พาเที่ยวภูผาแง่ม

พาเที่ยวภูผาแง่ม

แบกเป้ เที่ยว "ภูผาแง่ม" หรือภูเขาที่มีสมญานามว่า "เอเวอร์เรสแห่งท่าลี่" กอดสายหมอกยามเช้าไปด้วยกัน กับการย้อนวันวานที่ไม่อาจลืมเลือน

สวัสดีค่ะ เราจะพาทุกคนแบกเป้ เที่ยว "ภูผาแง่ม" หรือภูเขาที่มีสมญานามว่า "เอเวอร์เรสแห่งท่าลี่" กันค่ะ บอกได้เลยว่าเป็นการรับน้องสุดโหดที่เราจำไม่เคยลืมเลย  จะโหดอย่างไร และอะไรที่ทำให้เราตราตรึงใจจนถึงทุกวันนี้ รีวิวนี้มีคำตอบ หากพร้อมแล้ว มาเริ่มแบกเป้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

ก่อนอื่นเลย เราขอเกริ่นก่อนนะคะว่า เราเคยเขียนบทความรีวิวนี้มาก่อนแล้ว สมัยเรียนจบใหม่ (ย้อนกลับไปเมื่อ 5 - 6 ปีที่แล้วหรือเปล่าไม่แน่ใจ มันนานมากแล้วจริง ๆ ค่ะ) ซึ่งตอนนั้นเราทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย โดยใช้ชื่อทีมว่า "โกทูเลย (Go to Loei)" หากอยากรู้เรื่องจังหวัดเลย โกทูเลยมีคำตอบให้คุณทุกอย่าง แปะบึ้ม! >> www.gotoloei.com << บทความนี้จึงจะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการย้อนวันวานมากกว่านะคะ หากอยากอ่านต้นฉบับเพื่อสัมผัสกับความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในวันนั้นก็อ่านที่ลิงก์นี้ได้เลยค่ะ >> แบกเป้พิชิตภูผาแง่ม (ขอขอบคุณพี่สังข์ ที่อนุญาตให้เรานำบทความและรูปภาพมาลงที่ นิลธารา นะคะ)

หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงใช้คำว่า "รับน้องสุดโหด" ในภาพปกนี้ด้วยนะ ก็เพราะว่า การเดินทางไปพิชิตภูผาแง่ม เอเวอร์เรสแห่งท่าลี่นี้ คือการรับน้องเข้าทำงานนั่นเองค่ะ เรียกได้ว่า เป็นการรับน้องมหาโหดที่เราจำไม่เคยลืม แต่เดิมทีเราเป็นคนที่ชอบการผจญภัยมาก เพราะพ่อมักจะพาไปเดินป่าบ่อย ๆ จากการที่ต้องสำรวจพื้นที่ค่ะ ทำให้เราตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ แต่นี่จะแตกต่างกับวัยเด็กก็ตรงที่ มันเป็นการขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต ที่ไม่ใช่การเดินผจญภัยในป่า (เดินพื้นราบ) แต่มันต้องขึ้น ขึ้น และก็ขึ้นอย่างเดียว (ใต้ความตื่นเต้น คือน้ำตาที่ซ่อนอยู่ 5555)

ภาพภูผาแง่มจาก Google Earth
ภาพภูผาแง่มจาก Google Earth
วันแรกที่ได้ทราบเรื่องว่า ทีมงานโกทูเลยจะได้ไปที่ "ภูผาแง่ม" เพื่อรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเลย รุ่นพี่ก็ได้ส่งพิกัดมาให้ดูว่ามันอยู่ที่ไหน อยู่ส่วนไหนของท่าลี่กันนะ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะร่างกายและจิตใจ บอกเลยว่าพอได้เห็นภาพจาก Google เราถึงกับร้องเสียงหลง เห็นปุ๊บกลืนน้ำลายดังอึก เพราะมันดูสูงมากกกก แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่ามันอาจจะไม่สูงขนาดนั้นก็ได้ (ว่าซ่าน) อย่าหาหลอกตัวเองนะคะ ว่าการขึ้นเขามันจะไม่สูงน่ะ 5555

