My Writer | ทฤษฎีจีบคุณนักเขียน

My Writer | ทฤษฎีจีบคุณนักเขียน
ตอนที่ 18 บอกรักกันเมื่อยังหายใจ (จบ)

แนะนำตัวละคร
<บ้านโซฮานสัน>
ผ่าง!!!
ป้ายชื่อบ้าน (คฤหาสน์) ขนาดมหึมาประดับด้วยตัวอักษรสีเงินบ่งบอกชื่อเสียงเรียงนามของผู้เป็นเจ้าของรับกับพื้นสีขาวทำให้ดูเรียบหรูตามแบบฉบับการตกแต่งบ้านสไตล์ยุโรป แค่ป้ายชื่อบ้านกับรั้วที่สูงท่วมหัวก็ดูอลังการแล้ว ฉันคิดภาพไม่ออกเลย ว่าด้านในจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน
แม้แต่รถตู้ที่ฉันนั่งอยู่ในตอนนี้ก็หรูหราจนก้นฉันแทบเป็นตะคริวจากการนั่งเกร็งตั้งแต่ขึ้นรถจนเดินทางมาถึงบ้านของแมรี่ เพราะรถคันนี้ไม่มีแม้แต่ฝุ่นหรือเศษดินที่พื้นเลย มันสะอาดเสียจนเงาวับ ถ้าพี่ริต้าไม่ห้ามฉันก่อนนะ ฉันก็คงถอดรองเท้าขึ้นรถแล้ว กลัวเหลือเกินว่าฝุ่นจากพื้นรองเท้าของฉันจะทำให้รถตู้สุดหรูนี่ต้องเปรอะเปื้อน แค่จะนั่งให้เต็มก้นยังไม่กล้า เพราะกลัวเบาะจะยับ ฉันไม่ชินเลยจริง ๆ กับอะไรที่มันหรูหราหมาเห่าแบบนี้ ขอปาดน้ำตาไปพร้อม ๆ กับปาดเหงื่อ
อ้อ...คงสงสัยกันใช่ไหมว่าฉันมานั่งเกร็งก้นที่รถตู้สุดหรูนี่ได้ยังไง แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านของแมรี่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนที่แล้ว ยัยลูกครึ่งหน้าสวยนั่นปิดเพจ ลบนิยาย และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หนีหายตายจากกันไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา (ไรท์เตอร์ไม่ได้บอกแบบนั้นซะหน่อย!)
ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันก่อน ฉันนอนเพ้อพรรณนาร้องไห้คร่ำครวญ หลังจากที่รู้ว่าแมรี่ปิดเพจและลบนิยายไป เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าตัวก็หายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้เลย 1 วันเต็ม ๆ ตัวฉันที่เพิ่งรู้ใจตัวเองและคิดว่าแมรี่คงกำลังหลบหน้าก็คิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะไม่ได้เจอแมรี่อีกแล้ว นี่คงเป็นเวรกรรมของฉันที่โง่บรมไม่รู้ว่าแมรี่รักฉันมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา 
จนกระทั่งฉันได้ข่าวจากพี่ริต้าว่าแมรี่ป่วยหนักจนแม่ต้องยึดโทรศัพท์เพราะอยากให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนได้พักผ่อน ฉันจึงโล่งใจว่าที่แมรี่หายไปไม่ใช่เพราะต้องการหลบหน้าฉันแต่อย่างใด แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแมรี่จะปิดเพจและลบนิยายทำไม มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาหาคำตอบด้วยตัวเอง พร้อมกับลูกสมุน (หมูหยอง) ที่ตีเนียนติดสอยห้อยตามมาด้วยเพราะอยากอยู่กับพี่ริต้า โดยให้เหตุผลว่า
"มหา'ลัย มันไม่หนีไปไหนหรอก เค้าจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ พี่แมรี่คือพี่สาวสุดที่รักของเค้า เค้าก็ต้องไปดูแลสิ!"
ใช่...ฉันรู้ว่านี่คือข้ออ้างของเด็กขี้เกียจ งั้นก็ให้การร่ำเรียนมันเป็นหน้าที่ของคนขยันเถอะ...เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ
"เชิญครับคุณหนู"
"Thank you นะโรง" 
ฉันจำได้ดีว่าชายหน้าตาหล่อเหลาที่กำลังเปิดประตูรถให้ฉันในตอนนี้ คือคนเดียวกับเจ้าชายกบน้อยตัวปลอมที่ฉันได้ร่วมดินเนอร์สุดหรูในวันนั้น ซึ่งเขาคือคนขับรถของครอบครัวแมรี่นั่นเอง ทั้งฉันและเขาต่างก็ยิ้มให้กันอย่างเคอะเขินเพราะทำตัวไม่ถูกที่ต้องมาเจอกันอีกครั้งในวันนี้
"เป็นงะ...บ้านแฟนเค้า นี่มันคฤหาสน์ชัด ๆ ว่าปะ" หมูหยองที่เดินลงจากรถตามหลังฉันเข้ามากระซิบที่ข้างหูเบา ๆ พร้อมกับยักคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงโอ้อวด ลืมอะไรหรือเปล่า ว่าลูกสาวคนเล็กของบ้านโซฮานสันก็คือว่าที่แฟนในอนาคตของฉันเหมือนกันย่ะ!!
"ปะ เข้าไปข้างในกัน" พี่ริต้าว่าพลางกับควงแขนหมูหยองเดินเข้าบ้านไปก่อน
ฉันเดินถือปิ่นโตตามเข้าไปและได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองด้วยรอยยิ้ม โชคดีจริง ๆ ที่หมูหยองสูงได้พ่อไปเต็ม ๆ แถมยังหน้าตาดีเหมือนกับถอดแบบกันออกมาทำให้ความสูงและหน้าตาของหมูหยองกับพี่ริต้าเทียบเท่ากันเลย เรียกได้ว่าเหมาะสมราวกับกิ่งทองกับใบหยก แม้เราจะอายุห่างกันแค่ปีเดียว แต่หมูหยองดูโตกว่าฉันมากทั้งความคิด นิสัย และการใช้ชีวิต ถ้าเทียบกันแล้วฉันเหมือนเด็กอนุบาลที่ไม่รู้ประสีประสาด้วยซ้ำ
"เชิญจ้ะเด็ก ๆ ทำตัวตามสบายเลยนะลูก"
"เฮือก!!! ส...สวัสดีค่ะ!!"
ทันทีที่ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลทำเอาฉันถึงกับดวงตาเบิกโพลงอย่างอัตโนมัติ ก่อนที่จะรีบยกมือไหว้โดยพลันด้วยท่าทีลนลาน เพราะเจ้าของเสียงที่อ่อนโยนนี้ คือนักเขียนชื่อดังเจ้าของนามปากกา 'พิไลรัมภา' ผู้เลื่องลือด้านงานเขียนอันทรงคุณค่าที่ฉันรักและเชิดชูมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ใครล่ะจะไปคาดคิดว่าชีวิตฉันจะได้มาเจอนักเขียนคนโปรดตัวจริงเสียงจริงแบบห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ภาษาเขียนว่าสละสลวยแล้วยังเทียบไม่ติดกับใบหน้าของคุณพิไลรัมภาที่ราวกับนางเอกหนังฟอร์มยักษ์ระดับฮอลลีวูด แม่ของแมรี่สวยมากจนฉันเป็นต้องตะลึง และการที่ลูกสาวทั้งสองก็สวยราวกับนางฟ้าขนาดนี้ ฉันขอเดาว่าพ่อของแมรี่ต้องหล่อมากแน่ ๆ เรียกได้ว่าต้องดูดีแบบพระเจ้าสรรสร้างทั้งครอบครัวชัวร์!
