ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"เข้ามาเลย!"
สิ้นเสียงตอบรับเป็นการให้อนุญาต หลงจึงเอื้อมมือหมุนลูกบิดประตูเข้าไปเผยให้เห็นร่างคนตัวเล็กกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน หลงสังเกตท่าทีของคนรักที่เปลี่ยนไปตั้งแต่พี่ชายมาหาถึงร้าน เพราะคนตัวเล็กเอาแต่ง่วนกับการทำงาน ไม่ได้ออกไปหาเธอบ่อย ๆ อย่างเช่นทุกวัน จึงอดแปลกใจไม่ได้
"พี่ซอลเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" เสียงหนึ่งเอ่ยถาม ทำให้ซอลละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เป็นหลงนั่นเองที่เข้ามาหาเธอ
"อ้าว ยังไม่กลับเหรอหลง"
เพราะก่อนหน้านี้ซอลได้บอกหลงไว้ก่อนแล้วว่าหากเลิกงานให้กลับก่อนได้เลย แต่ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปจนตะวันจวนจะบอกลาวันนี้ไปแล้ว หลงกลับยังอยู่ที่ร้าน ทำให้ซอลตกใจไม่น้อย
"วันนี้หลงเห็นพี่ดูเครียด ๆ ตั้งแต่พี่ชายพี่มาที่ร้าน หลงก็เลยรอพี่จิ้งหรีดกับพี่ฮัคกลับบ้านไปก่อน เพราะหลงอยากอยู่คุยกับพี่" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
"ก็เปล่าหรอก ไม่ได้เครียดที่พี่ชายเรามา แต่เราเครียดเรื่องที่จะคุยเรื่องเราสองคนกับครอบครัว"
"ถ้าพี่ยังไม่พร้อม พี่ยังไม่ต้องบอกก็ได้นะคะ คบกันไปแบบนี้หลงก็ไม่ได้ติดอะไร"
"ไม่ได้หรอก เธอไม่ใช่แฟนเก็บนะ ที่จะมาคบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เราอยากให้ครอบครัวเราได้เห็นความน่ารักของเธอ เราอยากให้เธอเข้าบ้านเราได้ตามปกติ"
หลงยิ้มให้แทนคำตอบ แต่ภายในใจลึก ๆ แล้วเธอเองก็หวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญในอนาคตไม่ต่างกัน หลงจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานที่ซอลนั่งอยู่
"พี่เห็นภาพอนาคตของเราสองคนหรือเปล่า ว่าจะเป็นยังไงต่อไป"
"ไม่เลยหลง...ตั้งแต่เจอเธอ เราก็ไม่เห็นภาพอะไรพวกนั้นอีกเลย" เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สีหน้าของเธอดูหนักใจไม่น้อย ซึ่งหลงรับรู้ได้และแบกความหนักใจเอาไว้ไม่ต่างกัน
"งั้นเราก็ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปในแบบที่มันควรจะเป็นเถอะ พี่กังวลไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นหรอก"
"ก็จริง แล้วตอนที่จีนพาเธอออกไป เธอได้คุยอะไรกับจีนไหม"
"คุณจีนบอกว่า ครอบครัวพี่ชอบคนเข้าสังคมเก่งและวางตัวเป็น มันไม่มีอะไรยากหรอก" หลงพูดด้วยรอยยิ้ม
"ใช่ พ่อกับแม่เราค่อนข้างจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ บอกตามตรงว่าค่อนข้างห่วงหน้าตาทางสังคมพอสมควร แต่มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่จีนบอกนั่นแหละ เพราะเธอน่ะเป็นคนน่ารัก วางตัวเก่งจะตายไป เนอะ..." ซอลยิ้มร่าออกมา ก็จริงอย่างที่เธอว่า หลงน่ะวางตัวเก่งจะตาย แต่ภายใต้รอยยิ้มหลงเองก็สัมผัสถึงความกังวลได้เช่นกัน พี่ซอลน่ะ...โกหกไม่เนียนที่สุด
ดูก็รู้ว่าพี่ซอลกังวลมากแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องการวางตัวหรอก ฐานะก็ต้องมีส่วนแน่... หลงคิดในใจ
"คุณจีนนี่ดูรู้เกี่ยวกับพี่เยอะจัง"
"อื้อ จีนรู้เรื่องเราแทบทุกอย่าง และก็รู้ใจเราที่สุดเลยด้วย" ซอลตอบพลางกับหันไปมองนาฬิกาทรงกลมแขวนผนัง อีกไม่นานจวนจะถึงเวลาครอบครัวแล้ว และก็เป็นเวลาที่จะได้ห่างหลงเช่นกัน มันทำให้เธอรู้สึกหวิว ๆ ในใจ
"ปะ กลับกัน เดี๋ยวเราไปส่งเอง เราอาจจะไม่ได้กินข้าวกับเธอนะ เพราะจะต้องไปกินข้าวกับครอบครัว แต่เดี๋ยวเราจะพาเธอไปกินก่อนเข้าหอ"
"ไม่เป็นไรค่ะ พี่ซอลกลับเถอะ หลงว่าจะเดินกลับน่ะ"
"อ้าวทำไมล่ะ มันเริ่มค่ำแล้วนะ ให้เราไปส่งดีกว่า"
"ไม่เอาน่าพี่ซอล ที่ผ่านมาหลงเดินกลับเองตลอด หลงไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ"
"แต่เธอกลัวผี" สิ้นคำของซอลทำเอาหลงถึงกับชะงัก
"อะ อันนี้ก็ใช่ แต่คงไม่มีผีมาเดินตามหลงหรอกนะ"
"ผีอาจจะขี่คอเธออยู่ก็ได้"
"..." หลงนิ่งเงียบ ซอลจึงหลุดขำพรืด
"ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่น...ให้พี่ซอลไปส่งนะคะน้องหลง"
"ก็ได้ค่ะ"
ซอลส่ายศีรษะพลางกับอมยิ้มเพราะอดเอ็นดูหลงไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องเป็นแบบนี้ ต่อให้จะหน้าดุราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดก็ย่อมมีจุดอ่อนอยู่วันยังค่ำ


เมื่อรถเก๋งสีขาวขับมาจอดเทียบกับฟุตบาทหน้าทางเข้าหอพักที่หลงอาศัยอยู่ ซอลนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใจจริงวันนี้อยากกอด อยากอ้อนคนรักให้หนำใจ และเตรียมแผนปฏิบัติการไว้เสียดิบดีแต่ดันล่มเสียได้ การจะได้ห่างกันแม้เพียงคืนเดียวมันก็ทำให้เธอรู้สึกใจหายขึ้นมา
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ" หลงเอ่ยพลางกับปลดเข็มขัดนิรภัยของตน
"ไว้คืนนี้เราโทรหานะหลง"
"คิดถึงหลงล่ะสิ"
"เปล๊า!! ใครจะไปคิดถึงเธอ หน้าดุจะตายไป"
"งั้นคืนนี้หลงจะไม่รับโทรศัพท์"
"ไม่ได้!!" หลงกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อคนตัวเล็กพูดโพล่งออกมา
"ทำไมคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อพี่ไม่ได้คิดถึงหลง"
"โอ๊ย! เธอนี่นะ! ต้อนให้เราจนมุมตลอด ทีตัวเองล่ะ ไม่เห็นบอกรักบอกคิดถึงเราบ้างเลย"
"จะให้บอกอะไรบ่อย หลงไม่ชอบบอก พี่ก็รู้"
"ก็บอกรักบอกคิดถึงให้พี่ซอลใจชื้นบ้างไม่ได้เหรอคะน้องหลง คืนนี้เราจะได้ห่างกันนะ" ซอลทำหน้ามุ่ย สีหน้าของเธอคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ หลงจึงยืดตัวขึ้นและดึงชายเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูกางออกจนเห็นตัวอักษร SOL ได้แบบชัดเจน
"หลงมีพี่อยู่ด้วย หลงไม่คิดถึงพี่หรอก พี่ตามติดหลงยิ่งกว่าผีอีก"
"ปากเสียมากเลยเออ พูดหวาน ๆ เป็นไหม"
"หวาน ๆ"
"ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนนะหลง เรากระโดดถีบเธอกระเด็นไปแล้ว"
"ตัวเล็ก แรงน้อยอย่างพี่เหรอจะถีบหลงกระเด็นได้ มีแต่พี่แหละจะกระเด็นเอง"
"โอ๊ย!! สามหาว!!"
"ฮ่า ๆ กลับบ้านได้แล้วพี่ซอล ครอบครัวรอพี่อยู่"
"หอมแก้มเราก่อนสิ" ซอลทำแก้มป่องข้างหนึ่ง พร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มที่แก้ม แต่อีกคนกลับแสดงใบหน้าเรียบเฉยกลับมา และเปิดประตูลงจากรถไป
"ฝันไปเถอะ"
"ไอ้หมาหลง!!!!"
เสียงตวาดดังไล่หลังมาทำให้หลงแอบอมยิ้มอย่างนึกขำ ต่อให้ได้ยินเพียงแค่เสียงเธอก็รู้ว่าอีกคนมีสีหน้าแบบไหน คงกำลังทำหน้าดุแบบน่ารัก ๆ อยู่กระมัง เฮ้อ...คืนนี้คงคิดถึงแย่เลย
เมื่อรถเก๋งสีขาวขับออกไป หลงยืนมองอยู่อย่างนั้นจนลับตา ความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ช่องว่างในใจของเธออีกครั้ง เวลาแห่งความสุขนั้นช่างเดินเร็วเหลือเกิน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคืนวันพรุ่งนี้ก็จะต้องได้ห่างกันเพื่อให้อีกคนได้มีเวลาให้กับครอบครัว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าระยะเวลาจะร่นเข้ามากะทันหันได้ถึงเพียงนี้ เธอไม่ได้เตรียมใจสำหรับความโดดเดี่ยวในคืนนี้เลย...
"เฮ้อ..."
หลงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับเข้าหอพักของตน แต่ทว่า เธอเหลือบไปเห็นเงาพร่าเลือนของคนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่หน้าห้องของเธอ หลงจึงเดินเข้าไปพลางกับเพ่งมองว่าใครกันที่มานั่งเล่นอยู่แถวนี้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เงานั้น สายตาของเธอเริ่มปรับให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น แท้จริงแล้วเป็นร่างของเด็กคนหนึ่งกำลังนั่งมองเจ้าแมวนำโชคที่เคยเป็นเพื่อนกับเธอ หลงยืนพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของเด็กน้อยผู้นี้ที่หน้าตาไม่คุ้นเคย คงไม่ได้เป็นคนแถวนี้เป็นแน่ เพราะเธออาศัยอยู่ที่แห่งนี้มาเป็นเวลานานและจดจำใบหน้าผู้ที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ได้ดี
หรือจะย้ายมาใหม่?
