บ้านนี้แฝด 4

บ้านนี้แฝด 4
#ขยะ | กระติก

แนะนำตัวละคร
คนเราจะรักคน ๆ หนึ่งไปได้นานแค่ไหนกันนะ... 
คำถามที่มันวนเวียนอยู่ในหัวฉันมาเกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ฉันก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ว่าฉันจะรัก อาย ไปอีกนานแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกันด้วยซ้ำ ถ้าเธอจะไม่รับรักฉันเพียงเพราะเราเป็นเพื่อนกันน่ะ มันคงไม่ใช่หรอก แต่เพราะเธอคิดว่าฉัน 'เจ้าชู้' นี่สิ...
ย้อนกลับไปเมื่อตอนฉันเรียนมัธยมต้น ครั้งแรกที่เราเจอกัน มันไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย เราก็เหมือนเด็กนักเรียนที่ได้เจอเพื่อนใหม่ทั่วไป  

'มัธยมต้น'
กระต่าย และ อาย อยู่ห้อง 1 ซึ่งเป็นศิลป์ภาษา
กระแต และ กระเต็น อยู่ห้อง 3 สำหรับสายศิลปะ
ส่วนฉันน่ะเหรอ...อยู่ห้อง 10 ที่เป็นห้องเรียนสายวิทย์-คณิต ที่ต้องเรียนกันคนละอาคารกับคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ เหมือนฟ้าลิขิตให้ฉันต้องโดดเดี่ยวมาตั้งแต่ต้น ทุกคนมีเพื่อนตั้งแต่มัธยมต้น จนไปถึงมหาลัยเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับฉัน การนั่งกินข้าวคนเดียว ถือเป็นเรื่องปกติเลยล่ะ จนกระทั่ง..
"ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะกระติก" เด็กสาวผมแกละ ดวงตากลมโตราวกับตัวการ์ตูนก็ไม่ปาน ถามพลางกับวางจานข้าวลงตรงข้ามกับฉัน ก่อนจะก้าวขาคร่อมกับม้านั่งทั้ง ๆ ที่สวมกระโปรง บ้าจริง...ไม่รู้จักระวังตัวเลย
"ทำไมแยกออกล่ะว่าเราคือกระติก"
"โอ๊ย! ถึงจะเป็นแฝดกัน ก็ใช่ว่าหน้าตาจะเหมือนกันเป๊ะขนาดนั้นไหม กระต่ายสดใสจะตาย แต่เธอน่ะหน้าบูดเหมือนอมขี้"
"เวลากินข้าวอย่าพูดเรื่องนี้สิ ไม่น่ารักเลย"
"ฮ่า ๆๆๆ" คงจะเพราะฉันทำหน้าเหวอล่ะมั้ง อายเลยหัวเราะชอบใจที่แกล้งฉันได้สำเร็จ แต่หน้าเธอตอนหัวเราะน่ะ มันดูตลกจนฉันอดขำตามไม่ได้เลย
"ฮ่า ๆๆๆ"
"อย่ามาหัวเราะตามสิ เดี๋ยวเราหยุดไม่ได้ ฮ่า ๆ"
"ฮ่า ๆ โอ๊ย...พอ ๆ เดี๋ยวสำลัก ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ เป็นเพื่อนกระต่ายใช่ไหม"
"อืม เราอาย"
"ไม่ ไม่ต้องอาย บอกมาเลย"
"ไม่ เราอาย"
"อายทำไมเธอ แค่บอกชื่อ"
"ไม่!! เราชื่ออาย!!!"
