A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 1 เงาที่คืบคลาน

ณ สถานบันเทิงใจกลางเมืองกรุง หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลพร้อมกับหน้าม้าบาง ๆ สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงออกมาด้วยความเร่งรีบ เมื่อไฟหน้ารถสปอร์ตคันหรูสีเทาที่ผ่านการเคลือบสีจนขึ้นเงา พร้อมเสียงสัญญาณเตือนจากรีโมทเมื่อกดปุ่มเปิดล็อก ยังไม่ทันที่เจ้าของรถจะเอื้อมมือไปเปิดประตู เธอก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเอ่ยเรียกเอาไว้เสียก่อน
"ณิ!! แกไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ไหม"
"ไม่รีบไม่ได้ ถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าฉันมาผับ ฉันต้องโดนกักบริเวณแน่ ๆ" ตอบด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เธอแค่แวะมาเองนะ"
"ก็ถ้าฉันไม่ได้แอบพ่อกับแม่มา มันก็จะไม่เป็นอะไรหรอก แต่นี่ฉันเล่นแอบออกมาดึก ๆ แบบนี้ ฉันต้องซวยแน่ ๆ ไปนะ ค่อยคุยกัน!"
"อะ...อ้าว...ณิ!!!"
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร ณิชา ก็รีบเปิดประตูรถขึ้นไปเสียก่อน จนเธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกมองรถสปอร์ตคันหรูสีเทาขับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นห่วง
เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตคันหรูที่ขับด้วยความเร็วดังสนั่นไปทั่วถนนยามค่ำคืน จนพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ระแวกนั้นต่างมองและส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา พวกไฮโซก็เป็นเสียแบบนี้ ขับรถเร็วไม่เกรงใจผู้ใด ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ขอเพียงแค่มี 'เงิน' จะทำอะไรก็คงไม่ผิด



"เจ๊เปียว เอาเหมือนเดิม แต่วันนี้เพิ่มเป็น 10 ถุงไปเลยนะฮะ"
เสียงทุ้มของชายร่างสูงโปร่ง ผิวสีแทนที่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงเจเจขาสั้น และรองเท้าแตะแบบสบาย ๆ หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่ค้าจึงส่งยิ้มให้แทนคำตอบ ก่อนจะใช้กระบวยสแตนเลสตักน้ำเต้าหู้กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณใส่ลงไปในถุงพลาสติกที่ได้บรรจุเครื่องสำหรับน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องเอาไว้แล้ว
"ทำไมวันนี้สั่งไปหลายถุงจังล่ะคะพี่โก" เสียงหวานของผู้ช่วยแม่ค้าตัวน้อยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
"วันนี้ที่บ้านพี่มีแขกน่ะน้องปุณ กะว่าจะเอาน้ำเต้าหู้เจ๊เปียวไปฝากแขกซะหน่อย ของขึ้นชื่อที่นี่ ถ้าไม่ได้กินเท่ากับว่ามาไม่ถึง" ชายหนุ่มตอบ
"พูดเอาใจแม่แบบนี้ สงสัยแม่ไม่คิดเงินแน่ ๆ วันนี้" หญิงสาวผมสีดำประบ่าเอ่ยแซวพลางกับหยิบหนังยางสีแดงมามัดที่ปากถุงช่วยแม่ของเธอ