หลงคิดในใจ ก่อนจะนั่งยอง ๆ เคียงข้างกับเด็กน้อย เจ้าแมวลายสลิดจึงเดินมาคลอเคลียทันทีราวกับคิดถึงเธออย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนอยู่แล้ว ก็เธอเล่นหายไปเป็นอาทิตย์ ไม่มีคนใจดีนำขนมมาให้มันเป็นแน่
"แมวของพี่เหรอคะ" เด็กน้อยเอ่ยถาม
"เปล่าหรอก แมวจรจัดแถวนี้แหละ" หลงตอบพลางกับเกาคางของเจ้าแมวลายสลิดจนได้ยินเสียงครางครืด ๆ มาจากลำคอของมัน
ครืด ครืด ~
"โห...ทำไมพี่จับมันได้คะ หนูพยายามจะจับมันตั้งนาน มันไม่ยอมให้จับเลย" เด็กน้อยอ้าปากกว้างราวกับการสัมผัสเจ้าแมวตัวนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างไรอย่างนั้น
"มันเป็นเพื่อนพี่น่ะ"
"โห...พี่คุยกับสัตว์ได้เหรอ" น้ำเสียงของเด็กน้อยแสดงความอัศจรรย์ใจอีกครั้งจนหลงถึงกับขำพรืด
"เปล่า แค่ต้องซื้อใจมันน่ะ กว่าจะยอมเล่นกับพี่ก็หมดหลายบาทเหมือนกันนะ"
"มันขายหัวใจให้พี่เหรอ"
หลงอมยิ้มออกมาอีกครั้งเพราะอดเอ็นดูไม่ได้ ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กเธอยิ่งไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย แต่ไฉนวันนี้เธอกลับรู้สึกอยากจะพูดคุยกับเด็กน้อยผู้นี้ หญิงสาวผมบลอนด์คงเข้ามาเปลี่ยนเธอกระมัง
คิดถึงจัง...
"มันไม่ได้ขายหัวใจให้พี่ แต่พี่ซื้อขนมให้มัน"
"อ๋อ!!"
"ว่าแต่พ่อแม่อยู่ไหนล่ะเราน่ะ ทำไมถึงมานั่งแถวนี้ล่ะ"
"แม่ฝากหนูไว้กับคุณป้า แต่คุณป้าบอกว่าจะออกไปทำธุระ ดึก ๆ แล้วจะกลับค่ะ" เด็กน้อยพูดพลางกับชี้ไปที่ห้องมุมขวาสุดทางเดินของชั้นหนึ่งที่เป็นห้องพักผ่อนของเจ้าของหอพักแห่งนี้ แท้จริงแล้วคือหลานสาวของคุณป้าเจ้าของหอนี่เอง
โครก ~
ระหว่างที่หลงกำลังนั่งเล่นกับเจ้านำโชคอยู่นั้น เสียงท้องของมันก็ส่งเสียงโครกครากออกมาจนเธอถึงกับชะงัก
"หิวเหรอ"
"ค่ะ" เสียงเล็กตอบกลับมาจากเด็กน้อยที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ แทน ทำเอาหลงถึงกับหันขวับ
"อ้าว แล้วคุณป้ามีอะไรไว้ให้กินหรือเปล่า"
"ไม่มีค่ะ คุณป้ายังไม่กลับ"
"อ่า...แล้วแม่ไปไหน"
"ไม่รู้ค่ะ แม่ให้หนูรออยู่กับคุณป้า"
เด็กน้อยตอบเสียงใส หลงจึงนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอจะได้เจอเรื่องวุ่นวายเข้าเสียแล้ว
"งั้น...ไปกินข้าวกัน" หลงยืนขึ้นเต็มตัวพลางกับปัดฝุ่นที่มือของตน เด็กน้อยจึงยืนขึ้นตามและปัดกางเกงดังตุบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีรอยเปื้อนเสียด้วยซ้ำ แต่ท่าทีของเด็กน้อยผู้นี้กลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรชอบกล แต่เธอก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
จะไปคุ้นเคยได้อย่างไร ก็เพราะเธอไม่ถูกชะตากับเด็กเหมือนกับที่เกลียดสีชมพูนั่นแหละ
"พี่..." เมื่อหลงกำลังจะเดินนำไปก่อนก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกพร้อมกับกระตุกที่ชายเสื้อของเธอ ทำเอาเธอถึงกับชะงักและเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"ว่าไง"
"พี่จูงมือหนูได้ไหมคะ"
"ฮะ!!!?"
ใจจริงก็อยากตอบกลับแบบทันควันว่า 'ฝันไปเถอะ!!' ตามแบบฉบับของตน แต่พอหลงเหลือบไปเห็นครอบครัวหนึ่งกำลังจูงมือลูกสาวข้ามถนน มันจึงทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่า เด็กน้อยกำลังต้องการทำแบบนั้นเป็นแน่
"เอ่อ..." หลงอึกอัก เด็กน้อยจึงเอื้อมมือจับมือของเธอแบบหน้าตาเฉย ทำเอาเธอถึงกับคิ้วขมวด
"เลี้ยงหนมหนูด้วยนะ"
เด็กนี่มัน!!!
"แม่ไม่เคยพาหนูไปกินหนมเลย" สิ้นเสียงใสทำให้หลงคิ้วขมวดอีกครั้ง
"ทำไมล่ะ"
"แม่บอกว่า แม่ไม่มีเงินค่ะ และแม่ก็ไม่เคยเดินจูงมือหนูเหมือนคนอื่น ๆ เลย" หลงนิ่งเงียบและรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
เด็กคนนี้ช่างเหมือนเธอ...