"มามี้ นี่มายเบบี้"
"สวัสดีค่ะคุณแม่"
"สวัสดีจ้ะ" เมื่อพี่ริต้าแนะนำหมูหยอง คุณแม่ก็ส่งยิ้มนางฟ้ามาให้ ขาของฉันถึงกับสั่นพั่บ ๆ คุณแม่สวยเหลือเกิน สวยจนฉันแทบละลาย คุณนักเขียนพิไลรัมภาสวยสมคำล่ำลือจริง ๆ 
"ปะ มายเบบี้ เราเข้าไปดูหนังกันเถอะ" พูดจบพี่ริต้าก็จูงมือหมูหยองหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง ทิ้งฉันให้ยืนอยู่กับคุณแม่และหญิงวัยกลางคนอีกคนที่คาดว่าจะเป็นแม่บ้าน ขาฉันก็สั่นพั่บ ๆ อีกครั้งด้วยความตื่นเต้น แม้แต่หัวใจยังเต้นตึกตักจนฉันแทบหัวใจวายตายเอาให้ได้ ทำตัวไม่ถูกเลย ฮือ ๆ ทั้ง ๆ ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วแท้ ๆ ว่ายังไงก็ต้องได้เจอคุณพิไลรัมภาแน่ ๆ คำพูดมากมายที่ฉันท่องมาตลอดทางคงปลิวหายไปตามทางแล้วล่ะ ยิ่งได้มาเจอตัวเป็น ๆ แบบนี้ สติสตังฉันก็เตลิดไปหมดเลยน่ะสิ
"ส่วนเราก็ขึ้นไปหาแมรี่กันเถอะ แมรี่คงดีใจมากแน่ ๆ ที่เพื่อนเขามาเยี่ยมถึงบ้าน"
"อ...เอ่อ...ค่ะ แมรี่เป็นยังไงบ้างคะคุณแม่"
"ดื้อมากเลยลูก ทั้ง ๆ ที่ป่วยหนักขนาดนี้ยังจะดื้ออยากไปมหา'ลัยอีก จนแม่ต้องขังเขาไว้ในห้องพร้อมกับยึดโทรศัพท์เพราะอยากให้เขาพักผ่อน วันนี้แม่ก็ได้ยินเสียงโวยวายและเสียงทุบประตูดังมาจากห้องแมรี่ตั้งแต่เช้า ดูสิ อะไรทำให้เขาอยากไปเรียนขนาดนี้นะ" ฉันเข้าใจแมรี่แล้วว่าทำไมจู่ ๆ ก็ขาดการติดต่อไปดื้อ ๆ คงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ทักมาบอกฉันว่าตัวเองป่วย สงสารแมรี่จัง แต่สงสารตัวเองมากกว่า ที่ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนคืออะไร
"ว่าแต่ถืออะไรมาน่ะลูก"
"อ...อ๋อ...หนูทำอาหารมาให้แมรี่น่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเขาสามารถทานได้ไหมคะ หรือทานได้แต่ข้าวต้มคะ" คุณแม่ไม่ตอบอะไรแต่กลับส่งยิ้มที่อ่อนโยนมาแทน พร้อมกับส่งสัญญาณให้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้ามารับปิ่นโตจากฉัน
"ถ้าเขาได้ทานอาหารฝีมือหนูคงหายป่วยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะมั้ง แม่จะอนุโลมให้เขาทานแล้วกันนะคะ"
"แฮะ ๆ ขอบคุณค่ะ พอถึงเวลาทานข้าวแล้ว หนูจะลงมาช่วยจัดจานนะคะ พอดีว่าอยากทำให้เหมือนกับว่าได้ไปทานอาหารข้างนอกน่ะค่ะ เผื่อเขาจะเจริญอาหาร"
"ไม่เป็นไรหรอกลูก ให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านเขา หนูต้องการให้เสิร์ฟแบบไหนก็บอกได้เลย เรื่องจัดจานน่ะแม่บ้านเขาถนัดอยู่แล้ว" คุณแม่ตอบด้วยรอยยิ้มกระชากใจ
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น หนูรบกวนช่วยจัดจานแบบนี้ได้ไหมคะ" พูดจบฉันจึงค้นหารูปในโทรศัพท์แล้วยื่นให้กับคุณแม่บ้านด้วยท่าทีนอบน้อม เธอจึงรับไปและพยักหน้ารับ คุณแม่ก็ยังคงส่งยิ้มกระชากใจอยู่เช่นเดิมราวกับกำลังอารมณ์ดีอย่างไรอย่างนั้น
"ปะเรา ขึ้นไปหาแมรี่กัน เพราะตอนนี้เขาเงียบผิดปกติมาก คงไม่นอนร้องไห้อยู่หรอกนะ"
"ค่ะ" ฉันตอบรับก่อนจะเดินตามคุณแม่ไปยังชั้นสองของคฤหาสน์อันโอ่อ่า 
อันที่จริงฉันไม่ได้ตื่นเต้นกับความอลังการของที่นี่เท่าไรนัก เพราะฉันมัวแต่ตื่นเต้นที่ได้เจอคุณแม่มากกว่า อยากจะโผเข้าไปขอลายเซ็นเหลือเกินแต่ต้องเก็บทรงไว้ก่อน เวลายังมีอีกเยอะ อันดับแรกฉันควรจะให้ความสำคัญแมรี่ก่อนสิถึงจะถูก
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนห้องหนึ่งฉันก็รู้สึกสงสารแมรี่ขึ้นมาทันที เพราะมันถูกล็อกด้วยฝาครอบลูกบิด พร้อมกับแม่กุญแจตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว แมรี่ต้องดื้อขนาดไหนกันนะถึงต้องทำกันขนาดนี้เลย
คุณแม่ใช้กุญแจไขเปิดล็อกสองชั้นด้วยความใจเย็น แต่ฉันก็ยังเห็นรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของคุณแม่อยู่อย่างนั้น มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นงั้นเหรอ ดีใจที่ได้ไขเปิดประตูหรืออย่างไร ขณะที่ฉันกำลังพินิจพิเคราะห์ถึงรอยยิ้มกระชากใจของคุณแม่ ทว่าฉันก็ต้องหันขวับเมื่อจู่ ๆ เธอก็ดวงตาเบิกโพลงราวกับกำลังตกใจกับอะไรบางอย่างหลังจากเปิดประตูห้องนอนห้องนี้
"แมรี่!!! นั่นลูกกำลังจะทำอะไร!!!?"
ฉันรีบโผล่หน้าไปที่ประตูเพื่อที่จะดูด้านในว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วฉันก็ต้องดวงตาเบิกโพลงตามคุณแม่ เพราะภาพที่ฉันเห็น คือแมรี่กำลังจะปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง ขาข้างหนึ่งของเธอพาดไปกับหน้าต่างแล้วและขาอีกข้างกำลังจะก้าวตามขึ้นไป ซึ่งแมรี่ก็อยู่ในอาการตกใจจนดวงตาเบิกโพลงไม่ต่างกัน
"มามี้!!!? พ...พะแนง!!!!?"
"ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!!! ลูกถึงขั้นจะกระโดดหน้าต่างเลยหรือไง!!!?" 
ทั้งความตกใจ ทั้งความเสียใจ ทั้งความโกรธประเดประดังเข้าใส่ฉันจนหัวใจเต้นระรัว ทำไมแมรี่ถึงได้คิดที่จะทำร้ายตัวเองแบบนี้ ฉันจึงโผเข้าไปกระชากเสื้อของแมรี่ดึงลงจากหน้าต่างและสวมกอดเธอเอาไว้ทั้งน้ำตา ร่างกายของฉันตอนนี้สั่นเทา แม้แต่จะพูดยังไม่ได้ศัพท์ เพราะฉันกลัวเหลือเกินว่าจะเสียแมรี่ไป ฉันยังไม่ได้บอกรักเธอเลยนะ ทำไมถึงจะทิ้งฉันไปแบบนี้!!
"เธอทำบ้าอะไรของเธอ!!!? ฮือ ๆ จะทิ้งเราไปแบบนี้ได้ยังไง!!!? แล้วเธอจะรับผิดชอบความรู้สึกของเราได้ยังไง เธอมันบ้าที่สุดเลยแมรี่!!! ฮึก ๆ"
"ด...เดี๋ยวก่อนพะแนง นี่มันอะไรกันเนี่ย" แมรี่พยายามกอดปลอบฉัน ในขณะที่ฉันก็ยังคงสะอึกสะอื้นกอดแมรี่เอาไว้แน่นด้วยความตกใจ แต่เมื่อฉันเห็นคุณแม่เดินไปคว้าบางสิ่งบางอย่างที่ห้อยต่องแต่งอยู่หน้าต่าง ทำเอาฉันถึงกับชะงัก
"คิดจะใช้ไอ้นี่เพื่อที่จะหนีลงไปข้างล่างสินะ ทำไมลูกถึงได้ดื้อแบบนี้!!!?"
แท้จริงแล้วมันคือเสื้อผ้าที่แมรี่เอามาผูกต่อกันให้มันยาวพอที่จะใช้หนีลงไปข้างล่างได้ โดยการมัดที่ปลายยึดกับขาเตียงให้แน่นแล้วหย่อนปลายอีกด้านหนึ่งไปที่หน้าต่างเพื่อที่จะใช้ไต่ลงไปนั่นเอง ฉันได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร้อ อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียตอนนี้เลย สิ่งที่ทำได้ในตอนนี่คือหยิก!! หยิกให้น่วม!! เป็นห่วงแทบแย่!!
"นี่แหน่ะ!!! ไอ้บ้าเอ๊ย!!!"
"โอ๊ย ๆ ๆ พะแนงคะ แมรี่เจ็บนะ! โอ๊ย!! ซี๊ด..." ฉันหยิกตามตัวแมรี่จนเจ้าตัวได้แต่ใช้มือลูบป้อย ๆ และโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แต่คุณแม่เพียงแค่ยืนกอดอกจ้องแมรี่ตาเขม็ง เธอจึงเงียบกริบราวกับโดนรูดซิปปาก
"รู้ใช่ไหมว่าเด็กดื้อต้องโดนอะไร ด่าก็แล้ว! ขังไว้ในห้องก็แล้ว! ยังคิดที่จะปีนหน้าต่างหนีอีก!!! แม่จะให้ป๋าขายรถให้หมด ไม่ต้องมีขับเลยดีไหม!!!?"
"ไม่เอานะมี้!! ไม่เอาแบบนั้นนะ" แมรี่โผเข้าไปสวมกอดคนเป็นแม่ด้วยท่าทีออดอ้อน แต่คุณแม่กลับกระชากผมสีบลอนด์และขยำเอาไว้จนฉันถึงกลับกลืนน้ำลายดังอึก
"อ๊าก!!! เจ็บ ๆ ๆ ๆ"
"อย่าคิดว่าจะใช้ลูกอ้อนได้ผลนะ แม่จะกักบริเวณลูกสามวัน!!"
"มามี้!!! นี่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ!!?" ใช่...ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงโอดครวญเหมือนแมรี่นี่แหละ
"ในเมื่อพูดดี ๆ แล้วไม่ฟังแม่ก็ต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้แหละ!! ห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาสามวัน ไม่อย่างนั้นแม่จะให้ป๋าขายรถให้หมด!!!!"
"ก็ได้ ๆ แมรี่จะไม่ออกไปไหนเป็นเวลาสามวัน แต่มามี้ต้องกักบริเวณพะแนงให้อยู่กับแมรี่เป็นเวลาสามวันด้วย" ใช่...ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะมีข้อต่อรองแบบนี้แหละ แต่เฮ้ย!!! แล้วฉันมาเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย!!!?
"ได้!! แม่จะกักบริเวณหนูพะแนงกับลูกสามวัน!!"
"สี่!!! ต้องสี่วัน พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์!!!"
"ได้!! แม่ตกลง!!"
"ดีล!!!"
"ดีล!!!"
"อ้าวเฮ้ย!!!! คุณแม่คะ!!"
แปลก...ครอบครัวนี้มันแปลก แล้วไหงฉันถึงโดนกักบริเวณไปด้วยเนี่ย!!!?


หลังจากที่การประนีประนอมได้จบลง แมรี่ก็นอนยิ้มหน้าระรื่นอยู่บนเตียง ที่หน้าผากก็ยังคงมีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ ส่วนฉันยังคงยืนงงกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่เลย อยู่ดี ๆ ฉันก็จะถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้านหลังนี้สี่วัน อิหยังวะ...นี่คือคำที่วนอยู่ในหัวฉันในตอนนี้ มันคืออะไร แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วย แต่พอแมรี่ใช้มือตบที่นอนดังตุบ ๆ เป็นเชิงเรียกให้ฉันเข้าไปหา ฉันก็เดินเข้าไปอย่างว่าง่ายและนั่งลงบนเตียงแบบงง ๆ ราวกับลูกแมวเชื่อง ๆ
"พะแนงคะ แมรี่ไม่สบาย แมรี่เป็นไข้ตัวร้อน กระสับกระส่าย นอนไม่ได้ ไข้ขึ้นสูง วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นลม" เออเอ้า...ผีตัวไหนนะปีนหน้าต่างเมื่อกี้
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบกลับไป เสียงเตือนจากปรอทวัดไข้แบบดิจิตอลก็ดังขึ้น แมรี่จึงหยิบออกจากรักแร้ของตัวเองก่อนจะหันหน้าจอมาให้ฉันดูแบบตาละห้อย
"37.6 แหน่ะ"
"ไหนขอดูหน่อย ไข้สูงขนาดนี้ยังจะดื้อปีนหน้าต่างหนีอีกนะ!!" เมื่อฉันเอื้อมมือจะไปหยิบปรอท แมรี่ก็ชักมือกลับจนฉันต้องถลึงตาใส่
"พะแนงอย่าทำหน้าดุสิ แมรี่กลัว"
"เอามาดู!!"