"อุ๊บ!!! ฮ่า ๆๆๆๆๆ"
"หัวเราะอะไรเล่า ฮ่า ๆ คิก ๆ อุ๊บ!! ฮ่า ๆ"
"ฮ่า ๆ"
เราหัวเราะกันนานแค่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่เราหัวเราะกันเพราะเรื่องเล็ก ๆ จนฉันเมื่อยท้องไปหมด น้ำตาที่มีก็ไหลนองราวกับคนกำลังร้องไห้ จนกระต่ายที่ตามมาทีหลังเห็นฉันกับอายต่างหน้าแดงและน้ำตาเล็ดแบบนี้ จึงคิดว่าฉันทะเลาะกันจนร้องไห้ ฮ่า ๆ ตลกชะมัด แต่เพราะเหตุการณ์นี้แหละ มันทำให้ฉันรู้สึกสนใจอายมากขึ้น เพราะเวลาเธอหัวเราะ มันทำให้โลกทั้งใบสดใสขึ้นทันตาเลย ความอ้างว้าง ความเดียวดายภายในใจฉัน มันมลายหายไปในทันที เธอคงเป็นนางฟ้าแห่งความสุขสินะ...อาย...


"วิ้ดวิ่ว...น้องอายคนสวย ~" ระหว่างที่เรากำลังเดินเอาจานไปเก็บหลังกินข้าวเสร็จนั้น ก็มีกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายผิวปากแซวอายจนเธอหน้าแดงและก็วิ่งหนีไปทันที ฉันมักจะได้เห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากเพื่อนผู้หญิงอยู่บ่อย ๆ เวลาโดนแซว ทุกคนจะหน้าแดงและทำตัวไม่ถูกแทบทุกคน และนั่น...มันคือจุดเริ่มต้นที่ฉันมีพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะอยากให้อายมีปฏิกิริยาแบบนั้นเพราะฉันบ้าง
เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไป จนถึงเทอม 2 ในที่สุดโชคก็เข้าข้างฉันสักที เมื่อห้องเรียนของฉันถูกย้ายไปอยู่อีกอาคารหนึ่ง ซึ่งมันบังเอิญเป็นห้องติดบันไดข้างห้องของกระเต็นกับกระแตพอดี เลยทำให้ฉันได้รู้จักกับ เจน เพื่อนสาวคนสวย สุดฮอตที่มีหนุ่ม ๆ คอยตามจีบเธอไม่เว้นแต่ละวัน และเจนก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนฉันแซวเช่นกัน เพราะเวลาเธอโดนฉันแซว เธอจะชอบกำหมัดขึ้นมา ดูแล้วเกรี้ยวกราดดี 
หลังจากที่ย้ายอาคารเรียนทำให้ฉันได้ไปกินข้าวกับกระเต็น กระแต และเจนบ่อย ๆ เจนดูตื่นเต้นมากที่มีเพื่อนหน้าตาเหมือนกันถึง 3 คน แถมยังชอบมาเกาะแขนฉันบ่อย ๆ มันเลยทำให้ฉันสนุกกับการแซวเธอด้วยตามประสาเพื่อน ส่วนอายน่ะเหรอ ฉันจงใจแซวเพราะสนใจเธอมากกว่า ฉันไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอ ทุกครั้งที่เจอหรือเดินสวนกัน ฉันจะตะโกนแซวเธอทุกครั้ง ปฏิกิริยาที่ได้เห็นคือ อายจะมองค้อน พร้อมกับกระทืบเท้าทำเสียงดังตึงตังแล้วก็วิ่งหนีไป ไม่รู้เหมือนกันว่าปฏิกิริยาแบบนั้นคืออะไร แต่ฉันชอบเธอจริง ๆ


"อาย...เราชอบเธอนะ"
"มึงบ้าปะกระติก!! มึงน่ะมันเจ้าชู้!! มึงก็คงชอบทุกคนนั่นแหละ!!!"
