1 เดือนผ่านไป
"เร็วแม่ ขอกำลังใจหน่อย"
"โอ๊ย ก็บอกไปแล้วไงว่าสู้ ๆ แกจะเอาอะไรอีก"
"ไม่เอาสิ ไม่เอาแค่สู้ ๆ สิ แม่ต้องกอดให้กำลังใจด้วย"
"แกขอเยอะเกินไปแล้วหลง"
"เราตกลงกันว่าไง ไหนแม่บอกจะปรับตัว น้องหลงขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ"
"อือ ๆ แกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ เลย!!"
"คิกคิก"
เสียงหัวเราะคิกคักจากร่างสูงโปร่งที่พยายามออดอ้อนขออ้อมกอดจากคนเป็นแม่จนในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ ถึงแม้จะเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยการฝืนทำ แต่มันก็เพราะแฝงไปด้วยความเคอะเขินจากความไม่คุ้นชินก็เท่านั้น ไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด
ผ่านไปแล้วกว่าหนึ่งเดือนกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ วันนี้หญิงสาวสวมชุดสูททางการดูสุภาพเพื่อเตรียมพร้อมกับการสัมภาษณ์งานในช่วงสาย อาการของคนเป็นแม่หลังจากเกิดอุบัติเหตุก็เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ยังต้องใช้ไม้ช่วยพยุงในการเดิน ด้วยความดูแลของลูกสาวทั้งสองและหญิงวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของหอพัก รวมถึงคู่สามีภรรยาที่มารับอุปการะลูกสาวคนเล็ก ทำให้เธอฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
"คุณป้าคะ หลงฝากแม่ก่อนนะคะ เดี๋ยวสัมภาษณ์งานเสร็จหลงจะรีบกลับมารับช่วงต่อเองค่ะ"
"โอ๊ย! ฉันดูแลตัวเองได้ ก็แค่ขอดูละครที่ห้องแค่นั้นเองไหม ก็ห้องแกมันไม่มีอะไรเลยไง!" คนเป็นแม่เอ็ดเสียงแข็ง
"ก็ให้หลงมีงานทำก่อนไง จะหาที่กว้าง ๆ ให้อยู่ แล้วก็ซื้อทีวีไว้ให้ที่ห้องนอนเลย จะได้ไม่ต้องไปรบกวนคุณป้าเขาทุกวัน"
"งั้นแกต้องสัมภาษณ์ให้ผ่านนะว้อย! เพื่อทีวีของฉัน!!"
"โธ่วา...ก็พูดกับลูกดี ๆ หน่อยเถอะ ได้ข่าวว่าตื่นมาไหว้ศาลตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะขอพรให้หลงสัมภาษณ์งานผ่านไม่ใช่หรือไง" เมื่อหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น ทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับดวงตาเบิกโพลงพร้อมกับหันไปมองค้อนทันที หลงจึงได้แต่หลุดขำพรืด แม่ก็ยังเป็นแม่ที่ปากแข็งคนเดิม แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับดีเลยทีเดียว แต่อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอีกสักระยะเวลาหนึ่ง
"แกล้ง ๆ บอกว่า ขอให้สัมภาษณ์ผ่านนะลูก เพื่อเติมกำลังใจให้น้องหลงหน่อยได้ไหมแม่"
"โอ๊ย! รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก!!"
"ฮ่า ๆ งั้นน้องหลงไปก่อนนะ หวัดดีค่ะ" ลูกสาวเย้าแหย่คนเป็นแม่อีกครั้ง ก่อนจะยกมือไหว้ทั้งสองด้วยความสุภาพนอบน้อม
แม้กำลังใจในตอนนี้จะเต็มเปี่ยมพร้อมที่จะเผชิญหน้า แต่ประสบการณ์การปฏิสัมพันธ์ของเธอนั้นช่างน้อยนิดเสียนี้กระไร อีกทั้งทักษะการพูดที่เธอสะสมมาก็น้อยลงไปด้วย คงจะมีแต่การต่อล้อต่อเถียงเชิงเย้าแหย่คนเป็นแม่นี่แหละที่เธอมีเยอะเสียจนโดนเอ็ดอยู่บ่อย ๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด หากเป้าหมายมีไว้เพื่อพุ่งชน เธอก็พร้อมที่จะพุ่งชนด้วยสิ่งที่เธอมี เพราะนี่คือหนทางที่เธอเลือกแล้ว ว่าจะพัฒนาตัวเองและกลับมาหาหญิงสาวที่เธอรักทั้งหัวใจได้อย่างสมภาคภูมิ...


