"คราวหน้าคราวหลังหนูอย่าทำแบบนี้อีกนะลูก เด็กดีต้องไม่รังแกใครนะคะ" 
'เด็กเปรต!! ใครสั่งใครสอนให้มารังแกลูกฉัน อีตัวประหลาด'
หญิงสาวพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเข้ากับใบหน้าสวยของเธอที่ดูแล้วคงจะเป็นผู้รากมากดี จากการแต่งตัวคล้ายคุณหญิงคุณนายอะไรเทือกนั้น คำพูดแสนหวานฟังแล้วทำให้เคลิบเคลิ้มจวนจะสำนึกผิดทั้งที่ความจริงแล้วคนที่เริ่มมันคือลูกสาวของเธอเสียด้วยซ้ำ เธอไม่น่าเอื้อมมือมาสัมผัสที่ศีรษะของเด็กหญิงเลย เพราะมันทำให้ได้ยินเสียงความคิดที่ย้อนแย้งกับคำพูดเสียทุกคำ
"เด็กเปรต"
"ปากเสีย!!!" 
เด็กน้อยเปล่าปากเสีย เธอเพียงแค่พูดตามความคิดของหญิงสาวก็เท่านั้น แต่ไฉนเด็กน้อยกลับถูกฟาดที่ก้นและตามต้นแขน เธอไม่ได้ผิดเสียหน่อย
เพียะ!! เพียะ!!
"ฮึก ๆ หนูเจ็บ!! หนูไม่ได้ทำ!" เธอแย้งทั้งน้ำตา แต่ใช่ว่าหญิงสาวจะยั้งมือ
เพียะ!!
"เด็กนิสัยเสียมันต้องเจอแบบนี้แหละ!!"
"หยุดก่อนครับคุณ!! คุณจะรังแกเด็กทำไม!!?" เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะ ก่อนที่จะมีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาอุ้มเด็กหญิงออกจากกระบะทรายเจ้าปัญหา
"คุณอย่ามาปกป้องเขานะ! เด็กคนนี้รังแกลูกฉัน!!"
"ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันนะครับคุณแม่ ผมเห็นเธอเล่นทรายอยู่ดี ๆ แล้วลูกคุณแม่ก็เอาทรายมาปาใส่เธอ เห็นไหมว่าตัวเธอมีแต่ทรายเต็มไปหมด"
"แต่ลูกฉันร้องไห้ มันผลักลูกฉันล้ม!! มันต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือไง!!?" 
"ใจเย็นก่อนครับ!!"
"เกิดอะไรขึ้นหรือคะ" เสียงแหบพร่าคล้ายของคนสูงอายุเอ่ยขัดจังหวะ หนุ่มสาวถึงกับหันขวับไปตามต้นตอของเสียงทันที
"ยาย!! ฮึก ๆ" เด็กน้อยดิ้นอยู่บนเรียวแขนชายหนุ่มพร้อมกับยื่นสองมือออกมาด้านหน้า ก่อนคนเป็นยายจะเดินเข้ามาอุ้มเธอเอาไว้แทน
"หลงหลานยายทำไมร้องไห้ล่ะลูก ไหนใครรังแกบอกยายมา" เสียงแหบพร่านั้นช่วยปลอบประโลมได้เป็นอย่างดี แต่เด็กหญิงไม่ตอบอะไรนอกจากซบหน้าลงที่บ่าพลางกับใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอคนที่อุ้มเอาไว้แน่น เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนรับรู้ได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา มือหนาข้างหนึ่งจึงลูบหลังเธอช้า ๆ
"เกิดอะไรขึ้น" คนเป็นยายเอ่ยถาม
"หลานคุณมารังแกลูกสาวฉัน!" หญิงสาวตอบพลางกับจับมือลูกสาวที่หลบอยู่ด้านหลังขาของเธอตั้งแต่ต้น
"คืออย่างนี้นะครับคุณยาย ผมอยู่ในเหตุการณ์ น้องหลงกำลังเล่นทรายอยู่ดี ๆ แล้วน้องจรินทร์ก็ปาทรายใส่ น้องหลงก็เลยผลักเธอล้ม แล้วจากนั้นทั้งสองก็ลงไม้ลงมือกันตามประสาเด็กน่ะครับ" เขาแย้ง
"ขอโทษนะคะคุณ!! คุณเป็นครูแท้ ๆ ในเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ทำไมถึงไม่เข้ามาห้ามล่ะคะ แล้วจะมาโบ้ยให้ลูกฉันคนเดียวได้ยังไง" 
