ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 30 นิรันดร์ (จบ)

ภาพถ่ายวัยเด็กของเด็กสาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่ยืนส่งยิ้มราวกับโลกทั้งใบไม่เคยหม่นหมอง พร้อมกับเด็กหนุ่มผิวพรรณดีที่ยืนเคียงคู่กันถูกอัดกรอบด้วยไม้สักแกะสลัก ก่อนที่กรอบรูปจะร่วงลงจากโต๊ะราวกับว่ามีใครมาดันมันให้ตกพื้นทั้ง ๆ ที่ถูกตั้งวางเอาไว้อย่างดีแล้ว
เพล้ง!!!
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งพิมพ์งานอยู่บนโต๊ะทำงานถึงกับสะดุ้งโหยงและหันขวับไปตามต้นตอของเสียงทันที จากคำเล่าขานตั้งแต่โบราณกล่าวเอาไว้ว่า หากกรอบรูปบุคคลใดบุคคลหนึ่งตกแตกอาจมีลางบอกเหตุบางอย่างก็เป็นได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบเศษกระจกจากกรอบรูปด้วยความร้อนใจ แม้เขาจะเชื่อแบบไม่เต็มร้อย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องร้าย ๆ กับน้องสาวของเขาหรือไม่
ครืด ครืด ~
เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดอยู่บนโต๊ะทำงานทำเขาสะดุ้งอีกครั้งจนพลาดโดนเศษกระจกบาดที่นิ้วชี้จนเลือดไหลออกมา เขาขบกัดริมฝีปากล่างด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปหยิบกระดาษทิชชูแผ่นบางมาซับเลือดที่ปลายนิ้วชี้ แล้วจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งกดรับโทรศัพท์
“ว่าไงไอ้ณิน โทรมาตอนนี้กูใจไม่ดีเลยว่ะ”
“ว่าน ที่บ้านมึงโทรมาเลื่อนให้กูไปกินข้าวที่บ้านเย็นนี้แล้วว่ะ แถมน้องตานก็ไม่มาโรงเรียนสองวันแล้วด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าวะ”
“เมื่อวานน้องตานมาตามหากู...หรือว่าพวกนั้นมันจะรู้ว่ากูกับน้องเจอกันแล้ววะ”
“กูรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากลว่ะว่าน วันนี้มึงตามมาที่บ้านได้ไหม”
“กูก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเหมือนกันว่ะ กูเพิ่งกลับมาบ้านด้วย เดี๋ยวกูรีบเคลียร์งานให้พ่อ แล้วกูจะรีบไป”
“โอเคมึง อย่าช้านะ”

เข็มไมล์ของรถยนต์คันหรูที่วัดระดับความเร็วเกินขีดจำกัดที่กฎหมายกำหนดแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงแต่อย่างใด นอกจากขับตรงไปยังเป้าหมายด้วยความร้อนใจ มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยเอาไว้แน่น พร้อมกับวิงวอนในใจขอให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โปรดคุ้มครองน้องสาวของเขาที
แม่...คุ้มครองน้องด้วยนะครับ อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับน้องเลย...


ปัง!!!
สิ้นเสียงปืนยิงขึ้นฟ้า เสียงสัตว์บริเวณรอบต่างร้องระงมด้วยความตกใจ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหมอบลงเพราะเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ก่อนที่ทุกคนจะหันไปตามต้นตอของเสียงอย่างพร้อมเพรียง
“มึงมันเศษเดน...คนอย่างมึงน่าจะตายแทนแม่กูไป ปล่อยน้องกูกับพวกเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะเปลี่ยนเป้าหมายมายิงหัวมึง!!!” สิ้นเสียงพูดของชายเจ้าของเสียง คนเป็นพ่อถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเล็งปืนไปทางลูกชายแทน
เมื่อมะลิเห็นว่าคนที่เป็นคนยิงปืนไปเมื่อสักครู่คือใคร เธอจึงรีบวิ่งไปอยู่เคียงข้างสามีของเธอทันที เหล่านักเรียนชายหญิงเห็นว่าเหตุการณ์ไม่สู้ดีนักจึงรีบกระโดดลงจากเรือ ก่อนที่ตานจะรีบพานักเรียนของเธอวิ่งไปหลบข้างหลังต้นตะแบกขนาดใหญ่ข้างท่าน้ำ
“เด็ก ๆ มานี่เร็ว!!” สองแขนโอบกอดร่างนักเรียนหญิงทั้งสองที่ยืนสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับที่เด็กหนุ่มยืนกอดเธออยู่ทางด้านหลังเอาไว้แน่น
“คุณพจน์!!” 
“ไอ้เหี้ยว่าน!!!! มึงเข้ามาที่นี่ได้ยังไง แล้วลูกน้องกูที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านมันหายหัวไปไหนหมดวะ!!!?”
“มึงอย่าลืมสิ ว่าลุงชัยจำกูได้ แค่เห็นหน้ากูก็เปิดทางให้กูเข้ามาแล้ว”
“ไอ้ชัย!! ไอ้เหี้ย!!”
“หึ...อีกไม่นานตำรวจก็จะมาที่นี่แล้ว มึงกับอีมะลิทำเหี้ยอะไรไว้อย่าคิดว่ามึงจะรอดไปได้นะ คณินเพื่อนกูอยู่ไหน!!?”
“คณินคือคนของพวกมึงหรอกเหรอ เหอะ...พวกมึงซ้อนแผนกูเหรอไอ้ว่าน!!” มะลิตวาดกลับเสียงแข็ง
“แผนระยำ ๆ ที่จะส่งผู้ชายไปปล้ำน้องกูเนี่ย คนคิดมันชาติชั่ว สารเลวจริง ๆ แต่ไม่เป็นไร แค่เรื่องวันนี้มึงก็เตรียมตัวไปนอนในคุกได้แล้ว!!”
วอ!! วอ!!
สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม เสียงไซเรนและแสงไฟฉุกเฉินส่องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ก่อนที่เจ้าหน้าที่นับสิบนายจะกู่ลงจากรถพร้อมอาวุธครบมือ ทันทีที่พจน์เข้าสู่ตาจน เขาจึงคว้าตัวภรรยาของเขาเข้ามาบังเอาไว้พร้อมกับถือปืนจ่อที่ศีรษะของเธอหวังเพียงเพื่อจับเป็นตัวประกัน
“ถอยออกไป!! ไม่งั้นกูยิงอีนี่!!”
“ไอ้เหี้ยพจน์!!! กูเป็นเมียมึงนะ มึงทำกับกูแบบนี้ได้ยังไง ไอ้เลว!!!”
“มึงคิดจะฆ่าลูกกู มึงจะกล้าด่ากูว่าเลวอีกเหรอ เออ!! มึงกับกูก็เลวพอกันนั่นแหละ!!!” 
“วางอาวุธลง แล้วยอมมอบตัวซะเถอะ” ระหว่างที่กองกำลังนับสิบนายกำลังเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองยอมมอบตัว ว่านจึงลดอาวุธลง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวไปทางน้องสาวและเหล่านักเรียนช้า ๆ อย่างระมัดระวัง
“ทุกคน มาทางนี้เร็ว” พูดจบทุกคนจึงรีบวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเขาทันที เหลือก็เพียงแค่นัท ที่ยังกอดครูสาวเอาไว้แน่น และพยายามเดินไปทางเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือและคอยคุ้มกันพวกเธอด้วย
“พี่ว่าน! ครอบครัวพี่คณินอยู่บนบ้านค่ะ น่าจะถูกวางยา!”
“ไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่เข้าไปในบ้านแล้ว ตานเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”
“ตานไม่เป็นไรค่ะ พี่ว่านช่วยคุ้มครองเด็ก ๆ ที”
“ไม่เป็นไร ทุกคนปลอดภัยแล้วนะ”
“เราปลอดภัยแล้วนะนัท”
ทั้งตานและนัทต่างยืนสวมกอดกันและกันเอาไว้แน่น ในที่สุดคนเลวก็จะได้ถูกลงโทษเสียที ชีวิตของเธอก็จะได้เป็นอิสระดั่งใจหวัง อ้อมกอดนี้คอยปลอบโยนและคอยมอบไออุ่นในช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่เสมอ ทั้งสองต่างน้ำตารินไหลออกมาเป็นสายด้วยความดีใจ นับว่าเป็นแสงสว่างที่ส่องลงมาให้โลกที่เคยหมองหม่นกลับสดใสขึ้นมาอีกครั้ง
แต่แล้ว...มันกลับเป็นแสงสว่างที่ส่องลงมาแค่เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
“ปล่อยตัวประกันแล้ววางอาวุธลงซะ!!!”
จังหวะที่พจน์ปลดปล่อยร่างภรรยาให้เป็นอิสระ และเขากำลังจะลดอาวุธลง แต่ภรรยาที่เคยว่ารักกันนักรักกันหนากลับหันมาคว้าปืนและยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ราวกับคนเสียสติที่ถูกต้อนให้จนมุมและขอเพียงแค่ปลิดชีวิตคนที่คิดจะหักหลังก็ยังดี
“อีมะลิ!! มึงปล่อย!!!”
“มึงคิดจะฆ่ากูเหรอไอ้พจน์ กูจะฆ่ามึง!!!”
“อีระยำ!!! มึงอยากตายหรือไง!!!”
ปัง!!!
เสียงปืนที่ครั้งนี้ดังสนั่นหวั่นไหวกว่าทุกครั้ง กลีบดอกพุดตานสีชมพูเข้มที่ถึงเวลาร่วงโรยก็ร่วงหล่นช้า ๆ ก่อนจะตกกระทบลงสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วงที่ไม่อาจต้านทานได้ ความเจ็บปวดทรมานถาโถมเข้าใส่แบบฉับพลัน ทุกอย่างหยุดชะงักอยู่เพียงแค่นั้นราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้
กระสุนปืนที่เจาะทะลุร่างของคนทั้งสองที่กำลังสวมกอดกันและกันเอาไว้ปิดฉากความสุขให้จบลงในชั่วพริบตาเหลือแค่เพียงเสียงกรีดร้องราวกับแผ่นดินจะสลายลงไปตรงนั้น หัวใจของคนเป็นพี่แทบแหลกสลายเป็นผุยผงเมื่อเห็นร่างของน้องสาวค่อย ๆ ทรุดลงช้า ๆ
“ตาน!!!!!”
“นัท!!!!”
“ครู...ทำไม...หนูเจ็บจัง...อัก!” คำพูดสุดท้ายก่อนที่เลือดสีแดงฉานจะกระอักออกมาทางปากพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งไปให้คนตรงหน้า ว่านและบิ๊กรีบวิ่งมาคว้าร่างทั้งสองที่กำลังจะร่วงลงกระทบสู่พื้นดินไปพร้อม ๆ กันให้มาอยู่ในอ้อมกอดของตนก่อนจะประคองร่างให้นอนลงช้า ๆ มือของทั้งคู่ยังคงจับกันและกันเอาไว้แน่น อย่าเลย...อย่าให้เราต้องพรากจากกันอีกเลย...
“นัท!!! ฮือ ๆ นัท อย่าเป็นอะไรนะ!!! ฮือ!!!”
“ตาน!!!! ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ!!! ตาน!!!! อย่าหลับนะพี่ขอร้อง!!!”
“ไอ้เหี้ยนัท!!! กูกับมึงเพิ่งจะได้เป็นเพื่อนกันเองนะเว้ย!!! มึงอย่าตายนะ!! ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!! มึงตื่นขึ้นมาด่ากู!!!”
ทั้งว่านและบิ๊กต่างพยายามเรียกสติของร่างทั้งสองที่อาบไปด้วยเลือดทั้งน้ำตา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้ มันสายเกินไปเสียแล้ว ลมหายใจรวยรินของคนทั้งคู่กำลังจะหมดลงทุกวินาที จังหวะของหัวใจที่เริ่มต้นช้าลง มือข้างซ้ายของนัทยังจับผสานกันแน่นกับมือข้างขวาของครูสาวพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมาช้า ๆ ความเจ็บปวดที่เคยประสบพบเจอมาทั้งชีวิตมันเทียบไม่ได้กับตอนนี้ที่เธอได้เห็นคนที่รักเท่าชีวิตกำลังจะสิ้นใจต่อหน้าต่อตา
นัท...ถ้าชาติหน้ามีจริง...เราจะได้เจอกันอีกไหมนะ...ขอให้ผลบุญที่ครูทำมาให้เธอทั้งชีวิต ช่วยหนุนนำให้เธอไปเกิดในตระกูลที่ดีเถอะนะ...
ครูคะ...เจ็บหรือเปล่า อย่าร้องไห้เลยนะ ช่วยยิ้มให้หนูเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือเปล่าคะ...
แววตาของทั้งคู่ที่กำลังจ้องมองกันและกันนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แม้จะอยากเอ่ยคำลาเพียงใด แต่ก็ไม่อาจที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคใดได้อีกแล้ว ไม่...แม้แต่คำเดียว ไม่...แม้แต่จะส่งยิ้มกลับไป