เมื่อเดินทางมาถึงบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำในส่วนของสำนักงานใหญ่ หญิงสาวถือแฟ้มเอกสารเดินฝ่าผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เพื่อแข่งขันกับเวลา หัวใจของเธอสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นเพราะนี่ถือเป็นอีกครั้งที่เธอจะได้เผชิญกับโลกกว้างด้วยตัวเอง และถือเป็นอีกก้าวของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เธอต้องการ แม้มันจะเกินขอบเขตที่วาดฝันไปมาก แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่เคยเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเธอ
"สวัสดีค่ะ มาสัมภาษณ์งานค่ะ" เธอกล่าวทักทายและยกมือไหว้พนักงานสาวด้วยความสุภาพนอบน้อม ก่อนจะได้รับบัตรแสดงตัวและบัตรคิวในการเข้าสัมภาษณ์มาติดกับปกเสื้อ
พนักงานสาวเดินนำไปยังส่วนด้านในที่จัดเอาไว้สำหรับสัมภาษณ์งานโดยเฉพาะ ซึ่งมีผู้มารอสัมภาษณ์กว่าสิบคน ทำเอาหลงถึงกับกลืนน้ำลายดังอึก เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งของเธอทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปไม่นานนัก มีพนักงานหนุ่มมาแนะนำเรื่องต่าง ๆ ระหว่างรอ ซึ่งการพูดคุยที่เป็นกันเองทำให้ทุกคนต่างผ่อนคลายลงจากความตื่นเต้น โดยเฉพาะหญิงสาวผู้มีใบหน้าดุดันที่แสดงความนิ่งสยบทุกสิ่ง แต่ในใจของเธอตื่นเต้นจนหัวใจแทบทะลุออกจากอกอยู่แล้ว
เราต้องทำให้ได้...เพื่อให้พี่ซอลภูมิใจ...

เวลาผ่านไปค่อนชั่วโมง ผู้มาสัมภาษณ์สลับหน้ากันเข้าและออกจากห้องที่มีประตูทึบสีน้ำตาลดูเรียบหรูบ่งบอกถึงการออกแบบที่ทันสมัยของบริษัท ทุกครั้งที่ประตูบานนั้นเปิดออกจะได้รับไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนหลงถึงกับขนลุกซู่ สีหน้าแต่ละคนที่ออกมานั้นแตกต่างกันออกไป แต่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไร จนกระทั่งถึงคิวที่เธอจะต้องเข้าไปในห้องหลังประตูทึบบานนี้แล้ว
"คิวที่เก้าค่ะ"
"ค่ะ"
หลงยืนขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจ แต่ในใจกลับแฝงไปด้วยความประหม่า พร้อมกับจัดชุดสูทแบบกระโปรงของตนให้ดูเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง 
บรรยากาศภายในห้องนั้นสัมผัสได้ถึงความกดดัน อีกทั้งเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบจนขนลุกซู่อีกครั้ง สายตาสามคู่ต่างจับจ้องมาทางเธอตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องจนกระทั่งมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน เธอจึงทำความเคารพด้วยความนอบน้อมและรอสัญญาณจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ยินสัญญาณหรือเสียงตอบรับใด ๆ นอกจากสายตาที่จับจ้องมาทางเธอราวกับกำลังรอดูว่าเธอจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
"ขออนุญาตนั่งนะคะ"
"เชิญครับ" เสียงเรียบนิ่งตอบกลับมา หลงจึงโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมเอาไว้ให้สำหรับผู้มาสัมภาษณ์ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้กล่าวแนะนำตัว ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน
"รู้จักใครในบริษัทไหมคะ" หลงแปลกใจเล็กน้อยกับคำถาม แต่เธอก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ
"ไม่ค่ะ"
"คนก่อนหน้านี้เป็นน้องสาวของผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้ชายคนก่อน ๆ ก็เป็นเพื่อนกับฝ่ายบุคคล ต้องบอกว่าทุกคนที่รอสัมภาษณ์ต่างก็เป็นคนรู้จักกับคนในทั้งนั้น แต่คุณไม่รู้จักใครเลยแบบนี้จะสู้เขาได้เหรอ ไม่กลัวจะเสียเวลาเหรอครับ"
ถ้าบอกว่า...เคยเป็นแฟนกับน้องสาวท่านประธานจะดูข่มคนอื่นไปไหมนะ... หลงคิดในใจ แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
"ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลยค่ะ ฉันมั่นใจว่าฉันมีศักยภาพมากพอค่ะ ยิ่งไม่รู้จักใครเลยฉันยิ่งต้องพยายามให้มาก"
ทุกสายตายังคงจับจ้องเธอราวกับสอบสวนนักโทษ บรรยากาศที่กดดันแบบนี้เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย มันทำให้เธอประหม่า แต่เธอก็ยังคงยิ้มสู้
"พรุ่งนี้คุณเริ่มงานได้เลยนะคะ แปดโมงเช้าให้มารายงานตัวที่ชั้นสี่ค่ะ เรียบร้อยค่ะ คุณกลับได้เลย"
"คะ!?" 
หลงถึงกับอ้าปากเหวอด้วยความฉงน นี่ไม่ได้เรียกว่าสัมภาษณ์งาน นอกจากจะไม่มีพิธีรีตองใด ๆ แต่ทุกอย่างราวกับว่าทุกคนต้องการเห็นหน้าเธอก็เท่านั้น มันอดคิดไม่ได้เลยว่าที่ทุกอย่างมันง่ายดายขนาดนี้มันจะเพราะคนตัวเล็กที่เป็นน้องสาวของประธานบริษัท ที่เธอเตรียมตัวมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคืออะไรกัน
แม้จะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หลงจำต้องเดินถือแฟ้มเอกสารออกจากห้องด้วยสีหน้าฉงน ผู้ที่รอการสัมภาษณ์ต่อจากเธอต่างก็มองเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก็เพราะคนอื่นได้สัมภาษณ์นานเกือบครึ่งชั่วโมง แต่หลงกลับได้เดินออกมาในเวลาไม่กี่นาที คงจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีหรือถูกไล่ตะเพิดออกมาเป็นแน่ ถึงได้แสดงสีหน้าเช่นนั้น 
"คิวที่สิบค่ะ"
"ไม่ต้องเสียใจนะน้อง ครั้งหน้าเอาใหม่" 
ชายหนุ่มคนถัดไปเดินมาตบบ่าเธอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้ม แต่หลงยังคงยืนนิ่งราวกับถูกปิดสวิตซ์
"อะไรวะเนี่ย..." เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะเรียกสติอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินจากไปท่ามกลางสายตาคนอื่น ๆ ที่ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจเธออยู่


"สัมภาษณ์เป็นไงบ้างหลง!? ทำไมกลับมาเร็วแบบนี้เนี่ย!?" คนเป็นแม่เอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นลูกสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องส่วนตัวของเจ้าของหอพักซึ่งเธอกำลังนั่งรอลูกสาวอยู่ที่โซฟาไม้สักภายในห้อง
สีหน้าของหลงยังคงเต็มไปด้วยความฉงนและคำถามมากมาย มันต้องมีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นแน่ ไม่ชอบเอาเสียเลย...
