นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่การตกแต่งห้องนอนมันจะเหมือนที่คอนโดฉันทุกอย่างขนาดนี้ ฉันกับยาคบกันมานานถึง 7 ปี ทำไมจะไม่รู้ว่ามันคือฝีมือของแฟนฉัน ก็ไม่ได้อยากคิดมากหรอกนะ แต่ฉันก็อดสงสัยไม่ได้กับความสัมพันธ์ระหว่างแฟนฉันกับเด็กมือกีต้าร์ที่ชื่อไข่เจียว ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกันนัก ฉันรู้ดี...ว่าการที่แฟนฉันจะไว้ใจใครสักคนนั้นมันยากมาก แต่นี่ทั้งสองเพิ่งจะรู้จักกัน มันดูมากเกินกว่าเพื่อนร่วมงานเสียอีก...
ฉันเดินออกจากห้องนอนพร้อมกับเก็บความสงสัยเอาไว้ เพราะความคิดมันตีรวนสวนทางจนฉันสับสนไปหมด ทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสอง ทั้งการตกแต่งห้องนอนและห้องซ้อมที่ดูคล้ายคลึงกับห้องของฉันมาก ทำไมกันนะ...ทำไมต้องให้มันเหมือนกันด้วย ฉันคิดพลางกับเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของยา ก่อนจะจูงมือเธอเดินเข้าไปที่ห้องครัว
"อะไรคะพี่หมอ พายาเข้ามาในครัวทำไมคะ"
ฉันไม่ตอบคำถาม แต่ฉันกลับเดินเข้าไปสวมกอดเธอทันทีหลังจากที่เธอถามจบ ก่อนจะก้มลงสูดดมกลิ่นที่ซอกคอ แม้แต่กลิ่นยังเปลี่ยนไป นี่มันหมายความว่ายังไงกัน...
"พี่หมอ เป็นอะไรคะ"
"คุณ พี่ขอโทษนะคะ เรื่องเมื่อเช้า"
"ไม่เป็นไรค่ะ ยาหายโกรธพี่แล้วไง" ยาพูดพลางกับลูบหลังฉันอย่างแผ่วเบา ฉันจึงผละออกจากอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของเธอเอาไว้ แล้วจึงก้มลงจูบเธอช้า ๆ ทำเอาดวงตาของเธอหลับเคลิ้มทันทีที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน
"แค่นี้ก่อนนะคะ เลิกงานพี่จะจูบนานกว่านี้"
"ว้า...ก็ได้ค่ะ พี่หมอจะกลับเลยไหมคะ หรือจะอยู่รอดูยาซ้อมก่อน"
"ก็คงกลับเลยค่ะ พี่ยังไม่ได้พักเลย ตอนนี้เหนื่อยมาก ๆ"
"งั้นพี่กลับไปพักเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวยาจะกลับไปซ้อมร้องเพลงกับน้องไอรีนแล้ว"
"อืม โอเคค่ะ เอ่อ...คุณ...พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ"
"อะไรเหรอคะ"
"คุณอาบน้ำใหม่เหรอ"
"ใช่ค่ะ วันนี้ยาเอาเสื้อผ้ามาอาบน้ำที่บ้านน้องด้วย เพราะวันนี้ช่วยน้องติดวอลเปเปอร์แล้วเหงื่อมันออกน่ะค่ะ ทำไมเหรอคะ"
"เปล่าค่ะ กลิ่นสบู่หอมดี อยากอุ้มกลับไปนอนหอมที่คอนโดเลย"
"พอเลย กลับไปตอนนี้พี่หมอก็หลับอะค่ะ ไม่ได้หอมยาอย่างที่พูดหรอก"
ฉันก้มลงหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ สลับซ้ายทีขวาทีจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา ก่อนเธอจะประคองที่ท้ายทอยแล้วดึงฉันเข้าไปจูบอีกครั้ง และผละออกด้วยรอยยิ้ม
"พี่กลับก่อนนะคะยาจงยาใจ"
"โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะที่เอายาไมเกรนมาให้น้อง พี่หมอขับรถกลับดี ๆ นะคะ"
"ค่ะ รักคุณนะ ยาจงยาใจของพี่" ฉันพูดพร้อมกับจับที่มือข้างซ้ายของเธอขึ้นมาแล้วก้มลงจูบที่นิ้วนางที่มีแหวนหมั้นสวมอยู่อย่างแผ่วเบา ขอล่ะ...ถ้าคิดที่จะทำอะไร ขอให้รู้ว่าตอนนี้คุณมีคู่หมั้นแล้วนะยา...
