ขอได้ไหม...ขออีกสักครั้งได้ไหม...ขอให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณหนูพุดตานอีกสักครั้งได้ไหม ขอแค่สักครั้ง…

เสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในหู ร่างที่ล่องลอยและค่อย ๆ จมลงช้า ๆ แสงสีทองของอาทิตย์อัสดงที่เห็นเป็นเพียงภาพพร่ามัว อุณหภูมิในร่างกายที่เริ่มเย็นลงจนไร้ความรู้สึกใด ๆ
ลมหายใจเฮือกสุดท้าย กำลังจะหมดลง ทุกวินาที...ทุกวิ...นา...ที


“เฮือก!!!”
ร่างของหญิงสาวที่สะดุ้งเฮือกตื่นจากห้วงความฝันที่ทุกข์ทรมานราวกับเกิดขึ้นจริง เธอยังคงฟุบอยู่กับโต๊ะนักเรียนเก่าที่ถูกนำมาทิ้งไว้ในเรือนเพาะชำหลังโรงเรียน
เธอพยายามปรับลมหายใจที่หอบแฮกให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างยันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เอาไว้
18:19
ตัวเลขที่แสดงในนาฬิกาดิจิตอลเรือนสีดำที่ข้อมือข้างขวาบ่งบอกว่าเป็นเวลาที่เธอควรจะกลับบ้านได้แล้ว แม้จะเป็นวันอาทิตย์ที่นักเรียนหลาย ๆ คนต่างมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ ณิชาภัทร หรือ นัท กลับมาทำหน้าที่ดูแลดอกไม้ และพืชผักนานาชนิดในเรือนเพาะชำของโรงเรียนแบบไม่มีหยุดพัก

ฝันแบบนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย…
นัทคิดในใจ พร้อมกับใช้มือปาดเหงื่อที่หน้าผาก ก่อนจะรีบเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หากกลับบ้านช้ากว่านี้ที่บ้านต้องเป็นห่วงแน่


เอี๊ยด! เอี๊ยด! เอี๊ยด!
หญิงสาวปั่นจักรยานสีแดงที่เก่าจนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากคราบสนิมเขรอะอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ก่อนยืดตัวขึ้นเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ระหว่างที่ปล่อยให้รถจักรยานลงเนินเขาที่ไม่สูงมากนักไปตามทางเรื่อย ๆ
“แม่!! มีอะไรกินบ้าง หิว ๆ” นัทเดินเข้ามาในบ้านสวนหลังเล็กที่อยู่กันเพียงสองแม่ลูก พลางใช้มือลูบท้องเพราะเธอหิวจนไส้จะกิ่วแล้ว
“กลับมาถึงบ้านก็บ่นหิวเลยหรือไง!”
“ก็มันหิวนี่!”
“ไปช่วยดูแลดอกไม้ ต้นไม้ที่โรงเรียนทำไมไม่เด็ดกินรองท้องก่อนล่ะ”
“แม่...นัทไม่ใช่หนอนนะ”
“ฮ่า ๆ” คนเป็นแม่ได้แต่หลุดขำที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนทำหน้างอแก้มตุ่ย ไม่รู้ว่าเพราะโมโหหิว หรือเพราะงอนที่ถูกแซวไปแบบนั้นกันแน่
นัทเดินเข้าไปสวมกอดคนเป็นแม่ที่กำลังหั่นผักอยู่ เธอจึงวางมีดลงข้าง ๆ กับเขียงไม้ ก่อนจะหันมาใช้นิ้วดีดที่หน้าผากเบา ๆ จนลูกสาวได้แต่ใช้มือลูบหน้าผากป้อย ๆ แล้วมองค้อนคนเป็นแม่ทันที
“อะไรแม่ ดีดทำไม นัททำอะไรผิด”
“หายหน้าหายตาไปทั้งวัน กลับมาก็บ่น ๆ ๆ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มากอด อยากได้อะไร มีจุดประสงค์อะไร บอกมา”
“มองความรักที่ลูกมอบให้เป็นอื่นไปได้ยังไง”
“ท่องบทละครเหรอ ใช้คำโบราณจัง”
“ฮ่า ๆ แม่ก็! วันนี้ทำอะไรกินเหรอ”
“แกงจืดเต้าหู้ ของชอบใคร?”