สถานที่ตั้งของ ภูผาแง่ม จะอยู่ที่ บ้านยาง ตำบลท่าลี่ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ซึ่งจุดเริ่มต้นการเดินทางของพวกเราคือที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย แล้วเราจะมุ่งหน้าไปที่บ้านยางเพื่อทานอาหารเช้าและเปลี่ยนรถสำหรับขึ้นภูผาแง่มก่อนค่ะ การขึ้นภูผาแง่มจะต้องใช้รถทางการเกษตร หรือที่เรียกว่า รถอีแต๊ก เพื่อไปถึงตีนเขา (แต่ปัจจุบันนี้รถอีแต๊กสามารถขึ้นไปส่งได้สูงกว่าเดิมแล้วนะคะ ไม่ต้องเดินไกลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว)

หมอกหนา ยามเช้า
หมอกหนา ยามเช้า
เราได้เริ่มออกเดินทางกันประมาณ 6 โมงเช้า และด้วยความที่ภูมิประเทศของจังหวัดเลยมีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะ หรือมีภูเขาล้อมรอบจังหวัด ทำให้มีอากาศหนาวเย็นประหนึ่งอยู่ที่ภาคเหนือเลยค่ะ ช่วงเวลาที่ออกเดินทางแต่เช้าแบบนี้จึงมีหมอกหนาตลอดทาง จะต้องระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกตอนนั้นคือทั้งตื่นเต้นกับหมอก ทั้งตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต เขาว่ากันว่า หากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก จะพบสิ่งที่สวยงามจนทำให้เราหายเหนื่อย เราท่องคำนี้วนอยู่ในหัวซ้ำ ๆ และก็ยังหลอกตัวเองอยู่ว่า มันคงไม่เหนื่อยขนาดนั้นมั้งงง (อย่าหาทำ ver.2 55555)

จุดเปลี่ยนรถอีแต๊กสำหรับเดินทางไปตีนภู
จุดเปลี่ยนรถอีแต๊กสำหรับเดินทางไปตีนภู
จุดนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนรถอีแต๊กค่ะ ซึ่งทุกคนก็มีสัมภาระกันมาคนละใบ 2 ใบ ความลำบากของภูผาแง่มจะแตกต่างกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในจังหวัดเลย คือ ไม่มีลูกหาบ เราจะต้องแบกน้ำ อาหาร เสื้อผ้า และที่นอนขึ้นไปเอง และข้างบนนั้นไม่มีจุดบริการนักท่องเที่ยว ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำ (แต่ปัจจุบันมีห้องน้ำเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวแล้วน้า) ทำให้ทุกคนเตรียมเสบียงมากันแบบจัดเต็มมากค่ะ ทีมงานต้องอิ่มท้อง ข้าว น้ำอย่าให้ขาด ไม่ได้คิดถึงตอนที่ต้องแบกขึ้นไปเลยจริง ๆ (ขำแห้ง)

ทีมงานโกทูเลยกับรถอีแต๊กของพวกเขา
ทีมงานโกทูเลยกับรถอีแต๊กของพวกเขา
ทีมงานโกทูเลยที่ขึ้นภูผาแง่มจะมีทั้งหมด 7 คน และพี่พรานที่เป็นผู้นำทางอีก 1 คน โดยใช้รถอีแต๊กแค่คันเดียวเท่านั้น รวมสัมภาระด้วย ออกเดินทางในช่วงแรกก็คือร่าเริงแจ่มใสกันมาก ดูสนุกสนานกับวิวทิวทัศน์ 2 ฝั่งซ้ายขวาที่เต็มไปด้วยสวนกล้วย แบบสวนกล้วยทั้งภูเขา มองไปทางไหนก็มีแต่กล้วย แต่หลังจากที่สนุกกันได้ไม่นาน ก็เข้าสู่ความลำบากขั้นแรกก็คือ ทางลาดชันค่ะทุกคน ต้องเกาะรถให้แน่น ๆ ไม่งั้นมีร่วงแน่ เพราะพี่พรานขับซิ่งมาก 

