A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 8 อย่าลืมฉัน

"ดูน้องปุณจะรักพี่สาวมากเลยนะคะ" นงคราญถามพลางกับนั่งมองปุณญิสาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง เด็กสาวร่างเล็กจึงละสายตาจากหนังสือการ์ตูนและเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยรอยยิ้ม
"ก็พี่ปัญเขาเก่งไปซะทุกอย่างเลยค่ะพี่นง พี่ปัญเหมือนเป็นฮีโร่ที่คอยดูแลหนูแทนพ่อเลย"
"เรื่องเก่งก็ยอมรับนะคะว่าเก่งมาก ๆ แต่พี่สาวน้องปุณนี่นิสัยเสียที่หนึ่งเลย ดูไม่น่าจะเป็นพี่สาวที่ดีได้เลยสักนิด"
"ทำไมถึงว่าอย่างนั้นล่ะคะพี่นง"
"ชอบทำให้พี่หงุดหงิดทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ ๆ บอกอะไรไม่ค่อยจะฟังหรอกค่ะ ขวางโลกเก่ง ถามเก่ง" เมื่อได้ยินคำตอบ ปุณญิสาถึงกับหลุดขำพรืด
"ฮ่า ๆ พี่ปัญก็เป็นคนแบบนั้นแหละค่ะ เขาไม่ชอบอยู่กับความค้างคาเลยต้องถามให้เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้วพี่ปัญก็จะปฏิบัติตามได้อย่างดีเลยโดยที่ไม่ต้องบอกซ้ำหรือสอนซ้ำอีก"
"อย่างนั้นเหรอคะ"
"แต่พี่ปัญเป็นคนที่ใจดีและก็อ่อนโยนมากเลยนะคะ ถึงภายนอกจะดูแข็งกระด้างก็เถอะ แต่ก็เพราะพี่ปัญต้องทำหน้าที่ดูแลทุกคนเสมือนเป็นเสาหลักของบ้านเลยต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกัน พี่ปัญดูแลหนูอย่างดีมาตลอด อบอุ่นและอ่อนโยนเสมือนแม่ ถ้าจะบอกว่าพี่ปัญเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนคนเดียวกันก็ยังได้เลยค่ะ" ปุณญิสาพูดพลางกับอมยิ้มแลดูเธอชื่นชมพี่สาวเป็นอย่างมาก จนนงคราญอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"หนูรักและชื่นชมพี่ปัญมาก ๆ เลยค่ะพี่นง พี่ปัญเป็นพี่สาวที่แสนดีของหนูเลยค่ะ"
"อย่างนั้นเหรอคะ...แล้ว...ที่บอกว่าคุณปัญเป็นพี่สาวที่แสนดี แต่ทำไมถึงปล่อยให้น้องปุณทรมานกับอาการแบบนี้ตั้งนานล่ะคะ ถ้าเป็นพี่...พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมารักษาน้องปุณ"
"เพราะพี่ปัญใช้เงินไปรักษาแม่หมดแล้วไงคะ"
"คะ?" สิ้นคำตอบของปุณญิสา นงคราญถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"ไม่แปลกใจเหรอคะ ว่าทำไมโรคแบบนี้ถึงเกิดกับหนูที่อายุแค่ 16 ปี เพราะมันเป็นพันธุกรรมน่ะค่ะ ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่หนูดันเป็นหนึ่งในนั้น"
"หมายความว่า...คุณแม่ของน้องปุณ..."