"ไม่ได้ ปรอทนี่มันผ่านจุ๊กกุแร้ของแมรี่นะ แมรี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เมื่อวาน"
จุ๊กกุแร้ ว่าซ่าน...ใช้คำได้น่ารักมากค่ะแมรี่ ฮ่า ๆ
"ไม่เป็นไร แมรี่เป็นคนป่วย เราไม่รังเกียจหรอก" แมรี่ทำตาละห้อยอีกครั้งพร้อมกับยื่นปรอทมาให้ฉัน 
"37.6 จริง ๆ ด้วย ทำไมตัวร้อนขนาดนี้ล่ะแมรี่ แล้วจะหนีไปไหน ทำไมไม่นอนพักผ่อน ทำไมถึงเป็นเด็กดื้อแบบนี้"
ถ้าฉันจะเรียกแมรี่ว่าเด็กดื้อก็คงไม่ผิด เพราะถึงเราจะเกิดปีเดียวกัน แต่ตอนนี้แมรี่อายุน้อยกว่าฉัน ด้วยความที่ฉันเกิดต้นปี ส่วนแมรี่เกิดปลายปี ดู ๆ แล้วแมรี่เหมือนเด็กมากกว่าหมูหยองอีก ทำตัวอย่างกับเด็ก ไม่เกรงใจส่วนสูงของตัวเองเลย
"ก็มี้ยึดโทรศัพท์แมรี่นี่นา แมรี่ไม่ได้คุยกับพะแนงหนึ่งวันเต็มเลยนะ รู้ไหมว่าแมรี่กระวนกระวายจนนอนไม่หลับเพราะคิดถึงพะแนง แมรี่ใจจะขาดอยู่แล้ว กินข้าวก็ไม่อร่อย แมรี่เลยจะหนีออกไปหาพะแนง ต่อให้จะโดนยึดกุญแจรถ แมรี่ก็นั่งรถเมล์ไปหาพะแนงได้ เพราะวันนั้นแมรี่ได้เรียนรู้วิธีการขึ้นรถเมล์กับพะแนงแล้ว ถึงมันจะลำบากหน่อยก็เถอะ แต่แมรี่อยากเจอพะแนง ลำบากแค่ไหนแมรี่ก็ทนได้"
น่ารัก...น่ารักชะมัดรู้ตัวไหม ใครล่ะจะไปโกรธลง แมรี่ราวกับเด็กดื้อร้องกระจองอแงฟ้องผู้ปกครองว่าตนถูกคุณครูยึดโทรศัพท์อย่างไรอย่างนั้น หัวใจของฉันตอนนี้สั่นไหวเพราะความน่ารักของแมรี่โดยแท้ คนอะไรก็ไม่รู้อย่างกับใช้สูตรโกงความสวยมาเกิด แถมยังเกิดมาบนกองเงินกองทองอีก แต่เธอดันมาตกหลุมรักคนธรรมดาอย่างฉันเนี่ยนะแมรี่ ฉันนี่มันจืดชืดยิ่งกว่าแกงจืด เธอกลับเอาแต่ชมว่าฉันสวยและน่ารักทุกวัน ความรักทำให้คนตาบอดสินะ
"ให้เราเช็ดตัวให้ไหมแมรี่" ฉันพูดด้วยรอยยิ้ม แต่แมรี่กลับชะงักกึกและคว้าผ้าห่มขึ้นไปปิดถึงต้นคอ ใบหน้าเธอก็เริ่มขึ้นสี ริมฝีปากของเธอที่เคยแดงอยู่แล้วแต่เพราะพิษไข้กระมังถึงทำให้มันดูแดงฉ่ำขึ้นอีก
"บ้าเหรอพะแนง จะเช็ดตัวให้แมรี่จริง ๆ เหรอ"
"จริงสิ"
"บ้าน่า...พะแนงจะต้านทานความสวยเซ็กซี่ของแมรี่ไหวเหรอ"
"แมรี่!" ฉันกดเสียงต่ำ แต่แมรี่ก็ยังมีท่าทีเคอะเขินอยู่อย่างนั้นพร้อมทั้งอมยิ้มกรุ้มกริ่ม นี่เธอต้องคิดอะไรในใจแน่ ๆ
"ยิ้มอะไรน่ะ แค่บอกว่าจะเช็ดตัวให้"
"แต่เช็ดตัวเนี่ย แมรี่ถอดหมดนะ"
"แมรี่!!! มันไม่ต้องขนาดนั้นไหม!!?"
"คิกคิก แมรี่ล้อเล่นน่า แค่อยากดูปฏิกิริยาของพะแนงเฉย ๆ ตัวเองหน้าแดงอย่างกับตูดลิงเลยนะ คิดอะไรกับแมรี่เปล่าเนี่ย..."
"มันน่านัก!!! อยากโดนสกายคิกหลับยาวไปเป็นเดือนไหมล่ะ!!!?" แมรี่รีบเอามือรูดซิปปากโดยพลันเมื่อฉันพูดจบ สงสัยทุกคนจะกลัวลูกเตะฉันจริง ๆ เพราะแม้แต่หมูหยองยังนั่งร้องไห้ตอนที่แมรี่โดนฉันเตะก้านคอจนสลบ
เหนื่อย....เหนื่อยจริง ๆ วิธีสยบพวกเด็กดื้อคงต้องกระโดดเตะก้านคอสินะ...


ระหว่างที่ฉันใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำและบิดพอหมาด แมรี่ก็กะพริบตาปริบ ๆ มองตามทุก ๆ การกระทำของฉัน ก่อนจะทำตาละห้อยเมื่อฉันใช้ผ้าขนหนูซับที่ต้นคอของเธออย่างแผ่วเบา
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หนาวเหรอ"
"เปล่า...พะแนงเป็นห่วงแมรี่เหรอ" ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง
จริงสิ...ฉันเองก็ยังไม่ได้สารภาพความรู้สึกให้แมรี่ได้รู้เลย และแมรี่เองก็ยังไม่ได้สารภาพให้ฉันรู้เช่นกัน ฉันควรจะตอบไปว่ายังไงดี ฉันควรเป็นฝ่ายบอกก่อนงั้นเหรอ ฉันที่อ่านนิยายมาเป็นร้อยเรื่อง เข้าใจเรื่องความรักในนิยายเป็นอย่างดี แต่ชีวิตจริงนั้นฉันด้อยประสบการณ์เรื่องความรักสุด ๆ เลยล่ะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว...ฉันจะไม่เก็บมันเป็นความลับอีกต่อไปแล้ว
ก็ความรักไม่ใช่ความลับ ถ้าอยากจะรักทำไมต้องปิด...
 "นี่แมรี่ เธอช่วยบอกเหตุผลที่จู่ ๆ ก็ปิดเพจแล้วก็ลบนิยายหน่อยได้ไหม เราว่าจะกลับไปอ่านเพื่อเก็บรายละเอียดใหม่อีกครั้ง แต่นิยายกลับไม่มีให้อ่านแล้ว"
"แมรี่ก็แค่...อยากจะลบตัวตนนั้นออกไป เพราะแมรี่เอาแต่หลบหลังเจ้าชายกบน้อยมาตลอด ยิ่งพะแนงบอกว่า แมรี่ชอบทิ้งโอกาสไปเฉย ๆ แมรี่เลยกลับมาทบทวนตัวเองน่ะ ว่าที่ผ่านมาแมรี่ทิ้งโอกาสไปจริง ๆ แย่เนอะ...ทั้ง ๆ ที่มีเวลาอยู่กับพะแนงที่ทะเลตั้งนาน แต่แมรี่ก็ยัง...เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ!!" จู่ ๆ แมรี่ก็หันขวับมาหาฉันจนฉันถึงกับสะดุ้งราวกับดูหนังผีแล้วมีฉากตุ้งแช่
"อะไรแมรี่!! ตกใจหมด!!"
