หอมกลิ่นอบเชย

หอมกลิ่นอบเชย

รักแรกของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วคุณยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้อยู่ไหม สำหรับฉันแล้ว แม้กาลเวลาจะพัดผ่านไปนานเพียงใด ภาพทรงจำเหล่านั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันไม่เคยเสื่อมคลาย รักแรกของฉัน…กับการแอบรักเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า… “อบเชย”

รักแรกของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วคุณยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้อยู่ไหม สำหรับฉันแล้ว แม้กาลเวลาจะพัดผ่านไปนานเพียงใด ภาพทรงจำเหล่านั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันไม่เคยเสื่อมคลาย รักแรกของฉัน…กับการแอบรักเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า… “อบเชย”


ปี๊น ๆ
เสียงแตรรถยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกถึงความขลังเพราะสภาพนั้นเก่าคร่ำครึแทบจะเป็นเศษเหล็กเคลื่อนที่ได้อย่างไรอย่างนั้น ก่อนเสียงที่คุ้นเคยจะตะโกนไล่หลังมา
“เจ๊ละไม!! จ่อยมาแล้วจ้ะ!!”
“รอประเดี๋ยวนะจ่อย!!”
“ไม่ต้องรีบเจ๊ จ่อยรอได้!”
พี่จ่อย คือลูกชายคนเดียวของเจ้าของร้านขายของเก่าที่มักจะขับรถมารับขยะรีไซเคิลจากบ้านฉันทุก ๆ สามเดือน ฉันได้เห็นพี่จ่อยตั้งแต่เสียงยังไม่แตกหนุ่ม จนตอนนี้เขามีลูกสองไปแล้ว
จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่ครอบครัวเราทั้งสองต่างสนับสนุนกิจการของกันและกัน ฉันจะเก็บขวดแก้ว ขวดพลาสติก หรือเศษเหล็กให้กับพี่จ่อย ส่วนพี่จ่อยก็จะมากินข้าวราดแกงบ้านฉันตั้งแต่เด็กจนโตจนเราสนิทกันถึงขั้นที่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่เลยล่ะ
"ไงหอม วันนี้ทำไมไม่เปิดร้านล่ะ พี่อุตส่าห์จะมากินข้าวเช้าที่นี่" พี่จ่อยเอ่ยถาม ขณะที่ฉันกำลังแบกถุงขวดพลาสติกเอาไว้บนบ่าราวกับแบกกระสอบข้าว ผู้หญิงสายถึกและบึกบึนต้องเป็นฉันนี่แหละ ใครบอกให้เกิดมาเป็นลูกสาวเดียวกันนะ
"วันนี้บิ๊กคลีนนิ่งเดย์น่ะพี่จ่อย เลยไม่เปิดร้าน ขี้เกียจทำกับข้าว"
"วันบิ๊กคลีนนิ่งสากลเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
"สากลของคุณละไมน่ะสิ บ่นหอมมาเป็นเดือนแล้วว่าห้องรก วันนี้ก็เลยสนองคุณเขาสักหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าไม่รักแม่"
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงนะ เชื่อฟังไว้ก็ดี" พี่จ่อยพูดพลางกับรับถุงขวดจากฉันก่อนจะโยนขึ้นไปบนกระบะเจ้าเศษเหล็กเคลื่อนที่ได้
"พี่จ่อยพูดแบบนี้ หอมต้องวิ่งไปหาซื้อพวงมาลัยมะลิสดเลยนะ"
"ฮ่า ๆ อย่าท้าทายอำนาจมืดนะ ดูนั่น...เจ๊ยืนกอดอกรอแล้วน่ะ" สิ้นคำพูดของพี่จ่อย ฉันรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่กำลังแผ่ซ่านจนขนทั่วทั้งตัวลุกซู่ ไม่หันไปจะดีกว่า ฉันรู้ดีว่าแม่กำลังทำหน้าอย่างไร
"ขวดแก้วพี่เข้าไปขนเอาเลยนะ หอมขอขึ้นไปเก็บห้องต่อก่อน"
"ได้ ๆ ไปเก็บต่อเถอะ เดี๋ยวโดนเจ๊บ่นอีก แกหูชาแน่"
"แกนั่นแหละจะหูชาไอ้จ่อย! นินทาฉันทุกครั้งที่มาเลยนะโว้ย!!" ไม่ทันขาดคำ เสียงแหลมเล็กก็ทำลายโสตประสาทของเราทั้งสองจนฉันต้องรีบโกยแน่บขึ้นห้องทันทีก่อนที่จะโดนบ่นไปมากกว่านี้


บ้านของฉันเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนสองชั้น ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายข้าวราดแกงที่มีฉันและแม่เป็นคนช่วยกันทำอาหาร ส่วนพ่อนั้นจะเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะเดิม มุมเดิมในทุก ๆ วันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้านไปแล้ว ประหนึ่งเป็นรูปปั้นตั้งโชว์หน้าร้านอย่างไรอย่างนั้น หากวันไหนที่ลูกค้ามาแล้วไม่เจอพ่อ ถึงขั้นถามหากันยกใหญ่
ฉันยืนมองสภาพห้องนอนที่เป็นดั่งสวรรค์ของฉัน แต่แม่มักจะเรียกว่ารังหนู แม่คงไม่ได้อ่านผลวิจัยของคุณ Robert Thatcher ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเคมีในสมองสินะ ที่บอกว่า "พฤติกรรมของคนฉลาด คือมักจะปล่อยให้ห้องนอนหรือโต๊ะทำงานรก" ฉันเองก็เชื่อแบบนั้น

"เก็บส่วนไหนก่อนดีล่ะ…"
มันยากจริง ๆ ที่จะเริ่มเก็บห้อง ไม่รู้เลยว่าจะต้องเก็บส่วนไหนก่อนดี เพราะมองแล้วมันก็ไม่ได้รกเสียหน่อย น่าอยู่จะตายชัก แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อแม่สั่งฉันก็ต้องทำ ใครจะกล้าท้าทายอำนาจมืด
ฉันเดินไปนั่งแหมะบนเบาะรองนั่งนุ่ม ๆ ที่หน้าชั้นวางหนังสือ ก่อนอื่นก็เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองรักก่อนแล้วกัน
"หอม! เอาน้ำอะไร!?" เสียงแม่ตะโกนมาจากชั้นล่าง คงจะมีรถขายน้ำเจ้าประจำผ่านมากระมัง
"เหมือนเดิม!!" ฉันตะโกนตอบพลางกับจัดบรรดาหนังสือให้เข้าที่
เหมือนเดิมที่ว่าคือน้ำเก๊กฮวยที่ฉันโปรดปรานที่สุด เพราะทุกครั้งที่ดื่มมันทำให้ฉันสดชื่นขึ้นทันตา ถ้าได้ดื่มตอนเหนื่อย ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย

ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยรู้เลยว่าเป็นเสียงเดินของแม่ คาดว่าคงถือน้ำเก๊กฮวยเย็น ๆ ขึ้นมาให้ ฉันจึงเร่งมือจัดการกับกองหนังสือตรงหน้าที่วางระเกะระกะทั้งบนชั้นหนังสือและตามพื้นห้องโดยเร็ว
"อะนี่ น้ำเก๊กฮวย" แม่พูดพร้อมกับยื่นน้ำเก๊กฮวยให้
"ขอบคุณค่ะ" ฉันรับมาและดูดรวดเดียวหมดไปครึ่งแก้วราวกับเครื่องสูบน้ำก็ไม่ปาน
"หนังสือน่ะ พยายามเรียงเล่มใหญ่ไปเล่มเล็ก ไม่ใช่เรียงตามใจฉันนะ มันมีค่าเท่ากับว่าไม่ได้จัด"
"รู้แล้วน่า ไม่ต้องมากับกำเลย หอมไม่มีสมาธิจัด"
"มันจะหาเรื่องอู้สิไม่ว่า ทั้งวันจะเก็บห้องเสร็จไหม"
"เสร็จสิ ได้รับคำสั่งมาจากท่านแม่ละไมแล้วนี่ ไม่เสร็จได้เหรอ"
"ก็ให้มันเสร็จแล้วกัน จะได้ไปหาอ่านหนังสือหนังหา แม่จะได้เลิกขายกับข้าวสักที"
ฉันพ่นลมหายใจออกมานิดหน่อย เพราะคำว่าอ่านหนังสือหนังหาของแม่ก็คือ แม่พยายามให้ฉันสอบเป็นข้าราชการให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้อายุของฉันก็ปาไป 33 ปีแล้ว แถมฉันยังเป็นนักเขียนอิสระที่ได้เงินไม่น้อยเลย แต่มันคงไม่ได้มีหน้ามีตาหรือมีเกียรติทางสังคมสำหรับแม่สินะ
"แม่ก็เลิกขายสักทีสิ เงินหอมก็ให้ทุกเดือน ไม่เห็นต้องเหนื่อยเปิดร้านทุกวันเลย"
"ก็สอบให้ติดสักทีสิข้าราชการเนี่ย จะนั่งกินนอนกินอยู่บ้านไปถึงไหน อย่ามาบอกนะว่าเป็นนักเขียนก็มั่นคงแล้ว ถ้าวันไหนไม่มีงานจะทำยังไง ไม่มีอะไรมั่นคงเท่ากับเป็นข้าราชการแล้ว"
ฉันฟังประโยคเดิม ๆ จากแม่มาครั้งที่แปดร้อยล้านได้ นี่มันปี 2560 แล้ว นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ทำไมค่านิยมที่ว่าต้องทำงานเป็นข้าราชการเท่านั้นถึงจะเรียกว่ามั่นคง ฉันเคยขายงานเขียนได้เงินห้าถึงหกหลักแม่ยังไม่ยินดีปรีดาอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันอยู่กับอิสระมาค่อนชีวิตได้แล้ว จะให้ฉันไปเริ่มต้นใหม่กับการทำงานภายใต้กรอบฉันคงเสียพลังงานน่าดูเชียวล่ะ
ฉันได้แต่คิดและบ่นในใจเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงคนเป็นแม่ เดี๋ยวจะหาว่าเถียงคำไม่ตกฟาก
"รีบเก็บให้มันเสร็จภายในวันนี้ล่ะ"
"จ้า ๆ รู้แล้ว ก็เก็บอยู่นี่ไงแม่"
"งั้นแม่ลงไปหาพ่อแล้วนะ อย่าอู้ล่ะ" ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแม่ก็ยังไม่วายหันมาย้ำภารกิจอันใหญ่หลวงนี่อีกครั้ง
"จ้า...คุณแม่ละไม ย้ำจังเลย" ไม่ว่าเปล่า ฉันใช้มือรวบกองหนังสือสอบบรรจุจากชั้นวางหนังสือชั้นที่สองเพื่อที่จะจัดเรียงใหม่
แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันซวยของฉันหรืออย่างไร ที่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ขนาดเล็กกว่าเล่มอื่น ๆ ร่วงใส่หัวฉันแบบพอดิบพอดี ซึ่งฉันโดนสันหนังสือปกแข็งเข้าเต็ม ๆ จึงได้แต่ลูบหัวป้อย ๆ ให้กับความโง่เขลาของตัวเอง มันคงเป็นเวรกรรมสินะ ที่ไม่รู้จักแยกกองเล่มเล็กเล่มใหญ่ตั้งแต่ต้น
"อ้าว...เฟรนด์ชิพหรอกเหรอ"
หนังสือปกแข็งที่ว่า มันคือสมุดเฟรนด์ชิพนี่เอง ดูจากสภาพแล้วคงเก่าใช่เล่น ฉันจึงวางกองหนังสือตรงหน้าไว้บนชั้นแล้วมาให้ความสนใจกับสมุดเฟรนด์ชิพเล่มนี้แทน
ฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพดูถึงรู้ว่ามันคือสมุดเฟรนด์ชิพสมัยที่ฉันเรียนจบมัธยมต้น นึกขึ้นได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ฉันคิดถึงเพื่อน ๆ จนต้องกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง ตอนนี้เพื่อน ๆ คงมีครอบครัว มีหน้าที่การงานดี ๆ กันหมดแล้วกระมัง ฉันเปิดอ่านไปยิ้มไป คิดถึงวันวานจัง คิดถึงเพื่อนสมัยเด็กที่สุด
"นางฟ้ากุ้ง ผู้จุติมายังโลกมนุษย์เมื่อวันที่…ฮ่า ๆ ยัยกุ้งเอ๊ย...ถ้าเธอกลับมาอ่านเฟรนด์ชิพที่ตัวเองเขียน เธอก็คงจะหัวเราะตัวเองแน่ ๆ" ฉันพูดพลางกับหัวเราะอย่างนึกขำเพื่อนสนิทที่เขียนเฟรนด์ชิพหน้าแรกให้กับฉัน
"มิตรภาพของเราจะคงอยู่ตราบนิจนิรันดร์...ไว้เราจะกลับมาเจอกันใหม่นะหอม คิดถึงเสมอ...จากแก้ว เพื่อนโต๊ะข้าง ๆ"
รอยยิ้มของฉันเปื้อนบนใบหน้าเมื่ออ่านข้อความจากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนเป็นข้อความสุดท้ายเพราะเธอจากไปในวันที่เรียนจบพอดี คำว่าเจอกันใหม่ของแก้ว คือเธอคงไปเกิดใหม่เป็นลูกของใครคนใดคนหนึ่งไปแล้วล่ะ แต่มิตรภาพของเรามันยังอยู่ตราบนิจนิรันดร์อย่างที่เธอเขียนจริง ๆ
"คิดถึงนะแก้ว หวังว่าเธอจะมีความสุขกับชีวิตใหม่ไปแล้วนะ…"
ทันทีที่ฉันพลิกหน้าถัดไป รอยยิ้มก็เริ่มจางลง มันเป็นของเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันไม่ชอบขี้หน้าที่สุดในห้องเพราะเธอเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการโรงเรียน ใคร ๆ ต่างก็รักใคร่เธอด้วยความที่เธอเป็นคุณหนูและบ้านรวย
ทั้ง ๆ ที่ฉันบอกว่าฉันไม่ชอบขี้หน้ายัยคนนี้เลย แต่ทำไมถึงได้เขียนเฟรนด์ชิพของฉันน่ะเหรอ ก็เพราะเราสองคนมาสนิทกันก็ตอนช่วงสุดท้ายก่อนจะเรียนจบมัธยมต้นนี่สิ แถมยังถือวิสาสะเอาปากกามาเขียนจองที่ไว้สิบกว่าหน้าว่า
'เอาน้ำลายแตะจองแล้ว ห้ามเขียนของอบเชย' ยัยคุณหนูนี่นิสัยแปลกพิลึกกึกกือ จะเขียนจองที่ดี ๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร ทำไมต้องเอาน้ำลายมาแตะด้วย