ชายหนุ่มคนนี้เป็นคุณครูนี่เอง แต่ก็ใช่อย่างที่เธอว่า ในเมื่อเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แต่ทำไมถึงยังปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองลงไม้ลงมือกันอยู่ หลงน่ะ รู้ดีที่สุด
'อีเด็กนี่สร้างปัญหาให้กูอีกแล้ว ปล่อยมันตีกันไปเลย จะได้มีผู้ปกครองของเด็กคนอื่นมาเรียกร้องเอามันออกสักที คุณคนนี้ท่าทางจะใหญ่ใช่เล่น เอาหน่อย...ร้องเรียนเด็กเปรตนี่ให้ผมหน่อย' เสียงที่หลงได้ยินอย่างชัดเจนเมื่อตอนที่เขาอุ้มเธอ
"ตอนนั้นเด็กมันเยอะผมเลยดูแลไม่ทั่วถึง ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับคุณแม่" เขาพูดด้วยท่าทีสำนึกผิด
"ไหน หยุดร้องไห้ก่อน เล่าให้ยายฟังหน่อยลูก"
"ฮึก ๆ ฮือ ๆ" เด็กหญิงยังคงร้องไห้กอดคนเป็นยายเอาไว้แน่น
"คนผิดมักจะเถียงไม่สู้ค่ะคุณยาย ถ้าหลานของคุณทำให้ลูกสาวฉันเลือดตกยางออกจะเป็นยังไง คุณรับผิดชอบไหวเหรอคะ"
"ต้องขอโทษแทนหลานสาวด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะอบรมเธอเองค่ะ"
"อบรมเหรอคะ แค่อบรมมันยังน้อยไปค่ะ คุณครูคะ! ที่โรงเรียนไม่มีนโยบายเอาเด็กออกเหรอคะ"
"ใจเย็นนะครับคุณแม่ น้องยังเด็ก อย่าให้ถึงขั้นต้องให้ออกเลยนะครับ"
"ป.1 นี่ไม่เด็กแล้วนะคะ"
"เด็กยังไงก็คือเด็กครับคุณแม่ เดี๋ยวผมจะตักเตือนและดูแลเธอให้รอบคอบกว่านี้นะครับ"

การเจรจากินเวลาไปค่อนชั่วโมง ซึ่งมันจบลงด้วยดีเพราะคนเป็นยายพยายามใช้เหตุผลมาคุยให้มากที่สุด ครูหนุ่มดูใบหน้ายิ้มแย้มและรับผิดที่ดูแลเด็กหญิงไม่ดีจนเกิดเรื่องขึ้น แต่เมื่อเขาเอื้อมมือมาลูบที่ศีรษะเด็กหญิง ความคิดร้ายก็ประดังเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง
'มึงนี่มันทำบุญด้วยอะไรวะ ทำไมเรื่องมันจบลงด้วยดีทุกที อีเด็กเปรตเอ๊ย!' 
เพียะ! 
เด็กหญิงไม่อยากได้ยินเสียงของเขาจึงปัดมือออกอย่างแรงจนเขาถึงกับหน้าเสีย และแน่นอน เธอต้องถูกยายดุเป็นแน่
"หลงหลานยายทำตัวไม่น่ารัก" เสียงแหบพร่าเอ่ย
เด็กหญิงรู้ดี ทุกครั้งที่ถูกยายดุ แต่ภายในใจคนดุมักจะทุกข์ใจเสมอ เป็นห่วงหลานรักเหลือเกิน ทำไมถึงได้ถูกกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เล็กจนโต ลำพังก็ไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ยังมาถูกผู้ปกครองของเด็กแต่ละคนจ้องจะเล่นงานอีก
"น้องหลงไม่ได้ทำ" เสียงเล็กเอ่ยตอบ
"ไม่ได้ทำที่ว่า คืออะไร"
"น้องหลงยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันเอาทรายมาปาใส่น้องหลง แล้วมันก็สะดุดของเล่นล้มเอง แล้วมันก็มาตีน้องหลง น้องหลงไม่ได้ทำ คุณครูใส่ร้ายน้องหลง" เด็กน้อยค้าน คนเป็นยายจึงถอนหายใจเฮือก
"มานี่มา" เธออ้าแขนกว้าง ก่อนเด็กน้อยจะโผเข้าไปกอดเธออีกครั้ง
แม้แต่ยายเองก็รู้ดี ว่าหลานรักของเธอไม่ใช่เด็กก้าวร้าว อีกทั้งยังถูกครูหนุ่มกลั่นแกล้งด้วย เพราะก่อนหน้านี้บริเวณสนามเด็กเล่นในโรงเรียนเหลือเพียงแค่หลานของเธอและเด็กอีกคนที่เป็นคู่กรณีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะบกพร่องต่อหน้าที่ในการดูแลเด็ก ๆ เพียงแต่เขาตั้งใจที่จะไม่ดูแลเสียมากกว่า
