บ้านนี้แฝด 4

บ้านนี้แฝด 4
#ตัวประกอบ | กระเต็น

แนะนำตัวละคร
คุณเคยรักใครมาก ๆ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ไหม...
เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะเคยประสบพบเจอความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นดั่งที่หวัง เส้นทางที่เดินมาด้วยกัน ดูเหมือนจะมีปลายทางที่เชื่อมเข้าหากัน แต่พอลองเงยหน้ามองดูทางที่จะต้องเดินไปยังจุดหมายแล้วนั้น กลับมองไม่เห็นอะไรเลย จะว่ามันไกลเกินกว่าจะไปถึงก็ไม่ใช่ เรียกว่ามันมืดบอดเลยคงจะใช่เสียมากกว่า
เหมือนเรื่องระหว่างฉันกับผู้หญิงหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับฉัน พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มร้อนที่เธอชอบ นั่นก็คือลาเต้ร้อนกลิ่นหอมกรุ่น แม้อากาศจะร้อนสักแค่ไหนก็ตาม แต่การดื่มกาแฟร้อนสำหรับเธอ มันทำให้เธอสดชื่นขึ้นทันตา ส่วนของฉันคืออเมริกาโน่เย็น ที่ฉันไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสั่งด้วยตัวเอง แต่เธอก็รู้ดีกว่าใคร ว่าฉันชอบเมนูอะไรเป็นพิเศษ
เธอนั่งดื่มกาแฟพลางกับอมยิ้ม แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยคำถาม และฉันเองก็มีคำถามในหัวเต็มไปหมด ว่าเมื่อก่อนมันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมจู่ ๆ เธอก็หายไป และทำไมจู่ ๆ เธอก็กลับมาอยู่ต่อหน้าฉันอีกครั้ง ฉันจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะ...ว่าเธอคิดถึงฉันมากจนต้องมานัดเจอกันในช่วงเวลาที่เธอยุ่งจนมือเป็นระวิงในเช้าวันจันทร์แบบนี้
"พี่เวนิส..."
"หืม?"
"ถ่ายรูปให้หน่อยดิ"
"อืม ได้สิ เอาโทรศัพท์มา"
"เอาเครื่องพี่ได้ไหม เครื่องเต็นถ่ายรูปไม่สวยหรอก"
"ระดับกระเต็นเนี่ยนะ จะใช้รุ่นที่ถ่ายรูปไม่สวย อย่างน้อยฟีเจอร์หลักที่เต็นเลือกมันควรจะเป็นกล้องถ่ายรูปหรือไม่ก็ถ่ายวิดีโอกันสั่นระดับเทพเลยมั้ง"
"เอาเครื่องพี่นั่นแหละ"
"อืม ๆ ก็ได้" 
ใช่...เธอรู้เรื่องของฉันแทบทุกอย่าง รู้ใจฉันมากกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมาเสียอีก แต่ทำไมกันนะ...ฉันกลับไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่เวนิสเลย ถ้าให้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น...


ปี 2
"กระติก วันนี้มึงมีเรียนปะ"
"ไม่ ทำไม?"
"กูขอยืมรถหน่อยดิ" 
"อือ"
พูดจบกระติกจึงล้วงเอากุญแจรถที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมาให้กับฉัน โชคดีที่กระติกเป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้ เลยไม่ค่อยถามอะไรมากเวลาที่ฉันขอความช่วยเหลือ หรือต้องการยืมอะไรก็ตาม ฉันจึงรับกุญแจมาและเดินออกจากบ้านไปทันที


"กระติก!! ช่วยพี่ด้วย!!"
ขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวที่ร้านกาแฟนั้น ก็ได้ยินเสียงหวานของใครก็ไม่รู้มาทักฉันเป็นชื่อของกระติก ก่อนจะมากอดแขนข้างขวาของฉันที่กำลังถือหนังสืออยู่แล้วเขย่าหลายครั้งจนฉันถึงกับมึนงง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย เจ๊คนนี้คิดว่าฉันเป็นกระติกสินะ
"สวรรค์มาโปรดจริง ๆ ที่มาเจอกระติกที่นี่ พี่เห็นรถจอดอยู่หน้าร้านพี่ก็รีบวิ่งเข้ามาเลย เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีครอบครัวพี่จะมากินข้าวที่นี่ ช่วยเล่นละครตบตาครอบครัวพี่หน่อยได้ไหม แบบ...แกล้ง ๆ เป็นแฟนพี่อะ น้า...ช่วยพี่หน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว"
"ฮะ!!?"
