คุ้มขวัญของหนู

คุ้มขวัญของหนู
#Special คาถาผู้พิทักษ์

แนะนำตัวละคร
"ฉันฝากด้วยนะผกา"
"ได้ค่ะคุณคุ้มขวัญ ไม่ต้องห่วงทางนี้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันกับคุณเอกภพจะจัดการให้เองค่ะ พักผ่อนให้เต็มที่เลยนะคะ"
"เฮ้อ...ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉัน…"
"คุณคุ้มขวัญคะ! พักบ้างเถอะนะคะ เชื่อใจเราค่ะ จะแขกระดับไหนคุณเอกภพก็เอาอยู่ ที่โรงแรมไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ เราเป็นห่วงคุณมากกว่า ช่วงนี้คุณพีระวิชก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้วด้วยที่คุณหายไป"
"จะยังไงก็ช่าง ห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าฉันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันกลับไป ฉันจะจัดการเอง อย่าลืมสองเรื่องนั้นก็พอ"
"รับทราบค่ะ เดี๋ยวฉันดำเนินการให้เองค่ะ"
"ฉันฝากด้วย ขอบคุณนะ"
หลังจากที่ฉันกดวางโทรศัพท์จากเลขาไป ฉันทำได้แค่นั่งถอนหายใจและกุมขมับอยู่ที่โซฟาภายในห้องพักของฉัน การที่ฉันหนีมาพักใจที่ต่างประเทศ มันช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะปัญหาต่าง ๆ ยังคงอยู่ และดูเหมือนมันจะใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ เหมือนเนื้อร้ายที่ไม่ผ่าตัดออกไป มันก็จะยิ่งลามและรุนแรงขึ้น
ผ้าม่านสีเทาที่ตัดกับผนังห้องสีขาวดูสะอาดตา ถูกปิดเอาไว้แม้จะเป็นเวลาที่พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าทำหน้าที่ในเช้าวันใหม่แล้วก็ตาม ฉันนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องที่มีแสงไฟจากโคมไฟหัวเตียงเพียงหนึ่งดวงที่เปิดเอาไว้ มันไม่ได้ช่วยให้ห้องดูสว่างอะไรเลย แถมยังทำให้ดูอึมครึมจนฉันรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่
ตือ ดือ ดื๊อ ดือ ~
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนเวลาตื่นนอนที่ฉันตั้งเอาไว้ ทันทีที่ฉันได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย ฉันก็อมยิ้มออกมา ไม่ใช่เพราะว่าฉันดีใจที่ตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุก แต่ฉันดีใจที่วันนี้จะได้เจอใครบางคนมากกว่า
ผู้หญิงผมบลอนด์ที่ตัวสูงกว่าฉันประมาณ 1-2 เซนได้ เธอชอบแต่งตัวเท่ ๆ ตามบุคลิกห้าว ๆ ของเธอ แต่บางมุม เธอก็อ่อนโยน แม้วันแรกที่เราเจอกัน เธอจะร้องไห้อย่างหนักจนน้ำมูกเลอะเสื้อโค้ทของฉัน แต่เวลาที่รอยยิ้มของเธอเผยออกมา เธอราวกับคนละคน ทุกอย่างมันสดใสขึ้นทันตา จนฉันลืมเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ได้เลยล่ะ
อืด อืด ~
โทรศัพท์ที่สั่นครืดอยู่ในมือของฉันเพราะมีแจ้งเตือนข้อความเข้า คนแรกที่ทักหาฉันในเช้าวันนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…
"ตื่นยังขวัญ... เหอะ!! ปีนเกลียวจริง ๆ ไอ้เด็กคนนี้นี่ คิก!"