"พะแนง...รู้แล้วเหรอว่าแมรี่คือเจ้าชายกบน้อย"
"อืม" ฉันพยักหน้า
"เฮ้ย!!! ไม่จริง...เป็นไปได้เยี่ยงไร...บ้าน่า...เป็นไปไม่ได้" แมรี่ใช้มือปิดปากตัวเองและแสดงสีหน้าราวกับเรื่องที่ฉันรู้ความจริงมันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจ
เอ๊ะ...หรือแมรี่จะสื่อหมายความว่า คนโง่ ๆ อย่างฉันไม่น่าจะรู้ความจริงได้...
"พ...พะแนงรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วรู้ได้ยังไง!?"
"รู้ก่อนที่จะไปดินเนอร์น่ะ"
"โซดามันบอกใช่ไหม!!?"
"จะว่าบอกก็ไม่เชิง เพราะโซดาพยายามใบ้แล้วให้เราคิดตาม จนเรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องในนิยายมันเหมือนเรามากจนเหมือนเป็นเรื่องของเราเอง แถมพระเอกก็ดูเหมือนแมรี่ซะจนเราเองก็ยังตกใจ"
"ง...งั้นก็หมายความว่าพะแนงรู้แล้วสิว่าแมรี่คิดยังไงกับพะแนง"
"อืม" ฉันพยักหน้าอีกครั้ง
"แล้ว...พะแนง...ไม่รังเกียจ...แมรี่เหรอ"
"ไม่นะ ทำไมเราต้องรังเกียจแมรี่ด้วยล่ะ แมรี่น่ารักจะตาย" 
จู่ ๆ แมรี่ก็ชะงักกึกแล้วพลิกตัวไปอีกข้าง ก่อนจะมุดหน้าลงกับหมอนและแผดเสียงออกมา 
"อ๊าก!!!!!" นี่สินะที่เขาเรียกว่าอุดปากกรี๊ด ทำเอาฉันถึงกับหลุดขำพรืด เพราะเมื่อแมรี่หันมา ใบหน้าของเธอแดงก่ำจนถึงใบหูเลยล่ะ
"ฮ่า ๆ ทำอะไรน่ะแมรี่"
"แมรี่เขิน แมรี่จะวูบ"
"อย่าเพิ่งวูบนะ รอฟังบางอย่างจากเราก่อน"
"อะไรเหรอ"
"แมรี่....คือเรา..." 
"อืม...?"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ได้เวลาทานข้าวทานยาแล้วค่ะคุณหนู"
ทั้งฉันและแมรี่ต่างก็สะดุ้งโหยงเมื่อถูกขัดจังหวะ คุณแม่บ้านก็มาเคาะประตูเรียกได้ถูกเวลาจริง ๆ ฉันจะสารภาพออกไปแล้วแท้ ๆ ทำไมต้องมาขัดจังหวะด้วยนะ
ฉันลุกขึ้นยืนและถอยออกจากเตียงเพื่อให้คุณแม่บ้านนำรถเข็นถาดอาหารเข้ามาวางที่ข้างเตียงได้สะดวกขึ้น ก่อนที่คุณแม่บ้านจะไปประคองตัวให้แมรี่ลุกขึ้นมานั่งและเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอาหารมื้อนี้ มันถูกจัดจานให้ดูหรูหราราวกับอยู่ในภัตตาคาร แม้แต่ฉันก็ยังตะลึงกับฝีมือจัดจานของคุณแม่บ้าน ที่เปลี่ยนหน้าตาอาหารธรรมดา ๆ ของฉันให้เป็นอาหารสุดหรูได้ราวกับเนรมิตขึ้นใหม่
"นี่มันอะไรกันคะ มื้อนี้แมรี่ไม่ได้ทานข้าวต้มแล้วเหรอ"
"คุณผู้หญิงให้คุณหนูได้ทานมื้อพิเศษร่วมกับคนพิเศษน่ะค่ะ หวังว่าจะทานเยอะขึ้นและจะตั้งใจทานยาด้วยนะคะคุณหนู" แมรี่ยิ้มร่าออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่คุณแม่บ้านจะนำเก้าอี้อีกตัวมาให้ฉันนั่งตรงข้ามกับแมรี่
"ขอบคุณนะคะ" ฉันยกมือไหว้เป็นการขอบคุณ เธอจึงยิ้มตอบกลับมาก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
การจัดจานทุกอย่างฉันตั้งใจให้มันคล้ายกับดินเนอร์สุดหรูในคืนนั้นที่แมรี่พลาดโอกาสไป ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันอาจจะคล้ายไม่มากก็น้อย แต่คุณแม่บ้านกลับเนรมิตให้ทุกอย่างเหมือนเป๊ะราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปในคืนนั้น แม้แต่แก้วน้ำดื่มยังใช้เป็นแก้วไวน์ น้ำเปล่าธรรมดา ๆ ก็บรรจุขวดราวกับขวดแชมเปญ ยกระดับกับข้าวที่ฉันทำมาเป็นเท่าตัวเลยล่ะ
"ได้ข่าวว่ากินข้าวไม่ลงเลยสักมื้อใช่ไหม เราเลยทำอาหารมาให้เธอ เผื่อว่าเธอจะกินอะไรได้บ้าง มันอาจจะเป็นกับข้าวธรรมดา ๆ นะ แต่ก็ต้องยกความดีความชอบให้คุณแม่บ้านเลยที่จัดจานได้สวยหรูเหมือนกับวันนั้นเลย"
"วันนั้น?" แมรี่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"ดินเนอร์ของเรา ที่แมรี่พลาดโอกาสไปไง เชิญค่ะเจ้าชายกบน้อย ทานให้เยอะ ๆ นะคะ จะได้หายไว ๆ" ฉันพูดด้วยรอยยิ้ม ทำเอาแมรี่ถึงกับน้ำตารื้น 
เธอใช้มือปาดน้ำตาออกไปเล็กน้อยก่อนจะหย่อนขานั่งลงที่ขอบเตียง เมื่อเธอเอื้อมมือคว้าช้อนกับส้อมที่วางอยู่บนจาน จู่ ๆ แมรี่ก็ร้องไห้โฮออกมาจนต้องใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาราวกับเด็ก ๆ
"แมรี่!? ร้องไห้ทำไม"
"ฮึก ๆ พะแนง...ฮึก! ขอบคุณนะ ฮึก! ทั้ง ๆ ที่แมรี่เป็นคนทิ้งโอกาสนั้นไปแท้ ๆ ฮึก ๆ แต่พะแนงก็สร้างโอกาสให้แมรี่ใหม่ ขอบคุณนะ ขอบคุณจริง ๆ ฮึก ๆ"
"ใครนะที่บอกว่าเดสทินี่สร้างได้"
"แมรี่เอง ฮึก ๆ"
"เลิกร้องไห้ได้แล้ว จะได้รับประทานอาหารสุดเอ็กซ์คูลซีฟร่วมกัน จะมานั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ไม่ได้นะ" แมรี่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนจะพยายามบังคับมือทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทาเอื้อมมาตักไข่เจียวกุ้งสับให้กับฉัน ตามด้วยใช้มีดมาหั่นให้เป็นชิ้นพอดีคำ แล้วใช้ส้อมจิ้มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
"แมรี่ขอป้อนคำนี้นะ" เธอยื่นให้ฉันด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตาจนฉันอดเอ็นดูไม่ได้ ฉันจึงอ้าปากกินอย่างว่าง่าย
"อ้าม...นี่คือคำว่ารักของแมรี่เอง"
"!!!" จู่ ๆ ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าว อุณหภูมิคงสูงขึ้นปรี๊ดล้นปรอทแน่ ๆ คิดจะหยอดก็หยอดแบบที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวเลยนะคนบ้า แต่นี่ถือว่าเป็นคำว่ารักคำแรกที่ได้ยินจากปากของแมรี่เลย