"ฮือ...ขอร้องล่ะ อย่าปฏิเสธเลย ช่วยป้ารหัสคนนี้หน่อยนะ ถ้ากระติกอยากได้อะไร พี่จะหามาให้ อยากได้ดาวเทียมพี่ก็หามาให้ได้"
"เดี๋ยว ๆ อะไรของพี่เนี่ย ไม่เอา!! จะเอาดาวเทียมมาทำอะไร"
"ฮ่า ๆ เปรียบให้ฟังไง ว่าอะไรที่หายาก พี่ก็หามาให้ได้ นะ...ช่วยหน่อยนะ"
"อือ ๆ ก็ได้"
ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าเพราะเป็นป้ารหัสของกระติกหรอกนะ ฉันถึงช่วย แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันรู้สึกตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้เข้าอย่างจัง คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ แต่อยู่ดี ๆ ฉันกลับต้องเล่นละครตบตาครอบครัวว่าเป็นแฟนของเธอแบบงง ๆ


15 นาทีผ่านไป
"มาแล้ว ๆ" พี่...เอ่อ...ชื่ออะไรก็ไม่รู้ พูดพลางกับชี้ไปที่ประตู ที่มีคู่สามีภรรยาวัยกลางคนเดินควงแขนกันเข้ามา ทำเอาฉันถึงกับอ้าปากเหวอ เพราะคนที่เดินตามหลังมาสองถึงสามคน ดูก็รู้ว่าคือบอดี้การ์ด แถมการแต่งตัวของครอบครัวพี่...(อะไรก็ไม่รู้)...ก็ดูเหมือนจะรวยระดับไฮโซหรือคุณหญิงคุณนายอย่างไรอย่างนั้น
"แล้วต้องทำยังไงบ้าง"
"ไม่ต้องทำยังไง ถ้าพ่อกับแม่พี่ถามว่าเป็นแฟนพี่เหรอ ก็ตอบ ๆ ไป อย่าเล่นเยอะ เพราะพ่อกับแม่พี่ชอบจับสังเกตคน ขอแบบนิ่ง ๆ เงียบ ๆ มีสัมมาคารวะ เออออกับพี่ คือพูดง่าย ๆ ว่าเล่นตามน้ำพี่ก็พอ โอเคไหม"
"อ่า...โอเคค่ะ"
หลังจากที่ฉันตกลงและนัดแนะการเป็นแฟนแบบหลอก ๆ กับพี่...(อะไรก็ไม่รู้)...ครอบครัวของพี่...(อะไรก็ไม่รู้)...ก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเรา ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม จนพี่...(อะไรก็ไม่รู้)...หันมามองหน้าฉันแบบงง ๆ คงเป็นเพราะฉันเรียนการแสดงมาบ้างล่ะมั้ง ฉันถึงเล่นได้แบบแนบเนียนจนดูเหมือนกับว่าเราเป็นแฟนกันจริง ๆ และดูครอบครัวพี่เวนิสเชื่อแบบสนิทใจ...ใช่ ฉันเพิ่งรู้ชื่อของเธอก็ตอนคุณพ่อเรียกนี่แหละ ตลกชะมัด ให้มาเล่นเป็นแฟน แม้แต่ชื่อฉันยังไม่รู้จัก
ระหว่างที่เรากำลังจะกินข้าวกันนั้น ฉันสังเกตพี่เวนิสอยู่ตลอดว่าต้องวางตัวยังไง ฉันจึงเลียนแบบและทำตามทันทีโดยที่ไม่ต้องบอก จนฉันรู้สึกได้ว่าฉันสามารถเข้ากับครอบครัวพี่เวนิสได้ดีในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ฉันสัมผัสได้จากพี่เวนิสคือ เธอกำลังหวาดกลัวว่าการเล่นละครตบตาครั้งนี้มันจะพังไม่เป็นท่า เพราะหากถูกจับได้แล้วนั้น พี่เวนิสจะต้องไปแต่งงานกับตระกูลระดับไฮโซที่มีความสัมพันธ์อันดีกันมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น จนคุณปู่ของสองตระกูลให้สัญญาใจกันว่า จะให้หลานแต่งงานกันหากเกิดมาเป็นเพศตรงข้าม ซึ่งมันดันเป็นอย่างนั้น
ฉันเอื้อมไปจับมือของเธอที่วางอยู่บนตัก ก่อนจะโน้มเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ
"ไม่ต้องกลัวหรอก เต็นเรียนการแสดงมา" เธอหันขวับมามองหน้าฉันทันทีที่พูดจบ ก่อนจะพยายามจ้องมองใบหน้าของฉันแบบตาไม่กะพริบ แล้วเธอก็จับปอยผมของฉันเข้าไปดมจนฉันเองก็ตกใจที่เธอทำแบบนั้น
"พ...พี่ทำอะไรเนี่ย" ฉันกระซิบถามเบา ๆ
"ใครอะ ไม่ใช่กลิ่นยาสระผมกระติกนี่"
"กระเต็นค่ะ เป็นน้องสาวฝาแฝดของกระติก"
"!!!!"