"งั้นพี่จะจูงมือเราไปกินข้าวแทนแม่แล้วกัน"
"เย่!!" เด็กน้อยดีใจกระโดดโลดเต้น ทำให้รอยยิ้มเผยออกมาจากคนหน้าดุทันที
"ไปกินบะหมี่เกี๊ยวกัน"
"ค่ะ!!"


ชามบะหมี่เกี๊ยวสองชามถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะจนดวงตาที่ใสซื่อของเด็กน้อยดูเป็นประกายแวววาวขึ้นมาดุจไข่มุก ก่อนมือน้อย ๆ จะเอื้อมมือมาทางชามที่เป็นเกี๊ยวหมูล้วน หลงจึงรีบแย่งคืนทันที
"แอะ ๆ หยุด! ชามนี้ของพี่!" เด็กน้อยทำหน้ายู่
"ชามนั้นน่าอร่อย"
"ก็พี่ถามแล้วไงว่าจะกินอะไร เราบอกว่าบะหมี่เกี๊ยวก็ต้องชามที่มีเส้นสิ ชามนี้มันเกี๊ยวหมูน้ำของพี่"
"อ๋า...แต่ชามนั้นน่าอร่อยกว่า" เธอไม่ว่าเปล่าแต่เอื้อมมือมาที่ชามของหลงอีกครั้ง เจ้าตัวจึงชูชามบะหมี่ขึ้นเหนือศีรษะและทำหน้าดุใส่ แต่เด็กน้อยหาได้กลัวไม่
"อย่ามาแย่งสิ!"
"ก็ชามนั้นน่าอร่อยกว่าอะ"
"ก็เราไม่ได้สั่งอันนี้จะมาแย่งพี่ไม่ได้!!"
"ขี้งก!!"
เพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เธอไม่ถูกชะตากับเด็ก ๆ แต่เธอกลับทำได้แค่มองค้อนกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"กินของตัวเองไปเลย อุตส่าห์พามากินยังมาว่าพี่ขี้งกอีก เดี๋ยวตีก้นเลยนะเด็กดื้อ!!"
"พี่นั่นแหละดื้อ"
"เฮอะ!"
กว่าศึกแย่งชิงชามเกี๊ยวหมูน้ำจะสงบลงและกว่าหลงจะได้เติมอาหารมื้อเย็นลงท้องไปเสียทีก็ต้องสูญเสียพลังงานไปแทบจะหมดตัว การที่ต้องอยู่กับคนพลังงานล้นเหลือก็ถือเป็นศึกหนักสำหรับเธอพอแล้ว ยิ่งได้อยู่กับเด็ก หลงยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง หลงจึงวางชามลงบนโต๊ะพลางกับมองดูเด็กน้อยตรงหน้ากำลังใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่อย่างทุลักทุเล
จากการคาดคะเน เด็กน้อยคงอายุราว ๆ ห้าถึงเจ็ดขวบได้ การที่จะใช้ตะเกียบด้วยความยากลำบากคงไม่ใช่เรื่องแปลก หลงจึงหยิบส้วมที่อยู่ในกระบอกใส่ช้อนส้อมเพื่อที่จะยื่นให้กับเธอและไม่ลืมที่จะจิ้มเกี๊ยวหมูในชามไปให้ด้วย แต่เด็กน้อยกลับส่ายศีรษะ จึงทำให้หลงแปลกใจไม่น้อย
"อ้าว ทำไมไม่เอาล่ะ พี่แบ่งให้แล้วไง"
"กลัวพี่ไม่อิ่ม"
"อิ่มสิ พี่ไม่ใช่คนกินเยอะขนาดนั้น"
"พ่อก็ชอบพูดแบบนี้เหมือนกัน แต่หนูรู้ว่าพ่อไม่อิ่ม เพราะพ่อเอามาให้หนูจนเกือบหมด พ่อจะอิ่มได้ยังไง" หลงถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่ใสซื่อของเด็กน้อย จู่ ๆ ความรู้สึกเห็นใจก็ประเดประดังเข้าใส่จนทำให้หลงแทบพูดอะไรไม่ออก
หลงนั่งเงียบพลางกับมองเด็กน้อยตักเส้นบะหมี่มาใส่ในชามของเธอ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบในใจ คนเป็นยายก็เคยทำแบบนี้เช่นกัน คนเป็นยายก็เคยพูดเช่นนี้กับเธอ จนในที่สุดชามหมูล้วนของเธอก็เต็มไปด้วยเส้นบะหมี่และผัก เธอจึงสลับที่ชามทั้งสองและก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไรออกมา ซึ่งการกระทำของเธอทำให้เด็กน้อยเอียงคอด้วยสีหน้าฉงน
"เดี๋ยวพี่ก็กินไม่อิ่มหรอก"
"กินไปเถอะ ถ้ากินไม่หมดเดี๋ยวพี่กินให้ก็ได้" คำพูดนี้ คนเป็นยายก็เคยพูดกับเธอเช่นกัน
"ก็ได้ค่ะ"
"ว่าแต่ชื่ออะไรน่ะเรา และอายุเท่าไหร่ เราสองคนยังไม่รู้จักกันเลยนะ"
"ชื่อน้องลูกจ๋าค่ะ อายุเจ็ดขวบ" เธอดันเดาถูกเสียได้ หลงจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ
"เหรอ พี่ชื่อหลงนะ"
"ชื่อเหมือนหมาแถวบ้านหนูเลย"
"เดี๋ยวเจอต่อย!!"