“ของชอบนัทเอง!!” เธอตอบด้วยดวงตาที่เป็นประกายขึ้นมาทันที เมื่อแม่พูดถึงเมนูอาหารจานโปรด คนเป็นแม่จึงส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันหลังกลับไปหยิบมีดเพื่อหั่นผักต่อ
“ไปอาบน้ำไป มอมแมมไปหมดแล้ว นึกว่าไปฟัดกับหมาที่ไหนมา”
“โห! แม่ นัทไปปลูกต้นไม้นะ มันก็ต้องมอมแมมสิ นี่ก็ชอบคิดว่านัทไปตีกับใครมาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”
“ก็นัทเกเร”
“เลิกแล้วน่า”
“เลิกตีกับเพื่อนผู้ชาย แต่โดดเรียนไปแอบหลับอยู่เรือนเพาะชำตลอดสินะ”
ปัก!!
เมื่อแม่ออกแรงใช้มีดสับลงกับเขียงดังลั่น ลูกสาวถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ยังไม่ทันที่คนเป็นแม่จะได้หันมามองหน้าตัวการที่แอบโดดเรียนบ่อย ๆ จนคุณครูประจำชั้นต้องนำเรื่องมาแจ้งกับผู้ปกครอง นัทก็วิ่งหน้าตั้งหายเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว 


'เจ๊เบียบเอาเรื่องมาฟ้องแม่จนได้ สงสัยอยากโดนหมามุ่ย'
นัทอาบน้ำพลางกับคิดแผนชั่วร้ายในใจ เธอเป็นเด็กที่มีนิสัยห้าวและซุกซนราวกับเด็กผู้ชาย บ่อยครั้งที่มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนผู้ชาย จนคนเป็นแม่เรียกได้ว่าชินที่จะต้องไปฟังคำตักเตือนจากฝ่ายปกครองอยู่เสมอ หากมีเบอร์โทรศัพท์จากทางโรงเรียน จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้เลย
ด้วยความแสบสันทำให้เธอไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าสมาคมด้วยนัก จะมีก็เพียง ปรางทิพย์ หรือ ปราง เพื่อนสนิทคนเดียวตั้งแต่สมัยประถมที่เธอคอยปกป้องอยู่เสมอ
ปรางเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของผู้ก่อตั้งโรงเรียนกัลทรประสิทธิ์ ที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่าคุณหนูปรางผู้เนื้อหอม เพราะมีหนุ่ม ๆ ผลัดกันมาขายขนมจีบบ่อย ๆ จนนัทต้องคอยเป็นไม้กันหมา หรือเป็นทับหน้าคอยกันผู้ชายเหล่านั้นไม่ให้เข้าถึงตัวคุณหนูได้
ถึงแม้นัทจะดูเป็นเด็กเกเร แต่ด้วยความที่ลูกสาวติดเพื่อนอย่างนัทมาก ทุกคนจึงได้แต่ยอมให้ทั้งสองคบกันเป็นเพื่อนโดยไม่กล้าขัดอะไร แถมปรางยังเป็นคนที่ช่วยเกลี้ยกล่อมไม่ให้นัทถูกทำโทษอีกด้วย


“ว่าไงตัวดี! มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน นัทได้แต่หลบสายตาคนเป็นแม่ที่กำลังจ้องเธอตาเขม็ง พลางตักข้าวกินแสดงท่าทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่น นัทถึงกับสะดุ้งโหยง
“นัท!!”
“อะไรแม่”
“โดดเรียนไปแอบหลับอยู่เรือนเพาะชำบ่อยใช่ไหม”
“ไม่บ่อย แค่วันละครั้งเอง”
“โอ๊ย!! เลิกสักทีได้ไหมนิสัยแบบนี้เนี่ย!! เหมือนพ่อแกไม่มีผิด!!”
“จ๊าบเหมือนพ่อใช่ไหมล่า”
“พ่อแกมันนักเลงหัวไม้”
“แต่แม่ก็หลงเสน่ห์ความหล่อเหลา และเท่แบบพระเอกหนังบู้ที่พ่อคอยปกป้องแม่ใช่ไหมล่า”
“เหอะ!!”