"ฮ่า ๆ อย่าเชียวนะเจ๊ เกรงใจ นี่โกตั้งใจมาอุดหนุนนะ"
"เจ๊บอกตอนไหนว่าจะไม่คิดเงิน"
"เอ้า! หน้าแตกซะงั้น"
"ฮ่า ๆๆ"
ทั้งสามถึงกับลั่นเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อชายหนุ่มยิ้มออกมาและลูบศีรษะตัวเองเพื่อแก้เขิน หากใครที่เป็นลูกค้าประจำของเจ๊เปียวต่างทราบดีว่า เธอเป็นคนใจดี และอารมณ์ดีกันทั้งครอบครัว นอกจากน้ำเต้าหู้รสชาติดีจนขึ้นชื่อแล้ว ไม่ว่าจะมาอุดหนุนกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักจะได้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกลับไปด้วยเสมอ หรือแม้แต่เด็กเล็กและคนชราที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็จะได้น้ำเต้าหู้กลับไปแบบฟรี ๆ ทุกครั้ง จนเธอถูกยกย่องว่าเป็นแม่ค้าที่มีจิตใจดีที่สุดในย่านนี้
"อะ....นี่เจ๊แถมให้นะโก เผื่อไม่พอกิน หรือกินไม่หมดก็เอาแช่ตู้ไว้กินพรุ่งนี้เช้า กินเย็น ๆ ก็อร่อยเหมือนกัน" พูดพร้อมกับยื่นถุงหิ้วที่มีถุงน้ำเต้าหู้แถมมาอีก 4 ถุงให้ ชายหนุ่มจึงอมยิ้มพร้อมกับยื่นแบงค์ร้อยให้แล้วใช้มืออีกข้างรับถุงมาถือไว้ในมือ
"กะแล้วว่าต้องแถม ไม่ต้องทอนนะเจ๊ ไปแล้วนะปัญ ปุณ" เขาเดินจากไปพร้อมกับโบกมือลาลูกสาวทั้งสองของเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ คนเป็นแม่จึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมา เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะยื่นเงินทอนให้เขาทัน
"โกนะโก วันนี้ไม่เอาเงินทอนอีกแล้ว"
"ฮ่า ๆ พี่โกนี่ใจดีจังเลยนะคะ บางวันก็ไม่เอาเงินทอน บางวันก็มาเหมาให้ เนี่ย...หนูว่า พี่โกเขาต้องแอบชอบพี่ปัญแน่ ๆ เลย" เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยแซวคนเป็นพี่ด้วยรอยยิ้ม
"น้อย ๆ หน่อย เป็นเด็กเป็นเล็กมาแซวอะไรเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวเถอะ"
"คิกคิก แบร่!!" เด็กสาวตัวเล็กไม่วายแลบลิ้นแหย่พี่สาวจนถูกมองค้อนกลับไป คนเป็นแม่จึงอมยิ้มและส่ายศีรษะไปมาอีกครั้งที่ลูกสาวเอาแต่หยอกล้อกันแทบทุกวัน
"กลับไปช่วยงานพ่อได้แล้วปัญ ไม่ต้องอยู่ช่วยทางนี้หรอก เดี๋ยวก็ขายหมดแล้ว"
"ไม่เป็นไรแม่ ขายหมดก็ค่อยเข็นรถกลับพร้อมกัน ปัญจะได้อยู่เป็นบอดี้การ์ดให้แม่ไง"
"แม่กลัวแต่ปัญจะไปขู่ลูกค้าแม่จนเขาไม่กล้ากลับมาซื้ออีกนี่สิ ดุอย่างกับหมา"
"ฮ่า ๆๆ แม่พูดถูก!!" เด็กสาวตัวเล็กหัวเราะร่า จนพี่สาวถึงกับหน้ามุ่ย
"ปุณ! แกนะแก!!"
"พอ ๆ กลับไปทั้งคู่นั่นแหละ ป่านนี้กลุ่มเด็กที่มาเรียนมวยกลับกันหมดแล้วมั้ง ไปช่วยพ่อเก็บอุปกรณ์ไป"
"โธ่แม่ ก็ให้พวกไอ้เปี๊ยกมันช่วยพ่อไปสิ มันเป็นลูกมือพ่อนะ"
"เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่!! ทำไมถึงได้พูดยากแบบนี้ฮะ แม่บอกว่าให้กลับบ้านก็กลับสิ!!"