สาเหตุที่เด็กน้อยต้องได้กลับเป็นคนสุดท้ายในโรงเรียนเสมอ เพียงเพราะถูกคนเป็นแม่ละเลย หากยายไม่ไปเห็นลูกสาวกับลูกเขยขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าบ้าน คงไม่รู้แน่ว่าหลานสาวถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนอีกแล้ว เธอจึงต้องรีบไปรับหลานที่โรงเรียนโดยพลันเพราะนี่ก็เป็นเวลาที่ตะวันจวนจะลาลับขอบฟ้าแล้ว กลัวจะเกิดเรื่องกับหลานรักไปเสียก่อน
สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เธอมองมาจากไกล ๆ เห็นว่าหลานสาวของเธอกำลังนั่งเล่นรถบรรทุกของเล่นอยู่ที่กระบะทรายในสนามเด็กเล่นเพียงลำพัง จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก้มลงคว้าทรายมาขว้างใส่เธอแล้วก็หงายหลังล้มไปเอง และผู้ปกครองก็วิ่งมาอุ้มลูกของตนออกไป ถ้าเธอสาวเท้าได้ไวกว่านี้ หลานรักคงไม่ถูกตบตีทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่หลงก็เป็นเสียแบบนี้...ไม่เคยเถียงอะไรเลย ยอมถูกทำโทษเพราะกลัวว่าจะไม่มีเพื่อน แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่มีเพื่อนอยู่ดี
"ไปกินไอติมกันไหม ยายจะพาไปกิน"
"ไม่เอา ยายกินเย็นไม่ได้ ยายจะเสียงแหบ" ว่าพลางกับก้มลงเล่นรถบรรทุกบนกระบะทรายดังเดิม ในขณะที่คนเป็นยายนั่งอยู่ที่ม้านั่งด้านข้าง
ความจริงคนเป็นยายก็ไม่ได้อายุอานามมากถึงขั้นที่จะเรียกว่าผู้สูงอายุได้ แต่เธอเพียงแค่มีเสียงแหบพร่าเพราะสุขภาพไม่ค่อยจะดี ทำให้ทุกครั้งที่พูดออกมาเสียงจะทั้งแหบและเบาจวนจะกลายเป็นเสียงกระซิบอยู่แล้ว แต่เพราะหลงหลานรักได้ยินเสียงความคิดของเธอ จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสนทนาแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกว่าเสียงของยายนั้นอ่อนหวานเสียด้วยซ้ำ
คนเป็นยายนั่งมองหลานรักพลางกับอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู หลงมักจะเป็นห่วงเธอเสมอ
"ค่ำแล้วนะลูก ยังไม่กลับกันเหรอ"
"น้องหลงอยากเล่นทราย ที่บ้านไม่มีทรายให้เล่น"
"เดี๋ยวยายซื้อทรายไว้ให้เล่นที่บ้านดีไหม หลงหลานยายจะได้ไม่ถูกรังแกอีก"
"น้องหลงเล่นทรายที่โรงเรียนได้ เพราะน้องหลงไม่อยากให้ยายเสียเงินซื้อ มันแพงนะ" 
เธอก็เป็นเสียแบบนี้ ใครกันจะไม่เอ็นดู คนอื่น ๆ คงไม่ได้เห็นแก่นแท้ของเธอเสียมากกว่า จึงไม่รู้ว่าหลงหลานรักน่ะ น่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน
"ยายหิวข้าวแล้ว หลงหลานยายจะกลับได้หรือยัง"
"ก็ได้" ว่าพลางกับวางรถบรรทุกลงโดยพลัน ก่อนจะลุกขึ้นใช้มือน้อย ๆ ปัดที่กระโปรงนักเรียนดังตุบ ๆ
"ปะ กลับบ้านเรากันเนอะ" 
"ปะ เดินระวัง ๆ นะยาย เดี๋ยวสะดุดล้ม น้องหลงอุ้มยายไม่ไหวนะ" 
"ฮ่า ๆ"
มือเล็กข้างหนึ่งกุมมือหนาเอาไว้แน่น ก่อนจะเดินนำหน้าไปก่อนทำทีจูงคนเป็นยาย อยากให้หลงหลานรักมีคนที่รักและเอ็นดูเธอจากใจจริงเหลือเกิน อยากให้ทุกคนรู้ว่าเธอน่ารักเพียงใด 
ทำไมฟ้าถึงเอาแต่กลั่นแกล้งเธอนักนะ...