แม้จะโมโห แต่สิ่งที่ลูกสาวพูดคือความจริงทั้งหมด แม่จึงได้แต่เบ้ปากและตักข้าวกินพลางหายใจฟึดฟัดที่ลูกสาวมักเอาพ่อมาอ้างเพื่อเอาตัวรอดเสมอ นัทจึงได้แต่อมยิ้มและแอบขำท่าทีของแม่ที่ราวกับสาววัยแรกรุ่น
“แม่”
“อะไร”
“นัทฝันว่าตัวเองจมน้ำอีกแล้ว” เมื่อจู่ ๆ นัทก็พูดถึงความฝันที่เธอเคยฝันแบบเดิมตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้แม่ของเธอถึงกับชะงัก
“หลับช่วงหัวค่ำอีกหรือเปล่า”
“มันเผลอหลับน่ะ นั่งคุยโทรศัพท์กับปรางเพลิน ๆ เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้”
“บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่านอนตอนหัวค่ำ”
“ก็นัทบอกว่าเผลอหลับไงแม่”
“เอ้า ๆ เผลอก็เผลอ”
“การที่เราฝันแบบเดิมทุกครั้ง ในช่วงเวลาเดิม ๆ นี่มันหมายความว่ายังไงเหรอแม่”
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก จิตใต้สำนึกนัทอาจจะกลัวจนเก็บมาฝันก็ได้”
“เหรอแม่”
“อืม แล้วมีการบ้านหรือเปล่า”
“ไม่มี”
“ไม่มี หรือไม่อยากทำ”
“ไม่มีจริง ๆ”
“ให้มันจริงเถอะ ไม่รู้ว่าไม่มีเพราะโดดเรียนหรือเปล่า”
“ก็ไม่รู้สินะ” เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องถูกบ่นแบบยาวเหยียดแน่ ๆ นัทจึงรีบตักข้าวสองคำสุดท้ายยัดเข้าปาก แล้วรีบเผ่นแนบไปทันที การมีลูกสาวที่แสบทรวงแบบนี้ คงสร้างความหนักใจให้คนเป็นแม่ไม่ใช่น้อย


สิ้นสุดการรอคอยสักทีนะคะ…เดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันแล้วนะ…
เสียงใสของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ปรากฏกายอยู่ต่อหน้า บริเวณโดนรอบเป็นสีขาวโพลนจนมองหน้าได้ไม่ถนัดนัก ครั้งนี้เธอดูมีความสุขมากกว่าทุกครั้งที่ได้พบกัน เพราะรอยยิ้มที่เผยออกมานั้น ดูสดใสจนคนที่มองอยู่ถึงกับยิ้มตาม
“จะได้เจอกัน? หมายความว่ายังไง ปกติเราก็เจอกันในฝันบ่อย ๆ อยู่แล้วนี่นา” เด็กหญิงไม่ตอบอะไร ได้แต่ยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น แล้วภาพก็ค่อย ๆ เลือนลางจางหายเหลือเพียงแสงสีขาว

“คุณหนูคะ ถึงแล้วค่ะ”
หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือจับที่ต้นแขนข้างซ้ายของหญิงสาวที่นั่งหลับมาตลอดทางแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะยืดเส้นยืดสายแล้วมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกรถด้วยสภาพที่สะลึมสะลือ
ภายนอกรถมีหญิงวัยกลางคนแต่งกายดูมีภูมิฐานยืนคู่กับเด็กสาวหน้าตาน่ารัก มัดผมรวบหางม้า ทั้งสองยืนรออยู่ที่หน้าบ้านหรูหลังใหญ่ เธอจึงเปิดประตูลงรถแล้วตรงเข้าไปยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนด้วยท่าทีนอบน้อม
“สวัสดีค่ะพี่เกต”
“สวัสดีจ้าน้องตาน ไม่ได้เจอกันนานเลย สวยขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”
หญิงสาวนามว่า ตาน ได้ยินคำชมแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ แล้วเข้าไปสวมกอดคนเป็นพี่เอาไว้แน่น
“คิดถึงพี่เกตจังเลย”
“คิดถึงเหมือนกันจ้า สวัสดีน้าตานสิลูก”
คนเป็นแม่สวมกอดพร้อมกับลูบศีรษะหญิงสาว ก่อนจะหันไปหาลูกสาวด้วยท่าทีที่อ่อนโยน ตานจึงผละออกจากอ้อมกอดแล้วส่งยิ้มกว้าง จนดวงตาทั้งข้างหยีราวกับสระอิ