พี่เวนิสตกใจลุกขึ้นพรวดทันที จนครอบครัวของเธอเงยหน้าขึ้นมามองเธอแบบงง ๆ เราทั้งสองต่างดวงตาเบิกโพลงราวกับไข่ห่าน อย่าเชียวนะ...อย่าทำความแตกนะพี่เวนิส ช่วยตามน้ำไปก่อนได้ไหม แล้วทำไมถึงรู้กลิ่นแชมพูของกระติกได้วะเนี่ย อย่าบอกนะว่าพี่เวนิสคือสาวในสต็อกของมันอีกคน
"เวนิสเป็นอะไรลูก"
"ป...เปล่าค่ะคุณแม่ แฟนหนูหัวเหม็น"
"บ้า! เพิ่งสระผมเอง เหม็นได้ไง" ฉันพูดจบก็จับปอยผมมาดมซึ่งมันก็ไม่ได้เหม็นแต่อย่างใด
"ไหน ขอดมใหม่" พูดจบเธอก็ใช้สองมือจับหมับที่หัวของฉันก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นที่กลางหัวจนหัวใจของฉันเต้นตึกตัก นอกจากคนในครอบครัว ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับฉันมาก่อน และยิ่งเธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหวน่ะสิ
"เหม็นเหรอคะ"
"ก็ไม่เหม็นนี่นา...ขอโทษนะคะ สงสัยกลิ่นอาหารมันตีเข้าจมูกพอดีตอนพี่ดมผมเราน่ะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"นี่สนิทกันถึงขั้นดมผมให้กันแล้วเหรอเนี่ย"
"ค่ะคุณแม่ เราจะชอบพิสูจน์กลิ่นให้กันตลอดน่ะค่ะ จะได้มั่นใจ ก่อนจะไปเรียนก็จุ๊บกันเพื่อทดสอบกลิ่นปาก ฮ่า ๆ"
"วิธีอะไรของลูกเนี่ย นั่งลงได้แล้ว กินข้าวต่อเถอะ" 
"ฮ่า..." ฉันได้แต่ขำแห้งกับคำตอบของเธอ หวังว่าเราจะไม่ได้พิสูจน์ถึงขั้นต้องจุ๊บกันหรอกนะ...
ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของพี่เวนิส ทำให้ฉันได้เห็นมุมน่ารัก ๆ ของเธออยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการออดอ้อนพ่อกับแม่ หรือแม้แต่อ้อนฉัน อาหารที่อยู่บนโต๊ะเธอก็เป็นคนจัดแจงตักใส่จานให้ฉันเสียด้วยซ้ำ รอยยิ้มนั้น...มันทำให้ฉันยิ้มตามทุกครั้ง ชีวิตของฉันมันไม่เคยมีสีสันเลย คนขี้เบื่อและชอบเก็บตัวอย่างฉัน โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอพี่เวนิสที่เปรียบเสมือนของขวัญที่ทำให้หัวใจของฉันพองโต...


เมื่อการเล่นละครตบตาเป็นไปอย่างแนบเนียน ครอบครัวของพี่เวนิสก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน เหลือแค่เพียงเราสองคนที่ยังนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟดังเดิม เธอเอาแต่มองหน้าฉันพลางกับอมยิ้ม จนฉันต้องหลบสายตาอยู่บ่อยครั้ง จะจ้องกันไปถึงไหนนะ...เขินจนอกจะระเบิดอยู่แล้ว
"ทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่แรกล่ะว่าไม่ใช่กระติก"
"ก็เต็นเห็นพี่ต้องการความช่วยเหลือ เต็นก็เลยอยากช่วย"
"ขอบคุณมากเลยนะคะที่ยอมช่วย พี่ก็เอะใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมกระติกถึงนั่งเงียบได้ขนาดนี้ ปกติต้องแซวพี่แล้วนะ แต่นี่มาดนิ่งจนพี่คิดว่าโดนผีเข้าแน่ ๆ ฮ่า ๆ"
"พี่เป็นคนคุยของกระติกเหรอคะ"
"บ้า!! พี่เป็นป้ารหัสเฉย ๆ ทำไมถึงคิดว่าเป็นคนคุยล่ะ"
"ก็ตั้งแต่แรกที่พี่มากอดแขนเต็นแล้วอะ พี่ดูสนิทกับกระติกมากเลย ไหนจะมาดมผม ดมหัวด้วย"
"กระติกน่ะขี้อ้อน ชอบมากอดพี่บ่อย ๆ พี่เลยได้กลิ่นแชมพูของกระติกน่ะ แต่พี่รู้นะว่ากระติกมีคนในใจอยู่แล้ว และพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับกระติกด้วย"
ไม่รู้ทำไม...เวลาที่ได้รู้ว่าพี่เวนิสไม่ได้คิดอะไรกับกระติก มันทำให้ฉันดีใจจนอยากจะคว้าเธอเข้ามากอด นี่ฉันชอบเธอเข้าแล้วอย่างนั้นเหรอ ฉันถึงเอาแต่ยิ้มเวลามองเธอพูด ไม่สิ...ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ฉันก็ยิ้ม เพราะฉันมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้เธอ


ฉันเล่นละครตบตาช่วยพี่เวนิสอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ไปกินข้าวที่บ้าน ทำให้ฉันกับพี่เวนิสสนิทกันมากขึ้น ยิ่งใกล้กัน ฉันยิ่งรู้สึกผูกพัน ยิ่งได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ฉันยิ่งคิดไปไกลว่าหากฉันได้เป็นแฟนกับพี่เวนิสจริง ๆ ก็คงจะดี แต่คนรวย ๆ อย่างพี่เวนิส จะมองมาที่ฉันไหมนะ...