วันสุดท้ายของการเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้น ฉันเข้าไปสารภาพกับอายที่หน้าห้องเรียน แต่ฉันไม่เข้าใจเลย อะไรคือคำว่าเจ้าชู้งั้นเหรอ ฉันไม่ได้ชอบใครเลยนอกจากเธอ แต่การโดนตะคอกใส่พร้อมกับโดนปาดอกกุหลาบใส่หน้ามันทำให้ฉันเจ็บปวดจนขาของฉันก้าวไม่ออกเลย มันเจ็บมาก มันเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ 
เราไม่เจอกันอีกเลยตลอดปิดเทอม ฉันจมอยู่กับคำถามมาตลอดว่าฉันทำอะไรผิดไป พอขึ้นมัธยมปลาย การแบ่งห้องก็เข้าสู่อีหรอบเดิม คือฉันต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง แต่ฉันตั้งมั่นกับตัวเองว่า ฉันจะต้องจีบอายให้ได้ ฉันพยายามจีบเธอทุกวัน ทุกวิธีที่เขาว่าดีฉันก็ลองมาหมดแล้ว และเจน คือเพื่อนที่แสนดีที่คอยบอกวิธีกับฉันมาโดยตลอด เจนคอยสอนฉันว่าต้องเข้าหาอีกฝ่ายยังไง แต่ไม่ว่าจะทำยังไง ฉันก็โดนปฏิเสธเสมอ
"โอ๊ย!! เลิกยุ่งกับกูสักที!!!" 
ใช่...ประโยคนี้ฉันได้ยินจนชิน แต่ฉันก็ไม่เคยยอมแพ้เลยสักวัน ฉันถือคติน้ำหยดลงหินทุกวัน หินเดินหนีแล้วปารองเท้าใส่ จนฉันจำลายของพื้นรองเท้าเธอได้ขึ้นใจเลยล่ะ จะบอกว่าโดนบ่อยจนรู้แล้วว่าถ้าเธอยกแขนเอียงไปทางขวา รองเท้ามันจะมาเร็วกว่าปกติ แต่ถ้าเธอยกเอียงไปทางซ้าย เธอจะอ่อนแรงลง ฉันคือผู้เชี่ยวชาญด้านการหลบรองเท้าของอายจนจบมัธยมปลายเลยก็ว่าได้ แต่ทุกครั้งที่เธอโยนรองเท้ามาน่ะ มันกลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอ มันเลยทำให้ฉันมีหวังมาตลอด ว่าเธอเองก็คิดเหมือนกันกับฉัน แต่เธอคง...อาย...


เมื่อวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลายได้มาถึง ฉันเดินถือพานดอกมะลิเข้าไปหาเธอ กลิ่นของดอกมะลิหอมคละคลุ้งจนฉันเองก็แทบเวียนหัว ในขณะที่อายกำลังนั่งพูดคุยกับกระต่ายที่ม้านั่งหน้าอาคารเรียน ฉันจึงนำพานดอกมะลิไปวางไว้หน้าเธอ ก่อนจะพูดประโยคสิ้นคิดออกมาว่า...
"เธอ ๆ เราอยากให้เธอมาเป็นแม่ของลูกเรา"
"ไอ้ควาย!!!"
ใช่...ครั้งนี้ฉันโดนด่าแรงที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา แต่อายและแฝดผู้น้องของฉันกลับหัวเราะลั่นจนแทบจะตกม้านั่งกันอยู่แล้ว 
"พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย สรรหาแต่อะไรแปลก ๆ นะพี่ติก ฮ่า ๆ"
"ทำไมอะ จริงจังนะเนี่ย"
"มึงจริงจังเหรอติก กูจะตั้งฉายาให้มึงนะ ฉายาของมึงคือกระโดด"
"ทำไมต้องกระโดดอะ"
"มึงไม่ใช่คนจริงจัง แต่มึงเป็นจิงโจ้"
"เราจริงจัง จริงใจ ไม่จิงโจ้"
"เชื่อก็บ้าแล้ว!! เห็นถึงความพยายาม จะรับพานนี้กลับบ้านละกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตกลงคบกับแกนะกระติก"
"แค่รับไปก็เท่ากับว่ามีใจแล้ว เราจะจีบเธอจนกว่าเธอจะยอมคบกับเรา!"
"คิดว่าทำได้ก็ลองดู!!"