"แม่ของหนูก็เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเหมือนกันค่ะ และต้องรักษาตัวเองด้วยการกินยามาตลอด พี่ปัญและคุณพ่อพยายามหาเงินมาเพื่อที่จะรักษาแม่ แต่แม่ก็ปฏิเสธเพราะอยากให้เอาเงินก้อนนั้นมารักษาปุณแทน เพราะปุณยังเด็ก แม่อยากให้ปุณมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าหัวใจจะเต้นผิดจังหวะอีกตอนไหน แล้ววันหนึ่งแม่ก็เจ็บหน้าอกเพราะทำงานหนักเลยต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วน หนูเลยขอร้องให้พี่ปัญเอาเงินก้อนนั้นไปรักษาแม่แทน ซึ่งโชคดีค่ะ ที่รักษาได้ทันเวลา แม่หายดีแล้ว แต่น่าเสียดาย...ที่หลังจากรักษาแม่ได้ แม่ก็ดัน...ถูกรถชน" ปุณญิสาเล่าด้วยท่าทีที่สลดลง ทำเอานงคราญถึงกับจุกอยู่ในอก ไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
"เงินก้อนนั้นที่หามาได้นอกจากจะไม่ได้เอามารักษาหนูแถมยังต้องเสียแม่ไปด้วย ทำให้พี่ปัญโกรธมากที่เงินก้อนนั้นควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่พี่นงไม่ต้องห่วงนะคะ หนูเชื่อว่าพี่ปัญจะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างได้ ถ้าพี่ปัญได้รับหน้าที่ให้ดูแลใครสักคน พี่ปัญจะดูแลอย่างดีแน่ ๆ หนูเชื่ออย่างนั้น"
"แต่พี่กลัวมากว่าพี่สาวของน้องปุณจะทำร้ายคุณหนู"
"ไม่หรอกค่ะ พี่ปัญไม่ทำร้ายใครหรอก และตอนนี้พี่ณิกับครอบครัวพี่ณิก็ชดใช้ทุกอย่างให้แล้วด้วย พี่ปัญต้องเข้าใจแน่นอนค่ะพี่นง"
"เฮ้อ...ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นนะคะ..."


ในระหว่างที่รถสปอร์ตคันหรูสีดำด้านเคลื่อนตัวไปตามทางด้วยความเร็วคงที่ แม้จะเป็นมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นชินกับรถยนต์ราคาแพง แต่ปัญญาวีก็สามารถเรียนรู้ระบบต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หากจะเทียบกับเกียร์กระปุกจากรถยนต์คันเก่าที่บ้านแล้วนั้น รถสปอร์ตนั้นขับง่ายกว่าเป็นไหน ๆ เพราะทุกอย่างเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ต่างกันก็ตรงที่ความเร็วที่จ้องจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัวจนณิชาต้องคอยเตือนเธออยู่บ่อย ๆ
"ค...คุณปัญคะ เร็วเกินไปแล้วค่ะ!"
แบบนี้นี่เอง...ลำพังรถสปอร์ตพวกนี้ถึงจะแตะคันเร่งเบา ๆ ความเร็วมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างจากรถเก่า ๆ ของพ่อแบบลิบลับที่เหยียบจนสุด แต่ความเร็วก็เพิ่มขึ้นนิดเดียวเท่านั้น... ปัญญาวีวิเคราะห์ความเร็วของรถสปอร์ตด้วยความตื่นตัว เธอจะไม่เป็นหนึ่งในคนที่ทำผิดพลาดเหมือนอุบัติเหตุเมื่อหนึ่งปีก่อนเด็ดขาด เธอจึงถอดเท้าออกจากคันเร่งช้า ๆ เพื่อลดความเร็วลง และพยายามขับรถด้วยความระมัดระวังที่สุด
"เป็นยังไงบ้างคะ ชอบรถคันนี้ไหมคะ"
"ก็ชอบนะคะ ขับง่ายดี แต่ฉันชินกับรถเก่า ๆ ที่ต้องเปิดกระจกวิ่งมากกว่า มันได้เห็นบรรยากาศรอบข้างนานขึ้น ผิดจากรถสปอร์ต ที่ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด"
"การใช้ชีวิตของคุณดูมีอะไรน่าสนใจเยอะเลยนะคะ ผิดกับณิ ที่วัน ๆ อยู่แต่บ้าน มหาวิทยาลัย ไม่ก็เรียนออนไลน์ ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจของคุณพ่อ น้อยนักที่จะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก"
"คุณหนูไม่ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เลยเหรอคะ"
"ก็ได้ไปนะคะ แต่มันเป็นการนั่งเครื่องไปแบบแค่หลับตา ตื่นมาก็ถึงแล้ว ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอะไรระหว่างเดินทางเลย ณิชอบดูคลิปท่องเที่ยวมากค่ะ โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถยนต์ ได้เห็นบรรยากาศระหว่างทาง มันรู้สึกดีมากเลย ถ้ามีโอกาสได้ไปแบบนั้นกับคนรู้ใจก็คงดีนะคะ"
"เดี๋ยวไว้วันหลังฉันจะพาคุณไปนะคะ ถึงจะไม่ใช่คนรู้ใจก็เถอะ แต่หากมันเป็นความสุขของคุณหนู หรือเป็นที่ที่คุณหนูอยากจะไป ฉันจะขับรถพาคุณไปเอง" เมื่อได้ยินบอดี้การ์ดสาวพูดอย่างนั้น ณิชาจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถพลางกับอมยิ้ม
คนรู้ใจที่ฉันพูดถึง มันก็คือคุณนั่นแหละค่ะ คุณปัญญาวี...
'หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่คุณต้องพาคุณหนูไปด้วยตัวเองจริง ๆ เมื่อขึ้นรถแล้วให้เช็คเบรกและความเรียบร้อยก่อนออกเดินทาง'
ระหว่างที่ปัญญาวีกำลังใช้สมาธิกับการขับรถนั้น จู่ ๆ คำพูดของบอดี้การ์ดหนุ่มรุ่นพี่ก็ผุดเข้ามาในความคิด เธอจึงเหลือบมองกระจกมองหลัง และกระจกด้านซ้าย ด้านขวาตามลำดับ เมื่อเห็นว่าไม่มีรถที่ขับตามหลังมา เธอจึงชะลอความเร็วลง พร้อมกับตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง ก่อนจะเหยียบเบรกแบบกะทันหัน เพื่อทดสอบระบบเบรกตามที่รุ่นพี่ได้สอนเอาไว้
เอี๊ยด!!!
แม้ปัญญาวีจะชะลอความเร็วลงแล้วก็ตาม แต่การที่จู่ ๆ เธอก็เหยียบเบรกกะทันหันแบบนี้ ทำให้เข็มขัดนิรภัยล็อกตัวทั้งสองเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวคนขับและผู้โดยสารพุ่งไปกระแทกกับคอนโซลรถ ปัญญาวีถึงกับถอนหายใจเฮือกที่ระบบยังคงทำงานได้ดีอยู่ แต่แล้ว...เมื่อเธอหันไปทางคุณหนูของเธอนั้นก็พบว่า ณิชานั่งกำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลงราวกับกำลังตกใจกลัว เธอจึงรีบกุมมือข้างขวาของณิชาเอาไว้ทันที
"คุณหนูคะ!! เป็นอะไรคะคุณหนู! คุณหนูคะ!!?"
ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากสัมผัสได้ว่ามือที่กำลังกุมอยู่นั้นกำลังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงรีบปลดเข็มขัดนิรภัยทั้งของเธอและของณิชา ก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามากอดเอาไว้
ปัญญาวีรับรู้ได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอด เธอจึงใช้มือขวาค่อย ๆ ลูบศีรษะคุณหนูณิชาช้า ๆ เพื่อปลอบประโลม เพราะนี่คงเป็นอาการตื่นตระหนกจากอุบัติเหตุเป็นแน่
"ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู ไม่เป็นไรนะคะ..." น้ำเสียงที่อ่อนโยนจากบอดี้การ์ดสาวช่วยเรียกสติของณิชาได้ในทันที เธอถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมกับปล่อยโฮกอดเอวของบอดี้การ์ดสาวเอาไว้แน่น
"ฮือ ๆ คุณปัญ ณิกลัว! ฮือ ๆ ณิกลัว..."
"ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"ฮือ ๆ ฮึก ๆ" ร่างบางยังคงสั่นเทาพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังออกมาแบบไม่ขาดสาย ทำเอาปัญญาวีถึงกับเจ็บแปลบในใจ หรือเหตุการณ์ในวันนั้นจะยังตามมาทำร้ายคุณหนูณิชาอยู่อย่างนั้นหรือ
"งั้นวันนี้เรากลับบ้านกันนะคะ ไว้ค่อยไปหอสมุดวันหลังดีกว่า"
"ค่ะ ฮึก ๆ ณิอยากกลับบ้าน ฮือ ๆ"
"เข้าใจแล้วค่ะคุณหนู ฉันจะพาคุณกลับบ้านนะคะ"
คนในอ้อมกอดพยักหน้าเป็นการตอบรับทั้งที่ยังคงซบหน้าลงที่บ่าข้างขวาของบอดี้การ์ดสาว ปัญญาวีจึงทำได้แค่ลูบศีรษะปลอบโยนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับกอดร่างที่สั่นเทาเอาไว้แน่น
อย่าเลย...อย่าสูญเสียความทรงจำเพราะเหตุการณ์ในวันนี้เลย...


