้การ์ดสาวร่างสูงโปร่งที่มีแววตาแดงก่ำ พร้อมกับเลือดหยดตามนิ้วมือข้างขวา ทำเอาณิชาถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"คุณปัญญาวีคะ!!? เกิดอะไรขึ้นคะ!!? มือของคุณ..."
"ห้องน้ำบ้านคนรวยมีแมลงสาบด้วยเหรอคะเนี่ย ฉันเห็นมันเกาะอยู่ผนังห้องน้ำ ก็เลยต่อยมันให้ตายคามือเลยค่ะ..." 
"คุณจะบ้าไปแล้วเหรอคะ!!? มีวิธีอื่นตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมคุณถึงทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวแบบนั้นล่ะคะ มาค่ะ ฉันจะทำแผลให้"
"ไม่ค่ะ ไม่จำเป็น ฉันไม่อยากรบกวนคุณ" น้ำเสียงและท่าทีที่เยือกเย็นผิดไปจากก่อนหน้าที่ณิชาได้สัมผัส ทำเอาเธอถึงกับชะงัก
"คุณ...ปัญญาวี...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" ถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"รู้สึกหงุดหงิดแมลงสาบน่ะค่ะ ถ้าเห็นมันอีกบอกฉันนะคะ ฉันจะฆ่ามันให้ตายด้วยมือของฉันเอง!" พูดจบ ปัญญาวีจึงเดินจากไปทันที ทิ้งให้คุณหนูณิชานั่งอึ้งอยู่บนรถเข็นจนพูดอะไรไม่ออก
"กะ...เกิดอะไรขึ้นกับคุณปัญญาวีกันนะ ทำไมเธอถึงโกรธขนาดนั้นล่ะ..."