ฉันเดินกลับมาขึ้นรถด้วยความรู้สึกหน่วง ๆ พร้อมทั้งหัวใจที่เต้นตึกตักเพราะไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น ฉันจึงล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาคุยกับเพื่อนรักต่อจากที่คุยกันค้างเอาไว้
ฉันคุยกับกุลได้สักพักใหญ่ ๆ และได้ข้อสรุปว่าฉันอาจจะคิดมากไป ใช่...ฉันคงคิดมากไปเอง นี่เราหมั้นกันแล้วนะ เธอคงไม่คิดที่จะนอกใจฉันหรอก ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเอนหลังพิงเบาะรถเอาไว้ ก่อนจะโน้มตัวไปทางเบาะข้างคนขับเพื่อที่จะเก็บโทรศัพท์เอาไว้ในกระเป๋า แต่เบาะข้างคนขับกลับว่างเปล่า
บ้าจริง...นี่ฉันคิดมากจนลืมกระเป๋าไว้ในบ้านเลยเหรอเนี่ย
ฉันเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความเร่งรีบพลางกับส่ายศีรษะเรียกสติให้คืนกลับมา เพราะฉันมักจะคิดมากจนลืมของอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อฉันเอื้อมมือไปคว้าสายสะพายกระเป๋าหนังสีเทา ฉันก็ได้ยินเสียงคุยกันดังออกมาจากห้องนอนทำเอาฉันถึงกับหันขวับตามสัญชาตญาณทันที
"เธอ...เราปวดหัวมากเลยอะ...ช่วยหน่อยดิ"
น้ำเสียงที่ฟังดูออดอ้อนและภาพที่เห็นผ่านประตูห้องที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยทำหัวใจฉันแทบแหลกสลาย เพราะคนที่ฉันรักสุดหัวใจกำลังก้มลงจูบใครอีกคนที่นอนอยู่บนเตียง ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ความรู้สึกตอนนี้มันชาไปทั้งตัวจนขาของฉันมันไม่สามารถก้าวเดินออกจากตรงนี้ได้เลย
เธอทำแบบนั้นกับฉันได้ยังไง... เธอเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้มองที่นิ้วนางข้างซ้ายเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มือข้างซ้ายวางอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ แต่เธอกลับกล้าที่จะจูบอีกคนลับหลังฉัน...เรากำลังจะแต่งงานกันนะยา...
ทันทีที่ฉันบันทึกภาพเอาไว้ได้ ฉันก็รีบวิ่งออกจากบ้านเช่าหลังนั้นทันที มือทั้งสองข้างมันสั่น พร้อมกับน้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลทะลักออกมาอย่างหนัก ยิ่งฉันพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น
"ฮึก ๆ ฮึก!!"
แม้จะขับรถออกจากตรงนี้ฉันยังทำไม่ได้เลย ฉันทำได้แค่นั่งร้องไห้อยู่ในรถราวกับคนเสียสติ มันจุกอยู่ในอกจนฉันต้องเอากำปั้นทุบที่หน้าอกตัวเองสองถึงสามครั้ง ที่เขาบอกว่าเจ็บเจียนตาย มันเป็นแบบนี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้ว...ฉันเข้าใจมันแล้ว
อืด อืด อืด ~
ทันทีที่ฉันเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ฉันพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แบบสุดความสามารถ ก่อนจะกดรับและพูดด้วยน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
"สวัสดีค่ะ..."