10 ธันวาคม พ.ศ.2541
วันนี้เป็นวันที่ได้คุยกับหอมเป็นครั้งแรกล่ะ เราคุยกันเยอะมากเลย และเย็นวันนี้ ไม่รู้อะไรดลใจให้เราสองคนมาเจอกันที่นี่นะว่าไหม?

ข้อความสั้น ๆ พร้อมกับภาพถ่ายจากกล้องฟิล์มที่ติดอยู่ในเฟรนด์ชิพด้วย ก็บอกแล้วว่าเธอน่ะบ้านรวย อะไรที่คนอื่นเขาไม่มี เธอก็มีแทบทุกอย่าง ภาพถ่ายนั้นคือหน้าร้านเช่าหนังสือที่เป็นสวรรค์ของคนรักหนังสือการ์ตูนในสมัยนั้นเลย แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นร้านคาเฟ่น่ารัก ๆ ตกแต่งสไตล์วินเทจไปแล้ว
ฉันรีบพลิกดูหน้าถัดไปที่เป็นของเพื่อนที่ชื่ออบเชยสิบกว่าหน้า ทุก ๆ หน้าจะมีภาพถ่ายสถานที่ติดเอาไว้ด้วย จะว่าไปฉันก็คิดอะไรดี ๆ ออก ฉันเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไปพร้อมสมุดเฟรนด์ชิพในมือ

"หอม! ไปไหน!?" เสียงคนเป็นแม่ตะโกนไล่หลังมาเมื่อเห็นว่าฉันวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง
"ไปย้อนวันวาน!"
ฉันคว้าจักรยานแม่บ้านอายุอานามร่วม 30 ปีขึ้นมาได้ก็รีบปั่นออกไปทันที ก่อนจะหย่อนสมุดเฟรนด์ชิพไว้ที่ตะกร้าหน้ารถ ต้องขอขอบคุณพี่จ่อยอย่างสุดซึ้งที่ทำให้จักรยานคันนี้ยังสามารถใช้งานได้อยู่ เพราะเป็นลูกเจ้าของร้านขายของเก่านี่แหละ เลยดัดแปลงเศษเหล็กที่มีสนิมเขรอะให้ยังปั่นได้และสภาพดีราวกับเนรมิตขึ้นใหม่

ฉันปั่นจักรยานแม่บ้านมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เดิมทีเคยเป็นร้านเช่าหนังสือ ก่อนจะแกะภาพถ่ายจากสมุดเฟรนด์ชิพที่อบเชยได้ติดเอาไว้ออกมา แล้วนำมาวางซ้อนกันกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ตามด้วยนำโทรศัพท์มือถือมาบันทึกภาพเอาไว้
ภาพถ่ายวันวานซ้อนทับกับภาพปัจจุบัน มันดูดีมากเชียวล่ะ ทำให้ฉันหวนคิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กเลยจริง ๆ ยังเหลือสถานที่อีกหลายสถานที่ที่ฉันต้องไปตามเก็บ ไม่ว่าจะเป็นสภากาแฟ โรงเรียน และอื่น ๆ มันไม่ต่างกับการเก็บเลเวล หากฉันบังเอิญได้พบกับอบเชย หรือได้ทำสิ่งนี้ร่วมกันมันคงจะดีไม่น้อยเลย เราจะได้มาย้อนวันวานด้วยกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึง ฉันพลิกดูหน้าถัดไป ก่อนจะอ่านมันด้วยรอยยิ้ม


12 ธันวาคม พ.ศ.2541
นี่เป็นครั้งแรกที่หอมพามากินโอยั้วะที่สภากาแฟ ตอนแรกก็คิดว่าหอมกินเข้าไปได้ยังไงกันนะ ขมแปลก ๆ แต่พอกินไปกินมามันก็อร่อยไปอีกแบบ เห็นเจ้าของร้านบอกว่า ถ้ากินเย็นมันเรียกว่าโอเลี้ยง แต่ถ้าเป็นเครื่องดื่มร้อนจะเป็นโอยั้วะ ทั้ง ๆ ที่ทำมาจากส่วนผสมเดียวกัน ตื่นเต้นจัง แม่ไม่เคยให้เรามากินอะไรแบบนี้หรอก ส่วนใหญ่จะเป็นชาหอม ๆ นำเข้ามากกว่า

อ่านจบฉันจึงแกะภาพถ่ายแก้วโอยั้วะคู่กับแก้วโอเลี้ยงออกมา ก่อนจะนำมาใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่สภากาแฟ
โชคยังดีที่ชาวบ้านยังอนุรักษ์สภากาแฟที่อยู่ตรงหัวมุมสี่แยกไว้เหมือนเดิม ที่นี่ยังมีคนเฒ่าคนแก่มานั่งดื่มกาแฟโบราณกันและเป็นสถานที่นัดพบปะพูดคุยของกลุ่มผู้สูงวัยอะไรเทือกนั้น ฉันจึงเดินตรงเข้าไปแล้วสั่งโอยั้วะและโอเลี้ยงอย่างละแก้ว ทั้ง ๆ ที่ฉันมาเพียงแค่คนเดียว พร้อมกับจ่ายเงินแบบเสร็จสรรพ
เมื่อได้แก้วเครื่องดื่มทั้งสอง ฉันจึงจัดวางแก้วให้คู่กันเหมือนกับภาพถ่ายของอบเชยแบบเป๊ะ ๆ ก่อนจะนำมาวางซ้อนทับกันและตามด้วยนำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายเสียหน่อยอย่างที่เคยทำก่อนหน้า ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ.2541 แต่ตอนนี้คือปี พ.ศ.2560 เวลาผ่านไปนานเหมือนกันนะเนี่ย

"คุณลุงคะ หนูเลี้ยง" ฉันพูดพลางกับถือแก้วทั้งสองไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้างคาดว่าเป็นลูกค้าที่เข้ามาใหม่
ถ้าไม่ติดว่าฉันดื่มน้ำเก๊กฮวยมาก่อนหน้า ฉันก็คงจะดูดน้ำโอเลี้ยงแก้วนี้เพื่อเป็นการเติมพลังแล้ว แต่ก็นั่นแหละ แค่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้สูงอายุที่ได้รับแก้วคู่หูดูโอ้โอเลี้ยงและโอยั้วะ ฉันก็อารมณ์ดีและมีพลังขึ้นมาทันที
สถานที่ต่อไปคือบ้านพี่จ่อย เพราะภาพถ่ายในสมุดเฟรนด์ชิพ มันคือภาพถ่ายรถซาเล้งขนของที่พี่จ่อยเคยขับไปรับฉันที่โรงเรียน ฉันอ่านข้อความพลางกับอมยิ้ม


13 ธันวาคม พ.ศ.2541
วันนี้หอมมีคนมารับถึงโรงเรียน พี่เขาเป็นผู้ชายตาตี๋ ๆ หุ่นไปทางอวบผิดกับชื่อจ่อย หอมเลยชวนเรานั่งรถซาเล้งไปด้วยกัน เพราะพี่จ่อยบอกว่าจะพาไปกินไอติมกะทิลุงปั้น ได้ยินมาว่าอร่อยที่สุด อร่อยจนลืมไม่ลงเลยอยากลองชิมดู แต่ผลที่ได้คือ เรากลับได้เห็นพี่จ่อยอาบโคลนแทน เพราะพี่จ่อยพาขับซาเล้งลงทุ่งนา เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากเลยล่ะ

ฉันถึงกับหลุดหัวเราะออกเสียงเพราะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ภาพถ่ายที่ติดอยู่หน้านี้คือภาพถ่ายพี่จ่อยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปรอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้าคู่กับรถซาเล้งสีแดงคู่ใจที่ถูกย้อมสีใหม่เป็นสีน้ำตาลจากโคลนในทุ่งนา ก่อนที่ฉันจะปั่นจักรยานคันเก่าออกไปแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านขายของเก่า