ใครล่ะจะอยากเกิดมาเป็นตัวประหลาด แต่ก็ไม่อาจรู้ถึงที่มาที่ไปว่าทำไมหลงถึงสามารถได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นเมื่อสัมผัสโดนตัวกัน หรือแม้แต่มีสิ่งของที่เป็นตัวกลางเมื่อสัมผัสสิ่งนั้นพร้อม ๆ กัน ก็จะได้ยินความคิดที่สับสนวุ่นวายของคนเหล่านั้นเช่นกัน ไม่มีใครให้คำตอบ ไม่มีสิ่งใดไขข้องสงสัยนี้ได้ ทั้งทางวิทยาศาตร์ หรือแม้แต่ทางไสยศาสตร์
บ้างก็ว่าเธอเป็นลูกของปีศาจ ที่เกิดมาเพื่ออ่านความคิดของผู้อื่นและทำให้เกิดหายนะ เธอจึงไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วย ซ้ำยังถูกรังแกให้บอบช้ำทั้งทางกายและใจ
ยายมักจะบอกเอาไว้เสมอว่า อย่าพูดตามความคิดของใคร อย่าให้ใครรู้ว่าหลงสามารถได้ยินเสียงความคิดของผู้อื่นได้ เพราะเดี๋ยวจะเป็นภัยต่อตัวเอง แต่เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ เธอจะเข้าใจความหมายที่ยายพร่ำสอนได้อย่างไร เธอรู้ก็เพียง...'อย่าพูดสิ่งที่คนอื่นคิดออกมา' ก็เท่านั้น


"แม่!! มีอะไรกินบ้าง หิว!!" ทันทีที่ลูกสาวตัวดีกลับมาถึงบ้านพร้อมกับลูกเขยไร้ประโยชน์ คนเป็นแม่จึงส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนจะชี้ไปที่ตู้กับข้าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"อะไรวะ!? หมูทอดกับน้ำพริกอีกแล้ว ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรือไง!?" เสียงทุ้มจากคนเป็นลูกเขยดังไล่หลังมา
"ใครบอกให้ลืมลูกไว้ที่โรงเรียนล่ะ แม่ต้องไปรับมาให้จะเอาเวลาไหนมาทำกับข้าวให้กิน พากันตระเวนเที่ยวจนพอใจทำไมไม่รู้จักกินข้าวเข้ามา" เสียงแหบพร่าเอ่ยตอบ ใช่ว่าจะเข้าหูคนเป็นลูก
"โอ๊ย!! รำคาญ! ฟังไม่รู้เรื่อง บ่นอยู่นั่นแหละ บอกแล้วไงว่าอย่าเก็บมันมาเลี้ยง หลงมาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นภาระฉิบหาย!!"
ทุกคำที่หลุดมาจากคนเป็นแม่ ลูกสาวได้ยินเต็มสองรูหู เธอไม่ได้หลงมาเสียหน่อย
'เป็นคนเบ่งออกมาแท้ ๆ ยังมีหน้ามาบอกว่าหลงมาอีก คิดจะปัดความรับผิดชอบสินะ' เสียงความคิดที่หลงได้ยิน มาจากคนที่เธอกำลังนั่งอยู่บนตักในตอนนี้
หลง ที่ไม่ได้มาจากคำว่า หลงทาง แต่มันคือการปัดความรับผิดชอบและผลักภาระให้คนเป็นยายเสียมากกว่า เพราะพ่อกับแม่แท้ ๆ อายุยังน้อย ไม่ได้มีความพร้อมในการดูแลลูกแต่อย่างใด หลงน่ะรู้ดี แต่ใช่ว่าจะชินหรือยอมรับได้หรอกนะ
"ฮึก ๆ" เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ดังออกมา หลังจากที่พ่อและแม่วัยใสโยนจานชามพลาสติกระเนระนาดและขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป จะอะไรเสียอีกล่ะ ไม่พอใจก็ไปสังสรรค์กับเพื่อน ทำตัวเป็นภาระแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เรียวแขนทั้งสองข้างโอบกอดหลานรักเอาไว้แน่น ก่อนจะบรรจงจูบลงที่ท้ายทอยเพื่อปลอบประโลม ร่างเล็กจึงหันมาสวมกอดยายเอาไว้พลางกับสะอื้นร่ำไห้ไม่หยุด
"พ่อกับแม่ไม่รักน้องหลง ฮึก ๆ"
"แต่ยายรักหลงหลานยายมากที่สุดนะลูก คนเก่งของยาย ไม่ร้องนะ"
อ้อมกอดของยายน่ะอบอุ่นที่สุดและจริงใจที่สุด ปากพูดอย่างไร ในใจก็เป็นเช่นนั้น ทั้งยังหวงแหนเธอยิ่งกว่าอะไรดี...
.
.
.
.
"เมี๊ยว..."
"เมี๊ยว..."
ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะไขกุญแจเพื่อเข้าห้อง มีแมวลายสลิดมาคลอเคลียที่เท้าจนเธอถึงกับชะงักและก้มมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตัวมันเล็กนิดเดียว ขนฟูฟองบ้างก็ชี้โด่ชี้เด่เพราะมันยังเป็นแมวเด็ก แต่เมื่อเธอย่อตัวลงมันก็กระโจนหนีไปอย่างรวดเร็ว
"อ้าว...ซะงั้น แล้วมาอ้อนทำไมเนี่ย นึกว่าอยากเล่นด้วยซะอีก" เธอยักไหล่ ก่อนจะยืดตัวเต็มและเอื้อมมือไขกุญแจเข้าห้อง
เธอวางกระเป๋าเป้สีดำไว้ที่ข้างโต๊ะญี่ปุ่นก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มขนาดสามฟุตครึ่งที่จัดชิดกับผนังห้องและมีโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับนั่งอ่านหนังสือวางอยู่ด้านข้าง
แต๊ก!