ฉันอ่านข้อความของหยกที่ส่งมา พร้อมกับหลุดขำเบา ๆ หยกทำให้ฉันทั้งยิ้มได้ ทั้งหงุดหงิดตั้งแต่เช้าเลย น่าหมั่นไส้จริง ๆ เพราะดูก็รู้ว่าเธออายุน้อยกว่าฉันแน่ แต่ก็นะ เราดันตกลงเป็นเพื่อนกัน น่าขำจริง ๆ
ฉันรีบส่งสติ๊กเกอร์กลับไปทำทีเป็นโมโหที่หยกรบกวนเวลานอนของฉัน ก่อนจะอมยิ้มอีกครั้ง ที่หยกส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้กลับมา แกล้งเด็กนี่มันสนุกชะมัด ฉันวางโทรศัพท์ลงที่โซฟาพร้อมกับคว้าผ้าคลุมอาบน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ และแต่งสวย เตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกกับหยก คงเป็นอีกวันที่ฉันต้องมีความสุขมากแน่ ๆ


"คุณจะซื้ออะไรไหม"
"ก็คงเป็นอะไรที่เกี่ยวกับแฮรี่พอตเตอร์ล่ะมั้ง ว่าจะซื้อไปฝากหลานสาวน่ะ"
"โห...หลานคุณก็ชอบแฮรี่พอตเตอร์เหรอ อยากรู้จักจัง เผื่อจะได้คุยกันเรื่องหนัง"
"เรื่องอะไรที่ฉันจะให้เธอรู้จักหลานสาวฉันล่ะยะ"
"อะโธ่! หวงชะมัด!!"
หยกพูดพร้อมกับเบ้ปากมองค้อนมาทางฉัน ก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปเลือกซื้อของฝากต่อ ทำเอาฉันอดขำท่าทีที่ดูเหมือนเด็กแบบนี้ไม่ได้
นี่คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกเรื่องที่เป้าหมายของเราดันเหมือนกัน ตอนแรกฉันตั้งใจจะมาซื้อไม้กายสิทธิ์ไปฝากหลานสาวที่น่ารักของฉันสักหน่อย แต่เธอดันฝากเพื่อนที่มาลอนดอนเหมือนกันซื้อไปฝากแล้ว โลกมันคงไม่ได้กลมขนาดนั้นหรอกมั้ง ที่หยกจะเป็นเพื่อนของหลานสาวฉันได้
ร้านที่เรามาซื้อของฝากนั้น เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับแฮรี่พอตเตอร์ทั้งหมด มีแทบทุกอย่างที่ต้องการ ใครที่เป็นสาวกก็คงจะมีความสุขมากแน่ที่ได้มาที่นี่ และคนที่ดูตื่นเต้นที่สุด ก็คือคนที่บังคับให้ฉันมาเป็นเพื่อนนั่นแหละ เพราะแววตาของเธอเป็นประกายที่ได้เห็นของต่าง ๆ แถมยังยิ้มไม่หุบตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่
"คุณ!! เอาปะ ซื้อให้"
หยกหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาหนึ่งอันพร้อมกับยื่นมาให้ฉัน เหมือนกับเอาขนมมาหลอกล่อเด็กอย่างไรอย่างงั้น นี่ฉันโตแล้วนะยะ แต่ท่าทางแบบนี้น่าเอ็นดูชะมัด ทำไมเหมือนหลานสาวฉันแบบนี้นะหยก
"ซื้อให้ทำไมยะ!?"
"คุณจะได้พกติดตัวไว้ไง เผื่อมีอันตรายจะได้เสกคาถาผู้พิทักษ์เรียกหยกออกมา"
"ฮ่า ๆ ถ้าฉันท่องคาถาแล้วเธอจะมาหาฉันหรือไง"
"ลองดูสิ"
"บ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะหยก"
"เถอะน่า! ลองดู เร็ว!"
หยกพูดพร้อมกับยัดไม้กายสิทธิ์ใส่มือฉัน พลางพงกศีรษะหงึก ๆ เป็นเชิงบอกให้ฉันทำตามคำขอของเธอ รอยยิ้มที่สดใสแบบนั้นมันทำให้ฉันแพ้จริง ๆ แต่อายุขนาดนี้แล้ว จะให้มาทำเรื่องน่าอายแบบนี้ต่อหน้าคนต่างชาติเต็มร้านแบบนี้ได้ยังไงกัน
"ลองท่องคาถาผู้พิทักษ์เร็ว"
"ไม่!!"