เมื่อมาถึงร้านขายของเก่า ฉันจึงเดินดูบรรดาของโบราณที่วางเรียงรายและห้อยเอาไว้ตามคาน อีกทั้งแขวนตามผนังดูละลานตาไปหมด ส่วนอีกโซนหนึ่งเป็นพื้นที่สำหรับรับซื้อจำพวกลังกระดาษ หรือขยะรีไซเคิลต่าง ๆ ที่รถยนต์สามารถเข้ามาจอดได้ ก่อนคนที่คุ้นเคยจะเดินเข้ามาหาฉัน
"ว่าไง เก็บห้องเสร็จแล้วเหรอหอม" เขาเอ่ยถาม
"ยัง อู้อยู่"
"ว่าแล้วมันต้องเป็นแบบนี้"
"ฮ่า ๆ เออพี่จ่อย รถซาเล้งพี่ยังอยู่ไหม"
"อยู่ ๆ ทำไมเหรอ"
"พอดีว่ากำลังย้อนวันวานน่ะ ขอถ่ายรูปพี่คู่กับรถซาเล้งหน่อย"
"ถ่ายไปทำไม ค่าตัวแพงนะ"
"อย่างก มีลูกแล้ว จะไถ่เงินน้องไปถึงไหน"
"เอ้าไอ้นี่ พี่เคยไถ่เงินแกที่ไหน ตามมา" พูดจบพี่จ่อยก็เดินนำเข้าไปในร้าน
ระหว่างที่เราเดินไปหารถซาเล้งที่เป็นพร็อพหลักในการถ่ายรูปครั้งนี้ ฉันก็ดูของเก่าไปพลาง ๆ จำได้ว่าอบเชยเคยชอบพวกของโบราณที่บ้านพี่จ่อยมาก ๆ ถึงขั้นอยากซื้อไปสะสมที่บ้าน แต่ปัจจุบันนี้ของยิ่งเก่า ราคาก็ยิ่งแพงเพราะมันกลายเป็นของหายากไปแล้ว มันจึงมีมูลค่าในตัวของมันเอง ตอนนี้เธอจะยังสะสมของเก่าอยู่ไหมนะ...
"นี่ไงเจอแล้ว น้องวิหคของพี่" พี่จ่อยพูดพลางกับสะบัดผ้าคลุมรถสีดำจนฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ถ้าไม่ติดว่าเกิดก่อนนะจะถีบเข้าให้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยจริง ๆ
"แค่ก ๆ" เราต่างคนต่างสำลักฝุ่นกันพัลวัน ใครนะที่มันทำแบบนี้
"ว่าแต่จะถ่ายไปทำไมเนี่ย ย้อนวันวานอะไรของแกวะหอม"
"เหอะน่า ไม่ต้องถามมากได้ไหม วุ่นวาย"
"แกเนี่ยมาวุ่นวายพี่!"
ฉันไม่ได้ยี่หระกับคำพูดของพี่จ่อย แถมยังยักคิ้วกวนประสาทไปทีหนึ่ง ก่อนจะล้วงเอาภาพถ่ายในกระเป๋ากางเกงมายื่นให้ดู
"ขอท่านี้เลยนะพี่จ่อย ขอแบบนี้เป๊ะ ๆ จะได้เทียบให้เห็นชัด ๆ ว่าสมัยนี้กับสมัยก่อน พี่จ่อยต่างกันยังไง"
"ตอนนั้นพี่อ้วนขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย ฮ่า ๆ"
ใครล่ะจะไม่ขำ สมัยนั้นพี่จ่อยดูอวบอั๋น หุ่นตุ้ยนุ้ยดูน่ารักน่าหยิก แต่ตอนนี้ผอมเพียวราวกับนายแบบ และมีหนวดกับเคราแพะประดับประดาบนใบหน้าตี๋ ๆ ก็ดีเหมือนกันที่ได้เห็นถึงความแตกต่างกันขนาดนี้
พี่จ่อยให้ความร่วมมือฉันเป็นอย่างดีโดยการพยายามเลียนแบบท่ายืนแล้วทำหน้าคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ เพราะตอนนั้นรู้สึกผิดที่พาขับรถลงทุ่งนา คิดแล้วก็ขำ ฉันจึงถ่ายไปขำไปกับท่าทีของเขา
"เอ...พี่ว่าเหตุการณ์นี้มันคุ้น ๆ นะ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นนะ"
"พี่จ่อยพาหอมกับอบเชยลงทุ่งนาไง"
"เออว่ะ!! ใช่ ๆ ฮ่า ๆ ลืมเหตุการณ์นั้นได้ยังไงวะเนี่ย ฮ่า ๆ"
"ตลกพี่ตอนนั้น อุตส่าห์จะพาซิ่งไปกินไอติมอย่างดี สุดท้ายเป็นไงล่ะ กินโคลนไปสิ ฮ่า ๆ"
"ฮ่า ๆ โคตรอายเลยว่ะ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองโคตรเท่เลยนะ จ๊าบสุดในย่านนะบอกเลย"
"ถ้าไม่ติดว่าพาแหกโค้งลงทุ่งนาก่อนนะพี่จ่อย" ฉันเอ่ยแซว
"ฮ่า ๆ ว่าแต่แกกับอบเชยได้คุยกันบ้างไหม" รอยยิ้มจางหายไปทันทีที่พี่จ่อยถามจบ
"ไม่ได้คุยกันอีกเลยพี่ ตั้งแต่วันนั้น..." ฉันตอบเสียงแผ่วพร้อมกับหลุบตาลงต่ำ
"ทำไมแกไม่พยายามติดต่อไปหาอบเชยวะ สมัยนี้การจะหาช่องทางติดต่อใครสักคนมันง่ายมากนะ แกเก็บความรู้สึกนั้นมาจะยี่สิบปีแล้ว จะรอให้เขาตายก่อนหรือไง แกถึงจะจุดธูปหา"
"พี่จ่อย ปากหมาว่ะ! ใครเขาให้พูดแบบนั้น"
"นี่พี่พูดให้แกคิดได้นะหอม แม้แต่แกยังติดกับความรู้สึกนั้นมานานจนเริ่มต้นใหม่ไม่ได้สักที แกว่าอีกฝ่ายเขาจะรู้สึกยังไง ตอนยังมีชีวิตอยู่อยากทำอะไรก็ให้รีบทำนะ"
"รู้แล้วน่า บ่นเหมือนคุณละไมเลยนะพี่เนี่ย"
"เพราะพี่ห่วงความรู้สึกแกไหมหอม อายุขนาดนี้แล้วควรมีครอบครัวได้แล้ว ไม่ใช่ยังติดกับความรู้สึกเดิม ๆ จนไปไหนไม่ได้สักที"
"อือ ๆ รู้แล้ว เดี๋ยวหอมหาทางติดต่อไปแล้วกัน ไปก่อนนะ"
"อื้อ รีบติดต่อไปล่ะ"
"จ้า ๆ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะพี่" ฉันเดินออกมาจากร้านพลางกับสัมผัสที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเลื่อนดูภาพถ่ายทีละภาพ และฉันก็นึกอะไรขึ้นได้
"ถ้าเอารูปพวกนี้ไปโพสต์ลงในแฟนเพจ อบเชยจะเห็นไหมนะ..."