"สวัสดีค่ะพี่หมอพิช เค้กนะคะ คือว่า...ขอโทษที่โทรมารบกวนนะคะ พอดีว่าเด็กที่ร้านไปซื้อโหระพามาเยอะเลย พี่หมอพิชสนใจเอาไปปลูกไหมคะ ไม่สิ...ความจริง...ตอนนี้เค้กมีเรื่องเครียดนิดหน่อย ก็เลยให้เด็กที่ร้านไปซื้อมาค่ะ แต่ว่ามันเยอะเกินไป เลยอยากจะแบ่งให้พี่หมอพิชไปปลูกด้วย ไม่ทราบว่า...สะดวกเข้ามาที่ร้านตอนนี้ไหมคะ แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะคะ เค้กจะปลูกไว้ให้ พี่หมอพิชว่างเมื่อไหร่ค่อยเข้ามาเอาก็ได้ค่ะ"
"สะดวกค่ะ เดี๋ยวหมอจะเข้าไปนะคะ"
ตอนนี้ฉันแทบยิ้มทั้งน้ำตาที่คนที่โทรเข้ามาหาฉันคือคุณเค้ก คนที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยด้วย ฉันจึงตอบรับทันทีโดยไม่มีการคิดอะไรก่อนที่จะตอบ ที่พึ่งของฉันตอนนี้ คงจะเป็นที่ร้านดอกไม้แล้วล่ะ...
กริ๊ง ๆ
เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งหน้าร้านดังตามแรงสั่นสะเทือนเมื่อฉันเปิดประตูเข้าไป ใครบางคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บนโต๊ะสำหรับจัดดอกไม้ที่กลางร้านจึงเงยหน้าขึ้นทันที เราต่างยิ้มให้กันและกันอย่างอัตโนมัติราวกับต่างคนไม่ได้เจอเรื่องเครียดมาก่อน คุณเค้กนั้นตัวจริงสวยกว่าในรูปมาก ผมสีน้ำตาลของเธอถูกมัดเกล้าขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการทำงานล่ะมั้ง แต่มันทำให้เธอดูดีจนฉันละสายตาจากเธอไม่ได้เลย อีกทั้งผมหน้าม้าบาง ๆ ที่ทำให้เธอราวกับเด็กมหาลัย แค่ได้เห็นหน้าเธอ ฉันก็ลืมความทุกข์ไปในทันที
"สวัสดีค่ะ พี่หมอพิชใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะ ได้เจอกันสักทีนะคะ"
"ดีใจที่ได้เจอนะคะพี่หมอพิช ตอนนี้เค้กกำลังปักชำโหระพาไว้ให้พี่หมอพิชเลยค่ะ"
"ขอบคุณมากเลยนะคะ แต่ไม่เห็นต้องทำให้เลยนี่คะ" ฉันพูดพร้อมกับเดินไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณเค้ก เธอจึงส่งยิ้มที่สดใสมาให้ฉันอีกครั้ง หากเธอไม่บอกฉันก่อนว่ามีเรื่องทุกข์ใจล่ะก็ ฉันก็คงไม่รู้ เพราะเธอดูสดใสไม่เหมือนคนที่มีเรื่องเครียดแม้แต่น้อย
"พี่หมอพิชเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมตาดูบวม ๆ คะ แดงด้วย"
"อ๋อ...เครียดกับงานจนนอนไม่ค่อยหลับน่ะค่ะ ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น"
"งั้นพอดีเลยค่ะ โหระพาเค้าช่วยเรื่องนอนหลับนะคะ พี่หมอพิชจะได้หลับฝันดี กระถางนี้เค้กปักชำให้แล้วนะคะ พี่หมอพิชเอากลับไปแล้วก็รอให้เค้าโตก่อน หลังจากนั้นก็เด็ดไปทานได้เลยค่ะ ส่วนกระถางนี้เค้กแต่งไว้สำหรับเอาตั้งโชว์ที่โต๊ะทำงานนะคะ เค้าอาจจะรอดและไม่รอดก็ได้ แต่ถ้ากลัวเค้าเหี่ยว กลับไปนี้เด็ดทานเลยก็ได้ค่ะ ฮ่า ๆ" คุณเค้กพูดพร้อมกับจัดแจงกระถางต้นโหระพาให้ฉันสองกระถาง เธอพูดไปยิ้มไปจนฉันอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ขอบคุณมากเลยนะคะคุณเค้ก แล้วสองกระถางนี้เท่าไหร่คะ"
"ไม่คิดเงินค่ะ เพราะเค้กอยากให้"
"ไม่ได้นะคะ ไหนจะค่าดิน ไหนจะค่ากระถาง ไหนจะลงแรงปลูกให้ด้วย คุณจะไม่คิดเงินไม่ได้นะคะ"
"งั้นก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วกันนะคะพี่หมอพิช ถ้าพี่หมอจะจ่ายเงินค่าของขวัญที่เค้กตั้งใจทำให้ เค้กก็คงเสียใจแย่"
"เอ่อ...แต่ว่า..."