เมื่อดวงใจมีรัก...มอบแด่ใครสักคน หมดทุกห้องหัวใจ ขอให้เธอมั่นใจรักจริง ฉันจะยอมมอบกายพักพิง แอบแนบอิงนิรันดร์...

ภาพในอดีต ถูกฉายซ้ำในความคิดซ้ำไปซ้ำมา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความสุขเดียวที่ได้รับมาทั้งชีวิต อ้อมกอดอันอ่อนโยน บทเพลงรักอันหวานชื่นที่ไม่ว่าจะได้ยินคราใดก็อบอุ่นหัวใจไม่เคยเลือนลา เสียงเอ่ยเรียกที่ดังกึกก้องค่อย ๆ เลือนลางหายไปช้า ๆ อุณหภูมิของร่างกายเย็นยะเยือกราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ก่อนดวงตาของทั้งคู่จะปิดลงช้า ๆ จนทุกสิ่งทุกอย่างมืดบอดลงไป ไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจที่กำลังรวยริน ไม่มีแม้กระทั่ง...จังหวะการเต้นของหัวใจ
ตึกตึก....ตึกตึก....ตึก............
นัท...ครูรักเธอนะ....
หนูรักครูตานนะคะ....

“ไม่นะตาน ไม่นะ!! ตานอย่าหลับนะ ตาน!!! ฟื้นสิตาน!!!! เราจะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้วนะตาน พี่มารับตานแล้วนะ ฮึก!!”
“นัท!!! อย่าทิ้งเราไป!! ฮือ ๆ นัทตื่นขึ้นมาหาเราเดี๋ยวนี้เลยนะ!!! ฮือ ๆ”
บริเวณโดยรอบมีแค่เพียงเสียงสะอื้นราวจะขาดใจ ไม่มีอีกแล้วครูสาวที่ส่งยิ้มหวานทักทายที่หน้าห้อง ไม่มีอีกแล้วนักเรียนหญิงนิสัยห้าวที่ตะโกนด่ากันข้ามฟาก เหลือก็เพียงแต่...ร่างไร้วิญญาณที่หลับใหลตลอดกาลเท่านั้น...