วันเวลาผ่านไปจนเข้าสู่เดือนที่ 5 ของการเล่นละครตบตา สิ่งที่ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย คือการที่กระติกมันไปตามจีบอายทุกวัน แล้วบังเอิญว่าคนของครอบครัวพี่เวนิสเห็นเข้าเลยไม่พอใจ จนมันเกือบจะโดยทำร้ายเสียด้วยซ้ำ โชคยังดีที่พี่เวนิสช่วยคุยให้ และสารภาพกับครอบครัวว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเท่านั้น หลังจากนั้นฉันจึงไปทำผมสีบลอนด์เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด หรือจำสลับคนกันอีก และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อฉันได้ยินประโยคที่ทำให้ฉันต้องเจียมตัว...
"พ่อพี่อยากให้พี่มีแฟนเป็นคนเรียนสายเดียวกัน หรือคนที่ดูมีความรู้ เหมือนกระติกที่มีแววว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้"
คำพูดของพี่เวนิสทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนมีดแทงที่กลางหัวใจ สุดท้าย...ผู้ใหญ่ก็คงคาดหวังที่หน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม คนไร้ชื่ออย่างฉัน คงเป็นได้แค่ตัวประกอบในชีวิตของพี่เวนิสเท่านั้น อย่าหวังว่าจะได้เป็นตัวจริงเลย
หลังจากนั้น เราทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จะบอกว่าฉันตั้งใจหลบหน้าคงจะถูกมากกว่า


จนกระทั่งวันหนึ่ง...
วันที่ฉันได้นัดพบปะพูดคุยกับเพื่อน ๆ เกี่ยวกับเรื่องหนังสั้นที่จะส่งเข้าประกวด ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งหมดฉันเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง มันจะเรื่องอะไรล่ะ...หากไม่ใช่ความรักระหว่างเพศเดียวกัน และความแตกต่างทางฐานะ แรงบันดาลใจมันก็มาจากพี่เวนิสที่ไม่เคยหายไปจากใจฉันได้เลย แม้ที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงละครตบตาและเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ฉันกลับรักพี่เวนิสจนต้องมาสร้างหนังสั้นเพื่อเข้าชิงรางวัล ด้วยเหตุผลที่ว่า ฉันอยากสื่อสารกับเธอ อยากบอกรักเธอผ่านตัวละคร และก็เพื่อ...ให้ฉันมีตัวตนในสังคมมากขึ้น...
พระเอกของเรื่องคือ น้องบูม สาวเท่แห่งคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องของฉันเอง แววตาคม โฉบเฉี่ยว บุคลิกดูมั่นใจ นิ่ง และดูแข็งกร้าว มันช่างสมกับบทพระเอกในหนังสั้นเกี่ยวกับความรักไม่มีขอบเขตของฉันเสียจริง ส่วนนางเอกฉันไม่รู้เลยว่าจะให้ใครมาเล่น กับบทนักธุรกิจสาวระดับพันล้าน จนกระทั่งกระติกเสนอว่าจะให้รุ่นพี่ในคณะมาเล่นให้ ฉันก็ตกลง เพราะหากผ่านการสแกนจากกระติก นั่นหมายความว่า คนนั้นต้องสวยระดับดาวมหาลัยอย่างแน่นอน
 ฉัน ลูกหมู และน้องบูม ต่างพูดคุยและอ่านบทกันไปพลาง ๆ รวมถึงพี่สาวฝาแฝดที่ติดแฟนอย่างเปิ้ลเป็นตังเม ไม่เคยแยกห่างจากกันเลยสักครั้ง ดู ๆ ไปก็เหมือนต่างคนต่างคลั่งรักกันปานจะกลืนกิน แต่ทำไมกันนะ ถึงได้ชอบด่ากันนัก วันไหนไม่ได้ปล่อยหมาออกจากปากมาวิ่งเล่นทักทายกัน มันนอนไม่หลับหรือยังไง ไม่เข้าใจมันเลยจริง ๆ ฉันได้แต่ส่ายหัวทุกครั้งที่สองคนนี้ทะเลาะกัน สุดท้ายก็ง้อกันด้วยการหอมแก้มแบบไม่เกรงใจใคร อย่าให้มีบ้างแล้วกัน...จะจูบโชว์เลย ชิ!
สิ้นเสียงคิด นางเอกสำหรับหนังสั้นของฉันก็ปรากฎตัว เราทุกคนต่างก็ตกตะลึงที่ได้เห็นหน้าเธอ โดยเฉพาะฉันที่อยากเจอเธอมากที่สุด ไม่คิดเลยว่า ฉันจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเธออีกครั้ง แต่ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่แฟนหลอก ๆ อีกแล้ว
"สวัสดีค่ะทุกคน พี่ชื่อเวนิสนะคะ"
"สวัสดีค่าพี่เวนิส!!" 