"น่านะ...ลองท่องดู"
"ไม่เอาหยก!! น่าอาย"
"ไม่มีใครรู้จักคุณหรอกน่า หยกยังไม่รู้เลย"
หยกยังคงคะยั้นคะยอให้ฉันท่องคาถาผู้พิทักษ์ไม่ยอมถอดใจ คิดจะทำอะไรกันนะ ฉันจึงจ้องหยกตาเขม็ง แต่หยกก็ยิ้มสู้กลับมาพร้อมกับสายตาออดอ้อน จนฉันต้องยอมจำนนในที่สุด
"เฮ้อ...มันท่องว่าไง จำไม่ได้"
"เอ็กซ์เป็กโตร พาโตรนุม"
"เฮ้อ...ไร้สาระ"
"ขวัญ...น้า…"
เสียงที่ทวีคูณความออดอ้อน พร้อมกับที่หยกเกาะแขนฉันราวกับลูกแมวน้ำอ้อนขอปลาก็ไม่ปาน ลูกค้าต่างชาติทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิงก็ต่างมองฉันกับหยกกันยกใหญ่ นี่ถ้าฉันไม่ทำ ฉันจะดูไม่อินกับที่นี่สินะ
ฉันจึงตัดสินใจเดินแยกออกมาจากหยก สายตาที่หยกมองตามฉันมาดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ฉันไม่ได้จะทำให้ความหวังของเธอพังทลายหรอกนะ ฉันแค่เดินมาหยิบผ้าคลุมสีดำแทบแดงของบ้านกริฟฟินดอร์มาสวม ก่อนจะตั้งท่าเล่นใหญ่เอาใจเด็ก จนเรียกความสนใจของลูกค้าชาวต่างชาติได้อีกครั้ง
"เอ็กซ์เป็กโตร พาโตรนุม!!!"
เสียงของฉันที่ท่องคาถาแบบดังฟังชัด ท่าทางเล่นใหญ่ มือข้างขวายื่นไม้กายสิทธิ์ออกไป ส่วนมือข้างซ้ายยกชูขึ้นฟ้า แหม...ที่นี่ไม่มีใครรู้จักฉันหรอกนะ ถามว่าอายไหม บอกเลยว่าอยากเอาปี๊บมาคลุมหัวมาก!!
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ"
นั่นไง...นรกจริง ๆ ไอ้คนที่สั่งให้ฉันทำ คือคนที่หัวเราะร่าจนต้องนั่งลงตบพื้นดังป้าบ คงจะสะใจที่แกล้งฉันได้แน่ ๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากด่าออกไป หยกก็เดินมาจับมือข้างซ้ายของฉันที่กำลังชูขึ้นฟ้าอยู่มาวางหมับที่ไม้กายสิทธิ์ พร้อมกับกุมมือของฉันเอาไว้
"จับไม้ให้มั่น ๆ สิ ทำท่าตลกแบบนั้น ผู้พิทักษ์ก็นั่งขำจนท้องแข็งกันพอดี"
"เรื่องมาก!!"
"ท่องอีกที"
"ไม่!!"
"น่านะ"
"เหอะ!! เอ็กซ์เป็กโตร พาโตรนุม"
ทันทีที่ฉันท่องคาถาผู้พิทักษ์อีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ หยกนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าฉันโดยชันขาขึ้นข้างหนึ่งประดุจองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง ทำเอาทั้งฉันและคนอื่น ๆ อึ้งกับการกระทำของหยกกันเลยทีเดียว
"ฉันจะปกป้องและจะอยู่เคียงข้างคุณ...ด้วยชีวิต"
ในขณะที่ฉันยังคงยืนอ้าปากค้างเพราะอึ้งกับคำพูดและการกระทำของหยกนั้น ทุกคนในร้านต่างปรบมือและส่งเสียงเชียร์เราสองคน นี่ฉันไม่ได้ถูกขอแต่งงานนะยะ จะมาเชียร์ แต่งเลย ๆ ไม่ได้!!!
"หยก!! ยืนขึ้น!!"
"สรุปเอานะ หยกซื้อให้"
"อื้อ ๆ ก็ได้!! เธอนี่มันจริง ๆ เลย!!"