"ทำไมต้องดุด้วยเล่า! ถ้างั้นปัญไปช่วยพ่อก่อนนะคะ เดี๋ยวจะกลับมาช่วยเข็นรถกลับ ห้ามเข็นกลับคนเดียวนะแม่ เข้าใจไหม"
"จ้า ๆ สั่งจังเลย ใครแม่ใครลูกเนี่ย"
"ฮ่า ๆ ปะปุณ กลับไปช่วยพ่อกัน"
"ค่า..." พูดจบเด็กสาวตัวเล็กก็วิ่งเข้าไปสวมกอดคนเป็นพี่ ก่อนทั้งสองจะเดินกอดเอวกันจากไปอย่างอารมณ์ดี
คนเป็นแม่มองตามลูกสาวทั้งสองพลางกับอมยิ้มด้วยความภูมิใจที่ทั้งสองรักและดูแลกันอย่างดีมาตลอด แม้จะหยอกล้อและมีทะเลาะกันบ้าง แต่คนเป็นพี่ก็ไม่เคยทำให้น้องสาวต้องเจ็บตัวเลยสักครั้ง แต่แล้ว...รอยยิ้มแห่งความสุขก็อยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากที่ลูกสาวทั้งสองได้เดินจากไปยังไม่ทันที่จะลับตา รถสปอร์ตคันหรูสีเทาที่ขับมาด้วยความเร็วสูงจนเสียหลักพุ่งชนรถเข็นร้านเต้าหู้เข้าอย่างจัง
โครม!!!!
เสียงครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ หญิงสาวทั้งสองที่เดิมทีจะได้กลับบ้านไปด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นคราบน้ำตาและเสียงสะอื้นราวกับแผ่นฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะสะเทือน ภาพที่ได้เห็นมันเกินกว่าจะรับไหว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนที่เป็นดั่งดวงใจ ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว...



"แม่!!!!" 
หญิงสาวสะดุ้งเฮือกจากเตียงนอนในเวลาเช้าตรู่ ความฝันที่เป็นดั่งเงามืดที่คืบคลานกัดกินหัวใจเธอมายาวนานนับปี ทุกอย่างมันยังคงเดิม เหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นเธอยังจำมันได้ดี เหงื่อกาฬที่ท่วมเต็มใบหน้าจนไหลตามแก้มเนียนช้า ๆ ก่อนจะถูกปาดออกด้วยมือข้างขวา ลมหายใจหอบเหนื่อยราวคนจะขาดใจดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอจึงล้มตัวลงนอนหนุนหมอนใบใหญ่เพื่อปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ
ปัญญาวี นอนมองพัดลมเพดานที่ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง หากมันเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเธอ มันคงจะอายุอานามมากแล้ว เพราะสภาพของมันนั้นเก่าคร่ำครึ วันดีคืนดีจะตกลงมาใส่เธอหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
"แกอย่าตกลงมานะไอ้เบื๊อก เศรษฐกิจห่วยแตกแบบนี้ฉันไม่มีปัญญาไปซื้อพัดลมใหม่หรอกนะ" เธอบ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะดีดตัวลุกไปปิดพัดลมโดยเร็วเพราะกลัวว่ามันจะตกลงมาอย่างที่เธอคิดจริง ๆ


"ปุณ ไปวิ่งกัน" พูดพร้อมกับดึงผ้าห่มผืนบางออกจากตัว ก่อนจะใช้ฝ่ามือตบที่ก้นของน้องสาวเบา ๆ
"อือ...พี่ปัญ! ก็บอกแล้วไงว่าปุณไม่ตื่นไปวิ่งวันอาทิตย์!!" เสียงตอบงัวเงียพร้อมกับเท้าน้อย ๆ ที่ยันอากาศเพราะอีกคนเอี้ยวตัวหลบได้ทัน
"ไม่ วันนี้พี่อยากวิ่งกับแก ลุกเร็ว อย่างอแง หัวใจแกไม่แข็งแรงนะ" 
"พี่ปัญ!! หัวใจไม่แข็งแรงก็ควรพักสิ งืม..."