เกาะแน่น ๆ นะน้องนะ ไม่งั้นมีร่วง
เกาะแน่น ๆ นะน้องนะ ไม่งั้นมีร่วง
ร่วงจนได้ 5555555
ร่วงจนได้ 5555555
และแล้วก็มีคนร่วงจริง ๆ ทีมงานโกทูเลยร่วงไป 2 คน รวมตากล้อง แต่เรากอดรัดฟันเหวี่ยงกับเสารถเพราะกลัวตก เกาะแน่นยิ่งกว่าปลิง เราจึงเป็นผู้รอดชีวิตในศึกทางลาดชันในครั้งนี้ 5555 การเดินทางโดยรถอีแต๊กเพื่อไปยังตีนภูนั้นใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง กับระยะทาง 2 - 3 กิโลเมตร บอกเลยว่าไกลมากกก จะผล็อยหลับไม่ได้เชียวนะ ไม่งั้นร่วงแน่ แต่รถอีแต๊กก็พาหัวสั่นหัวคลอนอยู่นะ มันเลยตื่นตัวตลอดเวลาค่ะ

พี่พรานบอกชิล แต่เราเกือบตาย
พี่พรานบอกชิล แต่เราเกือบตาย
หลังจากเดินทางถึงตีนภูแล้ว ทุกคนก็ขนสัมภาระลงรถและแบกเป้กันคนละ 1 - 2 ใบ รวมเสบียงที่เตรียมมา กฎของการขึ้นเขาคือ "อย่ามองทาง" มันจะทำให้คุณน้ำตาตกในเสียให้ได้ ก็เพราะเส้นทางที่จะต้องเดินต่อนั้น...มันสูงและชันมากกกก มากแบบ ก.ไก่ล้านตัว แต่มาถึงขนาดนี้แล้วเราจะยอมแพ้ก็ไม่ได้ ก็ต้องไปต่อกันยาว ๆ ค่ะ แต่บอกได้เลยว่า ในขณะที่พี่พรานเดินแบบชิล ๆ แต่ทีมงานโกทูเลยแต่ละคนคือหอบแฮก ๆ เดินได้ 15 นาทีพัก วนอยู่แบบนี้เพราะเหนื่อยแบบใจจะขาดจริง ๆ (ฉันมาทำอะไรที่นี่...)

สูงและชันแค่ไหน ให้ภาพบรรยาย
สูงและชันแค่ไหน ให้ภาพบรรยาย
จุดหมายแรกของเราคือชมความยิ่งใหญ่ของ ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี แต่พี่พรานบอกว่าทางไปชมมะค่ายักษ์ กับปลายทางที่เราต้องไปพักจะคนละเส้นทางกันค่ะ แต่เราสามารถวางสัมภาระไว้ที่ทางแยกได้ เราก็ยิ้มกริ่มสิคะ เสียงสวรรค์ชัด ๆ เพราะอยากโยนกระเป๋าทิ้งทุกวินาที แม้เราจะได้แบกเป้ใบที่เบาที่สุดแล้วก็ตาม (เพราะเราเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีม พี่ ๆ เลยสลับกระเป๋าของเราไปสะพายให้ เพราะมันหนักน้ำค่ะ ไม่รู้จะหอบไปอะไรเยอะแยะ 5555) แต่กว่าจะถึงทางแยกนั้นก็เล่นเอาเกือบจะสิ้นลมหายใจเหมือนกัน เพราะทางมันทั้งสูงและชัน ชันแล้วชันอีก ขึ้นแล้วก็ขึ้นอีก ไม่มีทางราบให้เดินเลยสักนิด เข้าใจคำว่า ราวจะขาดใจ ก็ตอนนั้น มันบรรยายความรู้สึกไม่ได้เลย คำว่าเหนื่อยมันคงไม่พอ ต้องบอกว่า โคตรรรรรรรร เหนื่อย!!! เลยแล้วกัน