"และพี่ก็น่ารักเหมือนหมาตัวนั้นด้วย"
"เฮ้!!!"
เด็กน้อยถึงกับหลุดขำพรืดที่เธอทำหน้าดุใส่ แทนที่จะกลัวเธอจนร้องไห้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา แต่หลงก็ไม่ได้โกรธเธอแต่อย่างใด กลับแอบกระตุกยิ้มมุมปากเอ็นดูเด็กน้อยเสียอย่างนั้น


"อาซอล!!!" เสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวก่อนเหล่าผู้พิทักษ์ตัวน้อยของอาซอลจะวิ่งกู่กันเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาด้วยความดีใจเมื่อได้พบหน้าอาซอลอันเป็นที่รัก
"ว่าไงคะเด็ก ๆ คิดถึงอาซอลไหม"
"น้องจีน่าคิดถึงอาซอลที่สุด" หลานสาวคนสุดท้องพูดเสียงเจื้อยแจ้วจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ตามวัยของเด็ก ซอลจึงยิ้มออกมาพลางกับลูบศีรษะหลาน ๆ ทั้งห้าคนจนครบ
"ไม่จริง ๆ ธีคิดถึงอาซอลมากกว่า"
"ไม่! ธาคิดถึงอาซอลมากกว่าธีอีก"
"ไม่ใช่สักหน่อย น้องจีนี่คิดถึงอาซอลมากกว่าทุกคนในนี้เลย"
"น้องจีโน่ต่างหาก" แน่นอนต้องมีการถกเถียงกันของเหล่าหลาน ๆ เป็นแน่ ซอลรู้ดี
"เอาล่ะ ๆ อารู้แล้วค่ะเด็ก ๆ ว่าคิดถึงอา กลับไปนั่งประจำที่ได้แล้วนะคะ จะถึงเวลาทานข้าวแล้ว"
"โอเคครับ/ค่า!!"
เมื่อเหล่าผู้พิทักษ์ตัวน้อยวิ่งกลับไปนั่งประจำที่ที่โต๊ะอาหาร ซึ่งวันนี้ครอบครัวอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา อาหารก็ดูหลากหลายเป็นพิเศษราวกับรอต้อนรับเธออย่างไรอย่างนั้น คงเป็นเพราะพี่สะใภ้รู้ว่าเธอจะกลับบ้านจึงเตรียมอาหารไว้รอเป็นแน่ และหลาน ๆ ทุกคนก็ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่ในทางกลับกัน ซอลกลับรู้สึกหวั่นใจว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
"ไง นึกว่าลืมทางกลับบ้านแล้ว" พี่ชายคนโตที่มีท่าทีสุขุมเยือกเย็นเอ่ยขึ้น ซอลจึงยิ้มเจื่อน ๆ กลับไปพร้อมกับเดินไปนั่งประจำที่ของตน ก่อนจะหันไปสบตาพี่สาวของเธอที่มีท่าทีผิดแปลกไปจากเดิม มันยิ่งทำให้เธอหวั่นใจหนักขึ้นเป็นเท่าตัว
"โธ่...พี่โด ซอลไม่ได้ห่างบ้านนานขนาดนั้นไหมคะ แค่อาทิตย์เดียวเอง คิดถึงซอลขนาดนั้นเลยเหรอ"
"เราเคยห่างพ่อกับแม่นานที่ไหนล่ะ" พี่ชายคนกลาง หรือมี เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง
"หยุดเลยนะพี่โด พี่มี น้องอุตส่าห์กลับบ้านก็ช่วยพูดต้อนรับให้รู้สึกอยากกลับหน่อยได้ไหม"
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ฟา ซอลชินแล้ว พี่ ๆ ก็เป็นแบบนี้ตลอด ว่าแต่วันนี้ทำไมทำอาหารเยอะจังคะ มีอะไรพิเศษเหรอ"
"ก็ทำต้อนรับลูกไง ลูกไม่กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์ แม่ก็เลยอยากให้ลูกได้กินอาหารอร่อย ๆ เผื่ออยากกลับบ้านบ่อย ๆ" คนเป็นแม่เอ่ยขึ้น ฟาจึงพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับกลอกตามองบน
"แม่ให้อิสระน้องบ้างได้ไหม จะให้น้องอยู่แต่ในกรอบพ่อกับแม่เหรอคะ"
"เอ๊ะ!! ลูกคนนี้นี่!! มีลูกสาวตั้งสองคน ขอมีสักคนที่เชื่อฟังพ่อแม่บ้างไม่ได้เหรอ"
"ใช่ ฟามันนิสัยเสียแต่ไหนแต่ไร ชอบทำให้พ่อแม่ลำบากใจ ไม่มีลูกมาสืบสกุลให้พ่อกับแม่ด้วย"
"พี่โดพูดแบบนี้หมายความว่าไง!!?"
ตุ๊บ!!!
ในขณะที่บนโต๊ะอาหารกำลังจะเกิดศึกปะทะอารมณ์กันนั้น กลับมีหนึ่งในนั้นทุบโต๊ะดังลั่นจนทุกคนถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินจากไป ตามด้วยภรรยาของเขา
"พี่มี! เดี๋ยวค่ะ รอปราณด้วย!!"