"เขาบอกว่าพรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย" หลงตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก
"เฮ้ย!!! จริงเหรอ!!? แบบนี้ก็เท่ากับว่าผ่านแล้วสิ"
"น่าจะนะ"
"บอกว่าเริ่มงานได้เลยก็แปลว่าผ่านสิวะ ทำไมหงอยเป็นหมาแบบนี้ ไม่ดีใจหรือไง"
"ไม่รู้สิแม่ หลงไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี ทุกอย่างมันง่ายไปหมด อยู่ดี ๆ หลงก็ผ่านทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ถามอะไรเลย"
"โอ๊ย! แกควรดีใจสิ ทุกอย่างมันง่ายก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง"
"จะว่าดีใจก็ดีใจแหละ แต่ไม่รู้ว่าที่หลงได้งานง่ายแบบนี้เพราะคุณมีกับคุณปราณ หรือพี่ซอลช่วยหรือเปล่า มันดูง่ายเกินไป"
"เขาช่วยก็ดีสิ จะได้มีงานทำ"
"แบบนี้มันก็แปลว่าหลงยังพึ่งบารมีคนอื่นอยู่สิแม่ มันเท่ากับว่าหลงไม่ได้พยายามอะไรเลยนะ"
"แกจะคิดมากทำไมวะ ได้งานทำแล้วก็ควรดีใจ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เขาให้โอกาสแกมันก็ดีแค่ไหนแล้ว!"
"หลงอยากใช้ความสามารถของตัวเองไงแม่!"
"โอ๊ยวุ่นวายจังวะ!! จะไปไหนก็ไปไป๊!"
"จะให้ไปไหนได้ ห้องหลงก็อยู่ใกล้แค่นี้"
"ไปให้ไกลจากตรงนี้ไง"
"เฮ้อ...เย็นนี้เราก็จะได้เข้าไปพบครอบครัวคุณมีครั้งแรกแล้ว แม่อย่าทำให้ขายหน้านะ ห้ามเรียกร้องอะไรเด็ดขาด เพราะแค่นี้เราก็ได้รับมากพอแล้ว"
"แกเห็นฉันเป็นคนยังไงน่ะหลง"
"ไม่รู้แหละ ตามที่เราตกลงกันไว้ ถ้าแม่ดื้อน้องหลงจะไม่ซื้อทีวีให้"
คนเป็นแม่เบ้ปากกลับมาเพราะเหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียงกับลูกสาวคนโตเต็มทนแล้ว หลงเองก็ส่ายศีรษะกลับไปด้วยความเอือมระอา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตน แต่ทว่าเธอก็ต้องชะงัก
กระเป๋าสะพายข้างสีดำแบบหนังอย่างดีวางอยู่บนฟูกนอน ซึ่งสภาพของมันดูเก่าและมีตำหนิเล็กน้อย แต่ก็พอดูออกว่ามันคือของแบรนด์ที่ราคาสูงพอสมควร พร้อมทั้งสมุดบันทึกเล่มใหม่และปากกาสำหรับผู้บริหาร วางอยู่ข้างกัน หลงจึงหยิบขึ้นมาดูทีละชิ้น ซึ่งทั้งกระเป๋าและปากกานั้นเรียกได้ว่าราคาสูงลิ่วจนหลงแทบไม่กล้าซื้อ ใครกันที่เป็นคนให้เธอมา
หลงเปิดสมุดบันทึกหน้าแรกจึงได้พบว่า มันมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงแต่ข้อความนั้นมีการสะกดคำแบบผิด ๆ ถูก ๆ ราวกับเด็กหัดเขียน เธอจึงนำขึ้นมาอ่านด้วยความตั้งใจ

ไม่ลู้ว่าจะสำพาดผ่านไหม แต่แม่อยากให้ของขวันลูกนะ เงินเก็บทั้งหมดที่แม่มี แม่เอามาซื้อปากกาให้ลูกแล้ว คนขายบอกว่า มันเป็นปากกาที่ดีที่สุดในล้าน แต่ทำไมมันถึงได้แพงแบบนี้ก็ไม่ลู้ เขียนแล้วมันจะเป็นยังไงมาเล่าให้ฟังด้วยนะ ส่วนกระเป๋าแม่ขอซื้อต่อจากคนขายนั่นแหละ เขาบอกว่ามันทนมาก และเป็นหนังอย่างดีด้วย ขอให้ใช้ได้ยาว ๆ จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อย ๆ
ขอโทษที่แม่ให้ลูกได้แค่นี้ แต่มันก็ทั้งหมดที่แม่มีแล้ว ขอบคุณที่คอยดูแหลแม่อย่างดีนะ ต่อไปนี้สันยาว่าจะเป็นแม่ที่ดี จะดูแหลลูกอย่างดี 

แม่รักหลงนะ.