หลังจากที่ณิชาสงบลง ปัญญาวีจึงขับรถกลับคฤหาสน์หรูด้วยความร้อนใจ เพราะณิชาเอาแต่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา มือทั้งสองกุมเอาไว้แน่นราวกับความกังวลยังไม่หมดไป ทันทีที่รถสปอร์ตคันหรูสีดำด้านจอดเทียบทางเข้าบ้าน ปัญญาวีจึงรีบวิ่งมาเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารก่อนจะช้อนร่างบางขึ้นอุ้มด้วยความระมัดระวัง
"ก...เกิดอะไรขึ้นครับคุณปัญญาวี" เสียงทุ้มจากพนักงานขับรถเอ่ยถามด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นเธออุ้มคุณหนูณิชาลงจากรถทั้งที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่
"ลุงคะ ฝากเก็บรถให้ที คุณหนูไม่สบายค่ะ"
"รับทราบครับ"
"ป้าคะ!! เปิดห้องนอนคุณหนูรอทีค่ะ!!" ทันทีที่แม่บ้านวัยกลางคนได้ยินเสียงปัญญาวีตะโกนเข้ามาในบ้าน เธอถึงกับสะดุ้งโหยงและรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนทันที โดยมีปัญญาวีอุ้มร่างของคุณหนูณิชาตามไปแบบติด ๆ
บอดี้การ์ดสาวค่อย ๆ วางร่างบางที่เอาแต่เหม่อลงบนเตียงนอนช้า ๆ อย่างระมัดระวัง โดยมีแม่บ้านช่วยจัดแจงผ้าห่มและหมอนอย่างร้อนรน
"คุณหนูเป็นอะไรคะคุณปัญญาวี!? ให้ป้าตามคุณนงคราญให้ไหมคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ป้ากลับไปทำงานได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันดูแลคุณหนูเองค่ะ เธอแค่ตกใจระหว่างเดินทางกลับบ้านน่ะค่ะ"
"แต่อาการของคุณหนูดูไม่ดีเลยนะคะ ให้ป้าตามคุณนงคราญเถอะค่ะ เธอรู้วิธีทำให้คุณหนูดีขึ้นค่ะ"
"ฉันจัดการได้ค่ะ ป้าไปทำงานเถอะ"
"แต่ว่า..."
"ฉันจะดูแลคุณหนูเอง ป้าอย่าบอกคุณนงนะคะ ฉันพอจะรู้วิธีดูแลคนที่ตื่นตระหนกมาบ้างค่ะ"
"เหรอคะ ถ้ามีอะไรให้ป้าช่วยบอกได้เลยนะคะ"
"ขอบคุณนะคะ" ตอบพลางกับมองหญิงวัยกลางคนเดินออกจากห้องไป เมื่อประตูห้องปิดลงจนสนิท เธอจึงแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อสวมกอดร่างบาง ก่อนจะประคองศีรษะของณิชาให้หนุนแขนของเธอเอาไว้
"ขอโทษนะคะคุณหนู...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่จะทดสอบเบรก ขอโทษจริง ๆ ค่ะ" พูดพร้อมกับลูบผมสีน้ำตาลช้า ๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่หน้าผากที่มีผมหน้าม้าสีน้ำตาลปรกลงมา แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นจะช่วยคุณหนูได้หรือไม่และเธอจะรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมก็ตาม แต่ปัญญาวีก็ทำลงไปแบบไม่คิด ขอเพียงช่วยให้คุณหนูของเธอหายจากอาการตื่นตระหนกเท่านั้น
จมูกโด่ง ๆ ปักลงที่กลางศีรษะก่อนจะปล่อยลมหายใจอุ่น ๆ พร้อมกับโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่น หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดเริ่มขยับตัวก่อนจะเอื้อมแขนซ้ายกอดเธอกลับ ทำเอาเธอถึงกับพ่นลมหายใจออกยาว ๆ ด้วยความโล่งใจ