มันก็แค่อาหารธรรมดา ๆ นะ แต่ทำไม...ฉันรู้สึกว่ามันพิเศษไปหมดเลย
"นี่แมรี่ เอ้ย...คุณนักเขียนคะ"
"คะ"
"ลองชิมอาหารฝีมือของฉันหน่อยค่ะ ฉันตั้งใจทำให้คุณแบบสุดฝีมือเลยนะคะ"
"ได้เลยค่ะ มีเมนูไหนที่อยากแนะนำเป็นพิเศษไหมคะ"
"ถ้าจะให้แนะนำเป็นพิเศษก็คงเป็นฉันแล้วล่ะค่ะ" แมรี่ชะงักและเงยหน้ามามองฉันแบบเหลือเชื่อว่าฉันจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ก็ในเมื่อทฤษฎีจีบคุณนักเขียนของฉันมันยังดำเนินไปอยู่นี่นา ฉันก็ต้องรุกให้หนัก
ฉันรู้ว่าตอนนี้แมรี่กำลังเก็บอาการอย่างหนัก เพราะถึงเธอจะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก แต่เพราะใบหูของเธอแดงนำหน้าไปแล้ว และเมื่อเธอตักแกงจืดเต้าหู้สาหร่ายไปชิม แน่นอน...ว่าไม้เด็ดที่ฉันเตรียมมา มันไม่หมดเท่านี้แน่
"เป็นยังไงบ้างคะคุณนักเขียน อร่อยไหมคะ"
"อร่อยมากค่ะ กะแล้วว่าพะแนงจะทำอาหารอร่อย"
"อร่อยมากไหมคะ"
"อร่อยมาก ๆ ๆ เลยพะแนง วันนี้แมรี่จะกินไม่ให้เหลือเลยล่ะ"
"อร่อยพอที่จะเป็นแฟนของคุณนักเขียนได้ไหมคะ"
"อุ๊บ!! แค่ก ๆ" นั่น...โดนไปอีกหนึ่งดอก ถึงขั้นกับสำลักเลยเหรอแมรี่ หึ...ยัง...ไม่ยังไม่หมดแค่นี้
"พ...พะแนง...เล่นอะไรเนี่ย"
"ไม่ได้เล่นนะคะ ฉันกำลังจีบคุณอยู่"
"ตอนนี้กำลังสวมบทบาทอยู่เหรอ ใช่ไหม แมรี่เข้าใจถูกไหม"
แมรี่คงคิดว่าฉันล้อเล่นอยู่แน่ ๆ เธอเองก็คงไม่เชื่อใช่ไหม ว่าตัวเองน่ะก็จีบฉันสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งทฤษฎีจีบ 21 วันด้วยซ้ำ ถ้าคนมันจะตกหลุมรัก ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ตกหลุมรักได้แล้ว แล้วการที่แมรี่ดีกับฉัน ให้เกียรติฉัน และอ่อนโยนกับฉันขนาดนี้ หัวใจของฉันมันจะไปไหนได้ล่ะ นอกจากเธอ...แมรี่....
ฉันก้มหน้าลงมองไปที่ตักของตัวเองและหยิบขาแว่นตาออกมาวางไว้ที่ตัก หากฉันนับหนึ่งถึงสามในใจ ฉันจะลองสบตากับแมรี่อีกครั้งโดยปราศจากเลนส์แว่นมาบดบังดวงตา เพราะแมรี่บอกว่าชอบดวงตาของฉัน ฉันก็จะให้เธอมองมันให้นานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้เลยนะแมรี่
"พะแนง เป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้เหรอ"
เอาล่ะ...ฉันพร้อมที่จะเผชิญหน้าแล้ว รอรับความรู้สึกของฉันนะแมรี่
สาม...
สอง...
หนึ่ง...
จังหวะที่ฉันเงยหน้าขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่แมรี่โน้มตัวเข้ามาหาฉันแบบพอดิบพอดีเพราะเธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันกำลังร้องไห้ วินาทีที่เราได้สบตากันทุกอย่างโดยรอบก็หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาอ่อนกำลังทอประกายจนสะท้อนสีอำพัน แม้แต่ขนตางามงอนยังเป็นสีอ่อนค่อนไปในสีทอง คิ้วของเธอเป็นเส้นคมสีน้ำตาลเข้มแม้จะไม่ได้ผ่านการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางทำให้แก้มของเธอมีกระจาง ๆ แต้มบนใบหน้า ริมฝีปากแดงระเรื่อดูอิ่มและฉ่ำน้ำ ทุกอย่างบนใบหน้าของเธอราวกับถูกสรรสร้างอย่างพิถีพิถัน คนตรงหน้าฉันสวยเหลือเกิน ต้องขอบคุณระยะห่างในตอนนี้จริง ๆ ที่ทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน เพราะเราทั้งสองห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น
ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เข็มวินาทีดำเนินไปแค่ไหนแล้ว ฉันรู้สึกได้แค่ว่าตอนนี้หัวใจของฉันเต้นแรงจนมันดังก้องกังวาลไปทั้งโสตประสาท กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแมรี่ก็โชยมาแตะจมูกจนทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มราวกับถูกสะกด
"พะแนง...แมรี่รักพะแนงนะ" 
ใช่...ฉันได้ยินเสียงที่อ่อนโยนนี้ได้อย่างชัดเจน แล้วทุกอย่างก็พลันมืดสนิทลงทันที ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่ริมฝีปากของตัวเอง และลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรดใบหน้าของฉันอยู่ ตอนนี้...ริมฝีปากของเราประกบเข้าด้วยกันอย่างอ่อนโยน และนุ่มนวล
นี่น่ะหรือ...การจูบ...มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง สติสตังของฉันตอนนี้เลือนลางหายไปตามจังหวะการกดริมฝีปากของเธอ บริเวณต้นคอก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำลังประคองและปรับองศาให้ริมฝีปากของเราประทับกันแนบแน่นขึ้นอีก
ไม่ไหวแล้ว...การจูบนี้มันทำให้ฉันแทบลืมหายใจ ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ทุกอย่างโดยรอบกลายเป็นสีขาวโพลนทั้ง ๆ ที่ฉันหลับตาเสียสนิท นี่ฉัน...กำลังถูกสะกดหรืออย่างไร
"อ๊ะ!!" จู่ ๆ แมรี่ก็ผละออกอย่างรวดเร็วและใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองเอาไว้ ดวงตาของเธอเบิกโพลงราวกับกำลังตกใจ 
ตอนนี้หัวใจของฉันเต้นรัวเอามาก ๆ ฉันทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ ฉันเผลอขบริมฝีปากของเธอหรือเปล่า หรือฉันจูบได้แย่มากถึงทำให้แมรี่มีอาการแบบนี้
"ม..ม...แมรี่ขอโทษ!" ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแมรี่ถึงเอ่ยขอโทษออกมา แต่เมื่อเธอกำลังจะลุกเดินจากไปฉันจึงรีบคว้าที่ข้อมือของเธอเอาไว้ได้ทัน
"แมรี่จะไปไหน!!?"