ฉันมีเฟซบุ๊กแฟนเพจที่มีคนติดตามไม่น้อยเลย เนื่องจากงานเขียนและนามปากกาของฉันเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่งจึงมีนักอ่านมาติดตามและคอยสนับสนุนฉันตลอดมา บางทีก็แอบคิดว่าหนึ่งในผู้ติดตามจะมีอบเชยอยู่ในนั้นไหม แต่คนเก่ง ๆ แลดูมีความรู้แบบนั้นจะเสียเวลามาอ่านนิยายดรามาทำไมกันนะ อย่างมากก็คงเป็นบทความที่ให้สาระมากกว่า หรือไม่ก็ผลงานวิจัยอะไรเทือกนั้น
ชีวิตเธอดูดีไปเสียทุกอย่าง ขนาดตอนนั้นเรายังเด็ก เธอก็ฉายแววดาวเด่นแล้ว หน้าตาก็ดี เรียนก็เก่ง แถมยังบ้านรวย เรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ ส่วนฉันน่ะเหรอ ตอนนั้นเอาแต่โดดเรียน นอนหลับในห้อง แอบกินขนม แล้วอบเชยนี่แหละที่เป็นคนไปฟ้องแม่จนฉันโดนอบรมอยู่บ่อย ๆ ทำให้ฉันเหม็นขี้หน้าเธอเป็นบ้า แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาเป็นเพื่อนกัน มันเริ่มขึ้นในวันนั้น...
.
.
.
.
.
ธันวาคม พ.ศ.2541
"เห็นครูเรืองรองบอกว่าปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วนะที่โรงเรียนของเราจะเป็นหญิงล้วน พอเราจบออกไปก็กลายเป็นโรงเรียนสห"
"อิจฉาเด็กรุ่นต่อไปจังที่จะได้เรียนกับเด็กผู้ชาย พวกเรานี่มองไปทางไหนก็มีแต่เด็กผู้หญิงด้วยกัน"
"ไม่เห็นน่าอิจฉาตรงไหนเลย เราไม่ชินกับการที่มีนักเรียนชายมานั่งเรียนด้วยหรอกนะ ทำตัวไม่ถูก"
ฉันไม่ได้ยี่หระกับบทสนทนาของเพื่อนร่วมห้องที่คุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้วเข้าโสตประสาทของฉันแต่อย่างใด ใครจะเข้าจะออก จะเปลี่ยนจากโรงเรียนหญิงล้วนเป็นโรงเรียนสหศึกษาฉันก็ไม่ได้สน ปกติก็ไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมกับใครนักหรอก แค่อยากมาเรียนให้มันจบ ๆ หลับในห้องบ้างเวลาง่วง หรือหาขนมมาแอบกินในห้องกับแก้ว เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของฉันที่นั่งอยู่ข้างกัน แค่นี้ก็มีความสุขในแต่ละวันแล้ว
แต่ยังดีที่มีกุ้งเป็นเพื่อนสนิทอีกคน รายนี้นะ ไม่เคยห้ามปรามอะไรฉันหรอก อยากโดดเรียนเหรอ เดี๋ยวกุ้งเป็นต้นทางให้ อยากหลับเหรอ เดี๋ยวนั่งบังครูให้ เพราะเธอนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าฉัน อะไรจะเป็นคนดีขนาดนี้
ส่วนคนที่ทำให้ฉันไม่อยากคบค้าสมาคมที่สุดก็คือหัวหน้าห้องที่ชอบทำตัวเป็นเด็กคงแก่เรียน ดวงตาใสแจ๋วเวลาครูเข้ามาสอน เห็นแล้วอยากเอาดินสอจิ้มตาให้แตก แม้แต่ตอนจะแอบหลับในห้องก็ชอบมาสะกิดปลุกฉันตลอด ฉันอยากมีบัญชีหนังหมาเอาไว้จดชื่อเธอจริง ๆ ว่าเธอน่ะมันเป็นนางมารร้ายชอบขัดความสุขฉันอยู่เรื่อย ชื่ออะไรนะ อบเชย เหรอ แม้แต่ชื่อฉันยังไม่อยากจะจำ ชิชะ...
ฉันได้แต่กอดอกพลางกับบ่นในใจเพราะวิชาต่อไปเป็นของครูสมหญิง หรือที่ใคร ๆ ต่างก็ตั้งสมญานามให้เธอว่า เจ๊ไฝใจร้าย เพราะเธอจะมีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้าย ด่าทีเจ็บแสบไปถึงทรวง มันเป็นเอกลักษณ์ของครูภาษาไทยหรืออย่างไร ที่ต้องมีบุคลิกเป็นคนดูดุ ๆ และชอบถือไม้เรียวเดินไปเดินมาทั่วโรงเรียน
"เจ๊ไฝมาแล้ว ๆ" หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องตะโกนขึ้นก่อนที่เสียงเจื้อยแจ้วก่อนหน้าจะเงียบกริบ
"นักเรียนกราบ!"
ทันทีที่ครูสมหญิงเดินมายืนด้านหน้าห้อง หัวหน้าห้องก็ทำหน้าที่ให้สัญญาณพร้อมกับที่นักเรียนทุกคนต่างก้มลงกราบลงกับโต๊ะไม้ ก่อนครูสมหญิงจะหันไปหยิบชอล์กสีขาวแล้วเขียนบนกระดานดำด้วยตัวบรรจง หางตวัดสวยงาม สมกับเป็นคุณครูภาษาไทยจริง ๆ
"กุ้ง...บังให้หน่อย" ฉันใช้ปากกาเขี่ยที่หลังของกุ้งแล้วกระซิบเบา ๆ พอให้เธอได้ยิน ก่อนกุ้งจะนั่งยืดหลังตรงช่วยบังให้ ฉันจึงค่อย ๆ ทำตัวดั่งของเหลวให้ไหลลงกับเก้าอี้ เพื่อที่จะมุดหนีออกจากห้อง
"ชื่นจิต!! จะไปไหน!!?"
ขณะที่ฉันกำลังจะคลานออกจากห้อง เจ๊ไฝก็บังเอิญหันมาพอดี เป็นเวรกรรมแท้ ที่ถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาแบบนี้ แต่มีหรือที่ฉันจะยอมให้โดนจับง่าย ๆ
"ปากกาตกค่ะครู เลยคลานมาเอา" ฉันพูดพลางกับชูด้ามปากกาขึ้นมา ครูสมหญิงทำหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับจับขาแว่นตาเพ่งมองมาทางฉัน
"อยากคลานไปเก็บปากกาที่ห้องปกครองไหม"
"ไม่ค่ะครู!"
"ถ้าไม่ก็เอาไม้บรรทัดมายืนคาบที่หน้าห้อง"
ซวย! ซวย! วันนี้บอกเลยว่า ซวย! โดดเรียนมาตลอดไม่เคยโดนจับได้ ทำไมวันนี้มันซวยแบบนี้นะ ส่วนคนที่ฉันไม่ค่อยชอบหน้าก็เอาแต่อมยิ้มให้กับฉัน เห็นแล้วหมั่นไส้ คงจะเยาะเย้ยฉันในใจล่ะสิที่วันนี้ถูกจับได้
ฉันยืนคาบไม้บรรทัดตลอดคาบเรียน โดยมีสายตาคู่หนึ่งหันมามองฉันอยู่บ่อย ๆ จะเป็นของใครล่ะ นอกจากอบเชย คงรอเวลาหมดคาบเรียนแล้วก็มาเอ็ดฉันเหมือนทุก ๆ วันเป็นแน่ แต่เมื่อออดหมดเวลาเรียนดังขึ้น ฉันก็รีบวิ่งแจ้นออกจากห้องทันที โดยที่เจ๊ไฝยังไม่อนุญาตให้หยุดคาบไม้บรรทัดเสียด้วยซ้ำ
เป้าหมายที่ฉันรีบมาคือห้องน้ำเก่าหลังอาคารเรียนที่ปิดใช้งานไปได้หลายปีแล้ว เพราะที่โรงเรียนสร้างห้องน้ำใหม่ไฉไลกว่าเดิมอยู่อีกฟากหนึ่งใกล้กับห้องพักครู และสิ่งที่ฉันทำ ไม่ได้เป็นการลักลอบทำเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด
ฉันใช้ฟันกัดที่ก้นถุงนมวัวให้ขาด ก่อนจะเป่าเศษถุงที่ติดกับริมฝีปากออกไปให้พ้น ๆ แล้วจึงบีบนมลงไปที่จานพลาสติกที่วางอยู่ข้างกับพุ่มไม้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีลูกหมาตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเดินเตาะแตะออกมาจากพุ่มไม้เพื่อมากินนมที่ฉันเทให้
"กินเยอะ ๆ นะไอ้ดำ" เพราะมันมีขนสีดำ ฉันจึงเรียกมันว่าไอ้ดำ มันเป็นหมาเด็กกำพร้ากระมัง เพราะฉันไม่เคยเห็นแม่ของมันเลย มันคงจะเหงาน่าดู
"ตัวนี้มันชื่อเฉาก๊วย" เสียงหวานเอ่ย ทำเอาฉันถึงกับหันขวับ
เธอคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ก็อบเชยนั่นแหละ เด็กผู้หญิงผมสั้นมีหน้าม้าพอดีคิ้ว ดวงตาของเธอกลมโตและใสแจ๋วดุจลูกแก้วที่มีประกายแวววาว จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับอมชมพู ขนาดอายุแค่นี้ยังดูดีได้ขนาดนี้ ถ้าเธอโตขึ้นคงได้เห็นเธออยู่หน้าจอโทรทัศน์เป็นแน่
"เธอตามเรามาทำไมอบเชย เจ๊ไฝให้มาด่าเราสินะ" ฉันบึนปากเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ ที่ส่วนตัวของฉันมีคนมาเห็นเข้าจนได้และคนนั้นดันเป็นคนที่ฉันไม่ถูกชะตานี่สิ
"แค่จะตามมาดูเด็กเกเรน่ะ ว่าจะรีบวิ่งไปไหนทุกวัน พอเราไปดูที่โรงอาหารก็ไม่เห็น ที่แท้ก็เอานมมาให้เฉาก๊วยเองเหรอ"
"รู้ชื่อมันได้ไง"
"มันคือหมาของภารโรงน่ะ เวลาลุงเขามาทำงาน เขาก็จะอุ้มหมาใส่ตะกร้าหน้ารถมาด้วยทุกวันแล้วก็เอามาปล่อยที่นี่ มันฉลาดมากเลยเนอะ ไม่เคยหนีไปไหนเลย รอจนลุงภารโรงมารับมันกลับบ้าน" ฉันฟังพลางกับนั่งมองเจ้าเฉาก๊วยกินนมที่จานพลาสติก ก่อนที่มันจะหัวคะมำลงในจาน
"เฮ้ย!! เฉาก๊วย!!" ทั้งฉันและอบเชยต่างอุทานลั่นและโผเข้ามาอุ้มมันมาลูบหัวปลอบขวัญยกใหญ่ อันที่จริงมันอาจจะไม่ได้ตกใจอะไรมากมายเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่กำลังมองมันอยู่นี่สิ หัวใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
"ตกใจหมดเลยหมาบ้าเอ๊ย! อร่อยหรือหิว ถึงกับต้องเอาหัวจุ่มนมขนาดนี้เนี่ย" ฉันพูดพลางกับลูบคราบนมที่หัวของมันออกให้ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้าง ๆ จนฉันหันไปมองค้อนเธอทันที
"หัวเราะอะไร"
"ก็เธอน่ารักดีนี่นา" คิ้วของฉันขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
"อะไรของเธอเนี่ย"
"เธอก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนี่นา ทำไมเอาแต่ทำหน้าดุใส่เราอยู่ได้"
"ทำไม จะบอกว่าเด็กที่หลับในห้องคือคนไม่ดีเหรอ จะบอกอะไรให้นะอบเชย คนที่หลับในห้องน่ะ แปลว่าฉลาดจนไม่ต้องเรียนแล้วต่างหาก" ฉันคุยโวพร้อมกับยักคิ้วไปทีหนึ่ง และคนฟังก็เอาแต่อมยิ้ม เธอจะยิ้มอะไรนักหนาเนี่ย
"สอบปลายภาคเรามาแข่งกันไหม ว่าใครจะได้คะแนนเยอะกว่ากัน" งามไส้ไหมล่ะไอ้หอมเอ๊ย...
"เราไม่แข่งอะไรไร้สาระแบบนั้นกับเธอหรอกนะ"
"ไร้สาระตรงไหนกัน แข่งกันเรียนน่ะมีสาระที่สุดแล้วนะ"
"ทำไมต้องกดดันตัวเองถึงขนาดนั้นเหรอ แม่เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน จะเรียนต่อมัธยมปลายที่นี่ก็สุดแสนจะสบายกว่าคนอื่นเขาแท้ ๆ"
"ทำไมทุกคนถึงคิดแบบนี้กันหมดนะ ทุกคนมองแค่ว่าเราสบายที่เป็นลูกผู้อำนวยการ แต่ไม่มีใครมองไปถึงสิ่งที่เราพยายามมาตลอดตั้งแต่เด็กเลย เราอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะทำคะแนนให้ได้ดี ๆ เธอรู้ไหม ว่าการเป็นจุดสนใจของคณะครูน่ะ มันทำให้เราถูกคาดหวังจนเราเครียด เราเองก็อยากใช้ชีวิตเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ เหมือนกัน อยากลองโดดเรียนดูบ้าง อยากลองไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนดูสักครั้งเหมือนกัน"
"ทำไมคนแบบเธอถึงอยากลองโดดเรียน ทั้ง ๆ ที่เธอเองแท้ ๆ ที่เป็นคนดุเราอยู่ตลอด" ปากก็พูดไป มือก็ลูบหัวเจ้าเฉาก๊วยไปพลาง ๆ
"ก็เราบอกแล้วไง ว่าเราอยากลองใช้ชีวิตเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ เขาดูบ้าง เราแค่...อยากมีเพื่อนหลาย ๆ แบบที่ไม่ต้องแข่งขันกันเรียนอยู่ตลอดเวลาน่ะ อยากมีเพื่อนคู่ใจที่คอยสนับสนุนเรามากกว่า" เธอพูดเสียงแผ่วปลายคล้ายคนกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ สายตาของเธอเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ฉันเองก็เคยฉงน ว่าคนที่ดูเพียบพร้อมทุกอย่างจะมีเรื่องทุกข์ใจบ้างไหมนะ วันนี้ฉันจึงได้รู้ว่าต่อให้จะเพียบพร้อมแค่ไหนก็คงหนีไม่พ้นกับเรื่องทุกข์ใจ ไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องในใจอยู่ดี และดูเหมือนเธอเองคงจะแบกความคาดหวังทั้งกับครอบครัวและครูที่โรงเรียนนี้เอาไว้มากเลยทีเดียวถึงได้แสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียงและแววตาแบบนี้
ไม่รู้ทำไม แค่ได้ยินน้ำเสียงและแววตาของเธอ ทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมา ความจริงเธอไม่มีเพื่อนอย่างนั้นหรือ เพื่อนของเธอคงเอาแต่ชิงดีชิงเด่นกันหรือเปล่านะ เธอถึงได้เป็นถึงขนาดนี้
"อบเชย" ฉันตัดสินใจเรียกขณะที่เธอกำลังเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าเฉาก๊วยบนตักของฉัน
"ว่าไง" เธอตอบโดยไม่ได้เงยหน้ามาสบตากับฉันแม้แต่น้อย
"มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายกับเราได้นะ เดี๋ยวเรารับฟังเอง" ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย แต่พอเธอเงยหน้ามาพร้อมกับประกายวิบวับในแววตา ความรู้สึกของฉันก็เปลี่ยนไปทันที เธอกำลังน้ำตาคลอเบ้า ฉันรู้สึกว่าหัวใจมันหวิว ๆ อย่างไรชอบกล เหมือนกับเธอไม่เคยมีใครพูดแบบนี้ด้วยอย่างไรอย่างนั้น
"เป็นอะไรหรือเปล่าอบเชย"
"ดีใจน่ะ ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเราเลย" ฉันดันเดาถูกเสียได้
"เหรอ...ไม่มีเลยเหรอ"
"อื้อ...ไม่มีหรอก เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนพูดกับเราแบบนี้"
"เป็นไปได้เหรอเนี่ย"
"เป็นไปได้สิ เอ้อนี่...เรามีอะไรจะบอกเธอ อยากให้เธอรู้เอาไว้น่ะ"
"อะไรเหรอ" ฉันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เอาจริง ๆ นะ เวลาที่อยู่หน้าห้องน่ะ มันเห็นทุกอย่างนะหอม ไม่ว่าเธอจะทำอะไร"
"คืออะไร ไม่เข้าใจ"
"ก็...เวลาเธอจะแอบกินขนม แอบหลับในห้อง หรืออะไรก็แล้วแต่ การที่เธอมองไม่เห็นหน้าครู ก็ไม่ได้หมายความว่าครูจะมองไม่เห็นเธอนะ คนด้านหน้าแค่บังสายตาเธอ ไม่ได้บังเธอจนมิด เธอเข้าใจใช่ไหม" ฉันขมวดคิ้วและคิดตามเธอ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจเธออยู่ดี
"ไม่เข้าใจเหรอ" เธอถาม
"หึ" ฉันตอบพลางกับส่ายหน้า
"จะบอกยังไงดีล่ะ ทั้ง ๆ ที่เธอโดนลงโทษให้คาบไม้บรรทัดที่หน้าห้องบ่อยแท้ ๆ ทีหลังก็ลองสังเกตดูนะ ว่าเวลาเพื่อนหลังห้องแอบกินขนมน่ะ เธอจะมองเห็นหมดเลยล่ะ" ฉันถึงกับบางอ้อ หรือว่า...ที่เจ๊ไฝจับได้ก็เป็นเพราะแบบนี้สิเนี่ย อยากจะเอาหัวโขกกับเสาจริง ๆ
"ทำไมเพิ่งจะมาบอกเนี่ย! นี่มันเรื่องสำคัญมากเลยนะ"
"หอมเคยคุยกับเราที่ไหนล่ะ ขนาดเรายิ้มให้เธอยังทำหน้าดุใส่เราเลย"
"อือ ก็จริง"
"งั้นเราขอตัวก่อนนะ ต้องกลับไปเตรียมตัวเรียนวิชาต่อไปแล้ว เธอไม่ไปเรียนใช่ไหม จะได้แจ้งครูว่าเธอไม่สบาย"
"เอ่อ...ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ วันนี้แค่แวะเอานมมาให้ไอ้ดำเฉย ๆ อ้อ! ไม่สิ เฉาก๊วยสินะ แค่รู้ว่ามันมีเจ้าของ เราก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมันแล้วล่ะ"
"เหรอ...งั้น...ไปเรียนกันไหม"
"อื้อ ไปสิ" ไม่ว่าเปล่า พูดจบฉันก็วางเจ้าเฉาก๊วยลงก่อนจะยีหัวมันเล่นด้วยความมันเขี้ยว แล้วจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะกระโปรงสีกรมท่า วันนี้ทำไมรู้สึกว่าอยากจะไปเรียนจังนะ แต่คงไม่ใช่เพราะอบเชยหรอก

วันนี้ทั้งวัน ฉันดูตั้งใจเรียนเป็นพิเศษจนแก้วเองก็แปลกใจที่ฉันไม่แอบหลับเหมือนเช่นทุกวัน แต่ความจริงแล้วฉันคอยสังเกตอบเชยที่นั่งอยู่หน้าห้องมากกว่า แทบจะทุกคาบเรียนเลยก็ว่าได้ที่คุณครูแต่ละวิชาจะเรียกให้เธอตอบ และเธอก็จะตอบคำถามได้ตลอด คนอื่น ๆ มองว่าเธอเก่ง แต่ฉันกลับ...รู้สึกว่าเธอคงจะกดดันน่าดู ที่ต้องตอบคำถามจากครูทุกคน ทุกวิชา ทุกวัน มันเป็นแบบนี้อยู่ร่ำไป