"ดีขึ้นไหมคะคุณหนู ฉันขอโทษนะคะ ฉันแค่จะทดสอบเบรก"
"เอ่อ...ดีขึ้นแล้วค่ะ คุณรู้ได้ยังไงคะว่าต้องทำแบบนี้ ณิถึงจะดีขึ้น"
"แม่ของคุณหนูบอกไว้น่ะค่ะ ว่าต้องทำให้คุณหนูอุ่นใจคุณหนูถึงจะหลับได้ ฉันเลยลองดูเผื่อมันจะทำให้คุณหนูดีขึ้น"
"ค่ะ...ตอนนี้ณิอุ่นใจมาก ๆ เพราะอ้อมกอดของคุณ" หลังจากที่ได้ยินเสียงหวานในอ้อมกอดตอบกลับมา ทำเอาหัวใจของบอดี้การ์ดสาวเต้นตึกตัก ก่อนหน้าที่เธอทำไปแบบไม่คิดด้วยความตกใจ แต่ตอนนี้สติของเธอคืนกลับมาแล้ว เธอกำลังนอนกอดคนเป็นนายที่บนเตียง เธอจึงรีบผละออกทันที
"อ๊ะ!! คุณหนูคะ! ฉันไม่ควรทำแบบนี้กับคุณ"
"แต่คุณกอดณิหลายครั้งแล้วนะคะ ทำไมคุณถึงเพิ่งมาคิดได้ว่าคุณไม่ควรทำแบบนี้" บอดี้การ์ดสาวรีบลุกขึ้นพรวด ก่อนจะก้าวลงจากเตียงพร้อมกับจัดแจงชุดสูทของตนให้เข้าที่ แต่ณิชากลับนอนมองดูเธอพลางกับอมยิ้ม ทำเอาเธอถึงกับคิ้วขมวด
"คุณหนูยิ้มอะไรคะ"
"ไม่เคยมีบอดี้การ์ดคนไหนกอดณิมาก่อนเลย"
"อ...เอ่อ...ฉันขอโทษค่ะคุณหนู ฉันคิดว่ามันจะทำให้คุณดีขึ้น ฉันก็เลย...เอ่อ...งั้นคุณหนูพักผ่อนก่อนนะคะ ถึงเวลาทานอาหารเย็นฉันจะมาปลุกค่ะ ฉันขอกลับห้องก่อนนะคะ"
"คุณปัญคะ..." ยังไม่ทันที่ปัญญาวีจะได้หันหลังกลับ แต่เสียงหวานเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน เธอจึงเงยหน้ามองพร้อมกับกลืนน้ำลายดังอึก
"คะคุณหนู"
"ช่วยนอนกอดณิต่ออีกสักพักได้ไหมคะ"
"คะ?"
"คือ...ณิอุ่นใจน่ะค่ะ ถ้ามันเป็นคุณ ไม่สิ คือ...กับพี่นงณิก็อุ่นใจค่ะ แต่ตอนนี้พี่นงไม่อยู่...คุณช่วยทำหน้าที่แทนพี่นงได้ไหมคะ" ณิชาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ออดอ้อน ปัญญาวีจึงมองแววตาที่ดูเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ กำลังออดอ้อน เธอจึงผงกศีรษะทันทีราวกับโดนมนตร์สะกด ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเตียงช้า ๆ แล้วโน้มตัวลงกอดร่างบางอย่างว่าง่าย
เพราะน้ำเสียงและแววตาของณิชาเมื่อสักครู่ ทำให้หัวใจของบอดี้การ์ดสาวทวีคูณความรุนแรงขึ้น บวกกับกลิ่นอ่อน ๆ จากเครื่องพ่นน้ำหอมระเหยอโรมาที่ตั้งอยู่ที่ปลายเตียงเริ่มควบคุมโสตประสาทจนเธอแทบไม่เหลือความเป็นตัวเอง เธอประคองศีรษะของณิชาให้มาหนุนแขนของเธออีกครั้งก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากที่มีหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนบาง ๆ อย่างแผ่วเบา
"ค...คุณปัญคะ...คุณจูบหน้าผากณิสองครั้งแล้วนะคะ"
"ขอโทษค่ะคุณหนู" แม้จะเอ่ยคำขอโทษแต่เธอก็ยังประทับริมฝีปากที่หน้าผากอยู่อย่างนั้นจนต่างฝ่ายต่างหัวใจเต้นตึกตักไม่ต่างกัน
"คือ...ณิไม่เคยให้ใครจูบหน้าผากมาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่คุณพ่อกับคุณแม่ คุณรู้ไหมคะ ว่ามันจะทำให้เราจดจำคนที่จูบหน้าผากไปตลอดชีวิต"
"งั้นถ้าฉันไม่ได้ดูแลคุณหนูแล้ว...คุณหนูอย่าลืมฉันนะคะ"