คงเป็นเพราะฉันผงกศีรษะแล้วเบือนหน้าหนีพร้อม ๆ กับที่หยกดีใจกระโดดโลดเต้นล่ะมั้ง เสียงปรบมือยิ่งดังขึ้นไปอีก โอ๊ย...ฉันไม่ได้ถูกขอแต่งงาน พวกบ้าเอ๊ย!!! บ้าที่สุดเลย ฮือ ๆ


"เฮ้อ…อิ่มหนำสำราญ"
ไม่รู้ว่าเพราะเราสองคนเล่นใหญ่กันก่อนหน้านี้จนคนอื่น ๆ เข้าใจว่าฉันถูกหยกขอแต่งงานหรือเปล่า เราถึงได้ชิมขนมฟรีจนพุงกาง แถมยังได้ส่วนลดของฝากแบบงง ๆ อีกต่างหาก
จะว่าดีไหมมันก็ดี แต่คนอื่นเข้าใจผิดกันแบบนี้ฉันก็เครียดเหมือนกันนะ แต่คนต้นตอของเรื่องดันไม่รู้สาอะไรเลย เดินลูบท้อง อมยิ้มสบายใจเฉิบแบบนี้ มันน่าหมั่นไส้จริง ๆ
"เอาช็อคโกแลตไหม"
"กินไปเยอะขนาดนั้นยังจะถามหาของกินอีกเหรอหยก!!?"
"หมายถึงว่าจะซื้อไปฝากใครไหม ไม่ได้จะชวนกินสักหน่อย"
"เหอะ! ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วก่อนหน้านี้ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย"
"เป็นผู้พิทักษ์คุณไง"
"ผู้พิทักษ์ปัญญาอ่อน"
"เอ็นดูเค้าแหละน่า...ดูออก ฮ่า ๆ"
"หลงตัวเอง!!!"
"ใครน้าที่เขินจนพูดไม่ออกน่ะ"
"ใครเขินเธอมิทราบ ฉันอึ้งจนพูดไม่ออกมากกว่า ไม่คิดว่าเธอจะกล้าเล่นอะไรแบบนี้ อ๊ะ!!"
จู่ ๆ หยกที่เดินนำหน้าก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้ฉันที่กำลังเดินตามหลัง ชนกับแผ่นหลังของหยกเข้าเต็ม ๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากด่า หยกก็หันมาประจันหน้ากับฉันอย่างรวดเร็ว จนฉันต้องรีบถอยรูดออกมา ไม่อย่างนั้น...เราสองคนต้องจูบกันแน่ ๆ
"หยุดเดินทำไม!?"
"ที่หยกทำ มันอาจจะเป็นเรื่องเล่น ๆ นะ แต่สิ่งที่หยกพูดน่ะ มันคือเรื่องจริง"
นอกจากจะตอบไม่ตรงคำถามแล้ว ยังทำฉันอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง เด็กบ้า...นี่เธอกำลังจีบฉันอยู่หรือเปล่า ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมหยก ช่วยทำให้ฉันมั่นใจที
"อะไรจริง"
"ที่ว่าจะปกป้องและอยู่เคียงข้างคุณไงขวัญ"
"เหอะ! ปีนเกลียวอีกแล้วนะ"
"คุณบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันไง"
"เพื่อนอะไรยะ? ชื่อจริงฉัน เธอยังไม่รู้จักเลย"
"งั้นคุณก็บอกหยกสิ"
"ทำไมอยู่ ๆ ก็อยากรู้จักฉันขึ้นมา"
"หยกอยากรู้จักคุณตั้งแต่วันแรกแล้วไหม มีแต่คุณนั่นแหละ ที่ไม่อยากรู้จัก"
"ไม่รู้จักก็ดีแล้วนี่"
"ขวัญ...หยกชอบคุณ"
"ฮะ!!!"
เดี๋ยวนะ...บทจะบอก ก็ทำเอาฉันไม่ได้ตั้งตัวเลย เก่งจริง ๆ เรื่องทำให้ฉันอึ้งเนี่ย หยกพูดด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือหวังจะมาจับมือฉัน แต่ฉันรีบชักมือออกทันที เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่หยกพูดออกมานั้นฉันหูฝาดหรือเปล่า...ช่วยพูดให้ฉันฟังอีกครั้งได้ไหมหยก
"อะไรนะหยก"
"เนียนปะ?"