"รับไปเถอะนะคะ ขอแค่เค้าทำให้พี่หมอรู้สึกดีขึ้นเวลาเครียด ๆ ก็เท่ากับว่าพี่หมอจ่ายเค้กมาด้วยความสุขหรือรอยยิ้มนะคะ"
"ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ"
"ยินดีค่ะ ปะค่ะพี่หมอพิช เดี๋ยวเค้กช่วยขนขึ้นรถนะคะ" เมื่อพูดจบ เราจึงถือกระถางโหระพากันคนละกระถางนำไปเก็บไว้บนรถของฉัน
ตอนนี้ฉันอยากจะขอบคุณผู้หญิงคนนี้จากใจจริง ๆ ก่อนหน้าที่ฉันรู้สึกเหมือนตกเหวลึก แต่คุณเค้กกลับยื่นมือเข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี ราวกับทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ฉันเองก็จะช่วยให้รอยยิ้มของคุณเค้กไม่จางหายไปเด็ดขาด
"แล้ว...ที่คุณเค้กบอกว่ามีเรื่องเครียด ๆ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ หมอรับฟังได้นะคะ"
"เอ่อ...เค้กอกหักน่ะค่ะพี่หมอพิช" แววตาของเธอสลดลงทันทีที่พูดจบ
"อืม...งั้น...หมอขออยู่รบกวนคุณเค้กสักพักจะได้ไหมคะ ถ้าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ หมอคงไม่สบายใจแน่ ๆ ถึงจะได้โหระพามาแล้วก็เถอะ แต่ตราบใดที่คนปลูกยังมีเรื่องทุกข์ใจแบบนี้ หมอเองก็คงมีความสุขอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ..."
"ขอบคุณนะคะพี่หมอพิช..."
ภายในร้านดอกไม้ร้านเล็ก ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวสองคนนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ทำให้ทุกข์ใจ ต่างฝ่ายต่างระบายความอัดอั้นในใจ บ้างก็สลับกับรับฟัง จากนาทีเป็นชั่วโมง จนในที่สุดพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า แต่ทั้งสองก็ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่อย่างนั้น เพราะการที่จะหาคนที่เข้าใจกันได้ดีแบบนี้นั้นราวกับงมเข็มในมหาสมุทรก็ว่าได้
จากคราบน้ำตาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
จากเสียงสะอื้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ
ความเจ็บปวดก่อนหน้านั้นราวกับฝันร้ายที่พิชต้องเผชิญ แต่ตอนนี้เธอถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายนั่นแล้ว
"โห...นี่เราคุยกันเพลินจนฟ้ามืดหมดแล้วอะพี่หมอพิช พี่ต้องรีบกลับไปหาแฟนไหมคะ"
"ไม่ค่ะ แฟนหมอทำงานเลิกดึกค่ะ"
"อ้าวเหรอคะ แล้วพี่หมอพิชเหนื่อยไหมคะ อยู่ฟังเค้กบ่นเป็นชั่วโมงเลย"
"ไม่เหนื่อยเลยค่ะ รู้สึกดีมากกว่า หมอต้องขอบคุณคุณเค้กนะคะที่ช่วยให้หมอสบายใจขึ้นเยอะเลย ถ้าไม่ได้คุณเค้กหมอคงแย่แน่"