"ดูแหลอะไรล่ะ ดูแลสิ บ้าเอ๊ย...ฮ่า ๆ ฮึก ๆ"
น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาประปนกับรอยยิ้ม มันคือความตื้นตันใจที่หลงไม่คาดคิดว่าจะได้รับจากคนเป็นแม่มาก่อน เธอกำปากการาคาแพงเอาไว้แน่น ก่อนจะใช้มืออีกข้างปาดน้ำตาพร้อมกับสะอึกสะอื้นอย่างไม่อาจกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ได้
หลงวิ่งออกจากห้องทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้าไปสวมกอดร่างคนเป็นแม่จนเจ้าตัวถึงกับต้องรีบผลักร่างของเธอออก
"อะไร!? ออกไปเดี๋ยวนี้ มากอดทำไม อึดอัด!!"
"น้องหลงก็รักแม่นะ ฮึก ๆ" สิ้นคำพูดของลูกสาว คนเป็นแม่ชะงักและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งตบหลังเบา ๆ ส่วนมืออีกข้างประคองศีรษะลูกสาวให้ซบลงที่หน้าอกของเธอเอาไว้
"โชคดีมีชัยนะลูก ขอให้หลังจากนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้น"
"ของแพงขนาดนี้แม่ซื้อให้น้องหลงทำไม ทำไมแม่ไม่เก็บเงินไว้ใช้"
"จะให้แม่ใช้อะไร แม่ก็ตัวคนเดียว"
"แม่ แต่ปากกาที่แม่ซื้อให้น่ะ มันปากกาผู้บริหารเลยนะ" หลงว่าพลางกับเงยหน้ามองคนเป็นแม่ที่ทำหน้าเหลอหลา ทำเอาเธอถึงกับหลุดขำพรืด
"จริงเหรอ!? ก็เขาบอกว่ามันเป็นปากกาที่ดีที่สุดในร้าน แม่ก็ตัดสินใจซื้อเลย"
"โดนหลอกขายแล้วแหละคุณวารุณี"
"โดนหลอกอะไรกัน เขามองการณ์ไกลต่างหาก เขาเห็นว่าหลงจะได้เป็นผู้บริหารนะ"
"น้องหลงไปสมัครเป็นพนักงานการตลาดนะแม่ ไม่ได้ไปสมัครเป็นผู้บริหาร" หลงพูดปนขำ ยิ่งได้เห็นสีหน้าเหลอหลาของคนเป็นแม่ เธอยิ่งอยากจะเย้าแหย่ให้หนัก
"อ้าว แล้วไปสมัครเป็นผู้บริหารไม่ได้เหรอ"
"ฮ่า ๆ แม่! ถ้าน้องหลงไปสมัครเป็นผู้บริหาร น้องหลงคงโดนไล่ตะเพิดออกมาน่ะสิ ผู้บริหารนี่ระดับสูงเลยนะ"
"ใครจะไปรู้ล่ะ แม่ไม่ได้เรียนหนังสือ แม่ไม่เข้าใจ" 
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงจึงพอเข้าใจว่าทำไมข้อความที่เขียนนั้นถึงได้สะกดแบบผิด ๆ ถูก ๆ แต่เธอกลับยิ้มออกมาด้วยความชื่นชมคนเป็นแม่ที่พยายามที่จะเขียนสื่อสารกับเธอ และเธอรับรู้ได้ว่าทุกคำล้วนแล้วแต่มาจากใจทั้งสิ้น
"ยิ้มอะไร จะหัวเราะเยาะแม่ใช่ไหมที่มีผัวตั้งแต่เด็ก"
"สำหรับน้องหลงแม่เก่งที่สุดเลย ขอบคุณนะคะ" 
ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มขึ้นสี แม้แต่จะตอบลูกสาวเธอยังพูดไม่เป็นคำ จะมีก็เพียงลมออกมาเท่านั้น ยิ่งหลงกระชับอ้อมกอดเธอแน่นขึ้น เธอก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกราวกับเพิ่งได้รับการยอมรับจากลูกสาวอย่างไรอย่างนั้น
"โอ๊ย อึดอัดชะมัด"
"เขินอ๋อ...คุณวารุณี"
"กวนตีน เดี๋ยวทุบหัวแบะ"
"ฮ่า ๆ คุณแม่พูดไม่เพราะเลยค่ะ"
"พูดเพราะ ๆ แล้วมันกระดากปาก"
"พูดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินค่ะ"
"ไม่ล่ะ ไม่อยากชิน ไปเปลี่ยนชุดได้แล้วไป แล้วก็พักผ่อนซะ จะได้เตรียมตัวไปบ้านพ่อแม่ลูกจ๋าตอนเย็น"
"ค่ะแม่ งั้นน้องหลงไปนอนก่อนนะ เมื่อคืนเตรียมตัวสัมภาษณ์จนแทบไม่ได้นอน ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับอีก"
"รีบไปนอนพักซะ แม่จะดูทีวีอยู่นี่แหละ ไม่เข้าไปรบกวนหรอก"
"ถ้าแม่อยากพักก็เข้าไปได้นะ น้องหลงไม่ว่าอะไร"
"อื้อ ๆ"


ตกเย็น
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถคันหรูสำหรับเดินทางไปที่บ้านพ่อและแม่บุญธรรมน้องสาวของเธอเอง คนที่ตื่นเต้นกว่าใครกลับเป็นหญิงสาวหน้าดุที่เอาแต่นั่งกุมมือตัวเองจนแดงเถือกไปหมด