เสียงเปิดสวิตช์โคมไฟอ่านหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น ก่อนแสงสว่างสีเหลืองนวลจะส่องสะท้อนให้เห็นภาพถ่ายวัยเด็กคู่กับคนเป็นยายที่อัดกรอบเอาไว้อย่างดี 
เธอนอนมองมันอยู่อย่างนั้นไปได้พักหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามากอดเอาไว้
"น้องหลงคิดถึงยาย..."
ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากได้ยินเสียงหวานตอบกลับมาว่า ยายก็คิดถึงหลงหลานยายเหมือนกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
ตอนนี้หลงอายุได้ 21 ปีแล้ว หอพักที่เธออาศัยอยู่ก็เรียกได้ว่าราคาถูกมากสำหรับเขตตัวเมืองแบบนี้ ทำให้เครื่องอำนวยความสะดวกไม่ได้มีมากเท่าที่ควร ดีแค่ไหนแล้วที่มีฟูกนอนนุ่ม ๆ ให้ และห้องน้ำในตัว เตียงไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ได้จำเป็นนักหรอก ขอแค่ได้เอนหลังนอนสบาย ๆ หลังจากกลับจากการทำงานที่แสนเหนื่อยล้าก็เท่านั้น
เธอเป็นคนเก่ง สามารถเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีได้ด้วยการชิงทุนเรียนฟรีจนจบการศึกษา แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือการรักษาเกรดเฉลี่ยให้ได้ 3.50 ทุกเทอม แต่สำหรับหลงแล้วนั้น 3.80 ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเรื่องกล้วย ๆ เพราะเธอสามารถครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของรุ่นด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 ทุกปี 
แต่ช่างน่าเศร้า ที่เหตุผลของเกรดเฉลี่ยอันงดงามนี้เกิดจากการที่หลงไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทำให้เวลาที่คนอื่นไปสังสรรค์ คือเวลาอ่านหนังสือเสียส่วนใหญ่ บวกกับแบ่งเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียนเพื่อหาเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนจนกว่าจะเรียนจบ
พ่อแม่น่ะอย่าไปหวังเลย ตั้งแต่ยายเสียก็ไม่เคยเจอหน้าอีกเลย ทั้งสองใช้ชีวิตราวกับโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้ สำมะเลเทเมา ต่อล้อต่อเถียงแม่ ทะเลาะวิวาท อะไรไม่ดีก็อยู่ที่คนสองคนนี้ที่ให้กำเนิดเธอมานั่นแหละ โลกแตกเลยสิ เบื่อเต็มทนแล้ว ปกติก็ใช้ชีวิตราวกับเป็นอากาศธาตุ ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็นฝุ่น หรือมลภาวะจะถูกมากกว่า นอกจากจะไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใครแล้ว ยังถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา และตัวประหลาดเสียด้วยซ้ำ
การที่เธอได้ยินเสียงความคิดของคนอื่น เธอไม่เคยมองว่ามันเป็นความสามารถพิเศษเลย แต่เธอมองว่านี่คือความทุกข์ทรมานที่ทำให้เธอไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกาย ต่อให้อยู่ในเมืองใหญ่ก็รู้สึกว่ามันช่างเงียบงัน หลงยอมฟังเสียงความคิดที่ตรงไปตรงมาเสียยังดีกว่าคำพูดบอกรักแบบจอมปลอม เกลียดที่สุด...คนที่ไม่จริงใจพวกนั้น
เธอจึงเริ่มสร้างกำแพงกักขังตัวเองตั้งแต่จบมัธยมต้น เพราะเริ่มมีความคิดอยากจะปกป้องตัวเองจากคนไม่จริงใจ พวกหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่าง แม้แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้เป็นมิตรแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีดำทะมึน สายตาคมจ้องมองใครทีก็ราวจะฉีกเนื้อให้เป็นชิ้น ๆ รอยยิ้มก็แทบไม่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอเลย หากจะเปรียบกับต้นไม้ ก็คงจะเป็นกระบองเพชรทะเลทรายกระมัง ดูแข็งกระด้าง ทนต่อสภาพอากาศที่แห้งแล้งกันดาร ใครล่ะจะอยากเข้าใกล้เธอ...

เมี๊ยว...
เอี๊ยด...