จุดทิ้ง เอ้ย...วางสัมภาระ
จุดทิ้ง เอ้ย...วางสัมภาระ

และแล้วก็ได้โยนสัมภาระทิ้ง มันเหนื่อย บ่ไหวแล้ว เอ้ย! ไม่ใช่! เพราะเราเดินทางมาถึงทางแยกแล้วยังไงล่ะคะ!! ทาด๊าาา... ตอนนั้นเราอยากขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ทำให้เราเหลือรอดไปจึงทางแยกได้ เพราะมันเหนื่อยจริง ๆ ในที่สุดก็จะได้วางภาระอันหนักอึ้งไว้ที่ข้างทาง แล้วเดินตัวเปล่าไปที่ต้นมะค่ายักษ์ 

ฝ่าฟันป่ารกร้างไปหาเธอ
ฝ่าฟันป่ารกร้างไปหาเธอ
แต่เรากลับใจชื้นได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก็เพราะว่า ทางไปมะค่ายักษ์นั้นมันรกเหลือเกินบานตะไท ต้องใช้มีดถางตลอดทาง จะร้องไห้แล้วตอนนั้น 5555 ขอร้องล่ะค่ะ พาหนูมาทำอะไรที่นี่ หนูอยากกลับบ้านนนนน

ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี
ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี
ในที่สุดเราก็ได้เจอสมบัติล้ำค่าแห่งพงไพร "ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี" แม้เส้นทางมาจะค่อนข้างลำบากเพราะเป็นป่ารก แต่เมื่อมาถึง ทุกคนต่างอุทานว่า ว๊าว! ยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือจริง ๆ และการเข้าป่านั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การจุดธูปไหว้ปู่ เจ้าป่าเจ้าเขา ให้ช่วยคุ้มครองเราตลอดการเดินทาง ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราอาจจะได้เจอสัตว์ป่าระหว่างทาง หรือเกิดอุบัติเหตุนั่นเองค่ะ (แต่เข้าป่าห้ามพูดถึงสิงสาราสัตว์นะคะ โดยเฉพาะสัตว์ป่าดุร้าย หรือสัตว์มีพิษ ถือเป็นสิ่งต้องห้ามเลยค่ะ)

ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี ยิ่งใหญ่มาก
ต้นมะค่ายักษ์ 1000 ปี ยิ่งใหญ่มาก
เราชื่นชมความยิ่งใหญ่ของต้นมะค่ายักษ์อยู่นานเลยทีเดียว เพราะที่นี่ให้ความรู้สึกสงบและร่มเย็นมาก แต่แล้วก็มีมารมาผจญเราจนต้องแตกกระเจิงและต้องรีบออกจากที่ตรงนั้นโดยเร็ว นั่นก็คือ!! โคตรยุงค่ะทุกโคนนนน ยุงที่นี่ตัวใหญ่มากกก ยากันยุงที่ว่าดี ตะไคร้หอมที่มีสรรพคุณไล่ยุงยังต้องพ่ายแพ้ให้กับยุงที่นี่ ราวกับว่ามันหิวกระหายเลือดมาเป็นแรมปี ไล่ยังไงก็ไม่ไป และเพื่อไม่เป็นการเบียดเบียนเขา เราก็ต้องหนีออกจากตรงนั้นเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากดงยุง และไปทานอาหารกลางวันกันที่จุดวางสัมภาระค่ะ
ยากันยุงที่ว่าแน่ ยังต้องพ่ายให้กับยุงที่นี่
ยากันยุงที่ว่าแน่ ยังต้องพ่ายให้กับยุงที่นี่

กับข้าวอร่อยมาก เพราะเหนื่อย 5555
กับข้าวอร่อยมาก เพราะเหนื่อย 5555
เราแวะทานข้าวกันแบบง่าย ๆ ด้วยแจ่วบอง ข้าวเหนียว หมูปิ้ง หมูทอด โดยใช้ไม้ไผ่มารองเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศทานข้าวกลางป่า บอกเลยว่าอร่อยเหาะ ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรือเปล่า และเมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ เดินบ้าง พักบ้าง เนื่องจากทางเดินยังสูงและชันเหมือนเดิม ไม่สิ... ต้องบอกว่าสูงและชันกว่าเดิมมากกว่า ยิ่งสูงยิ่งชันจริง ๆ ค่ะ 