ตกเย็นวันนั้น หลังจากที่ฉันกลับมาถึงบ้านและเก็บกระเป๋าเสร็จ ฉันจึงปั่นจักรยานแม่บ้านไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะหาเช่าหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรด ฉันยังคงสวมชุดนักเรียนดังเดิมเพราะขี้เกียจเปลี่ยน แม้จะโดนพ่อดุอยู่บ่อย ๆ ว่ากลับบ้านต้องเปลี่ยนชุดก่อน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าจะเปลี่ยนทำไมเยอะแยะ ฉันเปลี่ยนก็เพียงแค่รองเท้าเท่านั้น
ตะกร้าหน้ารถมีหนังสือการ์ตูนอยู่สองเล่มที่ฉันต้องนำไปคืนในวันนี้เพราะครบกำหนดแล้ว เมื่อมาถึงหน้าร้าน ฉันได้เจอกับเด็กคนหนึ่งที่สวมชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับฉันกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่หน้าร้าน ทำไมถึงไม่ยอมเข้าไปเสียทีนะ ฉันจึงจอดจักรยานไว้ข้าง ๆ ก่อนจะพบว่านั่นคืออบเชยนั่นเอง
"อ้าว! มาทำอะไรน่ะอบเชย"
"อ๊ะ!!" เธอดูตกใจไม่น้อยที่เจอฉันที่นี่ ก่อนจะมีท่าทีอ้ำอึ้ง แต่ฉันก็ไม่ได้ยี่หระกับท่าทีของเธอ ฉันยักไหล่และเดินนำเธอเข้าไปในร้านและไม่ลืมที่จะหันไปเชิญชวนเธอด้วย
"เข้ามาสิ จะยืนหน้าร้านไปถึงดึกเลยหรือไง"
"อะ...อื้อ!"
หลังจากที่เดินเข้ามาในร้านหนังสือ อบเชยดูตื่นตาตื่นใจกับบรรดาหนังสือมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือการ์ตูนและหนังสือนวนิยายเสียส่วนใหญ่
"ที่นี่ไม่มีหนังสือเรียนหรอกนะ อย่าถามหาล่ะ มันคือร้านเช่าหนังสือการ์ตูน"
"อื้อ" ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีของเธอ คงจะเคยเข้ามาครั้งแรกเป็นแน่
"เพิ่งเคยมาเหรอ"
"ใช่ แม่ไม่เคยให้เข้าร้านอะไรแบบนี้หรอก แต่พอดีว่าวันนี้แม่ติดประชุมน่ะ เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนมาเจอร้านนี้นี่แหละ"
"จะว่าไป...ร้านนี้มันก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนี่นา ไว้วันหลังก็มาด้วยกันสิ เรามาเช่าหนังสือการ์ตูนบ่อย ๆ"
"เหรอ...อันที่จริงเลิกเรียนก็พอมีเวลาอยู่บ้างนะ เพราะแม่จะอยู่ทำงานที่โรงเรียนจนถึงค่ำเลย กว่าจะได้กลับก็นู่น...ทุ่มสองทุ่ม"
"งั้นวันหลังจะพาไปกินอะไรอร่อย ๆ"
"อื้อ" รอยยิ้มเล็ก ๆ เปรอะบนใบหน้าของเธอ เหมือนคนดีใจที่ได้เพื่อนใหม่อย่างไรอย่างนั้น จนฉันอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ฉันแนะนำหนังสือการ์ตูนให้อบเชยและเล่าเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ให้เธอฟัง เธอดูสนใจและตื่นเต้นกับทุก ๆ เรื่องที่ฉันเล่า เวลาผ่านไปนานเพียงใดไม่อาจทราบได้ รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีครามแบบไร้แสงตะวันแล้ว วันนี้ฉันกับอบเชยคุยกันเพลินเลย ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกว่าเราดูเข้ากันได้ดีเสียด้วยซ้ำ
"เราต้องกลับแล้วนะอบเชย เดี๋ยวแม่จะรอกินข้าว"
"อื้อ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะหอม ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ" ฉันยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปเท่านั้น
คงจะเพราะเราคุยกันถูกคอกระมัง ฉันถึงรู้สึกว่าอยากให้มันถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ อยากพาอบเชยไปกินของอร่อย ๆ อยากให้เธอมีช่วงเวลาหลังเลิกเรียนกับเพื่อนเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่กลับไปอ่านหนังสือและเตรียมเนื้อหาในวันถัดไป ดูก็รู้ว่าวันนี้เธอมีความสุขมากเพียงใดจากการฟังเนื้อเรื่องของการ์ตูนที่ฉันเล่าให้เธอฟัง ฉันจะเติมสีสันให้ชีวิตของเธอเองนะ

เช้าวันถัดมา ฉันให้พ่อขับรถเครื่องมาส่งที่โรงเรียนแต่เช้าจนแม่และพ่อเองก็คงนึกแปลกใจว่ามีอะไรเข้าสิงฉันเป็นแน่ เพราะปกติแล้วฉันตื่นสายถึงขั้นที่ต้องลากลงจากเตียงในบางครั้ง แต่วันนี้ฉันตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้และตื่นตามเวลาตั้งแต่เสียงร้องเตือนครั้งแรกแบบไม่มีโอดครวญ
ฉันตั้งใจมาโรงเรียนแต่เช้าก็เพราะจะมาดักรอดูอบเชย ว่าแต่ละวันเธอมาโรงเรียนกี่โมง จะได้คิดวางแผนเพื่อเติมสีสันให้เธอถูกและไม่นานรถยนต์คันหนึ่งก็เข้ามาจอดยังลานจอดรถสำหรับผู้อำนวยการโรงเรียน นี่เธอมาโรงเรียนเช้ากว่าภารโรงเสียอีกนะเนี่ย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงรู้ว่าลุงภารโรงมักจะอุ้มเจ้าเฉาก๊วยมาโรงเรียนด้วย
และมันก็เป็นอย่างที่เธอบอกจริง ๆ ลุงภารโรงปั่นจักรยานมาโรงเรียนไล่หลังอบเชย โดยมีเจ้าเฉาก๊วยแลบลิ้นตากลมดูมีความสุขเชียวล่ะ น่าอิจฉาหมาชะมัด เป็นหมาเนี่ยชีวิตดีเสียนี้กระไร แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเกิดเป็นหมาหรอกนะ
วันนี้เข้าสู่อีหรอบเดิม คุณครูทุกวิชาเลยจริง ๆ ที่เรียกให้อบเชยตอบ มันอะไรกันนักกันหนา นักเรียนในห้องนั่งหัวดำกันตั้งหลายสิบคน ทำไมถึงเรียกตอบอยู่คนเดียว ฉันก็เคยคิดว่าเธอเป็นพวกประจบประแจงเก่ง คุณครูจึงรักใคร่เอ็นดูเธอเป็นพิเศษ ความจริงมันคือรางวัลของการพยายามมากกว่า ถ้าหากเมื่อวานไม่ได้คุยกัน ฉันคงเข้าใจเธอแบบผิด ๆ ไปจนเรียนจบเป็นแน่

วันต่อมาฉันปั่นจักรยานไปโรงเรียนด้วยตัวเองเพราะมีเป้าหมายว่าจะพาอบเชยไปกินอะไรอร่อย ๆ ดังที่รับปากเธอเอาไว้ เมื่อเธอมาถึงที่โรงเรียนฉันก็รีบชวนเธอออกไปทันที เธอไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธและยอมซ้อนท้ายฉันอย่างว่าง่าย โดยการนั่งเบี่ยงไปข้างหนึ่งพร้อมกับเกาะเอวฉันเอาไว้ ก่อนที่ฉันจะพาเธอมาที่สภากาแฟแถวบ้านฉันเอง
"รถเยอะจัง ระวังนะหอม" ว่าพลางกับเกาะเอวฉันเอาไว้แน่นขึ้น เพราะที่นี่มีรถเครื่องสัญจรไปมาแต่ก็ไม่ได้หนาตานัก เพราะใครที่มีรถเครื่องเรียกได้ว่าค่อนข้างมีฐานะพอสมควร แต่ที่บ้านฉันมีก็เพราะสมบัติตกทอดมาจากรุ่นปู่ สภาพมันเลยไม่ค่อยจะทันสมัยเท่าของคนอื่น ๆ
ฉันมองถนนสองฝั่งซ้ายขวาก่อนจะปั่นจักรยานข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งจนมาหยุดอยู่ที่หน้าสภากาแฟ หนึ่งในนั้นมีปู่ฉันด้วย เขามักจะมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นประจำ ปู่เอาแต่คุยไม่ได้สนใจหลานตัวเองเลย ฉันยักไหล่ ไม่สนใจปู่เช่นกัน เพราะฉันควรให้ความสำคัญกับคนข้าง ๆ มากกว่า
"เธอชอบกินร้อนหรือเย็น" ฉันถาม
"เอ่อ...มันคืออะไรเหรอ"
"เถอะน่า ชอบร้อนหรือเย็น"
"ปกติกินร้อนนะ" ฉันพยักหน้ารับ
"เฮียเอาโอเลี้ยงกับโอยั้วะอย่างละหนึ่ง"
"จ้า" เฮียคนขายเอ่ยตอบ ฉันจึงจูงมืออบเชยมานั่งรอที่โต๊ะ หลังจากนั้นไม่นาน แก้วเครื่องดื่มก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ
"มันคืออะไรเหรอหอม" อบเชยถามพลางกับชี้ไปที่แก้วทั้งสอง
"ถ้าใส่น้ำแข็งน่ะคือโอเลี้ยง ส่วนแก้วเล็กเนี่ย คือโอยั้วะ ถึงมันจะมาจากวัตถุดิบเดียวกัน แต่มันเรียกไม่เหมือนกันหรอกนะ" อบเชยอ้าปากเหวอพลางกับพงกหัวหงึก ๆ ทำให้ฉันนึกเอ็นดูกับท่าทีของเธอ นี่เธอเป็นคุณหนูที่ไม่เคยกินอะไรแบบนี้อย่างนั้นหรือเนี่ย
"มันคือความอัศจรรย์ของเครื่องดื่มนะว่าไหม วัตถุดิบเดียวกัน แต่วิธีการกับส่วนผสมต่างกันมันก็เรียกไม่เหมือนกันแล้ว ว้าว...แม่ไม่เคยพากินอะไรแบบนี้เลย ปกติได้กินแต่ชานำเข้า กลิ่นแปลก ๆ" ว่าพลางกับคว้าเอากล้องฟิล์มออกจากกระเป๋าเพื่อมาถ่ายรูปแก้วทั้งสองเอาไว้ ฉันอึ้งเล็กน้อยที่เธอพกของแพง ๆ แบบนั้นมาโรงเรียนด้วย
"แหวะ! แค่ก ๆ" เมื่อเธอลองยกแก้วขึ้นจิบ เธอถึงกับสำลักออกมาทันที คงไม่รู้สินะว่าโอยั้วะรสชาติมันจะออกขม ฉันดูดโอเลี้ยงพลางกับขำท่าทีของเธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบที่ริมฝีปากให้กับอบเชย
"ค่อย ๆ กินสิ ปากเลอะหมดแล้ว"
"หอมกินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย รสชาติแปลกกว่าชาที่บ้านอีก"
"อร่อยออก แหวะได้ไง เสียของนะ"
"เนี่ยเหรอของอร่อย ๆ อย่างที่หอมว่า"
"อื้อ เราว่ามันอร่อย" อบเชยทำหน้าเหยเกเมื่อฉันบอกว่ามันอร่อย ก่อนเธอจะแย่งแก้วโอเลี้ยงของฉันไปดูดแล้วทำปากแจ๊บ ๆ คล้ายซึมซับรสชาติของมัน แล้วจึงยกแก้วโอยั้วะของตัวเองมาจิบอีกครั้ง ตามด้วยทำปากแจ๊บ ๆ เช่นเดิม
"ของเราอร่อยกว่าตั้งเยอะ"
"มันก็ส่วนผสมเดียวกันไหม"
"ก็ใช่ แต่ของเราอร่อยกว่า"
"ว่าไปนั่น...เฮีย คิดเงินกับปู่นะ" หลังจากที่กินเสร็จฉันก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับปู่ อยากไม่สนใจหลานดีนัก จ่ายเงินให้ด้วยนะ ฉันยิ้มหน้าบานกลับมาที่รถจักรยานเพราะได้กินฟรี ก่อนพาอบเชยกลับโรงเรียน วันนี้ฉันได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกแล้ว หวังว่าเธอจะมีความสุขนะอบเชย