"แมรี่ว่าพะแนงกลับก่อนดีกว่านะ เรื่องกักบริเวณแมรี่แค่ล้อเล่น มามี้ไม่ทำแบบนี้กับพะแนงหรอก ขอบคุณสำหรับอาหารนะ แมรี่สัญญาว่าจะกินให้หมด" แมรี่ยังคงใช้มืออีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้ มันยิ่งทำให้ฉันสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
"ทำไมจู่ ๆ ก็ไล่เรากลับล่ะแมรี่"
"แมรี่ไม่ได้ไล่นะ ค...คือว่า พะแนงไม่ควรอยู่กับแมรี่ตอนที่แมรี่ป่วย"
"ทำไมล่ะ!? เราไม่เข้าใจ"
"แมรี่อยากอ้อนพะแนง แมรี่อยากจูบพะแนง เห็นไหมล่ะ แมรี่ทำลงไปแล้ว แมรี่ไม่ให้เกียรติพะแนงแล้ว แมรี่ขอโทษ" แมรี่พยายามสะบัดข้อมือออกจนสำเร็จ และเมื่อเธอกำลังจะเดินจากไป ฉันก็โผเข้าไปกระชากข้อมือของแมรี่จนเธอถึงกับเซ
"จูบเสร็จก็ไล่กลับ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ!!?" ฉันตวาดลั่นด้วยความโกรธ และฉันรู้ว่าแมรี่ก็คงตกใจไม่น้อยที่เห็นฉันเป็นแบบนี้ เพราะตอนนี้ฉันโกรธจริง ๆ โกรธมากเสียจนฉันสั่นเทาไปทั้งตัว
"ม...แมรี่ไม่ได้ตั้งใจ แมรี่ไม่ได้ไล่นะ แมรี่ก็แค่..."
"ก็แค่อะไร!!? มีอะไรก็ไม่เคยพูดตรง ๆ จะขี้ขลาดไปถึงเมื่อไหร่!?" แมรี่ชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินฉันตวาดไปแบบนั้น ใบหน้าของเธอก็ค่อย ๆ สลดลง
"แมรี่กำลังเกลียดตัวเองที่ล้ำเส้นพะแนง เป็นเพราะแมรี่รักพะแนงมากจนอยากจะอยู่ใกล้ ๆ บรรยากาศมันพาไปจนทำให้แมรี่ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ แมรี่จะลงโทษตัวเองด้วยการกักบริเวณตัวเองอยู่ในห้องสี่วัน แมรี่จะไม่ติดต่อไปหาพะแนงเพื่อที่จะได้สำนักผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป"
"ทำแบบนั้นเพื่ออะไรแมรี่ เธอจะรับผิดชอบความรู้สึกของเรายังไง!!? เพราะเราคิดถึงแมรี่มากจนต้องมาให้เห็นกับตาว่าแมรี่เป็นยังไงบ้าง เพราะเรากระวนกระวายจนนอนไม่หลับที่แมรี่หายไปไม่ติดต่อมา นี่แมรี่ยังจะทรมานหัวใจเราหลังจากที่จูบกันอีกเหรอ"
"พะแนง...ที่พูดน่ะ มันหมายความว่ายังไง"
"เราตกหลุมรักเธอแล้วนะรู้เอาไว้ด้วย!! รักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วนะ!! ขอโทษนะที่เราโง่ ที่เราเพิ่งจะมารู้ตัวเอาป่านนี้ แต่ในเมื่อเรารักเธอแล้ว เธอจะผลักไสเรางั้นเหรอ!!?" 
"พ...พะแนงว่าอะไรนะ พูดให้ฟังชัด ๆ อีกทีได้ไหม"
"หัวใจเรามันเป็นของเธอแล้ว! และเรากำลังจีบเธออยู่เนี่ย ไม่รู้ตัวเหรอ!?"
"เฮ้ย!!! จริงเหรอพะแนง พะแนงพูดจริง ๆ เหรอ พะแนงรักแมรี่จริง ๆ เหรอ!!?" แมรี่จับไหล่ทั้งสองข้างของฉันและเขย่าเบา ๆ ราวกับเด็กกำลังตื่นเต้น ดวงตาของเธอบอกเป็นนัยว่ากำลังคาดหวังกับคำตอบของฉันมาก จะให้ฉันตอบอีกกี่ครั้งกันนะเธอถึงจะเชื่อเนี่ย
"พะแนง!! พะแนงรักแมรี่จริง ๆ เหรอ"
"อือ..."
"จริงดิ!!?"
"อื้อ!"
"จริง ๆ นะ!!!?"
"อื้อ!!!! เรารักเธอ!!!"
"!!!!"
ตอนนี้แมรี่เอามืออุดปากตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้จะกรี๊ดออกมายังกรี๊ดแบบไม่มีเสียงเพราะฉันจุ๊ปากไม่ให้เธอส่งเสียงออกมา เดี๋ยวคนอื่น ๆ จะตกใจและแห่มากันหมด ฉันอ่านปากที่กำลังพะงาบ ๆ ด้วยความดีใจว่า 'พะแนงรักแมรี่ พะแนงรักแมรี่ พะแนงรักแมรี่แหละ' ใช่...ฉันรักเธอ ยัยเด็กโข่งเอ๊ย!
"พะแนงรักแมรี่แหละ อู้ว...พะแนงรักแมรี่ แมรี่จะวิ่งไปบอกมามี้กับริต้าว่าพะแนงรักแมรี่ แมรี่จะไปบอกหมูหยองด้วยว่าพะแนงรักแมรี่ แมรี่จะบอกโซดาด้วยว่าพะแนงรักแมรี่!"
"พอแล้วแมรี่!! จะไปประกาศบอกทุกคนเลยหรือไง!?"
"ใช่ ๆ ๆ แมรี่กลัวทุกคนไม่รู้ว่าพะแนงรักแมรี่ แมรี่จะวิ่งไปที่บ้านของพะแนงไปถึงท้ายหมู่บ้านเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพะแนงรักแมรี่ แมรี่จ้างรถแห่เลยดีไหม!?"