"เถอะน่า วิ่งไปกลับหน้าค่ายก็พอ พี่ไม่ให้ออกกำลังกายหนักหรอก" พูดพร้อมกับตบก้นน้องสาวอีกครั้ง จนเท้าน้อย ๆ ต้องยันออกด้วยความโมโหแต่ก็ทำได้แค่ยันอากาศเท่านั้น เธอจึงดีดตัวลุกขึ้นมานั่งจ้องพี่สาวตาเขม็ง แต่อีกคนกลับกอดอกอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ปลุกน้องสาวได้สำเร็จ
"พี่ปัญ! พี่นี่ชอบทำลายความสุขในการนอนของปุณอยู่เรื่อยเลยอะ มันคือวันอาทิตย์ ยูโน้!? รู้จักไหมคะวันพักผ่อน ทูเดย์อิสซันเดย์ ยูโน้!?" น้องสาวตัวน้อยพูดแบบจีบปากจีบคอชวนมันเขี้ยว ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ปัญญาวีเห็นแบบนั้นจึงอมยิ้มมุมปาก ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นมาพาดที่บ่าของเธอทันที
"ไอ้ปัญ!!! ไอ้พี่บ้า!! ทูเดย์อิสซันเดย์!! ยูโน้!!!?"
"ซันดงซันเดย์อะไร!? รู้จักแต่ ทุก ๆ วันคือการออกกำลังกาย ยูโน้!?"
"ไอ้หมาบ้า!!!!"
"ฮ่า ๆ" เสียงหัวเราะที่ดังควบคู่กับเสียงทุบตุบ ๆ จากกำปั้นน้อย ๆ ของน้องสาว  ปัญญาวีกลับไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเพราะแรงกำปั้นที่กำลังทุบหลังเธอนั้น เบาจนแทบไม่รู้สึก
ด้วยความที่สองพี่น้องนั้นอายุห่างกันถึง 12 ปี ทำให้ปัญญาวีต้องดูแลน้องสาวราวกับเป็นลูกของตน และตอนนี้เธอเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านที่จะต้องดูแลค่ายมวยต่อจากพ่อของเธอ เพราะอายุอานามก็เริ่มมากจวนต้องวางมือกับการสอนวิชาศิลปะการต่อสู้และวิชามวยไทยแล้ว และเธอก็เป็นหนึ่งในนักเรียนดีเด่นด้านศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงวิชา จะมือเปล่าหรืออาวุธครบมือเธอก็รับมือไหว จะเรียกได้ว่าเธอเป็นอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้คงจะถูกมากกว่า


"แฮก ๆ พี่ปัญ ปุณไม่ไหวแล้วค่ะ" เด็กสาวหายใจเหนื่อยหอบพร้อมกับใช้มือค้ำที่หัวเข่าเอาไว้ ปัญญาวีจึงรีบวิ่งมาหาน้องสาวของเธอทันที ก่อนจะเอื้อมไปจับข้อมือบางเพื่อจะดูอัตราการเต้นของหัวใจจากนาฬิกาข้อมือที่ปุณญิสาสวมอยู่ข้อมือข้างซ้าย
"โอเค วันนี้พอได้แล้ว หายใจเข้าลึก ๆ นะ อย่าให้หัวใจเต้นเร็วกว่านี้"
"ค่ะ พี่ปัญไปวิ่งต่อเลยก็ได้ เดี๋ยวปุณจะยืดเส้นรอแถวนี้" 
"อืม โอเค อย่าเถลไถลนะ ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็เดินกลับบ้าน เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องวิ่ง โอเค๊!?"
"ค่า...พี่หรือแม่"
"แม่"
"ฮ่า ๆ ไอ้บ้า เป็นพี่ดี ๆ ไม่ชอบ อยากเป็นคนแก่เหรอจ๊ะต้าวปัญ"
"เดี๋ยวเจอใส่ศอก" พูดพร้อมกับตั้งท่าสับศอกใส่น้องสาวแกมยั่วโมโห
"ฮ่า ๆ ดุอย่างกับหมา เมื่อไหร่จะมีแฟนสักทีเนี่ย"
"โอ๊ยปุณ! อย่าพูดเรื่องแฟนได้ปะ!!?"