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมด้วยความเงียบ แม้แต่เด็ก ๆ ที่ปกติจะมีแต่เสียงคุยกันจอแจวันนี้ก็เงียบกริบด้วยเช่นกัน แต่คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกเสียจากตักข้าวกินอย่างเงียบ ๆ ซอลจึงได้แต่เหลือบมองทีละคนด้วยความกระอักกระอ่วน
สถานการณ์วันนี้คงไม่เหมาะที่จะพูดอะไรสินะ... ซอลคิดในใจ


"พี่ฟาคะ วันนี้ไม่นอนบ้านเหรอ" ซอลเอ่ยถาม ขณะที่คนเป็นพี่กำลังจะเดินออกจากบ้าน
"ไม่ล่ะ รำคาญพี่โด" เธอตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"พี่โดกลับบ้านตัวเองไปแล้วไง ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทำไมวันนี้ดูแปลก ๆ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะพี่ฟา" ฟาทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างแรง
"ก่อนหน้าที่ซอลจะกลับ พ่อกับแม่เอาแต่พูดยอพี่โด ก็คงจะปราบปลื้มแหละ ลูกชายสุดที่รักของพ่อกับแม่ที่ประสบผลสำเร็จทุกอย่างนี่ แล้วก็ลามมาพูดเหน็บพี่ว่าเป็นลูกชอบแหกกฎ ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง พี่มีก็โดนกดดันเรื่องที่ไม่มีหลานให้อุ้มสักที เฮ้อ!! น่ารำคาญอะ ใครจะอยากกลับมากินข้าวที่บ้านวะ ก็ให้ท้ายแต่ไอ้พี่โดอยู่แบบนี้ จนมันเหลิงแล้วไม่เห็นหรือไง"
"พ่อกับแม่ก็หวังดีแหละ"
"หยุดเลย ซอลเองก็จะถูกกดดันไปด้วยนะ ถ้าซอลยังเดินตามเส้นทางที่พ่อกับแม่ขีดให้ ให้ตายก็ไม่มีความสุขหรอก"
"เฮ้อ...ก็จริง...แล้วพี่เรล่ะคะ วันนี้เห็นนั่งเงียบเลย โดนพ่อกับแม่พูดอะไรใส่หรือเปล่า"
"พี่เรเคยอยู่ในสายตาพ่อกับแม่ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นมันไม่เจ้าชู้โหยหาแต่ความรักหรอก มีลูกสามให้พ่อแม่ขนาดนั้นก็ยังไม่ได้เป็นที่รักเหมือนแฝดเมธีกับเมธาหรอกนะ"
ซอลได้แต่ยืนเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ แท้จริงแล้วเรื่องที่เธอกังวลใจมากที่สุดไม่ใช่เหล่าพี่ชายของเธอ ไม่ใช่พี่คนโตที่ประสบผลสำเร็จทุกอย่าง แต่คือด่านพ่อกับแม่ที่มักจะเจ้ากี้เจ้าการกับลูก ๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็แฝงไปด้วยความหวังดี แต่ความหวังดีเหล่านั้นเธอไม่ได้ต้องการน่ะสิ...
"พี่ฟา..." ซอลเอ่ยเรียกคนเป็นพี่แบบไม่เต็มเสียงนัก
"ว่าไง"
"พี่ฟาว่าพ่อกับแม่จะรับหลงได้ไหม"
"ถึงหลงจะนิสัยดีมากก็เถอะ แต่พี่ไม่เห็นหนทางที่พ่อกับแม่จะยอมรับหลงได้เลย"
"ก่อนหน้านี้พี่ฟาบอกให้ซอลเปิดตัวหลงอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงพูดให้ซอลหมดความมั่นใจแบบนี้ล่ะ"
"เฮ้อ...ก็แค่อยากให้รีบ ๆ บอกว่ามีแฟนแล้ว ไม่ได้ให้เปิดตัวหลงสักหน่อย"
"แต่ทำแบบนั้นก็เหมือนกับแอบคบกันอยู่ดี"
"แอบคบกันมันดีกว่าพ่อกับแม่รู้แล้วไม่โอเคไม่ใช่เหรอ หลงไม่ได้มีพร้อมทุกอย่างเหมือนพายนะ พ่อกับแม่ก็คงว่าหลงไม่ดีพอ หรือไม่เหมาะสมกับซอลอยู่ดี" สิ้นคำของคนเป็นพี่ ทำเอาซอลแทบกระอัก
มันก็จริงอย่างที่พี่สาวว่าทั้งหมด แต่ทุกคนควรจะได้เห็นความน่ารักของหลงสิ ก่อนที่จะตัดสินว่าหลงไม่ดีพอ...