"เค้กสิคะที่ต้องพูดประโยคนั้น ถ้าเค้กไม่ได้พี่หมอพิชก็คงแย่ค่ะ วันนี้คงนอนร้องไห้คนเดียวแน่ ๆ ขอบคุณนะคะ"
"เลิกขอบคุณได้แล้วค่ะ เราขอบคุณกันมาเป็นร้อยรอบได้แล้วมั้ง"
"ฮ่า ๆ นั่นสิคะ นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่หมอพิชกลับไปพักผ่อนดีกว่าไหมคะ คือเค้กไม่ได้ไล่นะคะ แต่เค้กเป็นห่วงน่ะค่ะ"
"ก็ดีเหมือนกันค่ะ คุณเค้กเองก็จะได้ปิดร้านแล้วไปพักผ่อนด้วย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับต้นโหระพา แล้วก็ขอบคุณที่รับฟังหมอด้วยนะ"
"เค้กก็ขอบคุณพี่หมอพิชที่รับฟังเค้กเช่นกันนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงหมูสะเต๊ะด้วยค่ะ เค้กอิ่มมากเลย"
"ฮ่า ๆ อร่อยดีนะคะ งั้นหมอขอตัวก่อนนะคะคุณเค้ก ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็ทิ้งข้อความไว้ได้เลยนะคะ หมอสัญญาว่าจะตอบให้เร็วที่สุดเลยค่ะ ว่างแล้วจะรีบตอบเลย"
"พี่หมอพิชก็เหมือนกันนะคะ ทักหาเค้กได้ตลอดเลย หรือจะแวะมาที่นี่ก็ได้"
"โอเคค่ะ กลับแล้วนะคะ"
"สวัสดีค่ะพี่หมอพิช"
ฉันเดินขึ้นรถด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ พลางกับมองคุณเค้กที่กำลังยืนโบกมือให้กับฉัน ความจริง...ฉันยังไม่อยากกลับด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากกลับไปเห็นสภาพห้องนอนที่มันดันไปคล้ายกันกับอีกห้องหนึ่ง แต่ฉันก็ต้องกลับไปอยู่ดี...เพราะมันเป็นที่ที่ฉันซื้อเอาไว้เพื่อจะเป็นของขวัญงานหมั้นระหว่างฉันกับเธอ...
เมื่อฉันกลับมาถึงห้อง ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แม้ร่างกายจะอ่อนเพลียมากเพียงใด แต่ฉันไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ลง ยิ่งหลับตา ฉันยิ่งเห็นภาพนั้น...ภาพคนที่ฉันรักกำลังจูบกับคนอื่น มันทำร้ายหัวใจฉันจนไม่เหลือชิ้นดี น้ำตาที่รินไหลทำให้หมอนสีฟ้าเปียกปอนไปหมด ใช่...แม้แต่ผ้าปูที่นอนยังเป็นสีเดียวกัน นี่คุณคิดที่จะทำอะไรเหรอยา...
ฉันทำได้แค่นอนมองตัวเลข LED สีฟ้าจากนาฬิกาดิจิตอลที่แขวนอยู่บนผนังที่ปลายเตียง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงขึ้นเข้าไปแล้ว ฉันได้แต่ภาวนาในใจ ว่าขอให้แฟนของฉันกลับมา ได้โปรด...กลับมานอนกอดกันเหมือนเดิมจะได้ไหม อย่าไปหาเขาเลย ได้โปรดเถอะยา...พี่รักคุณมากจริง ๆ กลับมาเถอะนะ อย่าไปอยู่กับเขา...
แก๊ก!