“สวัสดีค่ะน้าตาน”
“สวัสดีค่ะ น้องปรางโตเป็นสาวแล้วเหรอเนี่ย ขอน้ากอดหน่อยเร็ว”
หลังจากที่ยกมือไหว้ทักทายกันแล้ว ทั้งสองก็สวมกอดกันแน่นด้วยความคิดถึง พร้อมกับที่ตานหอมศีรษะเด็กสาวไปฟอดใหญ่
“น้าตานเป็นยังไงบ้างคะ แล้วน้าตานจะมาสอนวิชาอะไรเหรอคะ จะได้สอนหนูไหม”
“น้องปราง แม่ว่าเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันวันหลังดีกว่าเนอะ วันนี้น้าตานเดินทางมาเหนื่อย ๆ อย่าเพิ่งไปรบกวนน้าเลย แม่ขอพาน้าตานไปบ้านพักก่อน นะคะ”
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นหนูไปโทรศัพท์หานัทก่อนนะคะ”
“จ้าลูก อย่าคุยกันดึกนะคะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะน้าตาน”
“สวัสดีค่ะ ไว้เจอกันนะ”
ตานโบกมือลาพลางกับอมยิ้มด้วยความเอ็นดูเด็กสาวที่วิ่งหายเข้าไปในบ้าน เธอคิดถึงความทรงจำที่เคยมาเล่นที่บ้านหรูหลังนี้ ภาพทรงจำล่าสุด ปรางอายุเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้น แต่ตอนนี้โตเป็นสาวน่าตาดีไม่ใช่น้อย หากจะมีหนุ่ม มารุมจีบก็คงไม่แปลก
“ปะเรา ไปบ้านพักกัน”
“ค่ะพี่เกต”


รถเก๋งสีขาวมาจอดยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นบ้านปูนหนึ่งชั้น รอบ ๆ บ้านปลูกต้นไม้ไว้ให้ร่มเงาพร้อมกับสวนหย่อมขนาดเล็กที่ข้างบ้านและม้าหินอ่อนเป็นมุมพักผ่อน อีกทั้งยังมีสนามหญ้ารอบบ้านอีกด้วย บรรยากาศคล้ายบ้านสวนที่ร่มรื่น มีการตัดหญ้าจนโล่งเตียนแบบพร้อมอยู่
ระหว่างที่ตานชื่นชมบรรยากาศรอบ ๆ บ้านอยู่นั้น ชายผู้ดูแล 3 คน ต่างก็ช่วยกันขนของและสัมภาระเข้าไปในบ้านโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
“บ้านมันอาจจะหลังเล็กไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นะ แต่พี่ก็ให้ช่างมาปรับปรุงบ้าน ติดแอร์ แล้วก็ให้คนมาตัดหญ้าไว้รอตานแล้ว”
“พี่เกต ตานบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องลำบาก”
“ไม่ลำบากเลย ขอแค่ให้ตานอยู่สบาย พี่ถึงจะสบายใจ”
“ตานไปเป็นครูชนบทมาตั้งหลายปีนะคะ บอกเลยค่ะว่าไม่มีแอร์ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ตานก็อยู่ได้”
“ไม่ได้สิ คุณหนูพุดตานมาอยู่ทั้งที จะให้อยู่แบบซอมซ่อได้ยังไง”
“ตานอยู่ได้ค่ะ”
“เอาน่า ให้พี่ได้ดูแลตานหน่อยเถอะ”
“แค่นี่ตานก็เกรงใจจะแย่แล้วนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจเลย งั้นวันนี้ตานพักผ่อนก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปสำรวจโรงเรียน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะพี่เกต ขอรบกวนด้วยนะคะ”
“ยินดีจ้า ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้”
“พอเลยค่ะ พอแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริง ๆ ค่ะ”
“โอเค ๆ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ค่ะพี่เกต สวัสดีค่ะ”
เมื่อทั้งสองแยกย้ายกันเป็นที่เรียบร้อย ตานเดินเข้าไปในบ้านและมองไปรอบ ๆ พลางกับถอนหายใจเฮือก หญิงวัยกลางคนที่เปรียบเสมือนเป็นแม่เลี้ยงของเธอจึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนเธอจะหันไปสวมกอดด้วยความคิดถึง