หลังเลิกเรียนวันถัดมา วันนี้พี่จ่อยขับรถซาเล้งมารับฉันที่โรงเรียน เพราะตอนเช้ารถเครื่องของปู่หลับยาวจนติดเครื่องไม่ได้ ปู่จึงปั่นจักรยานไปที่สภากาแฟแทน ดีที่ปู่เป็นคนใจดี ไม่ได้เอ็ดอะไรที่ฉันทิ้งภาระไว้ให้แต่ถ้าเป็นแม่ล่ะก็ ฉันโดนด่าหูชาไปเจ็ดวันแน่
"ขึ้นมาเลย ๆ พี่จะพาไปกินไอติมลุงปั้น รับประกันความอร่อย"
"แต่ว่า...แม่เคยบอกว่าไม่ให้ไปไหนกับผู้ชายที่ไม่รู้จักค่ะ" อบเชยตอบ
"เถอะน่า ขึ้นมาเถอะ พี่จ่อยเป็นพี่ชายเราเอง" ฉันพูดพลางกับยื่นมือไปรอรับเธอ แต่เธอมีสีหน้ากังวลใจและไม่ยอมขึ้นรถมา
"ไอติมอร่อยจนลืมไม่ลงเลยนะน้อง" ทั้งฉันและพี่จ่อยต่างคะยั้นคะยอเธออีกครั้ง ซึ่งเธอก็ยื่นมือมาหาฉันแต่โดยดี ก่อนที่ฉันจะจับมือของเธอแล้วจึงประคองเธอให้เดินขึ้นมาบนรถซาเล้งสีแดงแรงฤทธิ์ของพี่จ่อย
"ไปแล้วนะ เกาะแน่น ๆ นะไอ้น้อง!"
"อ๊ะ!!"
ทันทีที่รถของพี่จ่อยออกตัว อบเชยก็คว้าหมับที่แขนของฉันแล้วกอดเอาไว้แน่น แหงล่ะ...เธอคงเคยนั่งเป็นครั้งแรก เคยทำอะไรบ้างไหมนะนอกจากอ่านหนังสือเนี่ยอบเชย!
"พี่จ่อย! ลดความเร็วลงหน่อยโว้ย! เดี๋ยวก็แหกโค้งหรอก!!"
"กรี๊ด!!"
"ว๊าก!"
พูดไม่ทันขาดคำ รถซาเล้งของพี่จ่อยก็พุ่งลงทุ่งนาข้างทาง โชคยังดีที่รถเทกระจาดฉันกับอบเชยไปที่กองหญ้านุ่ม ๆ แต่คนขับนี่สิ พุ่งหลาวหัวคะมำลงทุ่งนาไปแล้ว จะว่าสงสารก็สงสารแต่ขอขำก่อน โทษฐานที่ไม่ยอมฟังที่ฉันเตือน
"ฮ่า ๆ ๆ" ทั้งฉันและอบเชยต่างหัวเราะร่าพลางกับช่วยกันยกรถขึ้น แต่เพราะมัวแต่หัวเราะทำให้เรี่ยวแรงของเราถูกสูบไปเสียหมด พี่จ่อยจึงลุกขึ้นได้ไม่ทันไรรถซาเล้งลูกรักก็พาหัวคะมำลงโคลนอีกรอบ ไหนจะลื่นโคลนจนตีลังกา ไอติมกะทิที่ว่าคงเป็นโคลนนี่แหละฉันว่า ฮ่า ๆ
หลังจากที่เราช่วยยกรถซาเล้งกลับมาได้ อบเชยก็ไม่ลืมที่จะนำกล้องมาถ่ายสภาพของพี่จ่อยเอาไว้ ก่อนจะนั่งกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอนี่มันแก่นใช่ย่อย
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ฉันกับอบเชยสนิทกันมากขึ้น ทุกวันหลังเลิกเรียนนอกจากฉันจะพาเธอไปหาอะไรอร่อย ๆ กินแล้ว ก็ยังมีเธอช่วยทบทวนบทเรียนให้ ไหนจะสอนการบ้านอีกด้วย บางวันฉันกับอบเชยก็จะมาเล่นกับเจ้าเฉาก๊วยที่หลังห้องน้ำ จะว่าไปการมีเธอมันก็ดีเหมือนกันนะ ฉันรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอ มันทำให้ฉันสดใสตามไปด้วยจนฉันไม่รู้ตัวเลยว่าความรู้สึกดี ๆ มันก่อตัวขึ้นตอนไหน รู้ตัวอีกที...ฉันก็เอาแต่คิดถึงเธอตลอดเวลา

ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์คือวันที่แสนทรมาน เพราะฉันไม่ได้เจอหน้าอบเชย จะอ่านหนังสือการ์ตูนก็ไม่มีสมาธิ ฉันเทียวอ่านสมุดเฟรนด์ชิพที่อบเชยเขียนให้สิบกว่าหน้าซ้ำ ๆ จนจำได้ขึ้นใจว่าเธอเขียนว่าอะไรบ้าง จำได้ดีกว่าเรื่องที่จะนำไปสอบเสียอีก ไม่อยากให้ถึงวันเรียนจบเลย เธอจะไปต่อมัธยมปลายที่ไหนนะ เราจะได้เจอกันอีกไหมนะ ความรู้สึกคำนึงหาแบบนี้มันคืออะไรกัน ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

"พี่จ่อย ถามหน่อย ไอ้การอยากเจอหน้าคนคนหนึ่งตลอดเวลา คิดถึงแต่เขา เวลาไม่ได้เห็นหน้าแล้วมันใจจะขาดนี่มันคืออะไรเหรอ" เด็กอย่างฉันจะไปรู้เรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทางออกที่ดีที่สุดก็คือปรึกษาคนที่โตกว่าอย่างพี่จ่อยนี่แหละ
"แกกำลังมีความรักไง ไม่เห็นเข้าใจยากตรงไหนเลย" พี่จ่อยพูดพลางกับหยอดน้ำมันลงที่โซ่รถจักรยานของฉันหลังจากที่ตั้งโซ่ให้ตึงเพราะมันหย่อนจนตกอยู่บ่อย ๆ ก่อนที่เขาจะหันขวับมามองฉันอย่างกะทันหันจนฉันถึงกับสะดุ้งโหยง
"เมื่อกี้แกว่าอะไรนะหอม"
"พี่นั่นแหละพูดอะไร ใครกำลังมีความรัก จะบ้าเหรอ"
"เฮ้ย! มันเป็นใครวะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมันคุยกับผู้ชายคนไหนนอกจากพี่ ผีตัวไหนเข้าสิงบอกมา!"
"แล้วบอกตอนไหนว่าผู้ชาย ที่หอมถามน่ะ คือหอมหมายถึงเพื่อนผู้หญิง"
"อบเชย" พี่จ่อยพูดพลางกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"อื้อ"
"เออว่ะ...จะว่าไปแกก็ดูสนิทกับอบเชยมากนี่นา พี่ไม่เคยเห็นแกสนิทกับเพื่อนคนไหนจนใช้เวลาหลังเลิกเรียนด้วยกันมาก่อนเลย ไม่แปลกนะที่แกจะรักเขาน่ะ"
"ไม่ใช่แล้วพี่จ่อย อบเชยเป็นผู้หญิงนะ"
"ผู้หญิงแล้วมันยังไง ก็ในเมื่อแกรู้สึกกับเขา จะผู้หญิงผู้ชายมันก็รักได้ทั้งนั้นแหละ เสร็จแล้ว โซ่จะไม่ตกไปอีกนานเลย" ฉันรับจักรยานกับพี่จ่อยพลางคิดในใจ นี่ฉัน...รักอบเชยงั้นเหรอ นี่น่ะหรือความรัก มันดูทุกข์ทรมานอย่างไรชอบกล แต่ตอนที่ได้เจอกัน เหมือนวันนั้นฉันจะสดใสขึ้นมากเลยด้วย ดีก็ดีสุด แย่ก็แย่สุดสินะ
"จะเรียนจบแล้วนี่นา สารภาพรักไปสิ"
"ไม่หรอก แค่รู้ว่าไอ้อาการแบบนี้มันคืออะไรก็พอใจแล้วล่ะ"
"แล้วแกจะเสียใจที่ไม่ได้บอก... "
คำพูดทิ้งท้ายของพี่จ่อยทำให้ฉันคิดไม่ตกตลอดทั้งคืน อีกไม่กี่วันจะสอบปลายภาคแล้ว นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วหรือเปล่านะ ถ้าฉันบอกไป...เธอจะตกใจไหมนะ ฉันควรจะเป็นเพื่อนกับเธอสิ ไม่ใช่หักหลังมิตรภาพของเราแบบนี้ แต่ว่า...ถ้าไม่ได้บอก ฉันก็คงจะรู้สึกอึดอัดไปตลอดแน่
ฉันตัดสินใจแล้วว่า ฉันจะสารภาพรักกับเธอในวันสุดท้ายที่เรียนจบ ความรู้สึกเก็บไว้ใช่จะดี ปลดปล่อยมันออกมาจะดีกว่า อย่างน้อยก็ขอแค่ได้บอก แม้เธอจะไม่ตอบรับก็ไม่เป็นไร