"ทำไมอะ"
"มันเจ็บหัวใจ ฮือ...คนแบบพี่สามารถปกป้องแฟนได้นะ ทำไมคนเขาไม่ชอบกันอะ" พูดพลางกับเตะต่อยอากาศแสดงท่าทางโอ้อวดเรื่องศิลปะการต่อสู้ที่ร่ำเรียนมา จนน้องสาวถึงกับหลุดขำพรืดออกมา
"ฮ่า ๆ ก็พี่เป็นแบบนี้ไง ขี้โม้มากนะรู้ตัวไหม แล้ววัน ๆ ก็เอาแต่ต่อยกระสอบ ใครเขาจะกล้ามาจีบอะ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ ถ้าพี่ปัญมีแฟน ปุณก็คงเหงาแย่"
"ไม่หรอก ต่อให้พี่มีแฟน พี่ก็จะไม่ทิ้งปุณอยู่ดี"
"ลองทิ้งดูสิ จะตามไปใส่ศอกเลยคอยดู"
"ตัวเล็กอย่างกับชิวาว่า ทำเป็นมาขู่เค้าฟ่อ ๆ นะปุณ"
"ฮ่า ๆ เกลียดอะ ทำไมแม่ต้องปล่อยให้ปุณเกิดช้ากว่าพี่ปัญตั้ง 12 ปีนะ ถ้าเราอายุไล่เลี่ยกันนะ ปุณคงไม่ตัวเล็กและอ่อนปวกเปียกแบบนี้หรอก"
"ไม่หรอก ไม่ได้อ่อนปวกเปียกสักหน่อย น้องพี่แข็งแร็งที่สุดในย่านนี้แล้วรู้ไหม ใครหน้าไหนมาว่าน้องพี่นะ พี่จะอัดมันให้น่วมเลย"
"พอแล้ว! พี่ใครก็ไม่รู้ อวดเก่ง ขี้โม้ที่หนึ่งเลยอะ ไปวิ่งได้แล้วค่ะ เดี๋ยวปุณรอแถวนี้นะ"
"โอเคค่ะ เดี๋ยวพี่มานะหมาน้อย" พูดพร้อมกับเอื้อมมือลูบศีรษะน้องสาวก่อนจะจับโยกไปมาจนถูกเจ้าตัวต่อยท้องกลับไปด้วยความมันเขี้ยว 
แม้คนเป็นพี่จะชอบยั่วโมโหจนตัวเองต้องเจ็บตัวเพราะน้ำมือน้องสาวอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้หญิงที่ชื่อ ปัญญาวี นั้น เปรียบเสมือนฮีโร่ในดวงในของปุณญิสาเสมอมา สาวสวยผมดำประบ่าเจ้าของรอยยิ้มที่อบอุ่น ใบหน้าคมเข้มตามแบบฉบับพิมพ์นิยมของไทย ที่ใครคิดจะเข้ามาจีบ จะต้องผ่านการถูกไล่ตะเพิดจากน้องสาวก่อนทุกครั้ง และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่มีแฟนเสียที ที่แท้...ตัวการก็คือน้องสาวตัวแสบนี่เอง...


เวลาผ่านไปไม่นานนัก ระหว่างที่ปัญญาวีหยุดพักยืดเส้นยืดสายข้างทาง เธอก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กที่กำลังวิ่งมาหาเธอหน้าตาตื่น พร้อมกับกลุ่มควันโขมงสีดำ ทำเอาเธอถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"ปุณ!!! วิ่งมาทำไม!!!?"
"พี่ปัญ!!! แฮก ๆ พี่ปัญ!! ค่ายมวยไฟไหม้!!!"
"อะไรนะ!!!?" 