ฉันแสดงให้อายเห็นถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอว่ามันท่วมท้นจนล้นอกอยู่แล้ว แต่ทำไมกันนะ ไม่ว่าฉันจะพยายามสักแค่ไหน ก็เหมือนน้ำซึมบ่อทราย ไม่ว่าจะเทน้ำลงไปเท่าไหร่ มันก็ไม่มีวันเต็ม ยิ่งช่วงมหาลัย เราเจอกันน้อยลง เพราะกระต่ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ฉันก็พยายามไปจีบเธอที่หน้าบ้านทุกวัน
แต่ก็นั่นแหละ...ยิ่งโตขึ้น เรี่ยวแรงของฉันก็ยิ่งลดลง การถูกปฏิเสธทุกวันมันบั่นทอนจิตใจฉันลงเรื่อย ๆ ฉันอยากเป็นคนที่ผู้อื่นให้ความสนใจบ้าง อย่างน้อยการเอ่ยแซว หรือที่สมัยนี้เขาเรียกกันว่า 'เต๊าะ' ถ้าอีกฝ่ายหงุดหงิด มันก็ดีกว่าท่าทีเมินเฉยไม่ใช่เหรอ ความเหงามันกัดกินหัวใจฉันลงไปทุก ๆ วัน แม้แต่ตอนเรียน วัน ๆ ฉันก็อยู่แต่ห้องแลปและการทดลอง แม้จะมีเพื่อน แต่ฉันก็ยังเหงา ไม่มีใครจริงใจกับฉันเลยสักคน ยิ่งเพื่อน ๆ ของกระแตกับกระเต็นยิ่งไม่ควรพูดถึง พวกเขากลมเกลียวและเหนียวแน่นกันมาตั้งแต่ต้น ฉันไม่อาจไปเป็นส่วนเกินได้จริง ๆ
จากที่ฉันตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะจีบอายให้ติด ความหวังฉันเริ่มลดลงจนเหลือศูนย์ เพียงเพราะเราไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนก่อน ต่างคนต่างเรียนหนัก ต่างคนต่างเดินตามความฝัน แต่ฉันไม่เคยลืมเธอได้เลย ฉันแอบขับรถไปที่หน้าบ้านเธอบ่อย ๆ ขอเพียงแค่เห็นหน้าเธอก็ยังดี แต่ฉันไม่กล้าที่จะกวนใจเธออีกแล้ว เพราะการเห็นเธอต้องเหนื่อยหลังเลิกเรียนมันทำให้ฉันทรมานหัวใจมาก ฉันจึงทำได้แค่แอบเอาขนมที่เธอชอบมาห้อยไว้ที่ประตูบ้านของเธอ หวังว่าเธอจะรับรู้ความรักจากฉันสักทีนะอาย


หลังจากที่ทุกคนต่างเรียนจบ ถือเป็นการประสบผลสำเร็จไปอีกก้าว ของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิตก็คือ โชคชะตานำพาให้เราสองคนกลับมาใกล้กันอีกครั้ง เมื่อกระต่ายกลับมาที่ประเทศไทย และได้ทำงานที่เดียวกันกับอาย ทำให้เราได้เจอกันบ่อยขึ้น ฉันก็เดินหน้าจีบอายใหม่ แต่มันก็เข้าสู่อีหรอบเดิมอีก คืออายไม่เคยรับรักฉันเลยสักครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอโตขึ้น ฉันถึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับการถูกปฏิเสธได้ถึงขนาดนี้ ฉันหมดแรงแล้ว หมดแรงที่จะทำอะไรเพื่อคนที่ไม่ได้รักฉันแล้ว
ครั้งแรกกับการแอบร้องไห้คนเดียว มันจุกจนหายใจลำบาก เพราะต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ กลัวเหลือเกินว่ากระต่ายจะได้ยิน เพราะห้องของเราอยู่ติดกัน กลัวไปหมด กลัวทุกคนรู้ว่าฉันอ่อนแอขนาดไหน ฉันไม่ได้เก่งอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ฉันไม่ได้เพื่อนเยอะอย่างที่ทุกคนมอง ฉันไม่เคยมีเพื่อนเลยต่างหาก ไม่เลย...ไม่เคยมีเลย


เพียะ!!!