ตั้งแต่วันนั้นที่เธอได้ตัดรอนไป ทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ป่านนี้คนตัวเล็กจะเป็นอย่างไร จะยังร้องไห้เสียใจอยู่ไหมนะ...คิดถึงเหลือเกิน หวังว่าวันนี้จะได้เจอกันดั่งที่หวัง เธออยากเอาความภาคภูมิใจไปมอบให้อีกคนจนแทบจะอดรนทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ทันทีที่รถคันหรูได้เข้ามายังเขตบ้าน ทำเอาทั้งหลงและคนเป็นแม่ถึงกับอ้าปากตกตะลึง เพราะมีบ้านหรูแตกต่างสไตล์เรียงกันถึงห้าหลังในละแวกเดียวกัน และรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ฝั่งโรงจอดรถ ถึงแม้น้องสาวของเธอจะเคยมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้กินข้าวร่วมกันทั้งครอบครัว และเป็นครั้งแรกที่ลูกจ๋าจะได้พบกับปู่และย่าอีกด้วย หลงจึงรีบสะกิดคนเป็นแม่แบบทันควัน
"แม่ อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้นะ" หลงกระซิบเบา ๆ เพราะกลัวว่าคู่สามีภรรยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าจะได้ยิน
"รู้แล้วน่า ย้ำอะไรบ่อย"
"ต้องย้ำสิ"
"อือ ๆ แม่จะไม่เรียกร้องค่ะลูก" หลงทำหน้ายู่ เอาเข้าจริง ๆ เธอก็ไม่ชินกับการที่แม่จะพูดเพราะ ๆ กับเธอแม้แต่น้อย
"ปะ! ถึงบ้านแล้วครับ หลงกับคุณวาก็ตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจนะ ก็แค่ทานข้าวร่วมกัน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรด้วย"
"ค่ะคุณมี"
"ไม่ต้องตื่นเต้นด้วยนะ ทำตัวตามสบาย ทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเลย อย่าไปเกร็งค่ะ"
"ค่ะคุณปราณ"
ดูเหมือนคู่สามีภรรยาจะรับรู้ได้ถึงรังสีความประหม่าและความตื่นเต้นผ่าซ่านมาจากเบาะด้านหลัง เขาและเธอจึงรีบทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่ถึงกระนั้นมันก็ช่วยได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
"วันนี้หนูจะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะลูก แถมยังจะได้เจอน้อง ๆ ของหนูด้วยนะคะ"
"หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ"
"ถ้าเทียบแล้ว หนูอายุเท่าพี่จีนี่ที่เป็นคนโตสุดของบ้านเลย เดี๋ยวแม่จะแนะนำหนูให้รู้จักน้อง ๆ เองลูก"
"ว้าว!! หนูจะมีน้องแล้ว!!"
ทุกคนยิ้มร่าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินเข้าไปยังบ้านหรูหลังที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบ้านทั้งหมด ยิ่งระยะเวลามันใกล้เข้ามาทุกที หลงก็ยิ่งรู้สึกประหม่า ทั้งตื่นเต้น ทั้งคิดถึง และหวาดหวั่นในคราวเดียวกัน ใจหนึ่งเธอก็กลัวว่าคนตัวเล็กจะโกรธจนหลบหน้าเธอไปแล้ว
ปัง!! ปัง!! ปัง!!!
"ยินดีต้อนรับ!!!"
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน พลุกระดาษก็ถูกจุดพร้อมกับเสียงเอ่ยต้อนรับจากสมาชิกในครอบครัวมากหน้าหลายตา ภายในบ้านมีการนำลูกโป่งมาประดับตกแต่งราวกับงานเทศกาล หลงกุมมือคนเป็นแม่เอาไว้แน่นด้วยน้ำความปราบปลื้ม ไม่คิดเลยว่าครอบครัวคนตัวเล็กจะต้อนรับครอบครัวเธอถึงเพียงนี้ แต่ทว่า...เมื่อเธอกวาดสายตาไปรอบ ๆ กลับไร้ซึ่งวี่แววของคนที่เธอต้องการพบมากที่สุด ทำเอาหัวใจของเธอถึงกับหล่นฮวบราวกับตกเหว 
"ไหนหลานสาวปู่" ชายสูงวัยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เด็กน้อยจึงเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อยดั่งประกวดการไหว้ ทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะร่า ก่อนที่หลงและคนเป็นแม่จะยกมือไหว้บ้าง
"สวัสดีค่ะคุณปู่ สวัสดีค่ะพี่น้องที่น่ารักของหนูทุกคน"
"ตายจริง! ยัยเด็กคนนี้นี่ ทำไมถึงพูดเก่งแบบนี้นะ" หญิงสูงวัยคาดว่าจะเป็นคุณย่าเอ่ยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะโผเข้ามาสวมกอดหลานสาวด้วยความอบอุ่น
"ผมว่าเราไปทานข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน" ชายรูปร่างสูงโปร่งที่หลงไม่เคยเห็นมาก่อนเอ่ยขึ้น
"วันนี้ภรรยาของผมแสดงฝีมือแบบสุดความสามารถเลยนะครับคุณวา หลง!" เร หรือพี่ชายอีกคนที่หลงเคยเห็นมาก่อนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินมาต้อนรับเธอและแม่เพื่อนำไปโต๊ะอาหาร แต่ทว่าสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาทางเธอมันทำให้หลงเสียวสันหลังวาบราวกับถูกสายตาพิฆาตจ้องมองอย่างไรอย่างนั่น