ดูเหมือนสวรรค์จะได้ยินคำขอร้องจากฉัน เพียงแค่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเวลาเดิมอย่างทุก ๆ คืน ฉันก็ร้องไห้ออกมาทันที ทั้ง ๆ ที่เธอสามารถไปทำอะไรต่อมิอะไรก่อนที่จะเข้าห้องก็ได้ แต่ขอแค่เธอกลับมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้ ฉันก็อุ่นใจแล้ว
"กลับมาแล้วเหรอคะยาจงยาใจของพี่" ประโยคที่ฉันมักจะพูดทุกครั้งหลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนจะมีร่าง ๆ หนึ่งเดินฝ่าความมืดเข้ามาสวมกอดฉันทันทีเมื่อถามจบ
"กลับมาแล้วค่ะพี่หมอ เหนื่อยอ่า...หอมหัวยาหน่อยสิที่รัก" เสียงงอแงร้องออดอ้อนพร้อมกับกอดฉันแน่น ฉันจึงก้มลงหอมศีรษะฟอดใหญ่จนได้กลิ่นแชมพูที่ไม่คุ้นเคยตีเข้าจมูก
นอกจากจะอาบน้ำแล้วยังสระผมด้วยเหรอเนี่ย ต้องไว้ใจเขาขนาดไหนกัน ถึงได้กล้าให้เขาเห็นเธอตอนผมเปียกแบบนี้...
"ไม่อาบน้ำอีกได้ไหมคะพี่หมอ ยาเหนื่อยอะ"
"ไม่ได้ค่ะ ไปอาบน้ำนะคะ"
"น่านะ...วันนี้ยาเหนื่อยมากจริง ๆ ทำนั่นทำนี่ทั้งวันเลย"
"ทำอะไร..."
"ก็ติดวอลเปเปอร์ไงคะ แล้วก็ซ้อมทั้งวันเลย เหนื่อยตัวแทบขาด"
"เพราะแบบนี้ไง พี่ถึงไม่อยากให้คุณไปร้องเพลงแล้วอะ พี่เห็นคุณเหนื่อยแบบนี้ พี่ก็ใจแทบขาดเหมือนกันนะคะ"
"ยาไปอาบน้ำก่อนนะ เผื่อจะสดชื่นขึ้น" พูดจบเธอจึงลุกเดินจากไปทันที ฉันจึงทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ การเป็นห่วงคนรักมันผิดมากขนาดนั้นเชียวเหรอ...
"พี่หมอคะ...ยาตัวหอมแล้วนะ..." เสียงพูดแผ่วเบาที่ข้างหู ก่อนที่ฉันจะได้รับสัมผัสของลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรดใบหูของฉันอยู่จนพาขนทั่วทั้งตัวลุกซู่ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังซุกไซร้ที่ซอกคอแล้วเลื่อนมาที่ริมฝีปากของฉันช้า ๆ
เธอเร่งจังหวะจูบอย่างดูดดื่มจนฉันหายใจแทบไม่ทัน ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังต้องการจนอดใจจะไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะเธอจะทำแบบนี้ทุก ๆ คืน แต่ร่างกายของฉันมันกลับไม่เหลือเรี่ยวแรงจะตอบสนองเธอได้แม้แต่น้อย ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของฉันถูกปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนความเสียวซ่านที่บริเวณหน้าอกจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างจนขนลุกซู่อีกครั้ง
เธอพยายามดูดคลึงยอดปทุมถันเพื่อปลุกอารมณ์ของฉันให้ตื่น แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ฉันก็ไม่อาจตอบสนองเธอได้จริง ๆ ฉันเองก็เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่หากฉันฝืนตัวเองแล้วลุกมาเริ่มต้นได้แล้วนั้น มันมักจะชะงักกลางคันเสมอเพราะฉันจะหมดแรงหลับไปเสียก่อนที่จะส่งเธอถึงฝั่งฝัน ฉันนี่มันไม่เอาไหนเลยจริง ๆ
"อา...ยา อย่าทำ...พี่...ทำไม่ไหว"
"พี่หมอ...ช่วยหน่อย เอานิ้วสอดใส่ให้ยาหน่อยได้ไหม แค่รอบเดียว...นะคะ"
"ไม่เอายา พี่ไม่มีแรงจริง ๆ"
"งั้นเลียให้หน่อยได้ไหมคะ ยาจะนั่งคร่อมเอง พี่แค่นอนเฉย ๆ"
"พี่ไม่ไหว พี่กลัวยาไม่เสร็จอะ"
"ก็ถ้ายาไม่เสร็จ เดี๋ยวยาจัดการเอง ขอแค่พี่เป็นคนเริ่มให้อะ แค่นี้ทำให้ไม่ได้เลยเหรอ"
"คือพี่เหนื่อยอะคุณ คุณไหวแต่พี่ไม่ไหว"
"พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดอะพี่หมอ ให้ยาแต่งงานกับเซ็กส์ทอยเลยไหม"
"คุณ...พี่ขอโทษ ไว้วันหยุดก่อนได้ไหม"
"วันหยุดก่อนได้ไหม ๆ พี่พูดประโยคนี้มากี่ครั้งแล้วอะ พี่ก็ไม่เคยทำตามที่พูดเลย หรือต้องให้ยามีเรื่องเครียดกลับมาทุกวันไหม พี่หมอถึงจะทำให้เหมือนคืนนั้น"
"คุณ พี่ขอร้องล่ะ นี่มันตีหนึ่งกว่าแล้วนะ อย่ามาทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ได้ไหม"
"อือ!"