ศาลาริมทาง
ศาลาริมทาง
ตรงนั้นคือจุดหมาย
ตรงนั้นคือจุดหมาย
และในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงศาลาริมทาง ที่เป็น 80% ของภูผาแง่มแล้ว หากมองตรงไปก็จะเห็นยอดภู หรือที่พักที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา หากกะด้วยสายตาแล้ว มันดูไม่ไกลเลย แค่นั้นเอง ดู ๆ แล้วไม่น่าจะเกิน 200 เมตรนะ แต่หารู้ไม่ว่า... พี่พรานบอกว่า การจะไปยังจุดนั้น ที่เป็นยอดภูผาแง่ม จะต้องเดินอ้อมเขาไปอีก อิช้อย ณ ขณะนั้นคือเข่าอ่อนค่ะ บอกแล้วอย่าหาหลอกตัวเอง เพราะคุณจะเป็นคนที่เจ็บปวดเองยังไงล่ะคะ (ร้องไห้) 

ถึงยอดภูผาแง่มแล้วค่าาา
ถึงยอดภูผาแง่มแล้วค่าาา
จากที่บ่นมาตลอดทางว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่ มาทำไม จะไม่มาอีกแล้ว เหนื่อยยยยย!! และในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงยอดภูแล้วค่าาาา!!! แทนที่จะหมดแรงและพักเหนื่อย แต่เปล่าเลย ทุกคนตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์ข้างบนมากกกก มันสวย สวยแบบ ส๊วยยย!!! อยากตะโกนออกมาดัง ๆ ถามว่าภูมิใจแค่ไหน ดูได้จากทีมงานของเราค่ะ 55555 ตรงนี้จะเป็นจุดสูงสุดของภูผาแง่ม มองวิวทิวทัศน์ได้ถึง 360 องศาเลยทีเดียว แทบจะอดใจรอพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่พักผ่อนและถ่ายรูป ชมความงดงามของยอดภูจนหนำใจ เราก็ทำการหาจุดที่เหมาะสำหรับการเก็บภาพในวันพรุ่งนี้ และฝึกซ้อมโรยตัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หากจะต้องลงไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมหน้าผา หรือฝั่งทิศตะวันออกค่ะ
ฝึกซ้อมโรยตัวไปยังริมผา
ฝึกซ้อมโรยตัวไปยังริมผา

ตรงนั้นคือยอดฝั่งทิศตะวันตก
ตรงนั้นคือยอดฝั่งทิศตะวันตก
ยอดเขาที่เห็นในรูปนั้น จะเป็นฝั่งตะวันตก ที่ตอนแรกทีมงานคุยกันว่าจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกกัน แต่เพราะยอดเขาตรงนั้นค่อนข้างไกลจากจุดพักแรม จะทำให้ลำบากหรืออาจจะเกิดอันตรายระหว่างเดินทางกลับมายังที่พักได้ วันแรกเราจึงสิ้นสุดด้วยการฝึกซ้อมโรยตัว และหาจุดเหมาะ ๆ สำหรับประกอบอาหารในมื้อค่ำ และแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ค่ะ