จะใครเสียอีก ก็ฟา...พี่สาวของคนตัวเล็กที่แทบจะทุบประตูเข้าไปหาเธอในวันที่เกิดเรื่องนั่นเอง 
"สวัสดีค่ะพี่ฟา พี่พาย"
"เกร็งอะไรขนาดนั้น นี่อย่าบอกนะว่ากลัวพี่อยู่?" เธอเอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น หลงจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาตอบรับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"ก็ตัวเองวีนน้องขนาดนั้น ใครล่ะจะไม่กลัว"
"ก็มันโมโหนี่ ไม่ทุบประตูก็ดีแค่ไหนแล้ว"
"เอาน่า ปะ เข้าไปทานข้าวกัน" สาวหล่อตบบ่าเธอเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ พร้อมกับโอบไหล่พาเดินไปยังโต๊ะอาหาร
วันนี้อาหารถูกจัดเตรียมบนโต๊ะหลากหลายเมนูและมากพอสำหรับการสังสรรค์แบบครอบครัวใหญ่ หลงไม่ลืมที่จะเหลือบดูท่าทีของคนเป็นแม่ ที่ตอนนี้ดูสงบเสงี่ยมท่าทีเป็นพิเศษราวกับคนละคน เธอดูวางตัวได้ดีจนหลงเองก็ประหลาดใจ แต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นกันเองทำให้เธอโล่งใจขึ้นมาบ้าง
"เชิญนั่งครับ เชิญ ๆ ทำตัวตามสบายเลยนะ" ชายสูงวัยเชื้อเชิญลูกหลานและแขกของตนอย่างเป็นมิตร ก่อนจะนั่งประจำที่ของตนที่หัวโต๊ะ 
หลงกวาดสายตาดูรอบ ๆ อีกครั้ง รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าทุกคนดูจริงใจปราศจากท่าทีที่ดูถูกดูแคลน ทุกคนให้การต้อนรับที่อบอุ่นเสียจริง เด็ก ๆ ก็ดูเข้ากันได้ดี และดูเหมือนน้องสาวของเธอจะเป็นหัวหน้าแก๊งเด็ก ๆ ไปเสียแล้ว ด้วยความที่ดูโตกว่าวัย อาจทำให้เด็ก ๆ ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเธอกระมั้ง หลงจึงยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม
"อาซอลมาแล้ว!!!" ทันทีที่ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น หลงถึงกับหันขวับ
ร่างคนตัวเล็กวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะโค้งทักทายทุกคนแบบอ้อมวง จนมาหยุดชะงักเมื่อทั้งสองได้สบตากัน หัวใจของหลงเต้นระรัวอีกครั้ง หญิงสาวผู้นี้ทำให้เธอตกหลุมรักได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าจะพบเจอกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเธอก็แทบอยากจะโผเข้าไปสวมกอดทุกครั้ง
คิดถึงเหลือเกิน....พี่ซอลคนสวยของน้องหลง
หลงไม่รู้ตัวเลยว่าที่นั่งที่เธอนั่งอยู่ในตอนนี้ คือที่ประจำของคนตัวเล็ก แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะเดินมานั่งเก้าอี้ตัวถัดไปที่อยู่ข้าง ๆ กันแทน กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของเธอโชยมาแต่ไกล จนหลงได้แต่กลืนน้ำลายดังอึก หากอยู่กันสองคน เธอคงอดใจไม่ไหวและคว้าอีกคนเข้ามากอดเป็นแน่
"เลือกที่นั่งถูกซะด้วย รู้ไหม ว่าตรงนี้คือที่ของเรา" เธอพูดด้วยรอยยิ้มที่สดใส ผิดจากครั้งล่าสุดที่ได้พบกันเป็นไหน ๆ
"อ๊ะ! พ...พี่จะนั่งตรงนี้ไหม เดี๋ยวหลงเปลี่ยนคืนให้"
"ฮ่า ๆ นั่งเถอะ เราไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น แต่ให้เรานั่งตักเธอก็ได้นะ เรายิ่งไม่ซีเลย" หลงกลืนน้ำลายดังอึกอีกครั้ง เจ้าตัวจะรู้ไหมนะ ว่าหลงแทบอยากจะคว้าเธอเข้ามากอดจนอดรนทนไม่ไหวอยู่แล้ว
"พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย" หลงกระซิบเบา ๆ
"เอาล่ะ ๆ คู่นั้นเลิกจีบกันได้แล้ว ต่อหน้าหลาน ๆ นะ" เรเอ่ยขึ้น ทั้งสองจึงรีบผละจากกันทันที
"จีบอะไรเล่าพี่เร ซอลก็แค่ทักทายหลงเอง"
"อ๋อเหรอ แล้วไปทำวีซ่ามาเป็นยังไงบ้าง"
"เรียบร้อยแล้วค่ะ พร้อมเดินทาง"