"แล้วสำหรับพี่น่ะ...พี่ว่าหลงเหมาะสมกับซอลหรือเปล่า"
"พี่น่ะยังไงก็ได้นะซอล เพราะคนที่รักหลงคือซอล ไม่ใช่พี่ คนที่จะได้อยู่กับหลง คนที่ได้อยู่เคียงข้างกับหลงก็คือซอล ไม่ใช่พี่ พี่ไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้น พี่แค่พูดในมุมมองของพ่อกับแม่ ซอลก็รู้ว่าที่ผ่านมาที่พี่มีชีวิตเป็นของตัวเองเพราะพี่ดื้อและยืนหยัดที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง แต่สำหรับซอลน่ะ ซอลดูไขว้เขวตลอดเวลา เพราะซอลขี้ใจอ่อน"
"แต่ซอลก็อยากให้หลงเอาชนะใจพ่อกับแม่ให้ได้อยู่ดี ซอลอยากคบกับหลงแบบเปิดเผย ซอลว่าซอลสู้ได้"
"สู้ยังไง ทำยังไงถึงจะชนะใจได้เหรอ ให้หลงมาฟังเสียงความคิดของพ่อกับแม่งั้นเหรอ"
"ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วแต่พ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับ ซอลก็คงต้องทำแบบนั้น ซอลอยากรู้ว่าพ่อกับแม่จะคิดยังไงกับหลง"
"พี่ว่าหลงนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายรับไม่ไหว อย่าพยายามให้หลงใช้วิธีนั้นเลยซอล"
"เฮ้อ...ก็จริง แต่ซอลได้พี่เรมาเป็นพวกแล้วนะ พี่เรรู้แล้วว่าหลงคือแฟนซอล พี่เรบอกว่าจะช่วยซอลด้วย"
"ซอลก็เห็นว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยสนใจพี่เรเลย ซอลว่าพี่เรจะช่วยอะไรได้งั้นเหรอ" ซอลชะงัก คนเป็นพี่จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะน้องสาวอย่างแผ่วเบา
"ทำใจไว้ก็ดีนะ จะได้ไม่เจ็บไปมากกว่านี้ แต่ถ้าคิดว่าจะสู้ ซอลก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด พี่กลับแล้วนะ"
ซอลยังคงยืนเงียบและได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของคนเป็นพี่เดินจากไปจนลับตา ความกังวลใจที่เธอแบกกลับมาที่บ้านด้วยดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว คำพูดของพี่สาวไม่ได้คลายความกังวลในใจเธอแม้แต่น้อย แต่มันยิ่งกดทับหัวใจเธอมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
"หลง...เราจะทำยังไงดี..."


บริเวณลานจอดรถหน้าหอพักเก่า หลงเอาแต่ยืนหันซ้ายแลขวามานานค่อนชั่วโมงแล้วก็ยังไร้วี่แววว่าผู้ปกครองของเด็กน้อยจะมารับกลับไปเสียที เจ้าตัวก็เอาแต่เล่นกับเจ้าแมวลายสลิดรอแล้วรอเล่าจนเริ่มเหนื่อยล้า หลงจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกพลางกับกำโทรศัพท์ในมือเอาไว้แน่น
เฮ้อ...อุตส่าห์รอโทรศัพท์จากพี่ พี่ก็ไม่โทรมาสักที...
ที่เธอไม่ยอมโทรศัพท์หาเจ้าของหอพักหรือผู้ปกครองของเด็กน้อย เป็นเพราะเธอรอสายจากคนรักของเธอนั่นเอง แต่ในเมื่อรออย่างไรก็ไม่มีเสียงแจ้งเตือนจากใคร เธอจึงตัดสินใจกดโทรหาเจ้าของหอพักแทน
ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด...


ตื๊ด...ตื๊ด...ตื๊ด...
อีกทางด้านหนึ่งของปลายสาย หญิงสาวเจ้าของผมสีบลอนด์ทองก็โทรศัพท์หาเธอแบบพอดิบพอดี จึงทำให้ไม่สามารถต่อสายได้
"ทำไมโทรไม่ติดนะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้รอโทรศัพท์จากเราจริง ๆ" ซอลกดโทรออกอีกครั้ง ซึ่งก็ยังได้ยินเสียงสัญญาณแบบเดิม
ตื๊ด...ตื๊ด...ตื๊ด...


'แม่ของหนูน้อยถูกรถชน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล...'
เสียงจากปลายสายที่ทำให้หลงแทบล้มทั้งยืน แม้ปลายสายจะวางไปแล้วแต่เธอก็ยังคงถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อย่างนั้นพลางกับยืนมองเด็กน้อยที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเจ้าแมวลายสลิดที่หน้าห้องของเธอ
เสียงหัวเราะคิกคักช่างบีบหัวใจเหลือเกิน รอยยิ้มนั้นไม่ควรจะจางหายไปจากใบหน้าของเด็กน้อยผู้นี้เลย หลงจึงกลืนน้ำลายดังอึก ก่อนจะพยายามควบคุมสติของตนไม่ให้ร่างกายสั่นเทาไปมากกว่านี้
"นี่...ลูกจ๋า คืนนี้นอนที่ห้องพี่ไปก่อนนะ" หลงพูดพลางกับนั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ กับเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
"ทำไมล่ะคะ แม่ยังไม่มาเหรอ"
"เอ่อ...แม่ไปหาซื้อขนมมาฝากเรานั่นแหละ มันอาจจะไกลมาก เลยต้องใช้เวลาเดินทางนานหน่อย"
"หนูไม่เชื่อหรอก"
"อ้าว...ทำไมล่ะ"
"แม่ไม่มีเงินซื้อขนมให้หนูหรอกค่ะ" หลงจุกจนแทบพูดไม่ออก ก่อนเธอจะยื่นมือออกมาด้วยรอยยิ้ม
"ปะ เข้าห้องกัน พี่มีอะไรให้ดู"
"อะไรเหรอคะ"
"เถอะน่า...จับมือพี่เร็ว"
"ค่ะ" เด็กน้อยตอบรับ ก่อนจะยื่นมือมาจับมือเธอเอาไว้ หลงจึบกุมมือเธอเอาไว้แน่นแล้วจูงมือเธอเดินเข้าไปในห้องนอนของตนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

เมื่อประตูห้องปิดลงพร้อมกับที่ดวงไฟส่องแสงสว่างให้เห็นภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ได้อย่างชัดเจน เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคยกระมังถึงทำให้เธอดูไม่ตื่นเต้นอย่างก่อนหน้า หลงจึงเดินไปคว้าแก้วกระดาษสองใบที่เชื่อมต่อกันด้วยเชือกมายื่นให้กับเด็กน้อยหนึ่งใบ ก่อนเธอจะเดินห่างออกไปจนเชือกที่เชื่อมกับแก้วกระดาษตึง
"ตอนพี่พูดใส่แก้วกระดาษให้เราเอาครอบหูตัวเองไว้นะ" หลงพูดพลางกับชี้ที่แก้วกระดาษ ซึ่งเด็กน้อยยังทำหน้าฉงน เธอจึงนำมาครอบหูให้ดูเป็นตัวอย่าง ก่อนเด็กน้อยจะทำตาม
"ฮัลโหล ๆ ได้ยินพี่ไหม"
"เอ๊ะ!! ทำไมเสียงพี่ดังกว่าเมื่อกี้อีก!!?"