25 ปีผ่านไป
“ปิดเทอมแล้วโว้ย!!!! ฉันจะนอนดูการ์ตูนให้ตาแฉะไปเลย!!!” เด็กสาวสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายที่อดีตเคยชื่อว่า โรงเรียนกัลทรประสิทธิ์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนกัลทรวิทยา ตามชื่อเจ้าของคนใหม่ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่านักเรียนที่เดินออกจากห้องสอบในวิชาสุดท้ายต่างโล่งใจเมื่อการสอบสุดหินของภาคเรียนสุดท้ายได้จบลง
“เตรียมตัวเข้ามหาลัยดีกว่าไหมณัฐ”
“โห...ไรอะปาร์ตี้ อย่าขัดฟีลได้ปะ เรื่องมหาลัยคือเรียบร้อยหมดแล้วไง ระหว่างนี้ก็ให้ได้ผ่อนคลายหน่อยไม่ได้เหรอ”
“จ้า ๆ แล้วแต่เลย อย่าลืมไปขอลายเซ็นแม่เธอมาให้เราด้วยนะ”
“เธอนี่ก็แปลกคนนะปาร์ตี้ เดี๋ยวนี้คนเขาอ่านอีบุ๊คกันหมดแล้วมั้ง น่าจะมีแต่เธอเนี่ยที่ยังอ่านหนังสือนิยายอยู่”
“ณัฐ เธอไม่รู้เหรอ เวลาอ่านหนังสือนิยายน่ะ มันได้อรรถรสและก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของกระดาษด้วยนะ แล้วการสะสมหนังสือในยุคดิจิตอลแบบนี้น่ะ เป็นอะไรที่คราสสิกมาก ๆ”
“พิลึกคน หาซื้อก็ยาก ถ้านักเขียนไม่สั่งตีพิมพ์ก็คงไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครอง แถมหอหนังสือก็เหลือที่เดียวในประเทศด้วย อะไรมันจะอินขนาดนั้น การตามหาหนังสือยุคแบบนี้เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยมั้ง”
“โอ๊ย! เธอไม่อินอะณัฐ เธอลองไปหอหนังสือกับเราสักครั้งไหมล่ะ แล้วเธอจะเข้าใจ ว่าการอ่านจากหนังสือน่ะ มันดีกว่าอ่านจากหน้าจอหลายเท่า สายตาก็ไม่เสียด้วย”
“เฮ้อ...เอาเถอะ ๆ ความชอบใครความชอบมัน เราก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนน่ะนะ”
“อย่าลืมนะ กลับไปขอลายเซ็นแม่เธอให้เราด้วย” พูดพร้อมกับยื่นหนังสือนิยายเล่มหนาให้ ณัฐจึงรับมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยักคิ้วเป็นการตอบรับ
“ถ้าแม่เซ็นให้แล้ว พรุ่งนี้เอาไปให้ที่หอหนังสือได้ปะ”
“อือ ชีวิตเธอก็คงจะไปหมกตัวอยู่ที่หอหนังสือสินะ งั้นเรากลับบ้านแล้วนะ คนขับรถมารับแล้ว”
“โอเค ไว้เจอกันนะณัฐ”
“เค บาย” ณัฐกล่าวลาเพื่อนรักที่สวมแว่นตากรอบใสสมกับฉายาหนอนหนังสือของห้อง ก่อนจะเดินหันหลังจากมาพร้อมกับก้มลงมองหนังสือนิยายเล่มหนาในมือ ภาพหน้าปกที่เป็นดอกไม้สีชมพูสลับกับสีขาวดูสดใส แต่คาดเดาเนื้อหาด้านในไม่ได้เลย เพราะหน้าตาดูแตกต่างจากหน้าปกนิยายวัยรุ่นที่เห็นได้ทั่วไป และยังมีชื่อเรื่องที่เขียนแบบตวัดว่า 'ดวงพุดตาน' ณัฐถึงกับมองคิ้วขมวด
“ปาร์ตี้มันอ่านอะไรวะเนี่ย...”


ชับ...ชับ...ชับ...
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เดินไปตามพื้นหญ้า ก่อนจะหยุดอยู่บริเวณที่เก็บอัฐิคู่หนึ่งที่รายล้อมด้วยต้นพุดตานสีชมพูอ่อนในเวลากลางวัน หญิงวัยกลางคนอมยิ้มและมองไปที่ภาพถ่ายของคนทั้งสองที่ถูกวางเอาไว้ข้างกัน ก่อนจะนำพวงมาลัยมะลิสดกลิ่นหอมรัญจวนลงที่บนพานสีทอง
แชก!! แชก!!
เสียงจุดไฟแช็กดังขึ้นก่อนที่ควันจากธูปหอมจะพวยพุ่งออกมาตามหลังเปลวไฟ เธอพนมมือเอาไว้ที่กลางอกก่อนจะนำธูปไปปักเอาไว้ที่กระถาง
“หนูเอาพวงมาลัยมาเปลี่ยนให้แล้วนะคะน้าตาน นัท...”
“สวัสดีปราง เอาพวงมาลัยมาไหว้อัฐิครูตานกับนัทเหมือนกันเหรอ” สิ้นเสียงที่ดังตามหลังมา หญิงวัยกลางคนถึงกับหันขวับ ก่อนจะเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินถือพวงมาลัยมะลิสด และพวงมาลัยดาวเรืองสีเหลืองเอาไว้ในมือ เธอจึงยืนขึ้นและส่งยิ้มทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร
“อืม ทุกคนก็เหมือนกันเหรอ”
“ใช่ ครบรอบยี่สิบห้าปี ที่ครูตานกับเพื่อนรักของพวกเราได้จากไปแล้วนี่ พวกเขาคงอยากเห็นพวกเรามาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ว่าไหม” 
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งสวมแว่นตากรอบหนาเตอะกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปวางพวงมาลัยมะลิสดเคียงข้างพวงที่ถูกนำมาวางไว้ก่อนหน้าแล้ว ตามด้วยคนอื่น ๆ เช่นกัน
“ทุกคนสบายดีนะ” หญิงที่มาถึงคนแรกเอ่ยถาม
“เราสบายดี เสร็จจากนี่เราไปกราบพระอาจารย์บิ๊กกันไหม” 
“ใช่ ๆ ท่านคงดีใจที่ได้เจอพวกเรา” หญิงหน้าตาคล้ายคลึงกันสองคนเอ่ยตอบรับคำ
“ได้ข่าวว่าท่านบวชไม่สึกเลยเหรอ” 
“ใช่แล้วค่ะคุณ ทุกคนไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราขอคุยกับนัทสักหน่อย”
“อืม แล้วตามมานะเปา เต้” เมื่อคนอื่น ๆ เดินจากไป เหลือเพียงหญิงวัยกลางคน และคู่รักคู่หนึ่งที่ยังอยู่บริเวณที่เก็บอัฐิเท่านั้น
“นัท...ตอนนี้ลูกสาวของเราเรียนจบ ม.6 แล้วนะ สมัยนั้นเป็นช่วงที่ลำบากมาก ๆ เลย เรากับเต้อ่านหนังสือ ติวเข้มเพื่อที่จะได้เรียนต่อมหาลัยกันแบบเอาเป็นเอาตายเลย แต่ลูกของเรากลับไม่ต้องอ่านหนังสือเรียนก็สอบติดมหาลัยแล้ว ดีที่เป็นหนอนหนังสือตั้งแต่เด็ก ฉลาดกว่าพ่อเขาเยอะ”
“ฮ่า ๆ แม่ก็พูดไป นัทคงแอบหัวเราะเยาะพ่อแล้วล่ะ”
“ฮ่า ๆ ก็มันจริงนี่คะคุณ” ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันคิกคัก ปรางที่ยืนมองอยู่นั้นก็ได้แต่อมยิ้มที่ทั้งสองราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
“น้องปาร์ตี้สอบติดที่ไหนเหรอเปา”
“สอบติดมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่น่ะ แล้วน้องณัฐล่ะ”
“ที่นี่แหละ ไม่อยากให้ลูกไปไกล”
“เหตุผลที่ไม่ให้ลูกไปไหนสักที คือปรางยังรอให้เขาสองคนมาเจอกันอยู่ใช่ไหม” สิ้นคำถามของหญิงสวมแว่นตากรอบหนา รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าจึงจางหายไปทันทีพร้อมกับแววตาที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะปราง ผ่านไปแล้วยี่สิบห้าปี ปรางจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยเหรอ ปรางไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนะ” ชายอีกคนเอ่ย
“ถึงเต้จะพูดแบบนั้น แต่เราก็ไม่เคยเลิกโทษตัวเองได้เลย วันนั้นเราเองก็มีส่วนผิด”
“ไม่ผิดหรอกปราง ชะตาของเขาสองคนถูกขีดเอาไว้แบบนั้น”
“อืม...ตอนนี้เราทำได้แค่รอเวลา และภาวนาขอให้เขาสองคนกลับมาเจอกันอีก เราจะไม่ขัดขวางความรักของพวกเขา ไม่ว่าอีกคนจะเป็นใคร จะเพศไหน หรือจะฐานะไหนก็ตาม”
“เราเองก็เชื่อนะ ว่าเวลาจะนำพาให้เขาสองคนกลับมาเจอกันอีก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
“เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเลยเปา...”