สิ้นคำพูดทำเอาหลงถึงกับชะงัก และหันขวับไปหาคนตัวเล็กทันที แต่เจ้าตัวเพียงแค่ยิ้มตอบกลับมาเท่านั้น ไม่ได้ไขข้อข้องใจใด ๆ ทั้งสิ้น 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หลงไม่คาดคิดไม่คาดฝันเลยว่าเธอจะได้การต้อนรับที่อบอุ่นได้ถึงเพียงนี้ ชีวิตของเธอที่เคยอยู่ท่ามกลางความมืดมน ตอนนี้ราวกับมีแสงสว่างนำทาง แต่นั่นมันกลับทำให้เธอเห็นข้อผิดพลาดของตนได้ชัดเจนขึ้น สิ่งที่เธอตัดสินใจไปแล้วทำให้อีกคนต้องเสียน้ำตา เธอจะให้อภัยตัวเองได้อย่างไรกัน ยิ่งครอบครัวอีกฝ่ายดีต่อเธอมากเท่าไหร่ เธอยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้แต่แม่ของหลงก็สามารถสร้างสีสันให้บรรยากาศดูครื้นเครงยิ่งขึ้น เธอไม่เรียกร้องอะไรดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกสาวคนโต บรรยากาศโดยรอบตลบอบอุ่นไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ แต่กลับมีคนหนึ่งที่เก็บซ่อนความสับสนไว้ภายใต้รอยยิ้ม และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้
"หลง เราออกไปเดินเล่นกันไหม" ซอลกระซิบถามเบา ๆ แต่หลงกลับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปมองทุกคนที่ยังพูดคุยกันบริเวณห้องโถง
"จะดีเหรอคะพี่ซอล มันจะดูเสียมารยาทไหม"
"เถอะน่า อยู่กับเรา ไม่มีใครว่าเธอหรอก" พูดจบซอลจึงรีบจูงมือหลงวิ่งออกไปทันที และแน่นอนว่าทุกคนไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำว่ามีใครหายไปจากวงสนทนา


บรรยากาศภายในบ้านและนอกบ้านนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะด้านนอกนั้นเงียบสงบ และมีลมเย็น ๆ พัดโชยมาเบา ๆ อาจจะเพราะมีสระน้ำและบริเวณบ้านรายล้อมไปด้วยต้นไม้กระมั้ง ทำให้ดูร่มรื่นในช่วงเวลาหัวค่ำแบบนี้
"ไม่สนุกเหรอ" คนตัวเล็กเอ่ยถามระหว่างที่เดินกินลมชมวิว
"เปล่าค่ะ สนุกมากเลย ครอบครัวใหญ่นี่ไม่เงียบเหงาดีนะคะ"
"วุ่นวายจะตายไป นาน ๆ ทีจะครื้นเครงกันแบบนี้นะ น่าจะเพราะมีแขกล่ะมั้ง ปกติที่บ้านน่ะบรรยากาศมาคุสุด ๆ แบบน่าอึดอัดมากอะบอกเลย"
"พี่คงไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ สินะคะ"
"ก็ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่เราชอบความสงบและความเป็นส่วนตัวมากกว่า ไม่งั้นเราไม่ขอออกไปอยู่คอนโดหรอก"
"อ๋อ...ค่ะ"
จู่ ๆ คนตัวเล็กก็หยุดเดิน ก่อนจะหันมาทางคนร่างสูงที่หยุดชะงักไปพร้อม ๆ กัน เธอรู้ดีว่าหลงในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนเป็นแน่ ก็เพราะแววตาของเธอมันฟ้องน่ะสิ
"มีอะไรอยากพูดกับเราไหม เหมือนเธอมีอะไรในใจนะ เราดูออก"
"พี่เก่งจังเลยนะคะ ที่ดูหลงออก"
"ดูออกสิ ก็เพราะเรา..."
ประโยคที่ไม่มีความสมบูรณ์ มันถูกทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ ราวกับว่าเธอก็ต้องการพูดอะไรบางอย่างเช่นกัน แต่เจ้าตัวก็เลี่ยงที่จะพูดออกมา และใช่...บรรยากาศในตอนนี้มันทำให้ต่างฝ่ายต่างอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่เหลือเกิน
"พี่ซอล"
"อืม?"
"พี่จะทำวีซ่าไปไหนเหรอ"
"อเมริกาน่ะ" 
"ไปเมื่อไหร่คะ"
"เดือนหน้า"
ทำไมกันนะ...ทำไมจู่ ๆ ก็รู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออกเลย พี่ซอลจะไปไหน พี่ซอลจะไม่อยู่ดูเราพัฒนาตัวเองแล้วเหรอ...ไม่สิ...เราไม่เคยขอร้องให้พี่ซอลอยู่นี่นา และเราก็ไม่กล้าที่จะรั้งพี่ซอลด้วย มันดูเห็นแก่ตัวเกินไปถ้าเราจะรั้งพี่ซอลเอาไว้...
"ร...เหรอคะ" หลงพยายามพูดออกมาทั้งที่ยังจุกอยู่ในอกจนแทบจะพูดอะไรไม่ออกแล้ว
"ไปด้วยกันไหม"
"..."
"ฮ่า ๆ ล้อเล่น"
"..."
ถ้าไปได้...หลงก็อยากไป...หลงอยากอยู่ข้าง ๆ พี่...
"ก่อนที่พี่จะไป หลงอยากปรับความเข้าใจกับพี่ก่อน หลงขอโทษนะคะ เรื่องวันนั้น"
"เรื่องไหนเหรอ"
"ที่หลงทำให้พี่เสียใจ ขอโทษที่ตัดสินใจแบบนั้นจนทำให้พี่ร้องไห้ หลงไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพี่ และหลงก็ไม่ได้โกรธพี่แล้วด้วย แต่ตอนนั้นหลง...." 