"อะไรเนียน"
"ก่อนหน้านี้คุณสวมบทเป็นแม่มดสาว ตอนนี้หยกสวมบทเป็นนักรักที่จะมาขโมยหัวใจคุณ ฮ่า ๆ สมบทบาทไหม พอจะเป็นนักแสดงได้เปล่า ฮ่า ๆ"
ไม่รู้ว่าฉันคาดหวังอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน ไม่สิ...เราไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ หยกจะชอบฉันได้ยังไง ไม่มีเหตุผลอะไรที่หยกจะชอบฉันด้วยซ้ำ แต่ใจฉันกลับเจ็บแปลบกับคำตอบของเธอ ฉันจึงผลักหยกแบบเต็มแรง และไม่ลืมที่จะกำมือทุบไปที่ไหล่ของหยกหนึ่งที ก่อนจะวิ่งหนีออกมา
ถุงของฝากที่ถือพะรุงพะรังไปหมด ทำฉันวิ่งไม่ถนัดเลย ถ้าไม่ติดว่าฉันต้องเอาของพวกนี้ไปฝากหลานสาวฉันนะ ฉันคงโยนทิ้งไปแล้ว พูดตรง ๆ ว่าฉันผิดหวังมาก ที่ได้ยินหยกพูดแบบนั้น เพราะในใจฉันลึก ๆ ก็อยากให้หยกชอบฉันเหมือนกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
ฉันวิ่งผ่านตึกราสูงเสียดฟ้า ฝ่าฝูงคนที่เดินกันขวักไขว่ คนต่างชาติพวกนั้นคงคิดว่าฉันไร้มารยาทสิ้นดี ที่ฉันวิ่งชนคนแล้วคนเล่า แม้จะพูดขอโทษไปแล้ว แต่คงไม่มีใครให้อภัยฉันแน่ ฉันไม่รู้ว่าหยกวิ่งตามมาไหม แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ฉันวิ่งมาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันดูเหมือนเป็นซอกตึกแคบ ๆ ที่คนสองคนสามารถเดินสวนกันได้เท่านั้น
"แฮก ๆ คุณ!! วิ่งมาที่นี่ทำไมเนี่ย!!"
"หยก!! เธอวิ่งตามฉันมาทำไม!?"
"หยกต่างหากที่ต้องถามคุณ ว่าคุณวิ่งหนีมาทำไม!!?"
ดูเหมือนหยกจะโกรธที่ฉันวิ่งหนีออกมา ใบหน้าของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ พร้อมกับหายใจหอบแฮก คงจะทั้งเหนื่อยทั้งโกรธ จนแสดงออกทางสีหน้าที่แดงก่ำจนฉันรู้สึกหวาดกลัวเธอไม่น้อย
"หนีมาทำไม!!?"
จากหญิงสาวที่ดูสดใสร่าเริง ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นแม่มด หยกพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน พร้อมกับโยนถุงของฝากดังโครม ก่อนจะเดินเข้ามาในซอกตึกตรงมาทางฉัน ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวหนีผู้หญิงที่ดูน่ากลัวคนนี้ เพราะฉันตกใจที่เห็นมุมนี้ของเธอ มุมที่ทำให้ฉันหวาดกลัว แต่แล้ว…
"เป็นห่วงแทบแย่...วิ่งตัดหน้ารถแบบนั้นมันอันตรายนะ ถ้าคุณเป็นอะไรไป หยกจะทำยังไง! ฮึก…"
ร่างสูงโปร่งที่ดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้แน่นกำลังสั่นเทา เสียงสะอื้นที่ดังตามออกมาทำเอาใจฉันหล่นวูบ นี่เธอเป็นห่วงฉันจนร้องไห้เลยเหรอ...พอฉันคิดได้แบบนี้ น้ำตาของฉันก็ค่อย ๆ รินไหลอาบแก้มเนียนช้า ๆ ก่อนที่ฉันจะเอื้อมมือกอดตอบกลับไป