ทุกคนกล่าวต้อนรับอย่างเป็นมิตร เว้นก็แต่ฉันที่ทำได้เพียงนั่งอมยิ้มเท่านั้น ทั้งที่ความจริงฉันดีใจจนอยากจะพุ่งไปกอดเธอเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อกระแตหันมามองหน้า ฉันก็รีบหุบยิ้มทันที คนอย่างมันน่ะนะ...จับผิดเก่งอย่างกับเป็นพยาธิที่แฝงเข้าไปในสมองเพื่อเจาะความคิดของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น


"กระเต็น มึงเป็นอะไรวะ" เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งอ่านบทและลองต่อบทกันดู กระแตก็สังเกตเห็นสีหน้าของฉันที่ผิดไปจากเดิม 
"กูรู้สึกว่าน้องบูมเล่นไม่ถึงบทว่ะ"
"เล่นไม่ถึงอะไรวะ ยังไม่ได้ลองเล่นเลยไหม นี่แค่ต่อบทกันเฉย ๆ"
"มึงลองให้น้องบูมกับพี่เวนิสเล่นฉากไหนสักฉากให้กูดูหน่อยสิ กูอยากพิจารณาดูอีกครั้งอะ"
"อะไรของมึงวะเต็น มึงจะพิจารณาอะไรอีก"
"เหอะน่า เลือกมาสักบท"
ไม่รู้ว่ากระแตมันจับสังเกตฉันได้หรืออะไร มันดันเลือกฉากเลิฟซีนให้น้องบูมกับพี่เวนิสทดลองเล่น ฉันทำได้แค่กำหมัดอยู่ใต้โต๊ะ อยากเอากระดานสเลทฟาดหน้าสวย ๆ ของมันจริง ๆ เพราะฉันรู้ดีว่าในฉากเลิฟซีนนั้นมันมีฉากจูบด้วยน่ะสิ แต่ถึงแม้กระแตจะบอกไม่ให้จูบจริงก็เถอะ แต่น้องบูมกลับเล่นรับส่งกับพี่เวนิสได้ดีจนฉันรู้สึกหวง
ฉันหวงที่น้องบูมกอดเธอ...
ฉันหวงที่น้องบูมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ทำทีเหมือนจะจูบเธอ...
ฉันหวงที่น้องบูมทำให้พี่เวนิสยิ้มได้ แม้มันจะเป็นเพียงแค่บทหนังสั้นก็ตาม...
"ไม่ได้ว่ะกระแต กูว่าน้องบูมไม่ผ่าน"
"ไม่ผ่านเหี้ยอะไร!!? น้องเล่นดีขนาดนั้น"
"มันดูอ่อนโยนเกินไป มันต้องเล่นให้ดูแข็งกระด้างกว่านี้ พระเอกคือคนที่ปิดกั้นตัวเองมาตลอด ไม่เคยเจอใครที่ถูกใจ จนกระทั่งมาเจอนางเอก แต่กลับเป็นคนปากแข็ง อยากบอกรัก แต่เพราะความแตกต่างทำให้ไม่สามารถพูดคำว่ารักได้ มึงเข้าใจปะแต"
"อิห่า ถ้ามึงจะพูดขนาดนั้นมึงก็ไปเล่นเองเลยไหม มึงจะแคสนักแสดงหาส้นตีนอะไร คนแข็งกระด้าง ปากหนักเหมือนอมขี้น่ะ มึงเหมาะสมที่สุดแล้ว"
"เดี๋ยว!! มึงจะด่ากูเพื่อ"
"แม่งเอ๊ย รำคาญ!! เดี๋ยวกูไปบอกน้องบูมเองแล้วกัน ส่วนมึงก็เตรียมตัวเป็นพระเอกจำเป็นเลยค่ะ"
ใช่...ฉันแค่อยากเล่นเอง เพราะบทนี้มันคือฉัน มันคือชีวิตของฉัน ฉันแค่อยากเล่นเป็นตัวเอง และนางเอกต้องเป็นพี่เวนิสเท่านั้น...


ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ พี่เวนิสมาที่บ้านฉันเพื่อให้ฉันช่วยต่อบทบ่อย ๆ ถึงแม้ว่ามันไม่จำเป็นต้องท่องจำอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่พี่เวนิสกลับตั้งใจที่จะจำบทพูดให้ได้ ฉันอยากเข้าข้างตัวเองจริง ๆ ว่าที่พี่เวนิสตั้งใจแบบนี้ มันเพราะพระเอกคือฉัน แต่ก็ช่างมันเถอะ พระเอกจำเป็นอย่างฉัน คงเป็นได้แค่ตัวประกอบในชีวิตจริงเท่านั้นแหละ
"สรุปว่าเราคิดยังไงกับพี่กันแน่ ช่วยบอกพี่หน่อยได้ไหม อย่าทำให้พี่โง่ไปมากกว่านี้เลย" พี่เวนิสเริ่มท่องบทพลางกับจ้องมองแววตาของฉันแบบไม่ละสายตา การที่เราสบตากันระหว่างต่อบทมันทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวทุกครั้ง ทำไมกันนะ...ทำไมพี่เวนิสต้องเลือกบทนี้มา เพราะมันคือ...บทเลิฟซีน...น่ะสิ
"พี่ลองมองในตาเต็นสิ พี่ก็จะรู้ว่าเต็นคิดยังไง"
"เดี๋ยวนะ พระเอกชื่อมิวไม่ใช่เหรอ"
"อย่านอกบทสิพี่เวนิส ต่อเร็ว"
"อะไร ตัวเองนั่นแหละนอกบท ใส่ชื่อตัวเองเฉย"
"พี่ลองมองในตาเต็นสิ พี่ก็จะรู้ว่าเต็นคิดยังไง..."