ฉันได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับที่ร่างของเธอพลิกตัวหันหลังอย่างแรงจนเตียงนอนสั่นสะเทือนไปหมด วันนี้มันมีอะไรแปลกไปหลายอย่างจริง ๆ เพราะทุกครั้งเธอจะเข้าใจและนอนกอดฉัน แต่คืนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น ฉันจึงพลิกตัวแล้วเข้าไปสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง แต่เธอกลับสะบัดมือออกอย่างไม่ใยดี
"อย่ามายุ่ง!!"
"คุณ...พี่ขอโทษ"
"ไม่ต้อง! ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาใกล้ ไม่ต้องมากอด ยาจะช่วยตัวเอง"
"เฮ้อ...งั้นพี่จะนอนกอดคุณ แล้วสอดเซ็กส์ทอยใส่ให้ จะได้เหมือนพี่ทำให้คุณ โอเคไหม"
"ไม่อะ คืนนี้ยาจะทำเอง เอานิ้วตัวเองนี่แหละ"
"คุณ..."
"พี่หมอ ถ้าไม่ช่วยก็อยู่เงียบ ๆ แล้วก็ไม่ต้องมากอดด้วย"
"อืม โอเค ตามใจคุณแล้วกัน"
"อือ!"
ฉันเองก็เจ็บที่มอบความสุขให้คนรักไม่ได้ในเวลาที่เธอต้องการ เธอคงจะทรมานมาก เพราะฉันเองก็ทรมานที่ต้องนอนฟังเสียงครวญครางของเธอทุกคืน แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้แต่จะปลดปล่อยอารมณ์ที่มันคุกรุ่นอยู่ข้างในร่างกายของฉันเอง
"อือ...ซี๊ด...อื๊อ...เสียว..."
"อ๊า...อ๊า...อ๊า..."
"มะ...ไม่ไหวแล้ว...ไข่...เจียว...ซี๊ด....พี่ไม่ไหวแล้วเจียว อ๊า!!!!"
ทันทีที่เธอเอ่ยชื่อใครอีกคน น้ำตาของฉันก็รินไหลออกมาทันที ฉันรู้ดีว่าเธออาจจะเรียกชื่อคนอื่นแบบไม่รู้ตัว แต่มันคือจิตใต้สำนึกของเธอ ตอนนี้เธอกำลังคิดถึงใครอีกคน...มันเจ็บ...เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ร่างกายของฉันไร้เรี่ยวแรงราวกับถูกทำร้ายจนบอบช้ำไม่เหลือชิ้นดี
ทั้ง ๆ ที่อยู่กับฉัน...แต่คุณเรียกชื่อใครอีกคน
ทั้ง ๆ ที่อยู่กับฉัน...แต่คุณกลับคิดถึงคนอื่น
วันนี้คุณไปทำอะไรมาทั้งวันงั้นเหรอ...มันถึงทำให้คุณเหนื่อยขนาดนี้
เขาคนนั้นทำให้คุณต้องการงั้นเหรอ คุณถึงเอ่ยเรียกชื่อของเขา
คุณคิดถึงหน้าเขาอยู่ใช่ไหมยา...
แบบนี้...มันแปลว่าคุณไม่รักฉันแล้วใช่ไหม...
ยา...คุณกับเขา...มันหมายความว่ายังไง...