ยังพูดไม่จบประโยคเลย...ทำไมล่ะ...ทำไมกันนะ...ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้....ทำไมไม่ฟังหลงให้จบก่อนล่ะพี่ซอล...
เธอยังพูดความในใจออกมาไม่ทันจบเสียด้วยซ้ำก็ถูกอีกคนคว้าที่ท้ายทอยและดึงเธอลงมาประกบริมฝีปากเข้าด้วยกันเสียก่อน ทุกอย่างในตอนนี้ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ไร้เสียง ไร้ความรู้สึก ไร้การมองเห็น ทุกอย่างเป็นเพียงแค่สีขาวโพลน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามันยังเต้นอยู่หรือไม่ แต่กลิ่นหอมจาง ๆ ยังคงอยู่ กลิ่นที่คุ้นเคย...ที่เธอรักและหวงแหน มันยังคงเดิม
กลิ่นลิปสติกที่วันนี้หอมหวานเป็นพิเศษจากการบดจูบริมฝีปากกันและกันเป็นจังหวะช้า ๆ เธอราวกับถูกดึงเข้าไปในภวังค์ที่ไร้ซึ่งความคิด ลืมแม้กระทั่งการหายใจ สัมผัสอันอ่อนโยนนี้ เธอคิดถึงมันเหลือเกิน....
"เฮือก!!! แฮ่ก ๆ"
ทันทีที่ริมฝีปากผละออกจากกัน ทั้งสองต่างหายใจเฮือกจากการลืมหายใจไปชั่วขณะ เวลากลับมาเดินต่ออีกครั้ง เสียงหัวใจเต้นระรัวบ่งบอกว่ายังคงทำหน้าที่อยู่ แต่หลงกลับรู้สึกโหยหาช่วงเวลาเพียงเสี้ยวนาทีนั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"ไม่ได้จูบนาน เอาซะลืมหายใจเลยแฮะ" คนตัวเล็กพูดปนขำ เพราะคนหน้าดุยังหอบหายใจราวกับสติยังกลับมาไม่เต็มร้อย
"แฮ่ก ๆ พี่ทำอะไรเนี่ย ถ้าครอบครัวพี่มาเห็นจะทำยังไง"
"เลิกคิดถึงคนอื่น และคิดถึงแค่เราที่อยู่ตรงนี้ได้ไหมหลง"
"ก็หลงยังพูดไม่จบเลย แต่อยู่ดี ๆ ก็โดนพี่ดึงไปจูบแล้วอะ"
"แค่รู้ว่าเธอไม่โกรธเรา เราก็ดีใจแล้วหลง และเราก็ไม่มีวันโกรธหรือเกลียดเธอด้วย"
"หลงก็...ไม่มีวันเกลียดพี่"
"ขอบคุณนะ แค่นี้แหละที่เราต้องการ เราจะได้ไปอเมริกาแบบหมดห่วง"
"นี่คือจูบลาเหรอพี่ซอล..." 
"มันก็แล้วแต่ว่าเธอจะตีความนะ ถ้าเธอจะตีความว่าเรายังรักเธออยู่ อันนี้มันก็ถูก"
"ถ้ายังรักหลงอยู่..."
อยากบอกเหลือเกิน...ว่าช่วยอยู่ตรงนี้จะได้ไหม ไม่ไปจะได้ไหม แต่เราไม่อยากรั้งพี่ซอลเอาไว้เลย...
หลงเงียบและพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้น บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายต่างเอาแต่เงียบ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการภายในใจออกมา ความเงียบจึงเป็นคำตอบของทุกอย่างแล้ว
"ช่วย...บอกรักน้องหลงอีกสักครั้งได้ไหม" เธอพยายามรวบรวมความกล้าวิงวอนขอคำว่ารักที่ช่วยชโลมหัวใจของเธอมาโดยตลอด แต่สิ่งที่อีกคนมอบให้ กลับไม่ใช่คำพูด...
มันคือการกระทำที่มีค่ามากกว่าคำพูดเสียอีก
รสจูบครั้งนี้ คือรสจูบที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา มันไม่หวานเอาเสียเลย แต่หลงก็รับรู้ได้ว่านี่คือสิ่งที่คนตัวเล็กตั้งใจจะมอบให้เธอ มันมีค่ามากกว่าคำว่ารัก มันมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด หลงใช้เรียวแขนทั้งสองข้างโอบรอบตัวอีกคนและดึงร่างให้เข้ามาแนบแน่นขึ้น พร้อมกับเร่งจังหวะจูบขึ้นอีก
จะต้องจากกันแล้วอย่างนั้นเหรอ...ที่เราพยายามมาทั้งหมดล่ะ มันเพื่ออะไรกัน...
"ไม่มีเราแล้วดูแลตัวเองให้ดีนะหลง ป่วยแล้วต้องรู้จักกินยา อย่าทำให้เราต้องเป็นห่วง เธอเป็นคนเก่ง และก็เป็นเด็กดีมาก ๆ เราเชื่อว่า ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ทุกคนต้องรักและเอ็นดูเธอแน่ ขอให้เธอได้เติบโตในทางที่เธอเลือกเดินนะ เราจะคอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ และจะคอยซัพพอร์ตเธอในทุก ๆ เรื่อง น้องหลงคนเก่งของพี่ซอล หลังจากนี้...แยกย้ายกันไปเติบโตนะ"
อย่าไป...อย่าไปได้ไหมพี่ซอล...อย่าทิ้งน้องหลงไป...