"ต่อไปถ้าเราจะพูดให้เอาครอบปากไว้เหมือนพี่นะ เดี๋ยวพี่จะฟังที่เราพูด" เด็กน้อยเผยรอยยิ้มออกมาจนได้ ก่อนจะนำแก้วกระดาษมาครอบปากของตนด้วยความตื่นเต้น
"ฮัลโหล ๆ พี่หลงได้ยินเสียงหนูไหม"
"ได้ยินชัดแจ๋วเลย"
"คิก ๆ สนุกจัง มันคืออะไรคะ"
"มันคือโทรศัพท์ พี่เอาไว้โทรคุยกับคนบนฟ้า"
"เหรอคะ สายมันสั้น ๆ เอง คนบนฟ้าจะได้ยินเสียงพี่เหรอ"
"ได้ยินสิ เราพูดอะไร คนบนฟ้าจะได้ยินหมดเลย"
"ว้าว...งั้นถ้าหนูโทรหาพ่อได้ไหมคะ พ่อจะได้ยินเสียงหนูไหม"
"ได้ยินสิ ได้ยินอยู่แล้ว ลองคุยกับพ่อผ่านพี่ก็ได้นะ"
"อืม...พ่อคะ วันนี้หนูได้เจอพี่คนหนึ่งที่ชื่อเหมือนหมาแถวบ้านเราเลย"
"เหอะ...ให้ตายสิ" หลงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะที่ยังใช้แก้วกระดาษฟังฝ่ายตรงข้ามพูด พลางกับอมยิ้ม เด็กหนอเด็ก...
"พี่หลงใจดีมากเลยค่ะ พี่หลงต้องเป็นคนดีมากแน่ ๆ เลย พี่หลงพาหนูไปกินบะหมี่เกี๊ยวที่พ่อเคยพาหนูไปกินด้วยแหละ แล้วพี่หลงก็แบ่งเกี๊ยวให้หนูเหมือนที่พ่อทำเลย หนูคิดถึงพ่อนะคะ หนูอยากให้พี่หลงได้เจอแต่คนใจดีเหมือนที่พี่หลงดีกับหนู"
หลงนิ่งเงียบ พลางกับมองเด็กน้อยพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่กำลังถาโถมเข้าใส่อยู่นั้น คือความจริงเรื่องแม่ของเจ้าตัว หรือเรื่องที่เด็กน้อยกำลังคุยกับคนเป็นพ่ออยู่กันแน่
เธอสองคนต่างก็เสียบุคคลอันเป็นที่รักเฉกเช่นเดียวกัน หลงจึงก้าวเข้าหาเด็กน้อยช้า ๆ แต่เท้าทั้งสองข้างมันช่างหนักจนแทบยกไม่ขึ้น แม้ห้องจะไม่ได้กว้างแต่เธอกลับรู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ช่างห่างไกลเธอเหลือเกิน แต่เธอก็ยังคงเดินต่อไป เธอยังคงฝืนก้าวไปข้างหน้าด้วยความยากลำบากราวกับกำลังแบกความรู้สึกอันหนักอึ้งมาด้วย
"อ๊ะ!!"
ทันทีที่เรียวแขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างของเด็กน้อย เจ้าตัวถึงกับชะงักพร้อมกับที่แก้วกระดาษก็ร่วงหลุดจากมือเธอ แต่หลงไม่ได้โกรธเธอแต่อย่างใด กลับกัน...หลงรู้สึกอยากโอบกอดเธอให้แน่นกว่าเดิม
"ลูกจ๋า...เราต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนะ เข้าใจไหม" หลงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
"เข้าใจค่ะ"
"คืนนี้นอนกับพี่ที่นี่นะ คุณป้าฝากพี่ดูแลเราแล้ว"
"โอเคค่ะ"
"ไปอาบน้ำนอนซะนะ วันนี้คงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
"อืม..."


ฟูกนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่เดิมทีมีแค่เพียงหญิงสาวผมสีดำขลับนอนหลับไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว วันนี้ก็คงไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่า...มันคือความรู้สึกโดดเดี่ยวของใครอีกคนที่หลงก็สัมผัสได้
ร่างของเด็กน้อยนอนหลับตาพริ้มหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของเธอ แม้ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่างน้อยขอให้เจ้าตัวผ่านคืนนี้ไปได้อย่างอุ่นใจก็ยังดี...