เสียงบานประตูไม้แง้มออกช้า ๆ เมื่อได้ยินเสียงแมวดังแว่วอยู่ที่หน้าห้อง มันกำลังใช้มือตะปบเชือกรองเท้าของเธอดูน่าสนุกเชียวล่ะ แต่เมื่อเธอแง้มออกให้กว้างขึ้น มันก็รีบกระโจนหนีไปอีกครั้ง
"แม้แต่สัตว์ยังไม่อยากเล่นกับฉันเลยเหรอเนี่ย บ้าจริง...ฉันน่ารักจะตาย มิ้ว ๆ" เธอเลียนเสียงลูกแมวเพราะอยากมีเพื่อน เหงาเต็มแก่แล้ว ไม่มีเพื่อนเป็นคน ขอมีเพื่อนเป็นสัตว์ก็ยังดี
"สงสัยต้องซื้อใจกันแล้วล่ะ" 
เมื่อคิดขึ้นได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้แมวเด็กมาเป็นเพื่อน เธอก็รีบไปคว้ากระเป๋าเป้สีดำขึ้นมาสะพาย จากการคาดเดาแล้วคิดว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้เป็นแน่ หวังว่าจะไม่หนีหายไปเสียก่อนที่เธอจะซื้อใจได้หรอกนะ

ตื๊อ ดึ่ง ~
เสียงสัญญาณร้านสะดวกซื้อดังขึ้นเมื่อมีลูกค้าเดินเข้าร้าน หลงมุ่งหน้าไปยังโซนอาหารสัตว์ทันทีโดยไม่รีรอ ก่อนจะหยิบซองอาหารที่มีพรีเซนเตอร์เป็นแมวลายสลิดเหมือนกันกับแมวเด็กขึ้นมาสามถึงสี่ซอง
"ขนมแมวเลีย อืม...มีแมวต้องมีเรา เอาไอ้นี่แหละ" ว่าพลางกับเดินดุ่มไปที่เคาน์เตอร์เพื่อคิดเงิน แม้แต่ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน แต่เรื่องซื้อใจแมวต้องมาก่อน


"มิ้ว...เมี๊ยว...แง้ว..." เสียงสองสามสี่ขอให้บอก เธอทำได้หมด ขอแค่ให้เจ้าแมวเด็กออกมาหาเธอ
และในที่สุดมันก็โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ แต่มันยังมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าเข้ามาหาเธอ เห็นเขาว่ากันว่า แมวจะคิดว่าเราเป็นเพื่อนหากสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน เธอจำมาจากไหนไม่รู้ และรู้ถูกหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เธอนอนราบกับพื้นไปเสียแล้ว
สภาพของเธอไม่ต่างกับงูดำที่กำลังเลื้อยอยู่บนพื้น ซ้ำยังใส่เสื้อฮู้ดสีดำและกางเกงสีดำอีกด้วย ก่อนจะใช้ฟันฉีกซองขนมแมวเลียและยื่นออกมาเพื่อล่อให้แมวเด็กเข้าหาเธอ
"มิ้ว ๆ มากินเร็วเจ้าตัวเล็ก" ว่าพลางกับเลื้อยเข้าหาเรื่อย ๆ มันเองก็คงจะนึกฉงนว่าเธอกำลังทำอะไร เพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็มองเธอเป็นตาเดียวและซุบซิบกันยกใหญ่
"มะ ๆ มิ้ว ๆ" อีกนิด ใกล้จะถึงตัวมันแล้ว แต่เมื่อเธอยื่นแขนออกมาด้านหน้ามันก็กระโจนหนีเธอไปอีกจนได้
ยัง...เธอยังไม่หมดความพยายาม เธอตัดสินใจบีบซองขนมหยดลงบนพื้นเป็นจุด ๆ และคลานถอยหลังเพื่อล่อมันออกมาจากพุ่มไม้ ในที่สุด มันก็ออกมาดมหยดขนมพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด
"กิน กิน กินสิ...เยส!!" มันเลียกินจนได้
ดูท่าแล้วมันคงชอบ เพราะมันเดินมาเลียตามที่เธอหยดเอาไว้ จนมาถึงตักของเธอ เสียงครางอย่างพึงพอใจดังออกมาเป็นระยะขณะที่เธอใช้นิ้วเกาคางของมัน
"ฉันจะตั้งชื่อแกว่าแมวนะ ถ้าแกออกมาเล่นกับฉัน ฉันก็จะซื้อมาให้กินอีก โอเคนะ"
ครืด ~
"ครางแบบนี้ถือว่าตกลงแล้วนะ" รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดออกมาบนใบหน้าของเธอในรอบกี่ปีไม่อาจทราบได้ มันนานจนลืมไปแล้วว่ายิ้มครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ซื้อใจแมวเด็กได้แล้วล่ะนะ