เมื่อวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมต้นได้มาถึง วันนี้เพื่อน ๆ ต่างเขียนเสื้อให้กันและกันเป็นที่ระลึก และวันนี้อบเชยดูเนื้อหอมเป็นพิเศษ เพราะมือทั้งสองข้างของเธอเต็มไปด้วยตุ๊กตาและขนม แต่เสื้อนักเรียนของเธอยังคงสะอาดเอี่ยม คงจะกลัวโดนแม่ดุเป็นแน่จึงไม่ยอมให้เพื่อนเขียนเสื้อให้ ทั้ง ๆ ที่แววตาของเธอบ่งบอกได้เลยว่าเธออยากให้เพื่อนเขียนเสื้อให้เหมือนคนอื่น ๆ ส่วนของฉันนั้นก็ยังสะอาดเหมือนใหม่เพราะฉันนำเสื้อนักเรียนอีกตัวมาให้เขียนแทน ไม่อยากโดนคุณละไมดุ ทางออกแบบนี้คือดีที่สุดแล้ว
"อบเชย วันนี้เราจะพาเธอไปที่หนึ่ง"
"ไปไหนเหรอ"
"เถอะน่า แค่นั่งซ้อนรถมากับเราก็พอ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง" เธอพยักหน้า และก้าวขึ้นนั่งซ้อนท้ายฉัน ก่อนจะกอดเอวของฉันเอาไว้อย่างที่เคยทำ ตอนนี้หัวใจของฉันเต้นแรง อาจจะเป็นเพราะรู้ใจตัวเองแล้วกระมัง ทุกการกระทำของเธอมันเลยทำให้ฉันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก สถานที่ที่ฉันพาเธอไปคือลานกว้างข้างคลองน้ำซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พี่จ่อยพาลงข้างทางนั่นแหละ
บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยแมกไม้และผีเสื้อที่บินรอบ ๆ ตัวเรา พื้นหญ้าสีเขียวขจีมันน่าลงไปนอนหนุนเป็นไหน ๆ ฉันจูงมือเธอมานั่งลงที่พื้นก่อนจะเอนตัวลงนอนมองท้องฟ้าที่วันนี้รู้สึกว่ามันสวยเป็นพิเศษ จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมานอนดูท้องฟ้ากับอบเชย...
"ที่นี่อากาศดีเนอะ" ฉันว่าก่อนจะหลับตาลงดื่มด่ำกับบรรยากาศ ฉันชอบที่นี่จัง เพราะมันมีอบเชยอยู่ด้วย
"อื้อ เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเลย"
"มีอะไรบ้างที่ไม่เคยทำเป็นครั้งแรกเนี่ยอบเชย อะไร ๆ ก็ดูเป็นครั้งแรกไปหมด"
"นั่นน่ะสินะ..." ฉันนอนมองแผ่นหลังของเธอพลางกับอมยิ้ม
"เธอจะไปต่อ ม.ปลายที่ไหนเหรอ"
"โรงเรียนในตัวเมืองน่ะ แล้วเธอล่ะ"
"ก็คงจะเป็นที่นี่แหละ เดี๋ยวอดคิดถึงเฉาก๊วยไม่ไหว"
"ไม่คิดถึงเราหน่อยเหรอ เธอควรจะคิดถึงเรามากกว่านะ เราอยู่ด้วยกันมากกว่าอยู่กับเฉาก๊วยอีก" ฉันยิ้มกับคำพูดของเธออย่างนึกเอ็นดู พอได้รักแล้ว...ไม่ว่าเธอจะพูดหรือทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียหมดเลยนะ
"เราไม่คิดถึงเธอหรอกนะอบเชย เพราะเราได้เจอเธอทุกวันเลย" เธอหันมามองฉันพลางกับเอียงหัวทำสีหน้าฉงน
"จะเจอได้ยังไง ในเมื่อเราจะไปเรียนต่อที่อื่นแล้ว"
"บ้านเราเป็นร้านขายข้าวราดแกงน่ะ ทุกวันจะมีเมนูหนึ่งที่จะยืนเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็คือ พะโล้ ในพะโล้จะมีเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมเรียกว่า อบเชย เธอรู้ไหมว่าตั้งแต่รู้จักกับเธอ เราชอบกินพะโล้มากเลยล่ะ" เธอยังคงขมวดคิ้วทำสีหน้าฉงนกับคำพูดของฉัน ฉันจึงลุกขึ้นนั่งเคียงข้างกับเธอก่อนจะใช้แขนข้างขวาคล้องคอเธอเอาไว้
"เพราะเราชอบอบเชยไง"
"อื้อ เราก็ชอบ แม่เราก็ชอบกลิ่นอบเชยนะ เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเราเนี่ยแหละ"
"เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"
"แล้วหมายความว่าอย่างไหนล่ะ"
เมื่อเธอหันหน้ามาทางฉัน ทำให้ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ฉันนี่สิ หัวใจเต้นแรงจนทำตัวไม่ถูก ฉันอึกอักไม่กล้าสารภาพออกไปอีกครั้ง อุตส่าห์รวบรวมความกล้าพูดออกไปแล้วเชียว แต่เธอดันตีความหมายเป็นอื่นไปได้
"ว่าไงหอม ที่เธอพูดหมายความว่าอะไร"
"เราชอบเธอ" ครั้งนี้ไม่ว่าเปล่า พูดจบฉันก็ก้มลงจุมพิตที่แก้มซ้ายของเธอ ก่อนจะถูกเธอผลักออกแล้วใช้มือลูบที่แก้มของตน ท่าทีของเธอดูตกใจกับการกระทำของฉันไม่น้อยเลย ฉันเองก็ใจเสียที่ทำแบบนี้ลงไปและถูกเธอผลักออก ที่ผ่านมา...เราคงไม่ได้คิดเหมือนกันสินะ
"อ...อบเชย...คือ...เรา..."
"กลับไปส่งเราที่โรงเรียนหน่อย แม่คงตามหาเราวุ่นแล้ว" พูดจบเธอก็ลุกเดินหนีไปเลย
ตอนนี้ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าต้องทำตัวอย่างไร ฉันพลาดไปแล้ว ฉันไม่น่าทำแบบนี้เลย แทนที่จะเป็นการสารภาพก็พอ หรือไม่...ฉันก็ไม่ควรสารภาพไปเลยจะดีกว่า หัวใจของฉันเหมือนมีอะไรก็ไม่รู้มากดทับจนมันจุกไปหมด เหมือนบริเวณโดยรอบสะบัดแกว่งไปมาจนฉันก้าวขาไม่ออก นี่ฉันกำลังจะโดนเกลียดหรือเนี่ย
ตลอดทางกลับโรงเรียน เราสองคนไม่คุยอะไรกันเลย ความเงียบงันครอบงำหัวใจของฉัน นี่น่ะหรือการอกหัก ฉันปั่นจักรยานไปน้ำตาก็ไหลไปตามทาง แต่ไม่ได้ถึงขั้นสะอื้นเพราะกลัวว่าเธอจะรู้สึกแย่ เมื่อส่งเธอถึงโรงเรียน ฉันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าเธออีก ฉันเร่งปั่นจักรยานกลับบ้านโดยพลัน ทำไมเรื่องของเราสองคนต้องจบแบบนี้ด้วย...
.
.
.
.
.
"เฮ้อ... " ฉันนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ระหว่างคิดถึงวันเก่า ๆ ตั้งแต่วันนั้นฉันกับอบเชยก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แม้แต่งานคืนสู่เหย้าที่จัดไปแล้วหลายปีเธอก็ไม่เคยมาเลยสักครั้ง ไม่ได้อยากคิดในแง่ร้ายนักหรอก ว่าเธอเกลียดฉันจึงไม่อยากจะมาเห็นหน้า แต่ทำไมล่ะ...จะด้วยเหตุผลอะไรกันที่เธอไม่เคยมาเลยสักครั้ง
ฉันไม่กล้าสารภาพรักกับใครอีกเลยเพราะความรู้สึกผิดในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันจนถึงวันนี้ ฉันไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำขอโทษใด ๆ ไม่แม้แต่จะได้เอ่ยคำลา จะบอกว่าฉันไม่กล้าเปิดใจให้ใครเลยจะถูกมากกว่า ฉันยังคิดถึงเธอ ทุก ๆ วันที่ฉันต้องตื่นมาทำพะโล้ ฉันจะรู้สึกเจ็บปวดและมีความสุขในคราวเดียวกัน เจ็บปวด...ที่ไม่สมหวัง และสุข...ที่ได้รัก
ตอนนี้ฉันปั่นจักรยานมาถึงโรงเรียนแล้ว มันคือที่สุดท้ายที่ฉันต้องตามบันทึกภาพ ภาพสุดท้ายที่ถูกติดอยู่ในเฟรนด์ชิพคือห้องน้ำเก่าที่ตอนนี้มันกลายเป็นสวนหย่อมขนาดย่อม สถานที่ที่ทำให้ฉันได้คุยกับอบเชย เจ้าเฉาก๊วยเชื่อมหัวใจเราสองคนให้ใกล้กันมากขึ้น ไม่สิ...มันเป็นสะพานให้ฉันไปถึงเธอมากกว่า ไม่ได้เชื่อมเราเสียหน่อย เพราะมันมีแค่ฉันฝ่ายเดียวที่รู้สึก
ฉันชูภาพถ่ายขึ้นมาด้วยมือข้างซ้าย ก่อนจะนำโทรศัพท์มาบันทึกภาพด้วยมือข้างขวา คิดถึงเธอเหลือเกินอบเชย ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างนะ โตขึ้นเธอต้องสวยมากแน่ ๆ
"คิดถึงเจ้าเฉาก๊วยเหมือนกันเหรอ" ทันทีที่มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ฉันถึงกับหันขวับไปตามต้นตอของเสียง
ภาพถ่ายที่ถืออยู่ร่วงหล่นลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลกทันทีที่ได้เห็นหน้าเจ้าของเสียงหวานนั่น แม้แต่มือข้างที่กำโทรศัพท์มือถือก็แทบอ่อนแรงจนมันเกือบจะร่วงตามภาพถ่ายนั่นไป แต่ดีที่ฉันตั้งสติตัวเองได้ก่อน
เธอคนนั้นก้มลงเก็บภาพถ่ายขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรอยยิ้มที่คุ้นเคยจะเผยออกมาบนใบหน้า กาลเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเธอเลย รอยยิ้มนั่น...มันยังคงเดิม เด็กสาวตัวเล็ก ดวงตาใสแจ๋วในวันนั้น คือสาวสวยผมสีดำขลับในวันนี้ ฉันดีใจจนพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าสีหน้าที่แสดงออกตอนนี้ของตัวเองเป็นแบบไหน แต่การที่เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ คงจะขำกับสีหน้าของฉันตอนนี้เป็นแน่
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะหอม อย่าบอกนะว่าจำเราไม่ได้"
"จ...จำได้สิ! อบเชย ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่"
"แค่...คิดถึงเฉาก๊วยน่ะ ก็เลยมาย้อนวันวาน แล้วนี่เอาภาพถ่ายของเรามาทำอะไรเนี่ย" เธอพูดพลางกับอมยิ้ม คิดถึง...คิดถึง...ฉันคิดถึงรอยยิ้มของเธอเหลือเกิน สติของฉันแทบเลือนราง ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจที่ได้เจอเธอ บางทีฟ้าก็ฟาดเธอมาแรงจนฉันตั้งตัวไม่ทันเลย ฉันดีใจจนอยากจะวิ่งเข้าไปสวมกอดเธอเลยจริง ๆ
"อือ...เราก็คิดถึงมันเหมือนกัน หมายถึง...คิดถึงเธอนะ ก็เลยมาย้อนวันวานด้วยการเอาภาพถ่ายในเฟรนด์ชิพมาถ่ายคู่กับภาพปัจจุบันน่ะ" ว่าพลางกับยื่นโทรศัพท์ให้ เธอจึงรับไปก่อนจะอมยิ้มออกมาอีกครั้ง
"ไอเดียดีนะเนี่ย จะเอาลงเพจเหรอ"
"ฮะ!? เธอรู้ด้วยเหรอว่าเรามีเพจ"
"รู้สิ เราติดตามเธอมาตลอด เราไปหาที่คุยกันไหม"
"อื้อ...ที่ไหนดีล่ะ"
"อัฒจันทร์ไหม"
"อื้อ ได้สิ" เธอยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ผิดกับฉันที่มีท่าทีเงอะงะเพราะทำตัวไม่ถูก หมายความว่าอย่างไรกันนะ ที่ติดตามฉันมาตลอด แต่ทำไม...เธอไม่เคยติดต่อมาหาฉันเลยล่ะ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ

ฉันและอบเชยเดินมานั่งอยู่บนอัฒจันทร์ที่สร้างขึ้นใหม่ สมัยที่ฉันยังเรียนอยู่ที่นี่ยังเป็นโครงเหล็กเก่า ๆ อยู่เลย ทุก ๆ ปีจะมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ถูกทำโทษให้มาทาสีโครงเหล็กเพราะเมื่อถูกฝน สนิมก็เขรอะตามสภาพอากาศและตามกาลเวลา ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากจนทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศเดิม ๆ ที่เคยเป็นโรงเรียนหญิงล้วน และมีคุณครูโหด ๆ คอยถือไม้เรียวไล่ตีก้นเด็ก และฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกตีด้วย
ต่างคนต่างนั่งเงียบ โดยเฉพาะฉันที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรดี มีคำถามมากมายที่อยากจะถามเธอ และมีความรู้สึกมากมายที่อยากจะบอก แต่ฉันกลับทำได้เพียงนั่งกุมมือตัวเองอยู่ข้าง ๆ เธอเท่านั้น
"หอมสบายดีไหม" เธอเป็นคนทำลายความเงียบก่อน
"อื้อ สบายดีนะ เธอล่ะ"
"ก็เรื่อย ๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป"
"ตอนนี้ยังกดดันตัวเองเหมือนตอนเด็ก ๆ อยู่หรือเปล่า"
"ไม่แล้วแหละ พอโตขึ้นก็รู้จักช่างแม่งบ้างแล้วน่ะ เลยรู้สึกว่าอะไร ๆ มันเบาลงเยอะเลย"
"ดีแล้ว...ดีใจนะ ที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น" 
เธอเบาลง แต่ฉันนี่สิที่แบกความรู้สึกผิดในวันนั้นไว้บนบ่ามายาวนานเกือบยี่สิบปี
ความเงียบปกคลุมเราสองคนอีกครั้ง อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อึดอัดอะไรหรอก แต่ฉันกลัวว่าถ้าเผลอพูดออะไรออกไปแบบไม่คิด มันจะทำให้ทุกอย่างจบลงเหมือนวันนั้นอีก ฉันจึงเลือกที่จะเงียบ และฉันมักจะเป็นแบบนี้มาตลอด เงียบดีกว่าพูดออกไปแล้วต้องเสียคนที่เรารักไป
"นักเขียนนี่พูดไม่เก่งเหมือนตอนเขียนใช่ไหมนะ" เธอเป็นฝ่ายทำลายความเงียบอีกครั้ง
"ก็...อาจจะใช่มั้ง แต่ก็ไม่ทุกคนหรอก"
"ทำไมหอมที่เคยสดใส พูดเก่งในวันนั้น ตอนนี้ถึงได้เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรเลย เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ จะไม่ถามอะไรเราหน่อยเหรอ"
"ไม่รู้ว่าควรจะถามไปดีไหมน่ะ"
"ถามสิ ถ้าตอบได้เราก็จะตอบ"
"ทำไม...ถึงไม่ติดต่อมาหาเราเลย ทั้ง ๆ ที่เธอคอยติดตามเรามาตลอดแท้ ๆ"
"เราคิดว่าเธอยังโกรธเราอยู่น่ะ"
"โกรธอะไรกัน เราไม่เคยโกรธเธอเลยนะอบเชย เธอสิที่โกรธเราจนไม่ยอมคุยกับเราเลย แม้แต่งานคืนสู่เหย้าเธอก็ไม่มา"
"เราไปทำงานที่ต่างประเทศมาน่ะ เพิ่งจะกลับไทยเมื่อไม่นานนี่เอง ขอโทษนะที่ทำให้คิดแบบนั้น แต่เราไม่กล้าทักหาเธอเพราะคิดว่าเธอยังโกรธเราอยู่"
"ก็น่าจะทักมาสักหน่อยนะ"
"แล้วเธอล่ะ ทำไมตอนนั้นถึงไม่เขียนจดหมายหาเราเลย ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ที่อยู่เราแท้ ๆ สารภาพรักเสร็จก็หนีหายไปดื้อ ๆ ไม่คิดหน่อยเหรอว่าเราจะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง" ฉันหันขวับไปหาเธอทันทีที่พูดจบ แววตาของเธอดูเปลี่ยนไป มันเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด ตอนที่เธอระบายความในใจออกมาในวันที่เราคุยกันเป็นครั้งแรก
"ขอโทษนะอบเชย...คำนี้ เราอยากบอกเธอมาตลอด"
"อื้อ" เธอตอบเพียงแค่สั้น ๆ แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง บรรยากาศแบบนี้เริ่มทำให้ฉันอึดอัด มันควรจะเบาลงสิ แต่ตอนนี้ทำไมมันถึงได้หนักอึ้งได้ขนาดนี้กันนะ
"ถามจริง ๆ นะ เธอมาทำอะไรที่นี่เหรออบเชย"
"เราตั้งใจมาหาเธอ"
"มาหาเรา" ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ก่อนที่เธอจะหันมาสบตากับฉัน
"มาปลดล็อกความรู้สึกของเธอน่ะหอม"
"เราไม่เข้าใจ"
"เราบอกแล้วไง ว่าเราติดตามเธอมาตลอด เราพอจะรู้นะหอม ว่าตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่ยอมเปิดใจให้ใครอีกเลย เธอเอาแต่เขียนนิยายดรามาที่จบไม่สวยเลยสักเรื่อง เหตุผลมันเพราะอะไรเหรอ" น้ำเสียงของเธอฟังดูจริงจังขึ้น พร้อมกับสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนักคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ แต่เธอก็ยังคงจ้องมองเข้ามานัยน์ตาของฉัน
"นิยายทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องจบแบบแฮปปี้หรอกนะอบเชย ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน มีทั้งสุขและทุกข์ ทุก ๆ ความสัมพันธ์ใช่ว่าจะสมหวัง นิยายของเรามันก็อิงมาจากเรื่องจริงส่วนหนึ่งนั่นแหละ"
"เหมือนเรื่องของเราสองคนใช่ไหม" ฉันยิ้มกลับไปแทนคำตอบ ไม่รู้จะตอบไปอย่างไรจริง ๆ ที่จะทำให้ไม่รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้กันทั้งคู่ ถ้าวันนี้ฉันทำให้เธอร้องไห้ ฉันคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่
"เราดีใจนะอบเชยที่ได้รักเธอ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สมหวังก็ตาม และถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้ เราก็จะรักเธอเหมือนเดิม" ครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายไม่ตอบบ้าง ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
"หอม เธอจะเชื่อไหม...ว่าตอนนั้น...เราก็คิดเหมือนกันกับเธอ เพียงแต่ว่าเรายังไม่รู้ใจตัวเองน่ะ" คำพูดของเธอทำเอาฉันอ้าปากพะงาบและแทบจะน้ำตารื้น
"พูดจริงเหรอ!?"
"อื้อ เราเสียใจมากเลยนะที่วันนั้นเธอไม่อยู่ฟังคำตอบจากเราก่อน"
"ข...ขอโทษนะอบเชย เราขอโทษจริง ๆ"
"ไม่เป็นไรหรอก เราก็ไม่เคยโกรธเธอเลย แต่เราโกรธตัวเองมากกว่า มันเป็นสาเหตุที่เราต้องมาที่นี่ วันนี้ เพราะเราเองก็อยากปลดล็อกความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน"
"หมายความว่าไง"
"หอม...เราแต่งงานแล้วนะ" ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดประโยคนี้ออกมา มันเหมือนกับมีหอกแหลม ๆ พุ่งแทงทะลุหัวใจของฉัน จริงสิ...นี่เราก็อายุ 33 ปีแล้ว ไม่แปลกถ้าเธอจะแต่งงาน ฉันควรที่จะยินดีกับเธอสินะ
"เหรอ...ยินดีด้วยนะ" ฉันตอบเสียงสั่นเพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
"ความรู้สึกดี ๆ ที่เรามีให้กันขอให้มันเป็นเพียงความทรงจำได้ไหมหอม เธอเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว ยิ่งเธอยังจมอยู่กับอดีต เราก็ยิ่งเจ็บปวดนะที่ทำให้เธอทุกข์ใจขนาดนั้น เราสามารถช่างแม่งได้กับทุกเรื่อง แต่มันมีเรื่องเดียวจริง ๆ ที่เราช่างแม่งไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องของเธอ" ฉันเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าอบเชยเองก็แบกความรู้สึกมากมายไว้บนบ่ามาตลอดเฉกเช่นเดียวกับฉัน
"ช่วยกลับมาเป็นหอมคนเดิมที่มีความสุขได้ไหม ช่วยเปลี่ยนตอนจบให้พระเอกกับนางเอกสมหวังสักเรื่องได้ไหมหอม ชีวิตหอมไม่ได้จบอยู่แค่ตอน ม.ต้นนะ นี่ก็อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว เธอยังดำเนินชีวิตต่อถูกไหม นั่นก็หมายความว่าชีวิตของเธอไม่ได้มีจุดจบเหมือนในนิยาย เธอยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ เธอยังมีโอกาสที่จะใช้หัวใจรักใครอยู่นะหอม"
ในที่สุด...น้ำตาเจ้ากรรมของฉันก็รินไหลออกมาจนได้ แต่มันไม่ได้ไหลเพราะรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ผ่านมา ตอนนี้ฉันจวนจะเข้าใจอะไร ๆ แล้วล่ะ ภาพทรงจำในตอนนั้นมันหวนกลับมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เปลี่ยนบริบทใหม่คืออบเชยเป็นคนปลอบฉันแทน เธอเอื้อมมือมาวางบนบ่าของฉัน น้ำตาก็ยิ่งรินไหลออกมาไม่หยุด ฉันจึงได้แต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น
"ช่วยร้องไห้เพราะเราเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมหอม เราเจ็บปวดทุกครั้งเลยนะที่เห็นเธอทุกข์ใจ เราอยากให้เธอมีความสุข เราอยากให้เธอยิ้ม หัวเราะ และมีความรักได้อีกครั้ง เราจะยินดีกับทุก ๆ ความสุขของเธอเหมือนเดิม ช่วยเริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขในแบบฉบับของเธอได้แล้ว"
"อื้อ...ฮึก ๆ"
"เธอเป็นคนรักษาคำพูดนะ หวังว่าครั้งนี้เธอคงไม่รับปากส่งเดชนะ"
"แน่นอน เรารักษาคำพูดอยู่แล้ว"
"ถ้าวันนี้เรายังปลดล็อกความรู้สึกของเธอไม่ได้ เราก็คงกลับไปด้วยความรู้สึกผิดเหมือนเดิม อ๊ะ!"
ฉันดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้แน่น เธอมีท่าทีตกใจแต่ไม่ได้ผลักฉันออก ฉันสัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังลูบหลังฉันช้า ๆ ส่วนอีกข้างวางแนบที่หัวเพื่อปลอบประโลม ฉันเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันร้องไห้ต่อหน้าเธอ
"ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้กอดปลอบเธอ"
"ฮึก ๆ มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ครั้งแรกน่ะอบเชย"
"ฮ่า ๆ เรานี่มันคงคอนเซ็ปต์จังเลยเนอะ เธอน่ะ...เป็นรักแรกของเราเลยนะ รู้เอาไว้ด้วย"
"เธอก็เหมือนกันแหละน่า...รักแรกของเรา แล้วก็...ทำให้เราอกหักครั้งแรกด้วย"
"เราก็อกหักครั้งแรกเพราะเธอเหมือนกันนั่นแหละ เธอเป็นคนแรกของเราแทบทุกเรื่องเลย"
"ดีใจจัง...อย่างน้อยเราก็มีอะไรที่เหมือนกันอยู่นะ" ฉันหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ ก่อนจะรีบใช้มือปาดน้ำตาออกโดยเร็วและผละออกจากอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
"รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม" เธอถามพลางกับใช้มือเช็ดน้ำตาให้ฉัน
"อื้อ งอแงเป็นเด็กเลยเนอะ น่าอายจัง"
"ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย คนเรามันก็ต้องมีบ้างแหละที่อ่อนแอ"
"เธอโตขึ้นเยอะเลยนะอบเชย เราดีใจจริง ๆ ที่ได้เห็นเธอในเวอร์ชันที่โตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งตัวและความคิด"
"ขอบคุณนะ เราเฝ้ารอที่จะได้เจอเธอมาตลอดเลยรู้ไหมหอม แต่เราก็ยังมาไม่ได้ เพราะติดภารกิจอะไรหลาย ๆ อย่าง ไหนจะครอบครัวด้วย"
"มันคงยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้ปลดล็อกล่ะมั้ง"
"เราก็คิดว่าแบบนั้นแหละ แต่ว่านะ...เรากลับมาเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม"
"ไม่นะ เราไม่เคยเลิกเป็นเพื่อนกันสักหน่อย ทำไมต้องกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกล่ะ"
"แต่ตอนนั้นเราสองคนคิดเกินเพื่อนนี่นา" เธอทำหน้ายู่เล็กน้อย น่ามันเขี้ยวจนอยากหยิกให้แก้มช้ำเลยจริง ๆ
"เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเลิกกัน"
"อื้อ เป็นเพื่อนกันไปจนแก่เลยได้ไหมนะ เอาจนหัวเราะกันไม่ไหวแล้ว แต่ลูกหลาน เหลนโหลนก็ยังให้เราวิดีโอคอลกันอยู่ อะไรประมาณนั้น"
"ฮ่า ๆ ถ้าจะแก่ขนาดนั้นก็ปล่อยให้ต่างคนต่างไปเกิดใหม่เถอะ"
"ฮ่า ๆ" เราทั้งสองต่างหัวเราะร่า ลืมไปหมดแล้วความทุกข์ ตอนนี้เหมือนฉันได้ปลดล็อกความรู้สึกจริง ๆ มันโล่งจนเหมือนร่างกายเบาหวิวและล่องลอยได้อย่างไรอย่างนั้น ฉันเอื้อมมือไปลูบหัวเธอพลางกับอมยิ้ม
"ต่อไปนี้สัญญานะว่าจะติดต่อมาหากันตลอด"
"อื้อ ได้สิ เดี๋ยวส่งรูปลูกสาวมาให้ดู"
"เหรอ ๆ ได้ลูกสาวเหรอ ตอนนี้กี่ขวบแล้ว"
"ก็สามขวบได้แล้วล่ะ กำลังซนเลย ตอนนี้เขาอยู่กับพ่อเขาที่ต่างประเทศน่ะ"
"หือ...อย่าบอกนะว่าแฟนเป็นชาวต่างชาติ"
"แน่นอน เราได้ผัวฝรั่งนะ" ฉันหลุดขำพรืดกับคำว่าผัวฝรั่งของเธอ ทั้งที่เมื่อก่อนเธอไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำหยาบกับเพื่อน ๆ เพราะกลัวจะถูกแม่ดุ หวังว่าจะไม่เป็นการพูดอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกหรอกนะ...

หลังจากนี้ฉันก็พาอบเชยไปที่บ้าน และแน่นอนว่าแม่บ่นฉันจนหูชา เพราะไม่ยอมเก็บห้องอย่างที่พูดเอาไว้ แถมอบเชยยังอาสามาช่วยเก็บห้องอีก คงจะนึกสงสารฉันกระมังที่โดนดุราวกับเด็ก ๆ ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว น่าอายชะมัด

มันก็จริงอย่างที่เธอว่า ชีวิตของฉันไม่ได้จบที่ตอน มัธยมต้นเสียหน่อย และชีวิตจริงมันก็ไม่ได้เหมือนดั่งในนิยายแบดเอ็นด้วย ฉันยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ ฉันยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ยังมีโอกาสที่จะได้พบเจอใครต่อใครและเปิดใจให้ใครเข้ามาเหมือนกับเธอ เพราะว่าฉันยังมีลมหายใจ ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ลองผิดหวังดูบ้างก็ได้ จะได้รู้ว่าก้าวต่อไปจะเดินอย่างไรให้มั่นคงขึ้น
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ มันก็เป็นดั่งที่ฉันบอกเธอไป ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันก็จะรักเธอ และจะรักเธอตลอดไป เพียงแค่บริบทเปลี่ยนไปก็เท่านั้น หลังจากนี้ฉันคงต้องเปลี่ยนตอนจบนิยายเสียใหม่ หรือมีตอนพิเศษว่าตัวหลักของเรื่องมีการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไร เพราะเรายังมีหนทางให้ต้องเดินต่อ เรายังคงมีความหวัง

อบเชย คือเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่ช่วยชูกลิ่นหอมของอาหารอย่างเช่นพะโล้ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับชีวิตจริงแล้วนั้น เธอคือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องเทศ แต่เธอคือหัวใจสำคัญ ที่ทำให้ฉันสามารถลุกขึ้นได้ใหม่อีกครั้ง ฉันไม่ต้องแบกความรู้สึกผิดหรือความเจ็บปวดนั่นอีกแล้ว เธอเองก็เช่นกัน
เธอคือความทรงจำ มิตรภาพ และความรัก ที่จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันไม่มีวันเสื่อมคลาย เหมือนกับ กลิ่นอบเชย ที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจและจะไม่มีวันจางหายไป ตราบนิจนิรันดร์...