คำพูดที่แม้แต่ปัญญาวีเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพูดแบบนั้นออกไป แต่เธอรู้สึกอยากจะอ้อนวอนให้คนในอ้อมกอดจดจำเธออย่างที่พูดไปจริง ๆ เธอจึงใช้นิ้วเกลี่ยผมหน้าม้าเปิดทางก่อนจะพรมจูบไปทั่วหน้าผาก จนมือนุ่ม ๆ ต้องยกมาฟาดหน้าอกเธอทันที เพราะตอนนี้หัวใจของณิชาเต้นแรงจนแทบจะทะลักออกจากอกอยู่แล้ว
"คุณหนูตีฉันทำไมคะ"
"คุณปัญ!! ได้ทีเอาใหญ่นะคะ! ณิแค่ให้คุณนอนกอด ไม่ได้ให้คุณจูบหน้าผากณิ!!"
"แต่คุณหนูก็ไม่ได้ขัดขืนนี่คะ"
"กะก็...ก็...ไม่ได้ขัดขืน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าณิอนุญาตนี่คะ" ตอบพลางกับหลบสายตาแล้วซุกหน้าลงที่หน้าอกบอดี้การ์ดสาวเอาไว้
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
เสียงหัวใจที่เต้นแรงและรัวจนณิชาได้ยินแบบชัดเจนแม้เธอจะไม่ได้เอาหูแนบที่หน้าอกก็ตาม เธอจึงรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้บอดี้การ์ดสาวเองก็มีอาการไม่ต่างจากเธอ
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนมาจูบแท้ ๆ ทำไมถึงหัวใจเต้นแรงแบบนี้ล่ะคนบ้า...
"หัวใจเต้นแรงจังเลยนะคะคุณปัญ"
"ฉันไม่เคยนอนกอดใครแบบนี้มาก่อนเลย"
"คุณไม่เคยนอนกอดน้องสาวเหรอคะ"
"ก็เคยค่ะ แต่ฉันหมายถึง...คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวน่ะค่ะ"
"ณิเป็นคนอื่นสำหรับคุณเหรอคะ"
"ไม่นะคะ! แต่คุณคือเจ้านายไงคะคุณหนู คุณไม่ใช่คนอื่นเลยค่ะ!"
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคุณปัญถึงต้องรีบปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่คนอื่น แต่การที่คุณตื่นตัวกับคำพูดของฉันแบบนี้มันทำให้ฉันอยากเข้าข้างตัวเองจริง ๆ ว่าเราต่างก็รู้สึกเหมือนกัน... ณิชาคิดในใจ
ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ทันทีโดยที่ปัญญาวีก็ไม่ทราบสาเหตุ เธอทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะพูดหรือถามอะไรออกไปเพราะคนตัวเล็กก็กอดเธอเอาไว้แน่น แม้จะขยับตัวก็ยังลำบาก เธอจึงทำได้แค่ลูบศีรษะช้า ๆ ก่อนจะก้มลงปักจมูกที่กลางศีรษะอีกครั้งราวกับคนติดสารเสพติดเพียงแค่มันคือกลิ่นแชมพูที่หอมรัญจวนใจจนเธออยากจะสูดดมอยู่อย่างนั้น แถมไออุ่นที่ต่างฝ่ายต่างนอนสวมกอดกันอยู่นั้นมันทำให้เธอรู้สึกหวิว ๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก
นี่เราเป็นอะไรวะเนี่ย... ปัญญาวีคิดในใจ เพราะอาการหวิว ๆ ที่หน้าท้องและช่วงล่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเธอรู้สึกกระสับกระส่าย อยากจะกอด อยากจะทำอะไรมากกว่านี้ แต่เธอทำได้แค่พยายามข่มอารมณ์เอาไว้
ลมหายใจของปัญญาวีหอบถี่ขึ้นอย่างอัตโนมัติในขณะที่สูดกลิ่นแชมพู ก่อนคนในอ้อมกอดจะผละตัวออกพร้อมกับเอื้อมมือนุ่ม ๆ มาวางไว้บนแก้มของเธอ นิ้วโป้งลูบไล้ที่แก้มเนียนช้า ๆ ทำดวงตาของเธอหลับเคลิ้มกับสัมผัสที่แปลกใหม่ หอมจัง...กลิ่นอะไรกันนะ...