มือที่เริ่มมีรอยย่นตามกาลเวลาค่อย ๆ ลูบศีรษะเธอช้า ๆ กลิ่นน้ำหอมสมุนไพรที่คุ้นเคยคละคลุ้งออกจากร่างหญิงวัยกลางคน ทั้งสองผละออกจากกันด้วยน้ำตาที่กำลังคลอเบ้า
“คุณหนูจะไม่กลับไปอยู่กับป้าจริง ๆ เหรอคะ”
“ขอโทษนะคะ ตานขออยู่ที่นี่ดีกว่า ถ้าป้ามะลิคิดถึงตานเมื่อไหร่ ก็เข้ามาหาตานที่นี่ได้ตลอดเลย”
“แต่ที่นี่ไม่สะดวกสบายเหมือนที่บ้านนะคะคุณหนู”
“ชินแล้วค่ะ ให้ตานอยู่ที่นี่เถอะนะคะ ตานไม่อยากกลับบ้าน ป้าก็รู้เหตุผลดีนี่คะ”
“คุณหนูหนีป้าไปตั้งหลายปี กลับมาทั้งทีก็ยังจะแยกกันอยู่อีก ป้าคิดถึงคุณหนูจนใจแทบขาด ป้าจะตรอมใจตายอยู่แล้ว ฮึก ๆ”
ด้วยความคิดถึง และโหยหาการที่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่การกลับมาที่เหมือนไม่ได้กลับ ทำให้หญิงวัยกลางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา ตานจึงเข้าไปสวมกอดเธออีกครั้ง
“ไม่เอาสิป้า อย่าร้องสิคะ ตานจะร้องตามแล้วนะ”
“ก็ป้าคิดถึงคุณหนูนี่คะ”
หญิงวัยกลางคนผละออกจากอ้อมกอด และดึงหญิงสาวเข้าไปกอดอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมาเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าแล้วเกลี่ยผมสลวยสีดำที่ปกหน้าไปทัดที่หลังหูพลางกับอมยิ้มทั้งน้ำตา
“คุณหนูของป้าสวยขึ้นเยอะเลยนะคะ”
“ตานก็สวยตั้งแต่เกิดแล้วนี่คะ”
“แหม คุณหนูยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ฮ่า ๆ ก็ตานยังเป็นตานคนเดิมไงคะ หัวใจดวงเดิม เพิ่มเติมคือสวยขึ้นเป็นกอง”
“สวยจริง ๆ ค่ะ ป้าคิดถึงคุณหนูมาก ๆ เลย”
“ตานก็คิดถึงป้ามะลิเหมือนกันค่ะ ป้ามาหาตานทุกวันเลยก็ได้นะคะ       ที่บ้านคนดูแลเยอะแล้ว ป้าไม่อยู่แค่คนเดียวคงไม่มีใครเป็นอะไรหรอก”
“จะไม่กลับไปเยี่ยมคุณผู้ชายบ้างเหรอคะคุณหนู”
“ไม่ค่ะ”
“คุณหนูยังไม่หายโกรธคุณผู้ชายอีกเหรอคะ ผ่านไปนับสิบปีแล้วนะคะ”
“ป้าอย่าพูดถึงได้ไหม ตานไม่อยากได้ยิน”
“โธ่คุณหนูคะ”
“นะคะป้า”
“ก็ได้ค่ะ...แล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ ไปอยู่ที่นั่นลำบากหรือเปล่า”
“ก็ลำบากนิดหน่อยค่ะ แต่ตานอยู่ได้ ตานแกร่งขึ้นเยอะเลยนะ ที่ชนบทมีครูไม่ค่อยเยอะ ตานเลยได้ทำแทบทุกอย่างเลย”
“เก่งมากเลยค่ะ แล้วสวย ๆ แบบนี้ มีหนุ่มมาจีบไหมคะ”
“ก็มีแหละค่ะ แต่หัวใจตานมีแค่พี่สิบทิศคนเดียวเท่านั้น ชาตินี้ตานจะไม่รักใครอีกแล้ว”
“คุณหนูคะ...สิบทิศก็เสียไปเป็นสิบกว่าปีแล้วนะคะ ทุกอย่างมีเกิดขึ้น และดับไปเป็นธรรมชาติของชีวิต ยอมรับแล้วเริ่มต้นใหม่เถอะนะคะ อย่ายึดติดแต่กับอดีตเลย”
“ตานก็ไม่ได้อยากยึดติดหรอกค่ะป้า ถ้ามีคนที่ดีเท่าพี่สิบทิศ หรือดีกว่า ตานก็คงจะเปิดใจล่ะมั้งคะ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่มีใครเทียบพี่สิบทิศได้เลย”
“ก็ขอให้มีคนที่ทำให้คุณหนูเริ่มต้นใหม่ได้สักทีนะคะ”
“เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า พูดเรื่องนี้ทีไรตานรู้สึกใจสั่นทุกที อ้อ! ป้ามะลิคะ เดี๋ยวช่วยตานขนสมุดพวกนี้เข้าไปไว้ในห้องหน่อยนะคะ”