"มึงไสหัวไปเลยนะ!!! กูโคตรเกลียดมึงเลยกระติก คนอย่างมึงน่ะ ไม่มีวันได้หัวใจกูไปหรอก และอย่าคิดว่าจะมาเข้าทางแม่กูด้วย!!!"
ต่อให้ฉันจะโดนอายขว้างรองเท้าใส่บ่อยแค่ไหน แต่ฉันไม่เคยเสียใจเท่ากับครั้งนี้เลย ใบหน้าซีกซ้ายของฉันมันชาจนน้ำตาคลอเบ้าเพราะถูกเธอตบเข้าอย่างจัง ถ้าถามว่าเจ็บไหม ฉันตอบได้เลยว่ามันไม่เท่ากับหัวใจฉันตอนนี้หรอก มันเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ แต่ฉันกลับต้องแสร้งยิ้มและยักคิ้วกลับไป
"ตบมา จูบกลับน้า..."
"สันดาน!!!!" ฉันจงใจพูดให้เธอรีบวิ่งหนีจากไปก็เท่านั้น เพราะกลัวว่าเธอจะได้เห็นน้ำตาของฉันที่มันรินไหลออกมา 
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริง ๆ ที่ฉันจะทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้ ฉันนั่งร้องไห้บนรถนานแค่ไหนไม่รู้ แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือรีบเอาลังนมเปรี้ยวกลับไปให้กระต่ายโดยเร็ว เพราะกลัวว่าเธอจะโกรธ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันก็อุตส่าห์หลบหน้าแล้ว แต่กระต่ายก็ดันสังเกตเห็นว่าแก้มฉันแดงเถือกเพราะถูกตบมา ก่อนจะขอให้ฉันออกไปซื้อยาแก้ท้องอืดให้ ฉันจึงรีบขับรถออกไปทันทีเพราะกลัวว่าเธอจะได้ยินเสียงฉันร้องไห้ และช่วงเวลาที่เจ็บปวดแบบนี้ คนที่คอยรับฟังปัญหาของฉันดันเป็น ลูกหมี ลูกสาวคนเล็กร้านก๋วยจั๊บญวนชื่อดัง เพราะแฟนของลูกหมีดันอยู่บ้านใกล้กับอายนี่สิ เธอเลยรู้เห็นทุกอย่าง และคงจะสงสารฉันล่ะมั้งถึงต้องมานั่งตบบ่าฉันอยู่ตอนนี้
"เอาน่าพี่กระติก ถ้าเขาไม่รักพี่ก็พอเถอะ เห็นพี่พยายามแบบไร้จุดหมายมานานแล้ว ปอนด์สงสารพี่อะค่ะ"
"จริง หาคนใหม่ไหมพี่กระติก หนูเห็นพี่หงอยเป็นหมาทุกวัน"
"เนี่ย ก็ถ้าลูกหมียังไม่มีแฟนนะ พี่ก็เล็งลูกหมีเนี่ยแหละ"
"อย่าหนาพี่กระติก นี่แฟนปอนด์ เต๊าะได้แต่อย่าเอาจริง ปอนด์ต่อยพี่นะ" 
"ฮ่า ๆ พี่ล้อเล่น เห็นเราสองคนรักกันดีขนาดนี้พี่ก็ยินดีด้วยนะ สงสัยพี่คงได้ขึ้นคาน"
"พี่ก็เลิกเต๊าะหนูสักทีสิพี่กระติก พี่อายเข้าใจผิดหมดนะ คิดว่าพี่ชอบหนูอะ"
"จริง นี่ถ้าสมมติว่าปอนด์ไม่เห็นพี่ไปตามจีบพี่อายทุกวันนะ ปอนด์คงคิดว่าพี่ชอบลูกหมีแน่ ๆ"
"ไม่หรอก ลูกหมีคือน้องสาวของพี่ งั้นพี่ไปนะ เดี๋ยวไปหาเพื่อนก่อน"
"โอเคค่ะพี่กระติก ขอบคุณที่เอาก๋วยจั๊บมาให้นะคะ"
"อืม ไปนะ"