"โอ๊ย!!! ไอ้บ้า!!! เลิกแปลกเถอะขอร้อง"
"ไม่ ๆ แมรี่ว่ามันไม่แปลกนะ"
"ไม่ แมรี่นั่นแหละแปลก"
"แมรี่ไม่แปลก แมรี่แค่ดีใจ พะแนงรักแมรี่!!!! อั๊ย ๆ ๆ ๆ" แมรี่ดีใจกระโดดโลดเต้นราวกับเด็กได้รับของรางวัล แถมยังอุ้มฉันเสียจนตัวลอย
เฮ้อ...เอ็นดูยัยคนนี้จัง 
"นี่แมรี่"
"ขา..." เธอตอบทั้ง ๆ ที่ยังคงอุ้มฉันอยู่
"ไม่คิดจะบอกรักเราบ้างเหรอ"
"หอมแก้มแมรี่ก่อนสิ แลกกับบอกรัก"
"ขี้โกงชะมัด เธอได้กำไรอะแมรี่"
"กำรงกำไรอะไรกัน แมรี่รอพะแนงมาเป็นปีเลยนะ เนี่ย...แมรี่เกือบจะเฉาตายอยู่แล้ว ปลอบใจแมรี่หน่อยสิคะ แมรี่รักพะแนงมาตลอดเลยนะ แมรี่ไม่เคยหันไปมองใครเลย แต่สิ่งที่แมรี่ได้รับคือการโดนเตะก้านคอจนสลบ"
"แง!! อย่ารื้อฟื้นสิ!! เราไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย"
"ขนาดไม่ได้ตั้งใจยังสลบคาที่ ถ้าตั้งใจไม่ใช่แมรี่ได้ขึ้นสวรรค์เลยเหรอ"
"ฮ่า ๆ ไอ้บ้า!! วางเราลงได้แล้วแมรี่"
"หอมแก้มแมรี่ก่อนสิ"
"ไม่ อย่ามาเนียน นี่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยนะ"
"งั้นก็เป็นซะสิ"
"ไม่เป็นหรอก แบร่!"
"เป็นแฟนกันนะพะแนง"
"ก็บอกว่าไม่เป็นไง"
"ไม่เป็นใช่ไหม ได้!!" พูดจบแมรี่ก็เหวี่ยงร่างฉันขึ้นบ่าอย่างง่ายดายราวกับฉันเป็นหมอนข้าง ก่อนที่เธอจะกระโดดดึ๋ง ๆ จนฉันแทบเวียนหัว
"อ๊าย!! แมรี่!!! วางเราลงเดี๋ยวนี้!!!!"
"คบกับแมรี่เดี๋ยวนี้!!" 
"ไม่คบ!!! วางเราลงนะแมรี่!!"
"ตกลงคบกับแมรี่เร็ว! นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่คบแมรี่จะจับพะแนงโยนลงหน้าต่างบ้านนะ"
"อ๊าย!!!! แมรี่!!!"
"นับหนึ่ง!!!"
"หยุด!!!"
"นับสอง!!"
"ตกลงค่า!!! พะแนงตกลงคบกับแมรี่แล้วค่า!!!"
"เย่!!! ในที่สุด!!!"
"กรี๊ด!!!!!!"
ร่างของฉันลอยละลิ่วปลิวละล่องราวกับกำลังเหาะเหินกลางอากาศ เพราะแมรี่มัวแต่ดีใจกระโดดโลดเต้นจนสะดุดขาตัวเอง ฉันที่กำลังถูกแบกอยู่บนบ่าจึงไม่ต่างจากโดนจับทุ่มจนหัวคะมำกันทั้งคู่


ค่ะ...ใช่ค่ะ...และวันนี้ฉันก็ติดไข้จากแมรี่เป็นที่เรียบร้อยจนถูกกักบริเวณอยู่ด้วยกันและแมรี่ก็ถูกคุณแม่พิไลรัมถาสั่งห้ามไม่ให้จูบฉันถึง 4 วันเต็ม ๆ โทษฐานที่ชอบทำอะไรแผลง ๆ จนทำให้ฉันเจ็บตัวไปด้วย
ถึงความรักของเราจะต้องล้มลุกคลุกคลานกว่าจะสมหวังแถมยังสมหวังด้วยวิธีการแปลก ๆ ที่ไร้สิ้นความโรแมนติกก็เถอะ แต่ฉันกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าแมรี่คือคนรักที่น่ารักและแสนดีที่สุดในโลกเลยล่ะ 
ยัยฝรั่งน้อยที่ชอบทำตัวแปลก ๆ หวาดผวาทุกครั้งที่ฉันง้างขาตั้งท่าจะเตะ ยัยคนที่ชอบเดินไปบอกใครต่อใครในหมู่บ้านของฉันว่า "พะแนงรักแมรี่แหละ" พร้อมกับแจกจ่ายขนมราวกับงานบุญ แต่ถึงเธอจะแปลกยังไง ฉันก็รักเธออยู่ดี เพราะคนแบบแมรี่น่ะมีคนเดียวบนโลกแน่นอน
ฉันว่าไอ้ทฤษฎีจีบ 21 วันน่ะ มันก็ใช้ได้ผลอยู่นะ แต่ฉันใช้ได้ผลแบบไม่รู้ตัวน่ะสิ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน หรือตั้งแต่วันปฐมนิเทศ ฉันเข้าไปทักแมรี่ก่อนตามมารยาทจนครบ 21 วัน เมื่อถึงวันที่ 22 แมรี่จึงเป็นฝ่ายเข้าหาฉันแทนเพราะฉันได้หนังสือนิยายเล่มใหม่ของคุณพิไลรัมภามา จึงไม่ได้ทักเธออย่างเช่นทุกวัน ฉันก็เพิ่งจะมารู้ทีหลังก็ตอนย้อนกลับมาอ่านนิยายที่แมรี่เขียนและเปิดให้ฉันอ่านแค่คนเดียว ว่าฉันเผลอไปทำให้แมรี่ตกหลุมรักโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
นั่นก็หมายความว่า...ฉันจีบคุณนักเขียนสำเร็จแหละทุกคน 


นักจิตวิทยาได้กล่าวเอาไว้ว่า สาเหตุที่ทำให้คนเราไม่กล้าที่จะบอกรักใครสักคน หรือคนที่แอบรัก มักจะมีเหตุผลซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น กลัวการเลิกลาหลังจากที่คบหาดูใจกันแล้ว กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวสูญเสียคนสำคัญไป และเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะการจะบอกรักใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องเชื่อใจในตัวคนคนนั้นระดับหนึ่งว่าจะตกลงปลงใจพัฒนาความสัมพันธ์กับเราแน่นอน แต่ถึงกระนั้น ฉันก็อยากให้บอกรักกันในตอนที่ยังมีลมหายใจจะดีกว่า เพราะหากมาบอกรักเอาตอนที่สายไปแล้ว คำว่ารักของเราจะไม่มีวันส่งไปถึงเขาได้อีกเลย...
"แมรี่รักพะแนงนะ" ประโยคนี้ฉันได้ยินทุกวันเลย และ "พะแนงก็รักแมรี่ค่ะ" นี่คือสิ่งที่ฉันบอกกับเธอทุกวันเช่นกัน...
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนเลยนะคะ 


#ทฤษฎีจีบคุณนักเขียน
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“จบแล้วค่าาา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ เรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องสั้น ๆ ไว้อ่านเล่น ๆ อมยิ้มกับความน่ารักของตัวละคร และเป็นเรื่องเดียวของ นิลธารา ที่ไม่เสิร์ฟดราม่าด้วย 55555 หวังว่าจะชอบกันนะคะ // ชอบใคร รักใคร ก็บอก ก็ลุยจีบเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ เยิ๊ฟ ๆ ค่าาา”