วันถัดมา
เช้าวันจันทร์ที่แสนสดใส แต่สำหรับหลงนั้นมันน่าเบื่อทุก ๆ วัน ดีหน่อยที่ตอนนี้เธอได้ทำงานเต็มเวลาแล้ว ไม่ใช่เข้างานแบบพาร์ทไทม์อย่างที่ผ่านมา จึงทำให้เธอพอหายเหงาบ้าง เรียนจบแล้วก็สบายขึ้น แต่ใช่ว่าจะหมดภาระ เธอยังต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงตัวเองต่อไป
"หวัดดีค่ะพี่ฮัค พี่จิ้ง" 
"ไงหลง" หลงเอ่ยทักทายพลางกับยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสองด้วยใบหน้าอมทุกข์เช่นเดิม
งานของเธอคือเป็นพนักงานร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักหนังสือเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีหนังสือแบบครบครันทุกหมวดหมู่แล้ว ยังมีมุมให้นั่งอ่านหนังสืออย่างดี จะนั่ง จะนอน จะตีลังกาอ่านก็ย่อมได้ เพราะเจ้าของร้านเห็นว่ารักหนังสือมาก ถึงขั้นยินดีหากจะมีคนเข้ามาอ่านหนังสือฟรี ๆ แต่ก็เฉพาะเล่มที่ไม่ได้ห่อพลาสติกเท่านั้น แต่หลงก็ไม่เคยเห็นเจ้าของร้านที่ว่าเลยสักครั้ง เพราะนี่เป็นวันแรกที่เธอเพิ่งจะได้มาทำงานเต็มวัน สักวันเธอก็คงได้เห็นเองนั่นแหละนะ
"กินข้าวเช้ามายังหลง" หญิงสาวเอ่ยถาม 
"ยังค่ะพี่จิ้ง แต่ซื้อลูกชิ้นหน้าหอกินแล้วแหละ" 
"งั้นมากินกับพี่ ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านหรอก" ชายหนุ่มเชื้อเชิญพลางกับกวักมือเรียก
"ไม่เป็นไรค่ะ กลัวพี่ฮัคไม่อิ่ม"
"อิ่ม! เห็นพี่เป็นคนกินเยอะหรือไง"
"ตัวแกอย่างกับหมีควาย คงไม่ได้กินหมูปิ้งแค่ไม้เดียวแน่นอน ฉันมั่นใจ"
"อ้าวพี่จิ้ง พูดแบบนี้ก็สวยสิครับ"
"ฉันว่าฉันก็สวยพอตัว"
"เหมือนจิ้งหรีดทอด"
"โอ๊ยไอ้นี่!!!" หลงอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งสองหยอกล้อกันแบบนี้เป็นประจำ 
จิ้งหรีด คือผู้จัดการของที่นี่ เธออายุ 28 ปี หุ่นดีราวกับนางแบบ ใบหน้าออกไปทางหมวย ๆ แต่น่ารักใช่ย่อย จะบอกว่าเหมือนดาราจีนเลยยังได้ เธอมีผมสีน้ำตาลประกายแดง และมีหน้าม้าบาง ๆ ส่วน ฮัค คือชายวัย 26 ปี รูปร่างสูงท้วม ผิวขาว ตี๋ แต่มักจะถูกจิ้งหรีดเรียกว่าหมีควาย
สาเหตุที่ทำให้หลงทำงานอยู่ที่นี่นานที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบอ่านหนังสือแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะรุ่นพี่ทั้งสองจริงใจกับเธอ คิดอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น จะด่าก็ด่าตรง ๆ ไม่เคยอ้อมค้อม แบบนี้ถึงจะอยู่กันได้แบบยาว ๆ
"ปะหลง ไปกินข้าวกับพี่" ทันทีที่ฮัคเอื้อมมือมาหวังจะจับที่บ่าของเธอ หลงก็รีบเอี้ยวตัวหลบโดยพลัน เพราะกลัวจะได้ยินเสียงความคิดของเขา เพราะเธอไม่อยากรู้ความลับที่เขาเก็บเอาไว้น่ะสิ
"ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าไปจับตัวน้อง เดี๋ยวผื่นจะขึ้น"
"เห็นพี่เป็นสิ่งสกปรกเหรอหลง"
"เปล่านะคะ"
"ฮ่า ๆ" คนที่ขำสะใจที่สุดคงจะเป็นจิ้งหรีดนี่แหละ ก่อนเธอจะเอาแขนมาคล้องคอหลงเอาไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เธอได้ยินเสียงความคิดของคนเป็นพี่เข้าจนได้
'ไอ้ฮัค! ไม่คิดจะชวนฉันบ้างหรือไง ถามฉันสักคำก็ได้ว่าฉันกินข้าวมาหรือยัง เมื่อไหร่แกจะรู้ตัวสักทีวะว่าฉันชอบแก โอ๊ย!! ไอ้โง่เอ๊ย!!'