ฉันมักจะสบายใจขึ้นทุกครั้งที่ได้ระบายกับลูกหมีและปังปอนด์ และอีก 2 คนที่คอยรับฟังฉันก็คือ น้องนุ่น และ เจน เพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่บังเอิญได้กลับมาเจอกันเพราะเป็นนางแบบของกระแตและกระเต็น ฉันรู้ดีว่าทั้งสองมีคนรักอยู่แล้ว แต่ฉันดันติดนิสัยชอบเต๊าะคนสนิทนี่สิ มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายเลย ทุกครั้งที่ไปเจอทั้งสองคน ฉันทำได้แค่ขอโทษที่นิสัยเสียใส่บ่อย ๆ และทุกคนก็ไม่เคยโกรธเคืองฉันเลยเพราะต่างก็รู้ดีว่า ฉันน่ะ...แค่เรียกร้องความสนใจ...


"พี่โบว์คะ ติกอยู่หน้าบ้านพี่แล้วนะ ออกมาได้เลยค่ะ" 
"โอเคจ้า รอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่ออกไป"
"ได้ค่ะพี่โบว์"
พี่โบว์ คือที่พึ่งทางใจคนเดียวที่ฉันมี หากอายเปรียบเสมือนน้ำที่เยือกเย็น พี่โบว์คงเป็นแสงตะวันที่ให้ความอบอุ่นกับหัวใจฉันล่ะมั้ง ตลอดเวลาที่ฉันคิดว่าฉันควรพอได้แล้ว ฉันมักจะมีพี่โบว์คอยพูดคุยและให้กำลังใจฉันเสมอมา จนฉันคิดว่า ฉันควรเก็บอายเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ อย่าไปแตะต้อง อย่าพยายามอีกเลย เพราะการพยายามเพื่อคนที่เขาไม่ได้รักเราน่ะ มันไม่มีประโยชน์หรอก ที่ผ่านมาฉันบอบช้ำมามากพอแล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้วแหละ ว่าฉันควรปล่อยมือจากคนเย็นชาสักที ขออยู่กับคนที่ให้ความอบอุ่นกับฉันจะดีกว่า
ฉันพาพี่โบว์มายังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีการประดับตกแต่งด้วยสายไฟระย้า มีการจัดสวนหย่อมให้ความร่มรื่น บรรยากาศมันดูอบอุ่นอย่างมาก ยิ่งมากับคนที่อบอุ่นอย่างพี่โบว์แล้ว มันยิ่งทำให้ฉันอุ่นใจ ตลอดเวลาที่ฉันกับพี่โบว์อยู่ร้านอาหาร เรานั่งมองหน้ากันพลางกับอมยิ้ม แก้วไวน์ที่เราจิบไปพร้อมกับนั่งฟังเสียงเพลงแจ๊สที่เปิดเคล้าคลอมันช่วยให้ไวน์มีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมเป็นไหน ๆ แต่ฉันก็อดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงใครอีกคน ถ้าฉันมีโอกาสได้พาอายมาบ้าง เธอจะชอบไหมนะ
"เพลงนี้เพราะจัง" พี่โบว์เอ่ยขึ้นพลางกับหลับตาพริ้มแลดูเคลิบเคลิ้มกับเสียงดนตรี
"เพราะดีนะคะ"
"อืม...พี่ชอบเนื้อหาด้วย...เธอคือแสงดาวที่ส่องแสงระยิบระยิบในหัวใจฉัน แม้จะไกลกันเพียงใด แต่ฉันกลับอุ่นใจที่ได้เห็นมัน..."