"ไม่เห็นจะเข้าใจเลยอะเต็น...พี่อ่านใจเต็นไม่ออก แม้แต่แววตาของเต็นมันก็ว่างเปล่าเหมือนไม่ได้มีพี่อยู่ในนั้น"
"ในสายตาเต็นมันมีแต่พี่มาตลอด พี่ไม่รู้เหรอ ไม่ว่าจะมองหน้าใคร มันก็เห็นเป็นหน้าพี่ แบบนี้...รู้หรือยังล่ะ ว่าเต็นคิดยังไง"
"พูดมาตรง ๆ ไม่ได้เหรอ ช่วยบอกพี่สักนิดได้ไหม ทำไมถึงไม่บ..." ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ ฉันก็คว้าเอวของเธอแล้วดึงเข้ามาแนบชิดกับตัว ตามบทแล้ว ฉันจะต้องจูบเธอในฉากนี้เพื่อพิสูจน์ความรู้สึก แต่ฉันกลับทำได้แค่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของกันและกัน ก่อนที่เธอจะรีบผลักฉันออกทันที
"เยอะเกินไปละ แค่ต่อบทค่ะน้องกระเต็น ไม่ต้องกอดขนาดนี้ก็ได้ไหม"
"ก็กลัวว่าตอนถ่ายจริงพี่จะเกร็งไง ต้องกอดให้มันชิน"
"เหรอ...ไม่ใช่ว่าอยากกอดพี่ใช่ไหม"
"ไม่หนิ"
"อืม...งั้นพี่กลับก่อนนะกระเต็น พรุ่งนี้เจอกัน"
"ค่ะ กลับดี ๆ นะ" ฉันอยากพูดเหลือเกินว่าอย่าเพิ่งกลับจะได้ไหม ช่วยอยู่ต่ออีกหน่อย ขอกอดให้นานกว่านี้ ให้ฉันได้ซึมซับไออุ่นของเธอไปนาน ๆ เพราะเธอเหมือนสายรุ้งในชีวิตของฉันเลย ฉันอยากบอกความรู้สึกกับเธอไปเหลือเกิน...


วันถ่ายทำ...
"สรุปว่าเราคิดยังไงกับพี่กันแน่ ช่วยบอกพี่หน่อยได้ไหม อย่าทำให้พี่โง่ไปมากกว่านี้เลย" เธอพูดพลางกับดันร่างของฉันอัดเข้ากับชั้นหนังสือภายในห้องสมุด ท่ามกลางกล้องที่ตั้งถ่ายหลาย ๆ มุม และสายตาของทีมงานที่กำลังจับจ้องมาที่เราทั้งสอง ทั้ง ๆ ที่ฉันต่อบทกับพี่เวนิสบ่อยแท้ ๆ แต่กลับเป็นฉันเองที่หัวใจเต้นแรงที่ได้อยู่ในสถานที่ถ่ายทำจริง ๆ จนต้องกลืนน้ำลายดังอึก แต่ผู้ช่วยผู้กำกับอย่างเปิ้ลกลับไม่สั่งคัทสักที
เธอจ้องมองเข้ามาในตาของฉันพลางกับกำคอเสื้อของฉันเอาไว้แน่น ความสูงของเราไล่เรี่ยกันเลยก็ว่าได้ และเพราะโลเคชั่นถ่ายทำคือห้องสมุด ทำให้เราทั้งสองต้องยื่นหน้าเข้ามาคุยกันแบบใกล้ ๆ ตามบท แต่แววตาที่จ้องมองมานั้น ราวกับว่าพี่เวนิสต้องการคำตอบจากฉันจริง ๆ ที่ไม่ใช่มิว...ฉันจึงต้องรวบรวมสมาธิเพื่อที่จะให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
"พี่ลองมองในตามิวสิ พี่ก็จะรู้ว่ามิวคิดยังไง..."
"ไม่เห็นจะเข้าใจเลยอะมิว...พี่อ่านใจมิวไม่ออก แม้แต่แววตาของมิวมันก็ว่างเปล่าเหมือนไม่ได้มีพี่อยู่ในนั้น"
"ในสายตามิวมันมีแต่พี่มาตลอด พี่ไม่รู้เหรอ ไม่ว่าจะมองหน้าใคร มันก็เห็นเป็นหน้าพี่ แบบนี้...รู้หรือยังล่ะ ว่ามิวคิดยังไง"
"พูดมาตรง ๆ ไม่ได้เหรอ ช่วยบอกพี่สักนิดได้ไหม ทำไมถึงไม่บ..." ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันใช้เรียวแขนข้างขวาคว้าเอาของเธอเข้ามากอดเอาไว้ ส่วนมือข้างซ้ายประคองใบหน้าของเธอให้แหงนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบจนฉันรู้สึกว่ามีกำปั้นข้างหนึ่งกำลังทุบลงที่อก คาดว่าเธอเองก็คงตกใจที่ฉันทำแบบนี้
ตุบ!