เสียงไซเรนของรถดับเพลิงที่ขับผ่านหน้าปัญญาวีไปอย่างรวดเร็วระหว่างที่เธอต้องแบกน้องสาวตัวเล็กขึ้นขี่หลัง หัวใจที่กระหน่ำเต้นตึกตักหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอได้แต่อ้อนวอนในใจ ขออย่าให้มีใครเป็นอะไรเลย แค่ต้องสูญเสียแม่ไปก็เจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหวแล้ว
ปัญญาวีแบกน้องสาววิ่งไปตามทางเพื่อไปยังต้นตอของกลุ่มควันสีดำด้วยความร้อนใจ ชาวบ้านพร้อมกับเด็กในค่ายมวยต่างพากันถือคุและขันน้ำช่วยกันดับไฟที่กำลังโหมปะทุไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลง ปัญญาวีมองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ความหวาดหวั่นกำลังเล่นงานเธออีกครั้ง ใครบางคนที่เธอมองหา ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา
"ไอ้เปี๊ยก!!! พ่อกูอยู่ไหน!!?" ทันทีที่ชายหนุ่มหุ่นบางวิ่งหน้าตาตื่นมาทางเธอ เธอจึงรีบเอ่ยถามทันที
"พี่ปัญ!!! แย่แล้ว!! ลุงปองวิ่งเข้าไปข้างในเพื่อไปเอากรอบรูปป้าเปียว!!!"
"อะไรนะ!!!? แล้วมึงปล่อยให้พ่อกูเข้าไปได้ยังไง!!!"
"ทุกคนพยายามห้ามแล้วพี่!!! ลุงปองอัดคนที่เข้าไปห้ามทุกคนเลย ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปช่วยอยู่ เดี๋ยวก็คง..."
โครม!!!!
อีกครั้ง...ที่เสียงครึกโครมทำให้หัวใจของเธอแทบแหลกสลายเป็นผุยผง 
อีกครั้ง...ที่เธอต้องเห็นภาพที่ทารุณหัวใจเธอจนไม่เหลือชิ้นดี
โครงสร้างที่ผ่านการเผาไหม้เป็นเวลานานถล่มลงต่อหน้าต่อตา ทั้งที่ดวงใจของเธอยังอยู่ด้านใน...โสตประสาททุกอย่างหยุดทำงานอย่างฉับพลัน ตอนนี้ปัญญาวีไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกรีดร้องของคนโดยรอบ ความเจ็บปวดแสนสาหัสกระหน่ำเข้าใส่ขั้วหัวใจของเธออีกครั้งราวกับเคียดแค้นเธอมาแต่ชาติปางไหน เธอทำกรรมอะไรเอาไว้อย่างนั้นหรือ ถึงต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปถึง 2 คน
"ลุงปอง!!!!!"
"พ่อ!!!! ฮือ ๆ พี่ปัญ!! พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหม!! พี่ปัญ!! ฮือ ๆ บอกปุณสิว่าพ่อไม่เป็นอะไร!!" เสียงสะอื้นราวจะขาดใจดังออกมาจากคนที่กำลังแบกอยู่บนหลัง ตอนนี้เธอเจ็บเจียนตายแต่กลับไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาสักหยด มันจุกจนเธอพูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะตอบกลับไปให้น้องสาวสบายใจ ไม่เลย...เธอตอบแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ
"พี่ปัญ!!! ฮือ ๆ พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหม ตอบปุณที! ฮือ ๆ อะ...อัก!!" ทันทีที่ฝ่ามือน้อย ๆ จิกที่บ่าทั้งสองข้างเรียกสติของปัญญาวีคืนกลับมาได้ในทันที เรื่องที่ถาโถมเข้าใส่มันยังไม่หมดอยู่แค่นี้ เธอค่อย ๆ ย่อตัวลงเพื่อประคองตัวน้องสาวให้มาอยู่ในอ้อมกอด มือน้อย ๆ ข้างขวากุมที่หน้าอกเอาไว้ สีหน้าของเธอไม่สู้ดีนัก พร้อมกับลมหายใจหอบเหนื่อย ปัญญาวีรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของเธอ
"ปุณ!!! อย่านะปุณ!!! ใครก็ได้!! ตามรถพยาบาลให้ที!!!! ไอ้เปี๊ยก!!! เรียกรถพยาบาลให้กูที!!!!"