"เนื้อหาเพลงนี้ก็คงเหมือนพี่โบว์ เพราะพี่กำลังส่องแสงสว่างภายในหัวใจติก"
"หยอดอีกแล้วน้า..."
"ให้หยอดหน่อย บรรยากาศมันพาไปแบบนี้ ติกมีความสุข ยิ่งได้อยู่กับพี่โบว์ ติกยิ่งมีความสุข"
พี่โบว์อมยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน วันนี้เธอสวยมากจริง ๆ สมแล้วที่เป็นนางแบบที่กระแตกับกระเต็นแทบจะบูชาขึ้นหิ้ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ฉันละสายตาจากเธอไม่ได้เลย ผมสีส้มก็สะดุดตาเสียจริง
"กลับกันไหม เริ่มมึนแล้วอะ"
"ไม่อยู่ฟังเพลงต่อเหรอคะ"
"ไม่อะ อยากกลับไปอยู่กับกระติกมากกว่า"
ฉันรู้ดี ว่าคำพูดแบบนี้ มันคือการนั่งจับมือกันบนรถระหว่างดูแสงไฟยามค่ำคืนที่ส่องสะท้อนกับผืนน้ำ เรามักจะทำแบบนี้เป็นประจำ เพราะบรรยากาศกับแสงไฟยามค่ำคืนมันทำให้เราสองคนลืมเรื่องราววุ่นวายในชีวิตเป็นปลิดทิ้ง และนั่นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉันตัดสินใจว่า จะปล่อยมือจากสิ่งที่ฉันรักและหวงแหนมากที่สุดในชีวิต เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้ว และตลอดสามเดือนที่ฉันคุยกับพี่โบว์ เราไม่เคยมีอะไรเกินเลยนอกจากการจับมือ เพราะฉันต้องให้เกียรติเธอ แต่วันนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น...
ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะบรรยากาศที่มันเป็นใจตั้งแต่ต้น บนรถครอบครัวแบบห้าประตูที่จอดอยู่ข้างทางเพียงลำพังกำลังร้อนรุ่มไปด้วยไฟเสน่หา แม้แต่แอร์ที่เปิดให้อุณหภูมิต่ำสุดยังดับความร้อนของร่างกายฉันไม่ได้เลย จากเดิมที่เราเคยนั่งจับมือและมองแสงไฟยามค่ำคืน แต่วันนี้เราทั้งสองต่างจูบกันอย่างดูดดื่มราวกับแม่เหล็กที่ดึงดูดเข้าหากัน
เสียงเพลงแจ๊สยังคงเคล้าคลอสร้างบรรยากาศ กลิ่นแอลกอฮอล์จากปากของเธอนั้นมันช่างหอมหวานจนฉันอยากจะกลืนกินลงไปทั้งตัว ลิ้นอุ่น ๆ ต่างตวัดรัดรึงและสำรวจโพลงปากของกันและกัน ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาซุกไซ้ที่ต้นคอระหงจนได้ยินเสียงครางดังออกมาอย่างแผ่วเบา
"อา..."
เธอปรับเบาะให้เอนต่ำลงอีกเล็กน้อย พร้อมกับขยุมผมของฉันจนมันยุ่งเหยิงไปหมด เธอเอื้อมมือมาปลดกระดุมของฉันด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะสอดเข้าไปบีบคลึงหน้าอกของฉันราวกับมันเป็นของเล่น มีหรือที่ฉันจะยอม ฉันกระชากเสื้อเกาะอกสีดำของเธอลงพร้อมกับดูดคลึงยอดปทุมถันจนรู้สึกได้ว่ามันแข็งชูชันไปพร้อม ๆ กับเสียงคราง และร่างที่แอ่นบิดไปมา
"อา...กระติก...ซี๊ด...ช่วยพี่หน่อย"
"หืม...?"
"ทำ...ให้พี่หน่อย...ได้ไหม...ซี๊ด..."