หรืออาจจะเป็นเพราะเปิ้ลไม่สั่งคัท ทำให้เราทั้งสองหลับตาและเปิดปากจูบกันเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดจนได้ยินเสียงจูบของเราดังออกมาเบา ๆ ก่อนฉันจะจับร่างของเธอพลิกแล้วดันเข้าไปแนบกับชั้นวางหนังสือ และเร่งจังหวะจูบเธอดูดดื่มขึ้น
ทุกจังหวะที่เราต่างดูดกลืนริมฝีปากของกันและกัน มันทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบจะทะลักออกจากอก จูบแรกของฉัน มันตกเป็นของเธอแล้ว...ผู้หญิงที่ได้ครอบครองหัวใจของฉันแต่เพียงผู้เดียว เมื่อฉันรู้สึกว่าลมหายใจของเราเริ่มหอบถี่ขึ้น ฉันจึงผละริมฝีปากออกช้า ๆ เพื่อที่จะต่อบท เพราะเปิ้ลมันไม่สั่งคัทนี่สิ กะจะให้ฉันกับพี่เวนิสเล่นแบบลองเทคเลยหรือไง
"ทีนี้รู้หรือยังคะว่ามิวคิดยังไงกับพี่...จูบนี้...มันจะเป็นคำตอบได้ไหม"
"ขออีกรอบได้ไหมมิว พี่ยังไม่รู้เลยว่ามิวคิดยังไงกับพี่"
"มิวรักพี่นะ..." สิ้นเสียงของฉัน เราก็ก้มลงจูบกันต่อตามบท ก่อนที่กล้องจะแพลนไปยังชั้นหนังสือตามแบบฉบับหนังไทย ทันทีที่ผู้ช่วยผู้กำกับสั่งคัท เราทั้งสองต่างหายใจเฮือก และรีบผละออกจากกันคนละทาง ฉันจึงรีบเดินออกจากฉากทันที เพราะไม่อย่างนั้น ทุกคนต้องได้เห็นฉันเขินหน้าแดงแน่ ๆ
หลังจากที่ฉันจูบพี่เวนิสไป ทำให้เราหลบสายตากันบ่อยขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะพี่เวนิสอายหรือรังเกียจฉันหรือเปล่า จะด่าฉันก็ได้ แต่การที่เธอเอาแต่เงียบและไม่มองหน้ากัน มันทำให้ฉันรู้สึกประหม่าและรู้สึกผิดที่ทำตามใจตัวเอง แต่ฉันคิดเอาไว้แล้วว่า หลังจากที่ประกาศรางวัล ฉันจะสารภาพรักกับพี่เวนิส ด้วยบทที่เราเคยแสดงด้วยกันอีกครั้ง ต่อให้เธอไม่อยากรู้ ฉันก็จะบอก...


และในที่สุดหนังสั้นของเราก็ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งดั่งใจหวัง บนเวทีประกาศรางวัลพี่เวนิสเอาแต่ร้องไห้ด้วยความดีใจ ฉันจึงคอยกอดปลอบและเช็ดน้ำตาให้เธอ อยากให้เธอรู้เหลือเกิน ที่ฉันแสดงออกมาทั้งหมดมันคือตัวฉันเอง และมันคือความรู้สึกที่ฉันอยากจะบอกกับเธอจริง ๆ จนกระทั่งคืนนั้นเอง พวกเราทุกคนมาฉลองกันที่บ้านของฉันรวมถึงพี่เวนิสด้วย ทุกคนดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ เปิดเพลงเต้นและแหกปากร้องเพลงไม่เกรงใจบ้านข้าง ๆ แต่คนที่ดูแปลกไปคือพี่เวนิสที่เอาแต่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น 
ฉันสังเกตอาการของเธออยู่นาน จนเธอเดินออกจากบ้านไป ฉันจึงเดินตามเธอไปทันที ก่อนจะพบว่าเธอนัดพบกับผู้ชายคนหนึ่ง ต้นไม้ข้าง ๆ จึงเป็นเกราะกําบังให้ฉันแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ห่าง ๆ
"ตามฉันมาทำไม"
"กลับบ้านเถอะครับเวนิส คุณหลงละเลิงมามากแล้วนะครับ ถ้าพ่อของคุณรู้เข้าว่าคุณมาแสดงหนังบ้า ๆ แบบนี้ ท่านคงไม่ยอมแน่"
"ทำไม ฉันจะแสดงหนังอะไรมันก็เรื่องของฉัน คุณจะมายุ่งอะไรกับครอบครัวฉันนักหนา อย่ามาคิดแทนได้ไหม"
"อย่าลืมสิครับ ว่าผมเป็นว่าที่สามีของคุณ เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวผิดเพศแบบนี้สักที!!" สิ้นคำพูดของเขา เหมือนกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจของฉันจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงพาร่างของฉันทรุดลงกับพื้นทันที ฉันยังไม่ได้บอกความรู้สึกของฉันเลย...เธอมีเจ้าของแล้วอย่างนั้นเหรอ
"กระเต็น!!" พี่เวนิสเห็นฉันเข้าจนได้ ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างของฉัน 
ความจริงฉันไม่ได้เจ็บอะไรเลย แต่ขาของฉันกลับไม่มีแรงที่จะยืนต่อ ผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ฉันตกหลุมรัก ผู้หญิงคนแรกที่ได้ครอบครองหัวใจและจูบแรกของฉันกำลังจะมีครอบครัวแล้วอย่างนั้นเหรอ ฉันยังไม่มีโอกาสที่จะได้บอกความรู้สึกเลย มันก็จริงอย่างที่ฉันคิด...ว่าฉัน...คงเป็นได้แค่ตัวประกอบในชีวิตของเธอเท่านั้น
"กระเต็น เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"
"ไม่เป็นอะไรค่ะ พี่จะกลับเลยก็ได้นะ คนนั้นคือว่าที่สามีของพี่ใช่ไหม"
"ก็ไม่เชิงหรอก คือเต็นก็รู้อะว่าพี่ไม่ได้อยากแต่งงาน"
"แต่พี่ต้องแต่งนะคะ"
"ทำไมอะ อยากให้พี่แต่งงานขนาดนั้นเลยเหรอ"
"อยากสิ มันคืออนาคตของพี่นะ เขาก็ดูรวยดีออก ดูการแต่งตัวดิ ใส่ชุดสูทแบบนั้นดูมีหน้ามีตาทางสังคม ดูฉลาดเหมือนที่พ่อพี่ชอบเลยอะ"
"กระเต็น!!"