"พะ...พี่ปัญ...ปุณ...เจ็บ...หัวใจ"
"ไม่ ๆๆๆ ไม่นะปุณ ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ ใครก็ได้ ช่วยด้วย!!!!"


"พี่ปัญ!! น้องปุณเป็นยังไงบ้างพี่!!" ชายหนุ่มหุ่นบางพร้อมกับกลุ่มคนที่สวมกางเกงมวย ทั้งเสื้อผ้าและเนื้อตัวมอมแมมจากเขม่าควันไฟวิ่งมาหาเธอที่กำลังนั่งบีบมือตัวเองอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล ทันทีที่ปัญญาวีเห็นชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นน้องชายแท้ ๆ วิ่งมาหา เธอถึงกับปล่อยโฮและพุ่งไปกอดเขาเอาไว้แน่น
"เปี๊ยก!! ฮึก ๆ มันเกิดเรื่องเหี้ยอะไรกับกูนักหนาวะ!! ฮือ ๆ หมอยังไม่ออกมาเลย น้องกูจะเป็นอะไรไหมวะ ฮึก ๆ"
"ใจเย็น ๆ นะพี่ น้องปุณต้องไม่เป็นอะไร พี่เชื่อเปี๊ยกนะ"
"ฮือ ๆ เปี๊ยก แล้วพ่อกูเป็นยังไงบ้าง เจ้าหน้าที่ช่วยพ่อกูออกมาได้ใช่ไหม" พูดพร้อมกับผละออกจากอ้อมกอดทั้งน้ำตา
ชายหนุ่มทั้ง 5 คนต่างมีท่าทีสลดลงทันทีหลังจากได้ยินคำถามจากเธอ ปัญญาวีจึงจับที่บ่าทั้งสองข้างของชายหนุ่มแล้วเขย่าอย่างแรงเพื่อเค้นหาคำตอบ ทั้งที่ยังคงสะอื้นอยู่อย่างนั้น
"ไอ้เปี๊ยก!!! พ่อกูปลอดภัยใช่ไหม!!!? ฮึก ๆ"
"พี่ปัญ...ใจเย็น ๆ นะพี่ นี่มันโรงพยาบาลนะ" ชายหนุ่มผิวสีแทนอีกคนพูดพร้อมกับเอื้อมมาจับที่แขนของเธอ แววตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาจึงเปลี่ยนมาจ้องหน้าเขาทันที
"ไอ้โต้ พ่อกูอยู่ไหน มึงบอกกูมาสิ ว่าพ่อกูปลอดภัยแล้ว มึงพูดมาสิ!!!"
"พี่ปัญ...ทำใจดี ๆ ไว้นะพี่...ลุงปอง...ไม่กลับมาหาเราแล้ว"
"ไอ้เหี้ยเปี๊ยก!!! มึงพูดดี ๆ นะ มึงอย่ามาปากหมาแถวนี้นะ ไม่งั้นกูอัดมึงน่วมแน่!!"
"ลุงปองเสียแล้วพี่ปัญ..."
"ไอ้เหี้ยเปี๊ยก!!!" สิ้นสุดคำพูดของชายหนุ่ม ปัญญาวีกำหมัดแน่น ก่อนจะต่อยหน้าของเขาอย่างจังจนล้มไปกองกับพื้น คนอื่น ๆ จึงต้องล็อกตัวเธอเอาไว้ พร้อมกับพยายามพาเธอออกไปด้านนอกอย่างทุลักทุเล
"กูไม่เชื่อ!!! พ่อกูยังไม่ตาย!! ไอ้เหี้ย!! พวกมึงปล่อยกู!!!"


4 วันผ่านไป...