เงาในกระจกสะท้อนเรือนร่างของเด็กสาวที่กำลังเลิกเสื้อขึ้นแล้วหันหน้าหันหลังพลิกตัวไปมาเพื่อดูปานแดงที่อยู่ใต้หน้าอกข้างขวาและด้านหลัง เธอพินิจพิจารณาอยู่ที่หน้ากระจกด้วยความสงสัย พร้อมกับก้มลงอ่านข้อความหน้าจอแท็ปเล็ตเครื่องใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
“ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าคนที่มีปานตามร่างกาย แสดงว่าคนนั้นเป็นคนในอดีตกลับชาติมาเกิดเหรอ อืม...เรื่องแบบนี้มันมีอยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย แต่จะว่าไป...เหมือนรอยด้านหน้ากับด้านหลังมันตรงกันเลย ไม่โดนแทงทะลุ ก็โดนยิงทะลุอะ เอาจริง”
“ไอ้บ้า อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิณัฐ!!” เสียงตวาดกลับจากหูฟังแบบไร้สายที่ณัฐกำลังสนทนากับเพื่อนรักเกี่ยวกับปานแดงบนร่างกายของเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอพูดออกไปแกมหยอกล้อ แต่หารู้ไม่ว่าที่เธอพูดออกไปนั้น...มันคือความจริง
“ฮ่า ๆ หยอกเล่น คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”
“เราอ่านนิยายของแม่เธอ เรายังจิตตกไม่หายเลย”
“ทำไมอะ”
“ก็ตัวละครอะ ทุกยิงตายทั้งพระเอกและนางเอกเลย แล้วที่มันทำให้เราอินก็เพราะว่าวิถีกระสุนมันใกล้เคียงกับปานแดงของณัฐเลยนะ เหมือนแม่เธอเอาเรื่องของเธอมาเขียนเลย”
“บ้าละ สงสัยเราเป็นแรงบันดาลใจให้แม่เอามาเขียนนิยายล่ะมั้ง แม่เรานี่ก็ใจร้ายจังแฮะ เอาเรื่องปานของลูกมาเขียนนิยายแบบนี้ได้ยังไง”
“แล้วเธอไม่ลองถามแม่ดูบ้างเหรอ ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน ทำไมต้องมีปานแดงที่เดียวกันกับที่ตัวละครโดนยิงเลย”
“ไม่เอาอะ ไม่อยากก้าวก่ายงานของแม่”
“ก็แค่ถามไหมเล่า! คือเราเป็นแฟนคลับแม่เธอไง เราก็อยากรู้อะ ว่าผู้เขียนมีแรงบันดาลใจมาจากไหน เพราะนิยายบางเรื่องน่ะ มันมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงนะ”
“เหรอ...แล้ว...เรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรเหรอปาร์ตี้”
“ก็...เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมความรักของคนสองคนที่ถูกขัดขวางความรักตั้งแต่อดีตชาติ จนวันเวลาทำให้ตัวพระนางกลับมาเจอกันอีก แต่แม่เธอเล่นกับความรู้สึกคนอ่านที่ ตัวพระนางน่ะ คือผู้หญิงทั้งสองฝ่าย มันเลยยากที่จะสมหวัง เพราะเราเคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่า ในอดีตอะโลกเราไม่ยอมรับกับการคบเพศเดียวกัน มันเลยทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้ง ๆ ที่ฝ่าฟันกันมา แต่สุดท้ายชะตาก็ละขิตให้ทั้งสองต้องพรากจากกันอีกครั้ง
ซึ่งตัวพระเอกน่ะ คือเด็กนักเรียนที่ชอบดอกพุดตานมาก เพราะในอดีตเคยใช้ดอกพุดตานเป็นสัญลักษณ์แทนความรัก และนางเอกก็ชื่อพุดตานด้วย เนี่ย...เธอว่ามันซึ้งไหมณัฐ ตัวนางเอกคือต้องสูญเสียคนรักถึงสองชาติเลย ก่อนตายยังอธิษฐานว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้กลับมาเจอกันอีก เรานี่ร้องไห้เยี่ยงหมา” สิ้นคำตอบจากปลายสาย ความเจ็บปวดบริเวณปานแดงคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างมาทิ่มแทงตามร่างกาย ณัฐถึงกับเข่าทรุดแล้วใช้มือค้ำกับโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ แต่เมื่อสติคืนกลับมา ความเจ็บปวดกลับหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีบางสิ่งบางอย่างมาเตือนเธอ
น้ำตาเจ้ากรรมที่รินไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ ทำไมเรื่องราวในนิยายที่แม่เธอเป็นคนเขียนถึงได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจได้ถึงเพียงนี้
ณัฐใช้มือข้างซ้ายที่ตนถนัดเช็ดน้ำตาของตน ก่อนจะหันไปมองภาพวาดดอกพุดตานที่ถูกอัดกรอบเอาไว้อย่างดีประดับอยู่ผนังห้องนอนของเธอ ทุกครั้งที่มองภาพวาดนั้น เธอจะรู้สึกหวิว ๆ ในใจจนอยากจะร้องไห้ทุกครั้ง และน้ำตาก็จะไหลออกมาอย่างอัตโนมัติโดยที่เธอเองก็ไม่เคยทราบสาเหตุ
“ณัฐ! ทำไมเงียบไปล่ะ ฟังอยู่ไหมเนี่ย!?”
“อืม ฟังอยู่ ฮึก ๆ”
“เฮ้ย!! นี่ร้องไห้เหรอ ฮ่า ๆ มันซึ้งมากเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าเธอได้อ่านนะ รับรองว่าเธอต้องร้องไห้เยี่ยงหมาเหมือนเราแน่ ๆ”
“ปาร์ตี้ ตัวละครอีกคนชื่ออะไร ที่เป็นพระเอกน่ะ”
“ชื่อนัท นอหนู ไม้หันอากาศ ทอทหาร เราว่าแม่เธออินกับลูกสาวมากเลยนะ เอาทั้งชื่อ เอาทั้งปานแดงมาเขียน เพียงแค่ใช้ตัวสะกดไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง”
“เหรอ...อืม...ขอบคุณนะปาร์ตี้ เดี๋ยวเราลงไปกินข้าวก่อนนะ แม่เราเรียกแล้วน่ะ”
“อืม โอเค เออ ๆ ฝากถามถึงแรงบันดาลใจหน่อยนะ แล้วก็อย่าลืมขอลายเซ็นแม่เธอให้เราด้วย”
“อือ ได้สิ ไม่มีปัญหา”
ทำไม...ดอกพุดตาน มันถึงทำให้เรารู้สึกหวิว ๆ แบบนี้นะ นี่แม่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่...