"หอมจัง..." บอดี้การ์ดสาวพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว
"กลิ่นอโรมาเหรอคะ ณิชอบมากเลยค่ะ"
"ฉันก็ชอบค่ะ แต่กลิ่นมันมาจากคุณหนู ไม่ใช่กลิ่นอโรมา คุณหนูคะ...คือฉัน..."
"คะ?" ณิชาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เพราะบอดี้การ์ดสาวเอาแต่นอนจ้องริมฝีปากของเธอ เธอจึงรีบเม้มปากเอาไว้ทันที
"มองอะไรคะคุณปัญ"
"คือ...ฉัน..."
"คุณทำไมคะ"
 "ขอลองจับปากคุณได้ไหมคะ"
"คะ!?" 
"ฉันชอบจับแก้มน้องปุณตอนเด็ก ๆ มากค่ะ แต่พอโตมาน้องปุณก็ไม่ให้จับแล้ว"
"แล้ว...มันเกี่ยวอะไรกับปากณิคะเนี่ย"
"ปากคุณหนูดูนุ่มมากเลยค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ฉันก็ขอจับแค่แก้มคุณก็พอ ได้ไหมคะ" ณิชาถึงกับกลืนน้ำลายดังอึกเพราะบอดี้การ์ดสาวยังคงจ้องมองริมฝีปากของเธอแบบไม่ละสายตา เธอจึงผงกศีรษะเป็นการอนุญาต
"แค่จับแก้มนะคะ ปากคงไม่ได้"
"ไม่เป็นไรค่ะ แค่แก้มก็ได้" เมื่อได้รับอนุญาต ปัญญาวีจึงเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มนุ่มช้า ๆ เธอใช้นิ้วโป้งลูบไล้ที่แก้มเหมือนที่ณิชาทำกับเธอ มันไม่ต่างจากมาร์ชเมลโลนุ่มนิ่ม จนเธอเผลอบีบเบา ๆ อย่างคนลืมตัว
"โอ๊ย! ณิเจ็บนะคะคุณปัญ"
"ขอโทษค่ะ แก้มคุณหนูนุ่มมากเลยค่ะ" พูดพลางกับยิ้มไม่หุบ แลดูอารมณ์ดีที่ได้หยิกแก้มนุ่ม ๆ ณิชาจึงอมยิ้มและนอนมองคนตรงหน้าที่ดูเพลิดเพลินกับแก้มของเธอราวกับเด็ก ๆ
"แก้มณิ กับแก้มน้องปุณใครนุ่มกว่ากันคะ"
"แก้มคุณหนูแน่นอนค่ะ"
"ชอบไหมคะ"
"ชอบสิคะ ชอบมากเลย"
"แล้ว...ไม่อยากรู้แล้วเหรอคะ ว่าปากของณิจะนุ่มเหมือนแก้มไหม..." เพราะคำพูดของณิชาทำให้บอดี้การ์ดสาวละสายตาจากแก้มนุ่มทำให้ทั้งสองสบตากันอย่างอัตโนมัติ ณิชาจึงจับมือข้างขวาที่อยู่บนแก้มของเธอเลื่อนมาสัมผัสที่ริมฝีปากของเธอช้า ๆ ทั้งที่ดวงตายังคงจ้องมองผสานเป็นหนึ่ง หัวใจทั้งสองดวงต่างก็เต้นตึกตักราวจะทะลักออกจากอก ทุกอย่างรอบข้างหยุดชะงักเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ เพราะตอนนี้ทั้งสองไม่ได้ยินเสียงใด ๆ อีกแล้ว นอกจากเสียงของหัวใจที่ยังคงเต้นรัว ๆ ราวกับเสียงกลองที่ตีรับส่งกันแบบไม่มีหยุดพัก
ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันและกันประหนึ่งแม่เหล็กที่ถูกดูดเข้าด้วยกัน ดวงตาทั้งสองคู่หลับพริ้มเพื่อดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คาดว่าจะมาจากเครื่องพ่นน้ำหอมระเหยอโรมา แต่ความจริงนั้นมันคือกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ จากตัวคุณหนูณิชาที่ทำให้ปัญญาวีราวกับตกอยู่ในภวังค์เพราะมันควบคู่สติของเธอเสียหมดจนไม่หลงเหลือความเป็นตัวเอง ไม่เหลือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อริมฝีปากของณิชาอ้ารับริมฝีปากของปัญญาวีผสานแนบแน่น ทั้งสองต่างขยับดูดกลืนความหอมหวานจากลิปสติกสีอ่อนช้า ๆ ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่น ทั้งกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ทำให้เธอไม่อยากหยุดอยู่แค่นั้น เธอสอดมือเรียวเข้าใต้ท้ายทอยช้า ๆ ก่อนจะพลิกตัวคร่อมร่างบางเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากนุ่มอย่างอ่อนโยน โดยมีมือนุ่มทั้งสองข้างรั้งท้ายทอยเธอเอาไว้เช่นกันราวกับกลัวว่าเธอจะหนีจากไปกลางคัน
ทั้งสองจูบกันนานเพียงใดไม่อาจทราบได้ แต่มันคงนานจนริมฝีปากนั้นเปียกชุ่มไปหมด บอดี้การ์ดสาวจึงผละออกช้า ๆ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดที่ริมฝีปากของณิชาอย่างแผ่วเบา พลางกับอมยิ้ม ที่สายตาอีกคนนั้นยังคงมองเธออย่างเว้าวอน
"ปากคุณหนูนุ่มจริง ๆ ด้วย" เมื่อเห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังคร่อมตัวเธออยู่ ณิชาถึงกับหน้าร้อนผ่าวจนขึ้นสี เธอจึงดึงเสื้อสูทสีดำมาปิดหน้าเอาไว้ทันที ยิ่งทำให้บอดี้การ์ดสาวยิ้มออกมาที่เห็นท่าทีแบบนั้นของเธอ
"เขินเหรอคะคุณหนู"
"คนบ้า...จูบเสร็จแล้วใครเขาให้พูดแบบนี้อะ"
"นอนพักผ่อนนะคะคุณหนู เดี๋ยวถึงเวลาข้าวเย็นฉันจะมาปลุก" ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ นอกจากคนใต้ร่างรีบพลิกตัวนอนตะแคงพร้อมกับดึงผ้าห่มมาปิดหน้าของตนเอาไว้ 
"ฉันขออนุญาตกลับห้องของฉันนะคะ...เอ...หรือคุณหนูจะให้ฉันนอนที่นี่ดีคะ"
"ม...ไม่เป็นไรค่ะ คุณกลับห้องเถอะ" เสียงที่ดังอู้อี้ออกมาเพราะมีผ้าห่มปิดหน้าเอาไว้อยู่ ปัญญาวีจึงพยายามดึงผ้าห่มลง แต่อีกคนกลับจับเอาไว้แน่น ก่อนจะฟาดเข้าที่มือจนเธอถึงกับสะดุ้งโหยง
เพี้ยะ!!
"อ๊ะ! คุณหนูคะ ตีฉันทำไมคะ!"
"อื๊อ...คุณรีบออกไปได้แล้ว!" พูดพลางกับใช้มือควานหาร่างบอดี้การ์ดสาวก่อนจะผลักออกเบา ๆ ทั้งที่ยังมีผ้าห่มปิดหน้าเอาไว้อยู่ ปัญญาวีจึงยิ้มออกมาพลางกับส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่
"ฉันกลับห้องแล้วนะคะ"
"อืม!!"
ณิชานอนฟังเสียงกระดูกของอีกคนที่ดังกรอบแกรบขณะก้าวขาลงจากเตียง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูและปิดลงแบบติด ๆ กัน เธอจึงพุ่งตัวออกจากผ้าห่มผืนหนาด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนขึ้นสีก่อนจะเอามือปิดปากของตัวเองเอาไว้แน่น
กรี๊ด!!! ฉันจูบกับคุณปัญ!! ฉันจูบกับคุณปัญแล้ว!!!