"พี่ปัญ พี่กินอะไรบ้างได้ไหม นี่พี่ไม่หลับไม่นอน และไม่กินอะไรมา 3 วันแล้วนะ" ชายหนุ่มหุ่นบางพูดพลางกับหันไปมองกล่องข้าวที่ยังอยู่สภาพเดิมตั้งแต่เช้า ตอนนี้ปัญญาวีเอาแต่นั่งมองประตูห้องฉุกเฉิน เพราะหวังว่าสักวันน้องสาวของเธอจะออกมาส่งยิ้มให้เธอดังเดิม สภาพของเธอดูอิดโรยจากการอดหลับอดนอน ไม่ยอมกินข้าวกินปลามาตลอดเวลาที่ผ่านมาจนซูบผอม ผิวหนังแนบเนื้อเห็นกระดูกนูนที่ใบหน้าของเธอ
"พี่ปัญ กินข้าวเหอะ..."
"กูกินไม่ลง..." เสียงเอ่ยตอบอย่างคนไม่มีแรง
"ถ้าน้องปุณฟื้นขึ้นมาเห็นสภาพพี่อย่างกับซอมบี้แบบนี้นะ น้องปุณต้องโกรธพี่มากแน่ ๆ"
"อืม...ให้ปุณฟื้นขึ้นมาโกรธกูมันก็ดีกว่าที่ต้องหลับอยู่แบบนี้นะ"
"โธ่พี่ปัญ...เปี๊ยกขอร้อง กินข้าวเถอะนะพี่ งานศพลุงปองพี่ก็ไม่ไป พี่เอาแต่นั่งเฝ้าหน้าห้องไอซียูเนี่ย เดี๋ยวน้องปุณก็ฟื้น เชื่อเปี๊ยกเถอะนะ ไอ้พวกนั้นมันจุดธูปฟ้องลุงปองหมดแล้วนะว่าพี่ไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่ยอมกินข้าวด้วย ถ้าพี่เป็นอะไรไปอีกคน น้องปุณจะอยู่ยังไงวะ"
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม น้ำตาค่อย ๆ รินไหลออกมาช้า ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่เบาจนแทบจะไม่หลงเหลือเสียงให้เอ่ยออกมาอีกแล้ว ปัญญาวีไม่มีแม้กระทั่งแรงที่จะกำมือ หากต้องสูญเสียน้องสาวไปอีกคน ชีวิตของเธอคงถูกเงาดำที่คืบคลานมากัดกินชีวิตของเธอด้วยเช่นกัน หากต้องอยู่โดยไร้ซึ่งดวงใจ ขอให้เธอดับสลายหายไปเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เสียยังดีกว่า
"กินข้าวเพื่อน้องปุณนะพี่ เปี๊ยกขอ"
"อือ...ฮึก ๆ" เมื่อได้ยินเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับถือข้าวกล่องมาวางที่หน้าตัก ก่อนจะบรรจงตักข้าวพอดีคำมาป้อนปัญญาวีด้วยความระมัดระวัง เพราะเธอเอาแต่สะอื้นร่ำไห้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอมีแรงจะเคี้ยวข้าวหรือไม่ แต่หากต้องกินเพื่อน้องสาวแล้วนั้น ต่อให้ลำบากแค่ไหนเธอก็จะทำ...
ปุณ...อย่าเป็นอะไรไปอีกคนนะ ตอนนี้พี่ไม่เหลือใครแล้ว พี่ขอร้องล่ะ ถ้าปุณออกมา พี่จะให้ปุณถีบเลย จะยืนเป็นกระสอบทรายให้ต่อยเลย คนเก่งของพี่...อย่าทิ้งพี่ไปนะ ได้โปรด...ฟื้นขึ้นมายิ้มให้พี่ที...
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“เปิดมาตอนแรก นางเอกของเราก็ได้เจอกับความเจ็บปวดแสนสาหัสแล้วค่ะ ชีวิตกำลังมีความสุขกันแท้ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ความเจ็บปวดกับการที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปนั้น จะเป็นชนวนให้ความแค้นในใจของปัญญาวีสูงขึ้นหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...”