เราสองคนยืนกอดกันร้องไห้ราวกับพระนางในซีรีส์ ซอกตึกแคบ ๆ มันทำให้เราสองคนใกล้กันมากขึ้น ถ้าเราหนีอะไรบางอย่าง เราคงรู้สึกอึดอัดกับสถานที่แห่งนี้ แต่ตอนนี้ มันกลับทำให้ฉันอุ่นใจ ที่ฉันกับหยกไม่มีระยะห่าง ฉันไม่เข้าใจการกระทำแบบนี้ของเธอเลยจริง ๆ แต่เหมือนฉันกำลังถูกหยกบอกรักด้วยการกระทำอยู่เลย
"คุณเป็นอะไร คุณหนีหยกมาทำไม"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"อย่าหนีหยกแบบนี้อีกได้ไหม หยกจะเป็นบ้าแล้วนะ"
"ทำไมเธอต้องเป็นบ้าด้วย"
"หยกชอบคุณ…"
อีกครั้ง...ที่หยกบอกชอบฉัน แต่ครั้งนี้ ฉันรู้สึกว่ามันคือเรื่องจริง เพราะเธอกอดฉันแน่นขึ้น ฉันรับรู้ได้จากการกระทำของเธอแล้วล่ะ
"เธอพูดจริงหรอหยก"
"คุณอยากให้เรื่องที่หยกพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า"
ฉันค่อย ๆ ผละออกจากอ้อมกอดของหยก เราทั้งสองกุมมือกันเอาไว้ พร้อมกับที่ดวงตาจับจ้องประสานกัน
"ถ้าฉันเป็นหมอ...เธออยากจะพูดอะไรให้ฉันฟังไหม"
"คุณหมอคะ…"
"คะ…"
"ตอนนี้เหมือนอกจะแตกตายแล้วค่ะหมอ มันแปลกไหมที่เราจะรู้สึกดีกับคนที่ไม่รู้จักได้ มันผิดไหม ที่เราจะชอบเขาง่ายขนาดนี้เพียงเพราะแค่ได้อยู่กับเขา ได้คุยกับเขาแค่ไม่กี่วัน จะผิดไหม...ถ้าเราคิดอะไรเกินเลย เพียงเพราะแค่เรานอนกอดกันแค่ครั้งเดียว มันดูใจง่ายเกินไปไหมคะ แล้วจะต้องทำยังไง ที่จะไม่รู้สึกว่าเหมือนจะเป็นบ้า อยากเจอเขาอยู่ตลอด อยากอยู่ใกล้ ๆ ก่อนนอนก็คิดถึงเขา ตื่นนอนก็คิดถึงเขา จะทำอะไรก็เห็นหน้าเขาเต็มไปหมด"
ฉันจำได้ดีที่เพื่อนรักคอยเตือนฉันว่าอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ ฉันเองก็อยากเกลียดตัวเองเหมือนกันที่ทำอะไรลงไปโดยไม่คิด...สมองของฉันเป็นสีขาวโพลน มันว่างเปล่าจนไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม
ฉันดึงหยกเข้ามาจูบหลังจากที่เธอพูดพลั่งพรูออกมา เราต่างบดจูบริมฝีปากของกันและกันราวกับหิวกระหาย กลิ่นลิปสติกทั้งของฉันและของหยกมันตีกันไปหมดจนกลายเป็นกลิ่นใหม่ที่หอมหวานขึ้นกว่าเดิม ลิ้นอุ่น ๆ ที่ตวัดรัดรึงกันมันทำให้ฉันหวนคิดถึงความทรงจำในวัยเด็ก รักแรกของฉัน...ผู้หญิงคนแรกของฉัน...หยกคือคนที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง
"หยก...กลับไปที่ห้องฉันกัน..."