“คุณแม่คะ ทำไมถึงเขียนนิยายเรื่องดวงพุดตานเหรอคะ คุณแม่มีแรงบันดาลใจมาจากอะไรคะ” เด็กสาวเอ่ยถามขณะที่คนเป็นแม่กำลังจัดชุดทำงานให้สามีของตนจนเธอถึงกับชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองหน้าสามีที่ส่งยิ้มมาให้
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะคะ ปกติไม่เคยถามถึงนิยายของแม่เลยนี่”
“ก็ปาร์ตี้น่ะสิคะ บอกให้ณัฐมาถามคุณแม่ให้ได้ ว่ามีแรงบันดาลใจมาจากอะไร แถมยังบังคับให้ณัฐเอาหนังสือมาให้คุณแม่เซ็นด้วย นี่ค่ะ...ช่วยเซ็นหนังสือให้ปาร์ตี้หน่อยได้ไหมคะ” พูดพร้อมยื่นหนังสือนิยายเล่มหนาและปากกาด้ามสีชมพูให้ คนเป็นแม่จึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเอื้อมมือไปรับหนังสือเอาไว้ในมือ ก่อนจะหยิบปากกามาลงลายมือด้วยตัวบรรจงว่า ปรางทิพย์
“โชคดีจังเลยนะคุณเนี่ย มีแฟนคลับตัวน้อยมาขอลายเซ็นด้วย” สามีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แม่ไม่ยักรู้เลยว่าน้องปาร์ตี้อ่านหนังสือแนวนี้ด้วย นึกว่าแม่เขาจะให้ลูกอ่านแต่หนังสือเรียนซะอีก” พูดพร้อมยื่นหนังสือคืนให้กับลูกสาว
“ขอบคุณค่ะ คุณแม่รู้อะไรไหมคะ คนอย่างปาร์ตี้น่ะนะ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสือ เขาอ่านครบทุกเล่มในหอสมุดแล้วมั้ง”
“แล้วทำไมลูกสาวของแม่ปรางถึงได้ขี้เกียจอ่านหนังสือจังเลยล่ะคะ”
“ฮ่า ๆ ณัฐเปล่าขี้เกียจนะคะ มันไม่ใช่แนวอะ ให้ณัฐไปปลูกต้นไม้คงจะมีความสุขมากกว่าอีก เนี่ย...ณัฐสั่งเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ระหว่างรอเปิดเทอม ณัฐก็คงปลูกดอกไม้จัดสวนได้เลยแหละ” สิ้นคำตอบของลูกสาว คนเป็นแม่กัดฟันข่มอารมณ์เอาไว้ด้วยความเจ็บปวด คิดถึงคนที่จากไปเหลือเกิน ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย อดีตเคยชอบอะไร ปัจจุบันก็ยังไม่เสื่อมคลาย และเธอก็เชื่อว่าหัวใจของลูกสาวเธอนั้นจะยังเป็นของใครคนหนึ่งที่เธอเองก็เฝ้ารอเวลาที่ทั้งสองจะกลับมาพบกันอีกครั้ง
“เดี๋ยวพ่อต้องเดินทางแล้วนะลูก ไว้พ่อจะซื้อของมาฝากนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นจัดเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของภรรยาจนลูกสาวได้แต่เบ้ปากหลบสายตาไปทางอื่น
“แค่ก ๆ เฮ้อ...หวานหยดย้อยจังเลยน้าคุณพ่อกับคุณแม่เนี่ย”
“ฮ่า ๆ อะไรของเราเนี่ยณัฐ ชินได้แล้วนะลูก พ่อไปก่อนนะ อาทิตย์หน้าเจอกันครับ”
“เดินทางปลอดภัยนะคะคุณพ่อ” ณัฐเดินเข้าไปสวมกอดคนเป็นพ่อเอาไว้ ก่อนที่เขาจะก้มคงจุมพิตที่หน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน
เมื่อปรางและลูกสาวได้ยืนส่งคนเป็นพ่อขึ้นรถคันหรูและขับออกไปจนลับตา ยังไม่ทันที่คนเป็นแม่จะได้หันหลังกลับ ณัฐก็ยิงคำถามใส่จนเธอถึงกับชะงัก
“คุณแม่คะ ทำไมต้องเอาเรื่องปานแดงที่ตัวณัฐไปเขียนนิยายด้วย”
“ณัฐรู้ได้ยังไงลูก หนูอ่านแล้วเหรอ”
“ยังค่ะ พอดีว่าปาร์ตี้เล่าให้ฟังค่ะ คุณแม่ช่วยเล่าให้หนูฟังได้ไหมคะ ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรในการเขียนเรื่องนี้ ทำไมถึงเป็นนิยายเรื่องเดียวที่คุณแม่เขียน ไหนจะชื่อตัวละคร เรื่องปานแดงด้วย”
“ณัฐ...หนูจำอะไรไม่ได้เลยเหรอลูก” เสียงถามอย่างแผ่วเบาทำเอาผู้ฟังจับใจความไม่ได้ ณัฐจึงเลิกคิ้วและเอียงคอด้วยความสงสัย รอยยิ้มจากคนเป็นแม่จึงเผยออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความคำนึงหา ทั้งความรู้สึกผิดที่เป็นตราบาปฝังอยู่ในใจมานานกว่ายี่สิบห้าปี ริมฝีปากบางที่ถูกแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนสั่นเทาเพราะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ใต้รอยยิ้ม แต่สิ่งที่ไม่อาจปกปิดได้คือแววตาที่เต็มไปด้วยประกายของน้ำตา
“คุณแม่...เป็นอะไรเหรอคะ” สิ้นคำถาม ปรางใช้มือปาดน้ำตาที่กำลังรินไหล ก่อนจะกลั้นใจส่งยิ้มกลับไปให้ลูกสาวอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรลูก ปะ...เข้าไปในห้องกัน เดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังนะคะ...”


“อะนี่...แม่เราเซ็นให้แล้ว” ณัฐพูดพร้อมกับยื่นหนังสือนิยายเล่มหนาคืนสู่อ้อมกอดของเจ้าของคนเดิมที่ดูดีใจราวกับได้ลายเซ็นจากศิลปินที่ชื่นชอบ ก่อนเธอจะอมยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นเพื่อนรักมีความสุข
“ขอบคุณน้า... ฮือ...หนูสัญญาว่าจะรักษาหนังสือเล่มนี้อย่างดีเลยค่ะแม่ปรางคนสวย”
“ดีใจอะไรขนาดนั้นอะ แม่เราไม่ได้เป็นนักเขียนชื่อดังขนาดนั้นไหม”
“ต่อให้จะเป็นณัฐเขียนเองเราก็ดีใจ เพราะทุกอย่างที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาแล้วมันสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ เราถือว่าสิ่งนั้นควรค่าแก่การชื่นชม” พูดพร้อมกับกอดหนังสือนิยายเล่มหนาด้วยรอยยิ้ม ณัฐจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไป เพราะไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนรักต้องการจะสื่อได้
“หะ...หะ...เราเข้าใจก็ได้”
“เฮ้อ...ณัฐนี่เข้าใจยากจัง ปะ เข้าไปหอสมุดกัน”
“อืม”
แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและล้ำสมัยมากแล้วก็ตาม แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนรักคงรักษาเอาไว้ไม่ให้หายไป คือหอสมุดเก่าแก่ขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุง ที่นี่มีการรวบรวมหนังสือเอาไว้ทุกประเภท ทุกหมวดหมู่ นับว่าเป็นสวรรค์ของคนที่รักหนังสืออย่างปาร์ตี้มาก ณัฐที่เดินตามหลังก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ที่เห็นเพื่อนรักมีความสุขและตื่นเต้นกับการพาเธอมายังหอสมุดแห่งนี้
จังหวะที่ประตูไม้ปานใหญ่ได้ถูกดันเข้าไปจากทางด้านนอก ก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกินแป้งเด็กก็โชยปะทะกับโสตประสาทจนณัฐถึงกับชะงัก สาวสวยคนหนึ่งที่เปิดประตูสวนเธอออกมาดูอายุมากกว่าเธอเล็กน้อย ใบหน้าของเธอสวยดุจนางฟ้า ผมสีดำพลิ้วสยาย ดวงตาโฉบเฉี่ยว จมูกเป็นสันได้รูป
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของณัฐเต้นแรงนั้นไม่ใช่เพราะความสวยของเธอแต่อย่างใด แต่เพราะกลิ่นหอมนั้นทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย อีกทั้งยังมีใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดคล้ายคนสมัยก่อนแทรกเข้ามาในความคิด ทุกอย่างราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ตรงนั้น เธอหันหลังมองตามหญิงสาวด้วยหัวใจที่สั่นไหว แต่ยังไม่ทันที่สมองของเธอจะได้พินิจอะไร เพื่อนรักก็รีบจูงมือเธอเข้าไปยังหอสมุดเสียก่อน
“ณัฐ ไปเร็ว!”
“อะ! ปาร์ตี้เดี๋ยว!!”
จังหวะที่ณัฐถูกจูงเข้าไปด้านใน สาวสวยที่เดินสวนออกมาหยุดชะงักและหันขวับไปมองทั้งสองอย่างอัตโนมัติราวกับมีคนมาเรียกชื่อของเธอเอง ต่างฝ่ายต่างรู้สึกหวิว ๆ ในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ กลิ่นที่คุ้นเคยนี้มันคืออะไรกันนะ ความรู้สึกคำนึงหาจนอยากจะร้องไห้นี่มันคืออะไรกัน...
ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!
เมื่อสัญญาณเตือนดังแทรกกับเสียงเพลงผ่านหูฟังแบบไร้สายที่สวมอยู่ที่หู สาวสวยถึงกับสะดุ้งและเรียกสติให้คืนกลับมาในทันที
“สวัสดีค่ะ”
“โรส ก่อนกลับแวะซื้อปลาเข้ามาหน่อยนะลูก ไม่ต้องเอาตัวใหญ่มากนะ เอาแค่พอกินก็พอ”
“ได้ค่ะ วันนี้ทำอะไรกินคะเนี่ย”
“ให้ทาย”
“แหม...ไม่ต้องทายให้ยากหรอกค่ะ ถ้ามีปลาขนาดนี้ ต้องเป็นแกงส้มชะอมทอดปลานิลของโปรดหนูแน่ ๆ เลย”
“เฮ้อ...รู้ทันแม่อีกแล้วนะ”
“ฮ่า ๆ เดี๋ยววันนี้หนูทำให้กินเองนะคะ ตอนนี้กำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“โอเคลูก กลับดี ๆ นะ”
“ค่ะแม่”
เมื่อดวงใจมีรัก มอบแด่ใครสักคน หมดทุกห้องหัวใจ...ขอให้เธอมั่นใจรักจริง ฉันจะยอมมอบกายพักพิง แอบแนบอิงนิรันดร์... 
เสียงเพลงที่เล่นต่อจากเดิมหลังจากที่ปลายสายกดตัดสายไปแล้ว หญิงสาวมองกลับไปยังหอสมุดอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกหวิว ๆ ในใจที่เธอไม่อาจทราบได้ว่ามันคืออะไร แต่เธอก็ทำได้แค่ส่ายศีรษะและเดินจากไปเท่านั้น


“เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ของแม่เอง ซึ่งเนื้อหาในเรื่องนี้เขียนมาจากเขาโครงเรื่องจริง หรือจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ มันคือเรื่องจริงของเพื่อนแม่”
“แล้ว...เพื่อนแม่คนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอคะ” แววตาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันทีเมื่อลูกสาวเอ่ยถาม คนเป็นแม่เม้มริมฝีปากเอาไว้ ก่อนจะกลั้นใจเล่าความจริงทุกอย่างให้ลูกสาวฟังด้วยความตั้งใจ
“เพื่อนแม่เขาเสียไปแล้วค่ะ เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นแม่น่าจะอายุน้อยกว่าลูกในตอนนี้เสียอีก เพื่อนแม่คนนี้ชื่อนัท เขาเป็นเด็กที่สามารถระลึกชาติได้ ทำให้เขาจำเรื่องราวในอดีตได้ และฝันว่าตัวเองตายยังไงในอดีต ซึ่งเขาจะฝันในช่วงเวลาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เพราะมันเป็นเวลาตายของเขา มันเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งวันหนึ่ง...นัทได้กลับมาเจอคนรักของเขาในอดีตชาติ ซึ่งเป็นคุณครูประจำชั้นคนใหม่ ชื่อว่าครูตาน ครูตานเป็นคนที่สวยและเก่งมาก ๆ ครูตานชอบวาดรูป ชอบดอกพุดตานเหมือนชื่อของเขาเลย”
“โห...เรื่องแบบนี้มันมีจริงเหรอคะคุณแม่ คนเรากลับชาติมาเกิดได้ด้วยเหรอคะ”
“จริงสิคะ แม่ประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้มาทั้งชีวิต และแม่เชื่อสนิทใจว่ามันเกิดขึ้นได้จริง”
“แล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ปาร์ตี้บอกณัฐว่า พระเอกและนางเอกถูกยิงในตอนจบ มันคือสาเหตุที่เพื่อนแม่คนนี้เสียใช่ไหมคะ”
“ค่ะ...ครูตานต้องสูญเสียคนรักในอดีตชาติไป แต่โชคชะตาก็นำพาให้คนรักกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งซึ่งนั่นก็คือนัท แต่การกลับมาพบกันครั้งนี้ทั้งสองก็ยังไม่สมหวัง ทั้งนัทและครูตานถูกคนรอบข้างกีดกันมาตลอด ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีคนเชื่อ แม้แต่คนในครอบครัวเอง จนวันที่แม่ต้องสูญเสียคนสำคัญในชีวิตของแม่ทั้งสองคนไป หัวใจของแม่เหมือนกำลังจะดับสลาย แม่ไม่มีโอกาสที่จะได้บอกลา ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยคำขอโทษที่แม่ก็เป็นหนึ่งในคนที่กีดกันเขาเหมือนกัน ฮึก ๆ” เสียงสะอื้นและน้ำตาที่รินไหลออกมาเป็นสายเพราะไม่อาจต้านทานกับความเจ็บปวดนี้ได้อีก แม้แต่คนเป็นลูกถึงกับนั่งอึ้งที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนเธอเองก็จุกจนพูดอะไรไม่ออก
“ทั้งสองคนถูกยิงตอนที่นัทพยายามจะไปช่วยครูตานออกมาจากบ้าน ฮึก! วันนั้นทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดีแท้ ๆ ฮึก ๆ พวกเขาอาจจะได้อยู่ด้วยกัน และได้รักกันอย่างใจหวัง แต่มันกลับเป็นกอดสุดท้ายของพวกเขา ฮึก ๆ ฮือ...เพราะตอนที่เขาสองคนกอดกัน มันดันเป็นตอนที่ปืนลั่นแล้วกระสุนเจาะทะลุทั้งสองคนพร้อม ๆ กัน ฮึก ๆ ทำไมกันนะ...ทำไมมันต้องเป็นกอดสุดท้ายของเขาด้วย ทำไมชะตาต้องลิขิตให้เขาสองคนกลับมาเจอกันแต่ไม่ได้อยู่เคียงคู่กัน เขาสองคนรักกันจนไม่มีใครแยกจากกันได้ แม้แต่ตอนที่สิ้นใจ เขายังจับมือกันเอาไว้ไม่ปล่อยเลย ฮือ ๆ” คนเป็นแม่ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เรื่องราวในอดีตบีบหัวใจของเธอแทบจะแตกสลาย แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์ แต่การที่ได้ฟังเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปถึงสองคนในวันเวลาเดียวกัน เธอไม่อาจลืมมันไปได้เลย ณัฐเห็นแบบนั้นจึงพยายามรวบรวมสติแล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้คนเป็นแม่อย่างอ่อนโยน ก่อนร่างของเธอจะถูกสวมกอดเอาไว้แน่น
“ณัฐ...ฮือ ๆ แม่ขอโทษนะลูก...แม่ขอโทษ ฮือ ๆ”
“คะ...คุณแม่คะ ไม่เป็นไรนะคะ แล้วคุณแม่จะขอโทษณัฐทำไมคะ” พูดพร้อมกับลูบแผ่นหลังของร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยความเป็นห่วง
“ฟังนะลูก...นัทเพื่อนแม่ชอบปลูกต้นไม้ ฮึก ๆ ชอบฟังเพลงเก่า ๆ ชอบดอกพุดตาน และเขา...ถูกยิงที่หลังทะลุใต้หน้าอกด้านขวา”
“คุณแม่คะ...ณัฐไม่เข้าใจ ทำไมณัฐถึงมีอะไรเหมือน ๆ กับเพื่อนของคุณแม่เลยคะ ณัฐก็ชอบปลูกต้นไม้ ชอบฟังเพลงเก่า ๆ แล้วก็ชอบมองภาพวาดดอกพุดตานในห้องด้วย แถมยังมีปานแดงที่เดียวกันกับที่เพื่อนของคุณแม่โดนยิงอีก ณัฐงงไปหมดแล้ว”
“ณัฐลูก...แม่เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะตามหาเขา และภาวนาขอให้คนทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง นี่คือสิ่งเดียวที่แม่ทำได้ในตอนนี้ และเป็นสิ่งที่แม่อยากจะแก้ไขมากที่สุด มันเป็นตราบาปทิ่มแทงหัวใจแม่มาตลอด แม่เชื่อว่าครูตานเองก็ต้องกลับมาเกิดใหม่และอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ จำไว้นะลูก...คนที่มีปานแดงที่เอวข้างซ้ายเขาคือคนรักในอดีตของลูก ตามหาเขาให้เจอนะ...”