"อะไรพี่เวนิส พี่จะขึ้นเสียงใส่เต็นทำไม"
"พี่ถามจริง ๆ นะ เต็นไม่รู้สึกอะไรกับพี่เลยเหรอ" คำถามที่ฉันอยากจะตอบอยู่เต็มอก ว่าฉันรักเธอทั้งหมดของหัวใจ แต่ว่าที่สามีของเธอก็ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านแบบนั้น จะให้ฉันพูดแบบนั้นไปได้ยังไงกัน ความเจ็บปวดมันเป็นแบบนี้นี่เองเหรอ มันเจ็บ...จนฉันพูดอะไรไม่ออกเลย แม้แต่จะร้องไห้ยังไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด
"ตอบสิกระเต็น เต็นรู้สึกยังไงกับพี่ ที่เราสองคนจูบกันมันคืออะไร"
"มันก็แค่บทน่ะพี่เวนิส พี่จะจริงจังทำไม"
"เหรอ...เต็นเป็นคนบอกให้พี่จ้องมองที่แววตาของเต็นใช่ไหม รู้ไหมว่าพี่เห็นอะไร"
"เห็นอะไรอะ"
"พี่เห็นตัวเอง ในสายตาของเต็นมันมีแต่พี่"
"เพ้อเจ้อละพี่เวนิส อย่าอินกับบทเกินไปได้ปะ เต็นไม่ได้คิดอะไรกับพี่เลย"
"ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับพี่ แล้วที่ผ่านมาเต็นจะคอยดูแลพี่ทำไม เต็นทำเหมือนว่าเราเป็นคนรักกัน ไม่ต้องคอยมัดผมให้พี่ก็ได้ตอนกินข้าวน่ะ พี่มัดเองได้ ไม่ต้องคอยเช็ดเหงื่อให้พี่ก็ได้ เพราะพี่ก็มือมีเช็ดเอง ไม่ต้องคอยนวดให้พี่ก็ได้ เพราะพี่มีพี่เลี้ยงคอยดูแล ถ้าเต็นจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่น่ะ..."
"ก็ไม่ได้คิดอะไรนะ เต็นก็เหมือนกระติกอะ อยากดูแลทุกคน โดยเฉพาะคนสวย ๆ อย่าเข้าข้างตัวเองดิพี่ อย่าอินกับบทละคร..."
"อืม...งั้นพี่กลับแล้วนะ"
ฉันทำได้แค่นั่งมองภาพเธอเดินขึ้นรถไปกับเขา แววตาที่สิ้นหวังแบบนั้นของพี่เวนิสมันหมายความว่ายังไงกัน มันเจ็บปวดจนฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนักที่ไม่อาจบอกความรู้สึกให้เธอได้ฟัง ฉันอยากเคียงข้างเธอในฐานะคนรัก แต่ตอนนี้ฉันกลับเป็นได้แค่ตัวประกอบ ที่บังเอิญได้จูบกับนางเอก ไม่ได้เป็นแม้แต่พระรองในชีวิตของเธอ หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนฉันก็ได้ข่าวจากกระติกว่าพี่เวนิสเดินทางไปต่างประเทศแล้ว
ถึงแม้ว่าฉันจะมารู้ทีหลังว่าพี่เวนิสปฏิเสธการแต่งงานและบินไปที่ปารีส แต่ฉันกลับเสียใจที่ไม่มีโอกาสที่ได้เอ่ยคำว่ารัก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยคำลา เธอหายไปเลยแบบไม่ติดต่อกลับมา แต่ฉันก็ยังรอ...รอว่าสักวันฉันจะได้พบเจอเธออีกครั้ง และได้บอกความในใจกับเธอ และขอให้ตอนนั้น...เธอไม่มีใครด้วยเถิด ขอให้ฉันบอกรักเธอได้แบบไม่รู้สึกผิดต่อใคร
ขอให้ตอนนั้น...ฉันไม่ได้เป็นเพียงแค่...ตัวประกอบในชีวิตเธออีกแล้ว...


#ตัวประกอบ | กระเต็น 
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“แม้จะรักมากแค่ไหน ก็บอกออกไปไม่ได้ ฮืออออ กระเต็นนน T^T”