หมอกหนามาก และหนาวมากด้วย
หมอกหนามาก และหนาวมากด้วย
ในเช้าวันต่อมา เราออกเดินทางไปยังจุดเดิมที่เราซ้อมโรยตัวเพื่อที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมผา อากาศในตอนนั้นคือเย็นยะเยือกมาก และมีลมพัดตลอดเวลา แต่เราก็ต้องทำใจว่าเราคงไม่ได้เห็นทะเลหมอกแน่ ๆ เพราะตอนนี้เราจมอยู่ในทะเลหมอกค่ะ 5555 หมอกคือฟุ้งมากกก แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ที่จะรอชม สุดท้ายเราก็ได้ของขวัญที่คุ้มค่าแก่การรอคอย นั่นก็คือสายหมอกที่เคลื่อนตัวไปตามสายลม โอบอุ้มยอดเขาและยอดผาที่เราอยู่ เมื่อสายหน่อยก็เริ่มเปิดทางให้เราได้เห็นทะเลหมอกจาง ๆ แต่บอกได้เลยค่ะว่ามันสวยและคุ้มค่าจริง ๆ 
ภายใต้รูปที่สวยงาม คือกอดโขดหินด้วยความกลัวตาย (กลัวร่วง)
ภายใต้รูปที่สวยงาม คือกอดโขดหินด้วยความกลัวตาย (กลัวร่วง)

สวรรค์บนดิน ภูผาแง่ม
สวรรค์บนดิน ภูผาแง่ม
เมื่อชื่นชมความงดงามของภูผาแง่มฝั่งทิศตะวันออกกันแล้ว เราก็เดินทางไปยังยอดเขาอีกฝั่งที่เราพลาดเมื่อวาน นั่นก็คือ ภูผาแง่มฝั่งทิศตะวันตก แต่ระหว่างเดินกลับนั้น เราจะได้ผ่านจุดที่ราวกับสวรรค์บนดิน เหมือนเรากำลังเดินอยู่บนสวรรค์จริง ๆ เลย มันสวยมาก และเราชอบจุดนี้มาก ๆ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว แต่หมอกก็ยังคงหนาอยู่ หนาถึงขั้นที่ว่ามีน้ำค้างหยดลงมาอย่างกับฝนตกเลยค่ะ 5555

ชมวิวฝั่งทิศตะวันตก
ชมวิวฝั่งทิศตะวันตก
และนี่คือจุดชมวิวฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งการลงมายังจุดนี้ก็ต้องใช้วิธีการโรยตัวเช่นกันค่ะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เมื่อลงมาแล้วเราก็ต้องนั่งเรียบเขากันแบบนี้เพื่อรอชมอะไรก็ไม่รู้ เพราะพี่พรานบอกพวกเราว่า จุดนี้เป็นจุดที่ชมวิวได้ และสวยมากด้วย แต่ก็เพราะว่าตอนนั้นหมอกมันหนามากค่ะ เราก็เลยคิดในใจว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย  เหมือนมานั่งเล่นที่ริมภู แต่ขอโทษนะคะ...ขอโทษที่คิดแบบนี้ เมื่อหมอกหายไปแล้วเท่านั้นแหละ ความสวยงามก็มาพร้อม ๆ กับความหวาดเสียว

กลัวนะ แต่ต้องเซลฟี่
กลัวนะ แต่ต้องเซลฟี่
ความน่าหวาดเสียวก็คือเหมือนกับเรานั่งราบไปกับภูเขา ซึ่งไม่รู้ว่าจะพลาดกลิ้งตกไปเมื่อไหร่ (แม้จะมีเชือกโรยตัวอยู่ก็ตาม) แบบขอร้อง ขาสั่นพับ ๆ มันสูงมากกกก สูงแบบแม่เจ้าโว้ย จากที่นั่งกันอยู่ก็นอนราบกันไปเลยค่ะ เพราะกลัวความสูงมาก ดูได้จากสีหน้าของทีมงานของเรา รูปขวามือ หน้าคือไม่ไหวแล้ว เอาผมออกไป!! ช่วยผมด้วย 55555

หลังจากที่ชมความงดงามของวิวทิวทัศน์กันจนอิ่มเอมแล้ว เราก็เดินทางไปยังจุดพักแรมเพื่อเติมพลังก่อนออกเดินทางกลับบ้านค่ะ ใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดาย อยากพักต่ออีกสักคืนให้มันสมกับที่ลำบากลำบนขึ้นมา แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เราจึงต้องทำใจโบกมือลาภูผาแง่ม เอเวอร์เรสแห่งท่าลี่ แห่งนี้ด้วยความทรงจำดี ๆ และความอิ่มเอม ในใจตอนนั้นเราคิดว่ามันคุ้มมากนะที่ได้มา มันเหนื่อยก็จริง แต่สิ่งที่ได้รับมันไม่สามารถบรรยายออกมาได้เลยค่ะ มันเกินคุ้มเลยก็ว่าได้ (ลาก่อนนะภูผาแง่ม...)