“แฮก ๆ” เด็กสาวคิดถึงคำพูดของคนเป็นแม่พร้อมกับวิ่งตามหาใครบางคนที่แม้แต่ใบหน้าเธอก็ยังจำไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เธอมั่นใจว่าคนที่เธอกำลังตามหานั้นเป็นใคร คือกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยและความรู้สึกหวิว ๆ ในใจแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เดินสวนกันเท่านั้น
ขอร้องล่ะ...ขอให้เจอที...ถึงหนูจะไม่รู้ว่าคุณคือใคร แต่หนูเชื่อ...เชื่อว่าคุณคือคนรักของหนู...
น้ำตาที่รินไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอวิ่งตามหาสาวสวยที่เพิ่งจะเดินสวนทางกันทั้งน้ำตาราวกับคนเสียสติ จะให้เทียบก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทรที่ต้องตามหาคนที่ไม่รู้จัก แต่หัวใจดวงน้อย ๆ ที่ยังเต้นอยู่นั้น กลับเชื่อมั่นว่าเธอจะต้องได้เจอกันอีกครั้งอย่างแน่นอน เธอจึงออกตามหาไม่ยอมถอดใจแม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม

อีกทางด้านหนึ่ง สาวสวยที่ตัดสินใจเดินวนกลับมายังหอสมุดอีกครั้ง เพราะความรู้สึกหวิว ๆ ในใจทำให้เธอรู้สึกค้างคาและอยากหาคำตอบให้มันกระจ่างชัดขึ้นมา แต่ไม่ว่าเธอจะเดินไปหาตามมุมต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งตลอดจนชั้นสี่ ก็ไม่พบกับเด็กสาวที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยระหว่างที่เดินสวนทางกันแม้แต่น้อย จนเวลาล่วงเลยผ่านไปค่อนวัน ลมหายใจหอบแฮกที่เริ่มจะสิ้นหวัง แขนขาก็พาอ่อนล้ากับการต้องเดินวนไปวนมาชั้นบนและชั้นล่างเพื่อที่จะตามหาใครสักคน ทำเอาเธอต้องนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนหน้าหอสมุดด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อดวงใจมีรัก ดั่งเจ้านกโผบิน บินไปไกลแสนไกล...หัวใจฉันก็ลอยลิบไป ถึงแดนดินถิ่นใดนะใจ โอ้ดวงใจเจ้าเอ๋ย...
เสียงบทเพลงรักบทเพลงเดียวที่เล่นวนซ้ำแล้วซ้ำอีกจากหูฟังไร้สายที่สวมอยู่ที่หู ทำน้ำตาของเธอรินไหลออกมาอย่างอัตโนมัติโดยไม่ทราบสาเหตุ เสียงสะอื้นที่พยายามข่มเอาไว้ก็เล็ดลอดออกมา ไม่มีอะไรดั่งใจหวังเลยสักอย่าง ไม่เข้าใจแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง ทำไมเธอต้องมานั่งก้มหน้าร้องไห้ที่ม้าหินอ่อนหน้าหอสมุดแห่งนี้ด้วย
“ฮึก ๆ โรส...แกเป็นบ้าอะไรของแกวะ ฮึก ๆ นี่แกกำลังทำอะไรอยู่วะ!!”
“เฮ้อ...ในที่สุดก็เจอจนได้...”
สิ้นเสียงหวาน หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นทันทีจนได้ประจันหน้ากับเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีชมพูลายดอกไม้มาทางเธอ แม้จะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แต่ความดีใจก็ทำให้เธอเผลอคว้าเอวของเด็กสาวแล้วดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที
“อ๊ะ!! พี่คะ!!”
“ฮึก ๆ พี่ขอโทษนะ คือตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไร แต่พี่โคตรดีใจเลยที่ได้เจอน้อง ฮือ ๆ” หญิงสาวร้องไห้โฮซบหน้าอกเด็กสาวพร้อมกับกอดร่างบางเอาไว้แน่น มือน้อย ๆ จึงเอื้อมมาลูบศีรษะเธอช้า ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยบทเพลงรักบทเพลงหนึ่งออกมาจนคนที่กำลังกอดเธออยู่ถึงกับชะงัก
“เมื่อดวงใจมีรัก...มอบแด่ใครสักคน หมดทุกห้องหัวใจ ขอให้เธอมั่นใจรักจริง ฉันจะยอมมอบกายพักพิง แอบแนบอิงนิรันดร์”
“ทะ...ทำไม...น้องถึงร้องเพลงนี้ล่ะ” หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดทั้งน้ำตา และยังคงอึ้งกับเพลงที่เด็กสาวขับร้องออกมา
“เสียงเพลงจากหูฟังพี่มันดังมากเลยนะคะ พี่ไม่ควรฟังเพลงดังขนาดนี้นะรู้ไหม แต่บังเอิญจังเลยนะคะ ที่เราชอบฟังเพลงเดียวกันเลย” เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้ม
“จะ...จริงเหรอ ทำไมถึงชอบเพลงนี้ล่ะ”
“คุณแม่หนูชอบเปิดฟังค่ะ หนูได้ยินแล้วรู้สึกว่ามันเพราะและก็ความหมายดีมาก ๆ เลย ไม่เหมือนเพลงสมัยนี้เลยนะคะ เบสหนักเกินไป บางทีหนูก็ปวดหู เนี่ย...ดีนะคะที่พี่ฟังเพลงเก่า ๆ ที่ดนตรีไม่ได้หนักหน่วงมาก ไม่งั้นพี่หูแตกไปแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ” เมื่อได้ยินเด็กสาวพูดด้วยท่าทีที่สดใสแบบนั้น โรสถึงกับต้องจับผมมาทัดที่หู พร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
“พี่คะ”
“อืม ว่าไงคะ”
“พอจะมีเวลาคุยกับหนูสักหน่อยไหมคะ พี่รีบหรือเปล่า”
“อันที่จริงก็ต้องไปซื้อของนะ แต่ว่า...อยู่คุยอีกสักหน่อยก็ได้”
“ถ้างั้น...ขอรบกวนเวลาไม่ถึงชั่วโมงนะคะ”
“อืม...ได้สิ”

แสงสีส้มบนท้องฟ้าที่บอกเวลาว่าพระอาทิตย์กำลังจะจากลาเพราะหมดหน้าที่ในวันนี้แล้ว ทั้งสองนั่งพูดคุยกันเพลินจนลืมเวลาและหน้าที่ของตัวเอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จะต้องแยกกันเสียแล้ว แม้จะเป็นการพูดคุยแบบทำความรู้จักและถามสารทุกข์สุขดิบกันเท่านั้น แต่ทั้งสองกลับรู้สึกคุ้นเคยและเข้ากันได้ดีราวกับรู้จักกันมาก่อน 
“เอ่อ...น้องณัฐคะ” หญิงสาวพูดแบบอ้ำอึ้งและบีบมือของตัวเองเอาไว้แน่นจนแดงไปหมด ณัฐเห็นแบบนั้นจึงเอียงคอและเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“คะ”
“ไปกินข้าวบ้านพี่ไหม”
“เดี๋ยวนะคะ มันจะดีเหรอคะ เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ”
“ดีสิ พี่อยากรู้จักเรามากกว่านี้น่ะ ไปไหม พ่อกับแม่พี่ใจดีมากนะ ไม่ต้องกลัวพี่ด้วย เชื่อใจพี่ได้”
“หนูเชื่อใจพี่ค่ะ หนูรู้ว่าพี่เป็นคนดี แต่ว่า...ไว้เราสนิทกันมากกว่านี้ก่อนไหมคะ”
“ณัฐ...ถ้าจะบอกว่าตอนนี้เราสองคนสนิทกันแล้วก็ยังได้เลย คือ...ไปกินข้าวบ้านพี่กันนะ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพี่จะไปส่งที่บ้าน เดี๋ยวคุยกับแม่ให้ก็ได้ พี่อยากให้ณัฐไปจริง ๆ”
“เอ่อ...ทำไมถึงอยากให้หนูไปกินข้าวบ้านพี่ขนาดนั้นคะ”
“ไม่รู้สิ พี่รู้สึกผูกพันกับเรายังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร แต่แบบ...จะว่ายังไงดีล่ะ ณัฐเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม” สิ้นคำถามจากหญิงสาว ณัฐถึงกับชะงักและหันไปมองหน้าเธอทันที
“พี่เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
“จะว่าพี่งมงายก็ได้นะ พี่อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง มันเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดน่ะ พี่ชอบมาก ๆ จนต้องไปตามหาหนังสือมาครอบครองเลยแหละ”
“เรื่องดวงพุดตานหรือเปล่าคะ”
“ณัฐรู้ได้ยังไง”
“คุณแม่ของหนูเป็นคนเขียนเองค่ะ แล้วพี่รู้ไหมคะ ว่าเรื่องนี้เขียนมาจากเรื่องจริงด้วย”
“อะ...อะไรนะ!?”
“เรา...ไปคุยกันต่อที่บ้านพี่ไหมคะ”