หลังจากที่เรากลับมาที่ห้องพักของฉัน ฟูกนอนนุ่ม ๆ สีขาว คือวิมานแห่งความสุขที่เรามาสานต่อความเสน่หากันอีกครั้ง กลิ่นกายของหยก ไออุ่นจากร่างกายของหยก มันควบคุมโสตประสาทฉันเสียหมด ฉันไม่เหลือสติที่จะมาคิดตรึกตรองอะไรอีกแล้ว
ร่างเปลือยเปล่าสองร่างภายใต้ผ้าห่มหนาสีขาว แสงไฟสลัวจากหัวเตียง บวกกับกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ มันทำให้ร่างกายของฉันเร่าร้อนจนแทบจะแผดเผาอีกคนให้มอดไหม้ไปพร้อม ๆ กัน
ทันทีที่หยกเริ่มสอดแทรกนิ้วเรียวเข้ามาในใจกลางกลีบดอกไม้นั้น ร่างของฉันแทบดิ้นพล่าน มันเจ็บแปลบจนปลายนิ้วมือจิกที่แผ่นหลังของเธอเต็มแรง อาจเป็นเพราะฉันสงวนดอกไม้ดอกนี้มานานมาก นานจนมันต่อต้านใครที่จะเข้าไปควานหาน้ำหวานในนั้น จนมันทำร้ายฉันเสียเอง
"ซี๊ด…"
ดูเหมือนหยกจะรู้ว่าฉันเจ็บ เธอจึงค่อย ๆ เลื่อนตัวลงไประหว่างขาของฉันอีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะใช้ลิ้นตวัดเลียน้ำหวานช้า ๆ ยิ่งทำแบบนั้น น้ำหวานก็เอ่อออกมามากขึ้น เธอช่างทำหน้าที่ได้ดีจริง ๆ และไม่นาน นิ้วเรียวก็ถูกสอดใส่เข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรู้สึกดีจนฉันเสียวซ่านไปทั่วทั้งร่าง
"หยก...อ๊า…"
หยกเหมือนผึ้งที่ทำหน้าที่ทั้งดูดดื่มน้ำหวาน และผสมเกสรในคราวเดียวกัน มือของฉันขยุ้มที่ผมสีบลอนด์และจับรวบเอาไว้ เพราะกลัวจะไปเกะกะหยกที่กำลังมอบความสุขให้กับฉันอยู่ อีกไม่นาน...ฉันใกล้จะถึงฝั่งฝันแล้ว…


"ไม่กลับหรอ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ดุเอาหรอก"
ฉันถามในขณะที่มือยังคงลูบผมสีบลอนด์ บ้างก็ม้วนเล่น ผมของเธอทั้งนุ่ม ทั้งหอม จากที่ได้กลิ่นนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกเรื่องเลย ที่เราใช้แชมพูกลิ่นเดียวกันเป๊ะ
หยกนอนอยู่ในอ้อมกอดของฉัน โดยที่เธอหนุนแขนของฉันอยู่ คงจะหมดแรงจนได้แต่นอนหายใจนิ่ง ๆ กว่าจะปรับลมหายใจที่หอบถี่ให้เป็นปกติได้ ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน เราทั้งสองยังคงเนื้อตัวเปลือยเปล่า มีแค่เพียงผ้าห่มผืนหนา และร่างกายแบบเนื้อแนบเนื้อที่ให้ความอบอุ่นอยู่เท่านั้น
"เดี๋ยวทักไปบอกแม่ว่าวันนี้ไม่กลับ"
"ได้เหรอ"
"ได้สิ หยกมีเพื่อนที่ลอนดอนหลายคน ทุกครั้งที่มาที่นี่ หยกก็ไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว แม่คงไม่สงสัยหรอก"
"บอกแม่ว่าไปหาเพื่อน แต่มานอนกับผู้หญิงเนี่ยนะ"
"ก็หยกอยากอยู่กับคุณ"
"ชอบฉันขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าคิดถึงคุณอยู่ตลอดเลย"
"หลงอะไรฉัน"
"ทุกอย่างที่เป็นคุณ"
"แหม...ได้ทีพูดบ่อยเชียวนะ"
"ยิ่งไม่ได้พูดยิ่งจะเป็นบ้า ให้หยกได้พูดเถอะ"
"อืม เอาเถอะ"
"แล้วเรื่องที่ถามไป สรุปมันผิดไหมที่หยกจะรู้สึกแบบนั้น"