แต่แล้ว...เราก็ได้รู้ว่า นรกที่แท้จริงมันไม่ใช่ขาขึ้น แต่มันคือขาลงค่าาาาา ขาขึ้นว่ายากลำบากจนแทบจะคลานขึ้นด้วยความเหนื่อยล้า แต่มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของทรมานนี้เท่านั้น ก็เพราะว่า ขาลงมันทำให้เราแทบจะกลิ้งลงเขาให้ได้ทุกวินาทีถ้าเราพลาด มันชันมากถึงขั้นที่บางครั้งต้องใช้ก้นค่อย ๆ ไถลลง ไม่งั้นคงได้กลิ้งขลุก ๆ ลงเขาแน่ และบอกได้เลยว่าปวดเข่าเหมือนกระดูกจะทะลุออกมาข้างนอกเลย เราเดินไป ล้มไปตลอดทาง จนพี่ ๆ ได้หิ้วคอเสื้อเราขึ้นแล้วเดินลงเขาไปทั้งอย่างนั้นเลย สภาพตอนนั้นคือ น้ำตาตกในค่ะ ทั้งขำทั้งสงสารตัวเอง นี่มันเลวร้ายที่สุดในชีวิตเลย ทำไมถึงได้รับน้องโหดขนาดนี้กันคะ นักรบย่อมมีบาดแผล นิลธารา จะไม่กลับไปที่นั่นอีก (ร้องไห้หนักมาก) ความสวยงามที่ได้รับมา เหมือนปลิวหายไปตามทางอย่างไรอย่างนั้น ไม่เอาแล้วววว 5555

และความเลวร้ายมันไม่ได้หมดแค่นี้ค่ะ ตอนนั่งรถอีแต๊กลงเขา บอกเลยว่ามันคือรถไฟเหาะขนาดย่อม เพราะเรานั่งข้างหน้า ถึงขั้นร้องลั่นตลอดทาง กอดเสารถจนน้ำตาคลอเบ้าเพราะกลัวตก แต่พี่พรานคือหัวเราะเราเฉยเลย เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไยคะพี่พราน 55555

แม้การเดินทางขึ้นภูผาแง่มมันจะยากลำบาก (โคตร ๆ) ก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่า เพื่อนร่วมทางนั้นสำคัญมากแค่ไหน ทุกคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คอยดูแลกันตลอดการเดินทางเลยค่ะ แถมวิวทิวทัศน์มันก็สวยงามเกินคำบรรยาย มันสวย มันตื่นตาตื่นใจ ได้สูดบรรยากาศดี ๆ แบบเต็มปอด ได้กอดหมอกในตอนเช้าจนอิ่มเอม นี่สินะที่เขาเรียกว่า ความเจ็บปวดที่งดงาม หากใครชอบความท้าทาย ชอบเดินเขา แนะนำที่นี่เลยค่ะ มันคุ้มค่ากับความเหนื่อยล้าจริง ๆ

และปัจจุบันนี้ภูผาแง่มก็สามารถขึ้นไปได้ง่ายและสะดวกกว่าเดิมแล้วด้วย อาจจะมีเดินบ้าง แต่ก็ไม่ลำบากอย่างเมื่อตอนนั้นเป็นแน่ค่ะ พอได้มาเขียนบทความนี้เป็นการรำลึกความหลัง มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลานั้น และยิ้มไปกับความลำบากที่งดงามในวัยแรกเริ่มสู่การเป็นนักเขียน อยากจะไปย้อนวันวานอีกครั้ง มันคงมีความสุขน่าดูเลยทีเดียวค่ะ