ฉันเองก็คิดว่าตัวเองหูเพี้ยนไป แต่เมื่อเธอจับมือของฉันสอดเข้าไปที่ใต้กระโปรง ฉันจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังต้องการอะไร ฉันสัมผัสได้ถึงของเหลวเพราะอันเดอร์แวร์ท่อนล่างของเธอเปียกแฉะไปหมด ยิ่งฉันสัมผัส ร่างของเธอยิ่งแอ่นบิดพร้อมกับขยุมผมของฉันแน่นขึ้น เพราะปากก็ยังคงทำหน้าที่ดูดคลึงอยู่อย่างนั้น และในที่สุด...นิ้วมือของฉันก็สอดประสานร่างให้เป็นหนึ่ง...
"อ๊า...!!"


"พี่โบว์...ทำไมครั้งนี้ถึงขอให้ทำคะ" 
"ไม่ต้องถาม ตั้งใจขับรถไป"
"อ่า...ค่ะ เราสองคน...คบกันได้หรือยังคะ"
"ไว้กระติกกลับไปถึงบ้านก่อนนะ พี่ถึงจะให้คำตอบ"
"ทำไมล่ะคะ ให้คำตอบเลยไม่ได้เหรอ"
"พี่อยากให้กระติกมีสมาธิขับรถไงคะเด็กน้อย ถ้าดีใจแล้วพาพี่แวะข้างทางอีกจะทำไง คืนนี้จะถึงบ้านไหม"
"บ้าน่าพี่โบว์ ติกก็รู้จักเวล่ำเวลาอยู่นะคะ"
"ฮ่า ๆ รอก่อนนะคะ กระติกถึงบ้านพี่จะให้คำตอบนะ"
"ได้ค่ะพี่โบว์"
ใช่...ฉันคิดว่าคำตอบของพี่โบว์คือคำว่าตกลงแน่นอน มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย เพราะเราสองคนเพิ่งจะมีความสุขด้วยกัน ค่ำคืนนี้มันพิเศษกว่าคืนไหน ๆ แม้แต่ตอนกลับไปถึงบ้าน เราก็ยังคงบรรเลงเพลงรักกันต่อ ตอนแรกฉันคิดว่าเธอคือแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น แต่เปล่าเลย แสงอาทิตย์มันกำลังแผดเผาร่างของเราให้เป็นจุณ รวมไปถึงหัวใจของฉันด้วย
ใคร ๆ ต่างก็เตือนฉันว่าพี่โบว์น่ะร้าย แม้แต่ตัวเธอเองก็เตือนฉันด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับเข้าข้างตัวเอง และคิดว่าเธออาจจะเปลี่ยนใจอยากมีอนาคตร่วมกันกับฉัน เหมือนที่ฉันเปลี่ยนใจอยากมีอนาคตร่วมกันกับเธอ ทำไมเธอถึงได้คอยอยู่เคียงข้าง คอยปลอบ คอยให้กำลังใจ ฉันคิดผิด...ฉันแค่คิดไปเอง เธอต้องการแค่เซ็กส์เท่านั้น ชีวิตของฉันมันสิ้นหวังแล้วสินะ คนที่เป็นดั่งน้ำชโลมจิตใจก็ทำให้หัวใจของฉันเยือกแข็งได้ คนที่เป็นดั่งแสงตะวันอันอบอุ่นก็เผาไหม้หัวใจของฉันจนไม่เหลือชิ้นดี
ฉันผิดที่ตรงไหน...
ฉันพลาดที่ตรงไหน...
แค่จะหาคนที่รักฉันจริง ๆ สักคนยังไม่มีเลย มันพังแล้วสินะ...อย่ารักใครอีกเลยนะกระติก เพราะไม่มีใครรักมึงเลย ไม่มีใครเห็นค่ามึงเลยสักคน ทุกคนทำกับมึงเหมือนมึงเป็นแค่...'ขยะ'

#ขยะ | กระติก
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ฮืออออ กระติกเกมแล้ววว อายเปิดใจให้กระติกหน่อยค่ะ T^T”