“กลับมาแล้วค่ะแม่!” 
“ทำไมกลับมาช้าจังล่ะโรส แม่กำลัง...” คนเป็นแม่ขานรับลูกสาวแล้วรีบเดินออกมาต้อนรับ แต่ทันทีที่เธอได้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง เธอถึงกับชะงักพร้อมกับตะหลิวที่ล่วงลงจากมือจนทำให้สะดุ้งโหยงกันอย่างพร้อมเพรียง
เคร้ง!!
“แม่!! ตกใจหมด!!”
“มะ...แม่ขอโทษลูก โรสพาใครมาน่ะ”
“นี่น้องณัฐนะคะ หนูเจอน้องที่หอสมุดน่ะ เลยชวนมากินข้าวด้วย”
“สวัสดีค่ะ หนูขอรบกวนด้วยนะคะ”
“คะ...คุณคะ!!!” คนเป็นแม่เอ่ยเรียกสามีเสียงสั่นเครือ จนณัฐและโรสต่างหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่เมื่อคนเป็นพ่อวิ่งออกมาก็ต้องชะงักไปอีกคนเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาว
“นัท...” คนเป็นพ่อเอ่ยเรียกด้วยสีหน้าที่แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อ! รู้จักชื่อน้องได้ไงอะ”
“หนูชื่อนัทเหรอลูก หนูเป็นลูกเต้าเหล่าใครลูก” คนเป็นแม่พูดพร้อมกับเดินมากุมมือของณัฐเอาไว้พร้อมกับลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู ทั้ง ๆ ที่เธอจะเพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้ณัฐและโรสสงสัยเข้าไปอีก
“เอ่อ...แม่หนูเป็น ผอ.โรงเรียนกัลทรวิทยาค่ะ ส่วนคุณพ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย”
“อย่างนี้นี่เอง เข้ามาก่อนลูก เข้ามากินข้าวกันนะ ความจริงแม่ให้โรสซื้อปลาเข้ามาเพราะจะทำแกงส้มปลานิลน่ะ แต่ก็ไม่ยอมกลับมาสักที แม่เลยต้องทำอย่างอื่นรอไปก่อน”
“ขอโทษนะคะแม่ที่กลับมาช้า พอดีคุยกับน้องณัฐเพลินไปหน่อย แฮะ ๆ”
“ไม่เป็นไร เข้าบ้านกันลูก” ณัฐโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหันไปมองหน้าชายวัยกลางคนที่ยังคงจ้องหน้าเธอแบบไม่ละสายตา ทำเอาเธอถึงกับกลืนน้ำลายดังอึก
ภายในบ้านหรูสไตล์โมเดิร์น มีเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน และเต็มไปด้วยโปสเตอร์รถยนต์สุดหรูประดับตกแต่งข้างผนังบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศแบบไร้น้ำมัน ณัฐมองไปรอบ ๆ บ้านด้วยความตื่นตาตื่นใจก่อนจะไปสะดุดตากับใบทะเบียนสมรสที่ถูกอัดกรอบเอาไว้อย่างดี ซึ่งชื่อที่ปรากฏอยู่บนกระดาษนั้น คือชื่อที่เธอรู้สึกคุ้นเคย ถือเป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกแบบอธิบายไม่ถูกกำลังครอบงำจิตใจเธอ 
วรวุทร ทุ่งประสงค์...ชื่อใครกันนะ...
ยังไม่ทันที่สมองจะได้พินิจวิเคราะห์อะไร สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำเอาณัฐถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ 
นี่มัน...อะไรกัน...
หัวใจที่เต้นแรงและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนลมหายใจของเธอเริ่มติดขัด เธอหันไปมองหญิงสาวที่พาเธอมาที่บ้าน ก่อนจะหันมามองภาพถ่ายอีกครั้ง
ภาพเด็กผู้หญิงที่สวมเพียงกางเกงตัวเล็กตัวเดียวจนทำให้มองเห็นปานแดงที่เอวด้านซ้าย ความรู้สึกคุ้นเคยและความสับสนก่อนหน้าถูกไขกระจ่างในทันที สองขาพยายามพาร่างไปหาหญิงสาวที่กำลังจัดจานข้าวอยู่โต๊ะอาหาร ก่อนที่เธอจะเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลังทั้งน้ำตา
“ฮือ ๆ”
“นะ...น้องณัฐ เป็นอะไรคะ แล้วร้องไห้ทำไม”
“พี่โรสคะ พี่มีปานแดงที่เอวข้างซ้ายใช่ไหม ฮึก ๆ” สิ้นคำถามของเธอ ทำเอาทุกคนถึงกับชะงักและหันมามองเธอกันอย่างพร้อมเพรียงรวมถึงหญิงสาวก็พลิกตัวหันกลับมาและเอื้อมสองมือไปประคองใบหน้าของณัฐให้เงยขึ้นช้า ๆ
“ไหนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมคะ แล้วณัฐรู้ได้ยังไงว่าพี่มีปานแดงที่เอวข้างซ้ายด้วย”
“พี่โรสคะ ฮึก ๆ พระเอกกับนางเอกเรื่องดวงพุดตานถูกยิงตอนกำลังกอดกัน กระสุนมันเจาะทะลุจากทางด้านหลังพระเอก พี่จำที่หนูบอกได้ไหมคะว่าเรื่องนี้มันถูกเขียนมาจากเรื่องจริง หนูมีอะไรจะให้พี่ดู” เด็กสาวพูดพร้อมกับเลิกเสื้อคอกลมสีขาวของเธอขึ้นจนเผยให้เห็นปานแดงที่ใต้หน้าอกข้างขวา ก่อนเธอจะเอื้อมมือสัมผัสบริเวณเอวด้านซ้ายของหญิงสาวตรงหน้า
“ถ้าสมมติว่าเรากอดกัน กระสุนมันจะเจาะทะลุจากหลังมาที่หน้าอกข้างขวาของหนู แล้วมันจะทะลุไปถึงแถว ๆ นี้ของพี่  ถ้าพี่คือคนที่หนูกำลังตามหา ตำแหน่งปานแดงของพี่...มันจะอยู่ตรงนี้” คำพูดของณัฐทำเอาทุกคนถึงกับอึ้ง เพราะบริเวณที่เธอสัมผัสนั้นมีปานแดงภายใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลแฝงอยู่ โรสค่อย ๆ เลิกเสื้อของเธอขึ้นช้า ๆ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ความสูงของเธอทั้งสองพอดีกับตำแหน่งรอยปานแดงราวกับนำมาทาบกันแล้วใช้พู่กันจุ่มสีมาป้ายเอาไว้ ชายวัยกลางคนได้เห็นแบบนั้นถึงกับปล่อยโฮออกมาทันที เพราะเขาคือบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์และรู้ตำแหน่งนั้น...ดีที่สุด
“ในที่สุด...เราก็ได้เจอกันสักทีนะณัฐ”
“ฮึก ๆ พี่โรส ฮือ!!” ทั้งสองสวมกอดกันและกันเอาไว้แน่นทั้งน้ำตา นับเป็นช่วงเวลาที่สุขสมที่รอคอยมานานแสนนาน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเองก็ออกตามหาใครสักคนที่มีปานแดงที่ใต้หน้าอกข้างขวามาตลอดเช่นกัน ผ่านไปแล้วยี่สิบสี่ปี ในที่สุดคนที่ตามหาก็ได้มาอยู่ในอ้อมกอดของฉันอีกครั้ง ความรู้สึกทุกอย่างยังคงชัดเจน ไม่มีสิ่งใดเสื่อมคลาย แม้แต่ความรักที่เราทั้งสองมีให้กันนั้นก็ไม่เคยมลายหายไปตามกาลเวลา และสิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจและเชื่อว่าณัฐคือคนที่ฉันตามหามาทั้งชีวิต ก็เพราะว่า...
ปานแดงนั้น...มีลักษณะเป็นกลีบดอกพุดตาน ที่เป็นสัญลักษณ์แทนใจของเราสองคน...
ขอบคุณกาลเวลา ที่นำพาให้เราสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้ง...
ขอบคุณกาลเวลา ที่แม้จะเปลี่ยนไป แต่หัวใจของเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง...
ขอบคุณอ้อมกอดที่คุ้นเคย ที่มันยังคงอบอุ่นทุกครา แม้เวลาจะผ่านไปนานนับยี่สิบปีแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังคงจำไออุ่นนี้ได้ดี ทุกอย่างมันยังคงเดิม...
กลีบดอกพุดตานที่ร่วงโรย ไม่นานก็จะผลิดอกใหม่อีกครั้ง
สีขาว คือ ความรักที่แสนบริสุทธิ์
สีชมพู คือ ความรักที่กำลังเบ่งบาน 
แม้จะโรยรา แต่มันจะไม่เลืองลาง และความรักของเรา มันจะอยู่เคียงข้างกันไป ตราบชั่วนิจนิรันดร์...


จบบริบูรณ์...