คำถามที่ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะตอบแบบเต็มปากว่ามันไม่ผิด เพราะฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่เราสองคนต่างดูเป็นคนใจง่าย ที่หลงใหลกันและกันจนเผลอสร้างความสัมพันธ์ลับ ๆ นี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เราต่างก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เราจะต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองคนละทาง เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยด้วยซ้ำ
ฉันทำได้แค่เงียบ ไม่กล้าตอบอะไรออกไป ใจหนึ่งฉันก็รู้ว่ามันผิด แต่อีกใจหนึ่งฉันก็ต้องการหยกมากจนปฏิเสธตัวเองไม่ได้ หรือที่ฉันไม่ยอมมอบกายให้พี่วิชตลอดเวลาที่เราคบกัน เพราะในใจลึก ๆ ฉันยังต้องการผู้หญิงอยู่ ไม่สิ...ฉันอาจจะต้องการผู้หญิงมาตลอด และหยกก็คือคนที่ทำให้ฉันรู้ใจตัวเองอีกครั้ง
"หยกอยากรู้จักคุณมากกว่านี้…ได้ไหม"
หยกพูดพร้อมกับบรรจงจูบที่ต้นคอของฉัน ขนทั่วทั้งตัวก็ลุกซู่ ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าเราต่างเสน่หากันมาก แรงดึงดูดนี้มันคืออะไรกันนะ ถึงทำให้ฉันยอมผู้หญิงคนนี้ได้ขนาดนี้ วูบหนึ่งฉันก็รู้สึกคุ้นเคย วูบหนึ่งฉันก็รู้สึกผูกพัน หรือเราจะเคยรู้จักกันมาก่อน หรือเราจะเป็นคู่กันตั้งแต่ชาติปางไหน
เราสองคนจูบกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รุนแรงและเร่าร้อนกว่าเดิมมาก เหมือนหยกเองก็ต้องการฉันจนทนไม่ไหว ฝ่ามือที่บีบคลึงหน้าอกของฉันเริ่มรุนแรงขึ้น นิ้วโป้งที่หมุนวนอยู่ที่ยอดอกจนมันแข็งขึ้นเป็นไต ถ้าจะเริ่มเพลงรักกันอีกครั้ง มันก็ไม่แปลก จะให้บรรเลงบทเพลงรักนี้ซ้ำ ๆ ทั้งคืนเลยก็ได้ จนกว่าจะพอใจ จนกว่าจะดับไฟราคะให้มันมอดลง เพราะอีกไม่กี่วัน เราก็ต้องจากกันแล้ว…
ฉันออกแรงพลิกร่างหยกให้นอนหงาย ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นคร่อมร่างขาวเนียนที่มีซิกแพกบาง ๆ ฉันหลงใหลเรือนร่างแบบนี้จริง ๆ ฉันเป็นฝ่ายที่ก้มลงจูบหยกบ้าง มือทั้งสองโอบประคองบริเวณศีรษะของหยกเอาไว้เพื่อไม่ให้หนีจากรสจูบที่เร่าร้อนนี้
เรือนร่างที่ประกบแนบความสาวเข้าด้วยกันจนรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวและน้ำหวานที่เยิ้มออกมา เหมือนบอกเป็นนัยว่า ดอกไม้ทั้งสองพร้อมที่จะผสมเกสรแล้ว ฉันจึงเริ่มโยกสะโพกเบียดเสียดช้า ๆ เสียงครวญครางก็ดังออกมาประสานกันทั้งของฉันและของหยก มันไพเราะจริง ๆ
มือเรียวของหยกจับบังคับเอวของฉันให้โยกสะโพกเร็วขึ้น พร้อมกับที่หยกเองก็โยกตอบรับฉันเหมือนกัน มันเสียวซ่านจนเสียงครางกระเส่าของเราทั้งคู่ดังขึ้นกว่าเดิม เสียงฟูกที่ดังเสียดสีกับเตียงบิ้วอินสีเทาจนดังเอี๊ยดอ๊าด โคมไฟสลัวที่หัวเตียงก็สั่นไหวตามจังหวะ มันยิ่งทำให้บรรยากาศในตอนนี้เร่าร้อนขึ้นจนยากจะลืมเลือน
"อ๊า...อ๊า...คุ้มขวัญ...ชื่อของฉัน...อ๊า…"
"อื๊อ...อ๊า...ขวัญ...ขวัญ…"
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“อุ๊ยยย แรงมากเด้อออ >///<”