นั่นแหละ...เหตุผลที่เธอไม่อยากให้รุ่นพี่ทั้งสองแตะเนื้อต้องตัวเธอเลย หลงไม่ใช่คนที่จะเก็บความลับเก่งนักหรอก ทำไมเธอต้องมารู้เรื่องนี้กันนะ แต่หากเธอจะสะบัดตัวออกก็เกรงว่าเจ้าตัวจะหน้าเสีย หลงจึงได้แต่หัวเราะแห้งกลับไป
"หลงว่า หลงไปจัดหนังสือดีกว่าค่ะ"
"เออก็ดีเหมือนกัน คุณซอลเพิ่งโทรมาบอกพี่ว่าวันนี้จะเข้ามาที่ร้านนะ หนังสือสำหรับเด็ก หลงก็ไปแกะซีลออกให้หมดเลย เด็ก ๆ จะได้เข้ามานั่งอ่านกัน"
"ได้ค่ะพี่จิ้ง"
"ส่วนแกรีบไปกินข้าว แล้วก็รีบมาทำงาน สายแม้แต่นาทีเดียวฉันจะหักเงินเดือนแก"
"อะไรวะ ใจร้ายแต่กับน้องฮัค"
"น้องบ้านป้าแกสิ!! โตเท่าควายแล้ว!!" หลงยิ้ม  เจื่อน ๆ ให้คนทั้งสอง ก่อนจะรีบผละออกจากวงสนทนาเพื่อไปจัดหนังสือตามที่พูดไปก่อนหน้า
ความจริงคนทั้งสองน่ะแอบชอบกันมานานแล้ว หลงรู้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเป็นคนพูด พวกเขาควรที่จะสารภาพออกมาตรง ๆ กันเองมากกว่าให้เธอเป็นตัวกลางคอยบอก
ขณะที่หลงกำลังแกะซีลพลาสติกที่ห่อหุ้มหนังสือการ์ตูนเอาไว้อย่างขะมักเขม้นที่มุมด้านในสุดของร้าน เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินผ่านหลังของเธอไปจนเธอต้องรีบหันขวับ ตอนนี้ร้านยังไม่ได้เปิดเสียหน่อย ใครกันที่เดินเข้ามา ฮัคก็ออกไปกินข้าวหลังร้าน ส่วนจิ้งหรีดก็ก้ม ๆ เงย ๆ เตรียมของอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ 
"หรือว่าจะตาฝาด" ระหว่างที่เธอพูดสายตาก็เหลือบไปเห็นประตูหน้าร้านที่เปิดแง้มเอาไว้ ทำเอาเธอคิ้วขมวด
"พนักงานเข้าที่หลังร้านกันไม่ใช่เหรอวะ แล้วใคร...เป็นคนเปิดประตู..." ปากพูดไป สายตาก็เหลือบมองไป   รอบ ๆ จนไปสะดุดตากับเงาสะท้อนจากเคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นเงาของร่างหนึ่งคล้ายกับเด็กตัวเล็ก ๆ สวมชุดสีขาว เรียกได้ว่าขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างนั้นกำลังเดินตามชั้นหนังสือภายในร้าน
หรือว่าจะเป็นขโมย หลงคิดในใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปดูทันที
พรึบ!!
ว่างเปล่า...ตามชั้นหนังสือก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ที่นี่ หรือว่าจะเป็น...
"ผีหลอก!!!!"
"กรี๊ด!!!!"
"กรี๊ด!!!" 
สิ้นเสียงของหลง จิ้งหรีดที่กำลังง่วนกับการเตรียมเคาน์เตอร์ก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้หลงแทบหมดสติก็คืออีกเสียงหนึ่งที่ดังซ้อนขึ้นมาพร้อม ๆ กัน มันคือเสียงของผู้หญิงที่ดังอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก ร่างของเธอสั่นระริก ขาทั้งสองข้างก็พาสั่นพั่บ ๆ ทำงานที่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอผีหลอก พอมาทำงานเต็มวันเป็นวันแรกก็โดนรับน้องเลยหรือนี่
อยากจะวิ่งหนีออกไปข้างนอกใจแทบขาด แต่ขากลับก้าวไม่ออก และเมื่อเธอรวบรวมสติได้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวไปไหนเสียด้วยซ้ำ ก็มีร่างหนึ่งวิ่งพุ่งพรวดออกมาจากมุมชั้นหนังสือชั้นสุดท้าย ซึ่งเธอมีผมสีขาว สวมชุดเดรสสีขาว ทำเอาหลงถึงกับร้องลั่น
"ว๊าก!!!!"
"กรี๊ด!!!" 
ต่างคนต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผมสีดำขลับหมดสติกลางอากาศแบบฉับพลันและร่างก็ร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกทันที
ตุ๊บ!!!
"กรี๊ด!!! พี่จิ้งหรีดช่วยด้วย!!!"
"คุณซอล!!! เกิดอะไรขึ้นคะ!! เฮ้ย!!! หลง!!!!"