ตานพูดพลางกับชี้ไปที่กองสมุดวาดภาพกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ภายในบ้านเพื่อเปลี่ยนเรื่อง หญิงวัยกลางคนก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะเดินไปถือกองสมุดวาดภาพตามคำร้องขอ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตานทำสมุดวาดภาพเล่มบนสุดของกองสมุดที่เธอถืออยู่ร่วงหล่นลงพื้นพอดี
จากแรงกระแทกทำให้สมุดวาดภาพเปิดเป็นหน้าภาพวาดเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่วาดด้วยดินสอผ่านการแรเงาจนขึ้นรูปสวยงาม หญิงวัยกลางคนจึงนำกองสมุดที่ถืออยู่วางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล่มที่ตกพื้นขึ้นมาดู
“ฝีมือวาดภาพของคุณหนูนี่พัฒนาขึ้นมากจนน่าทึ่งเลยนะคะเนี่ย”
“ขอบคุณค่ะ ไปอยู่ที่นั่น ตานมีเวลาฝึกมือทุกวันเลย” ปากพูดไป มือก็ขนกองสมุดวาดภาพเข้าไปเก็บไว้ในห้องไปพลาง ๆ ระหว่างนั้นคนเป็นแม่เลี้ยงจึงเปิดดูผลงานภาพวาดตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้ายด้วยความแปลกใจ เพราะเป็นการวาดนางแบบคนเดียวกันทั้งเล่ม แถมยังเป็นการวาดแบบมุมมองเดียว คือรูปหน้าตรงเท่านั้น
“นางแบบจำเป็นเหรอคะคุณหนู วาดคนเดียวทั้งเล่มเลย”
“เปล่าหรอกค่ะ อา! เสร็จแล้ว!” เพราะมัวแต่เปิดดูภาพวาดจนปล่อยให้คุณหนูพุดตานต้องขนของด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นหน้าที่เธอเสียด้วยซ้ำ มะลิจึงรีบปิดสมุดแล้วตามเข้าไปเก็บไว้ในห้องทันที
“ป้าขอโทษนะคะ ไม่ได้ช่วยคุณหนูขนเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตานบอกแล้วไงว่าตานแกร่งขึ้นเยอะ”
“เชื่อแล้วค่ะ ว่าแต่เด็กคนนั้นคือใครเหรอคะคุณหนู ทำไมถึงวาดแต่แก  ล่ะคะ”
“ตานก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“เอ๊ะ!?”
“ตานฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นมาหลายปีแล้วค่ะ เอาจริง ๆ ตานไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมถึงฝันถึงก็ไม่รู้”
“ฝันถึงคนในภาพนี่เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ มันแปลกมากที่ตานฝันถึงใครก็ไม่รู้ นับวันยิ่งถี่ขึ้น จากปีละครั้ง เป็นเดือนละครั้ง จากเดือนก็มาเป็นสัปดาห์ ตานจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเด็กคนนี้ในฝันตั้งแต่เด็กคนนี้ยังตัวเล็ก ๆ จนเติบโตตามวันเวลาเลย”
“ไม่ใช่สอนเด็กเยอะจนเก็บมาฝันเหรอคะคุณหนู”
“ไม่ค่ะ ที่หมู่บ้านมีเด็กแค่ยี่สิบคน ตานจำทุกคนได้ดี แต่เด็กที่ตานฝันถึง เธอคือใครก็ไม่รู้ ตานก็เลยไปทำบุญให้เธอบ่อย ๆ”
“แล้วทุกวันนี้ยังฝันถึงอยู่หรือเปล่าคะ”
“ล่าสุดก็ตอนนั่งรถไปบ้านพี่เกตนั่นแหละค่ะ ไม่รู้ทำไม เวลาฝันถึงเด็กคนนี้ทีไร ตานจะรู้สึกคิดถึงและโหยหาแปลก ๆ บางทีตื่นมาแล้วร้องไห้ก็มี อาจจะเพราะเห็นเขาตั้งแต่เด็กจนโตเลยมั้ง”
“ป้าว่าอาการของคุณหนูน่าเป็นห่วงแล้วนะคะ ต้องเป็นเพราะคุณหนูได้ทำงานหนักแน่ ๆ อาจจะเครียดหลายอย่างด้วย”
“ตอนแรกตานก็คิดแบบนั้น แต่พอไปปรึกษาจิตแพทย์ทุกอย่างก็ปกตินะคะ แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้งคะ ตานอาจจะสร้างคนในจินตนาการขึ้นมาเอง”
“ป้าว่าคุณหนูกับเด็กคนที่ฝันถึงอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้”
“เกี่ยงข้อง? หมายความว่ายังไงคะ”
กริ๊ง! กริ๊ง!
เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าส่งเสียงร้องอยู่ในกระเป๋าถือที่วางไว้บนโต๊ะไม้ดังขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง มะลิจึงรีบวิ่งไปหยิบขึ้นมารับเพราะไม่อยากให้ปลายสายต้องรอนาน
“เอ่อ...คุณหนูคะ วันนี้ป้าต้องกลับบ้านแล้วค่ะ”
“อ้าว ป้าอยู่กับตานก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“หลานสาวงอแงหาป้าแล้วค่ะ”
“ฮะ!? หลานสาว? อย่าบอกนะว่าน้องพิกุลมีลูกแล้ว!?”
“ใช่ค่ะ”
“เฮ้ย!! จริงเหรอคะ นี่ตานไม่อยู่ไม่กี่ปี น้องพิกุลไปแอบมีแฟนตอนไหนเนี่ย แถมมีลูกแล้วด้วย ฮือ...คิดถึงน้องพิกุล อยากเจอหน้าหลานด้วย ป้าพามาหาตานบ้างได้ไหม”
“ป้าว่าคุณหนูไปหาแกที่บ้านดีกว่านะคะ”
“ไม่เอาค่ะ ไม่อยากไป”
“เฮ้อ...คุณหนูนี่ใจแข็งยิ่งกว่าหินอีกนะคะ ป้าว่ายังไงคุณผู้ชายก็ไม่ยอมให้คุณหนูอยู่ที่นี่แน่ ๆ”
“พ่อทำให้ตานกลับมาที่นี่ได้ แต่พ่อจะบังคับอะไรตานไม่ได้อีกแล้ว”
“เฮ้อ...ป้าต้องกลับแล้วนะคะ ไว้ป้าจะมาหาใหม่นะคะคุณหนู”
“กลับดี ๆ นะคะ ฝากความคิดถึงไปหาน้องพิกุลด้วยนะคะป้ามะลิ”
“ได้ค่ะคุณหนู” ทั้งสองเข้ามาสวมกอดกันอีกครั้ง ก่อนที่ตานจะยืนยิ้มส่งคนเป็นแม่เลี้ยงกลับบ้าน บ้านหลังเล็กที่ก่อนหน้ามีเสียงคุยและรอยยิ้มแต่ตอนนี้กลับถูกความเหงาเข้ามาแทนที่
แม้จะอยู่คนเดียวมานาน แต่การต้องกลับมาอยู่ถิ่นเก่า ทำให้เธอหวนคิดถึงความทรงจำในอดีต ความทรงจำที่แสนเจ็บปวดจนเธอไม่อาจลบเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แม้จะผ่านไปนานนับสิบปีแล้วก็ตาม
เรามีอะไรเกี่ยวข้องกันงั้นเหรอ...หรือจะจริงนะ หนูคือใครกันนะ แล้วเราจะได้เจอกันงั้นเหรอ... ตานคิดในใจพลางกับเปิดสมุดวาดภาพดูด้วยความฉงน ทำไมเธอถึงได้รู้สึกหวิว ๆ ในใจเช่นนี้ เด็กผู้หญิงในภาพวาดหรือเด็กผู้หญิงที่เธอฝันถึงนั้นคือใครกันแน่ ทำไมเธอถึงรู้สึกคำนึงหามานานนับปี หรือจะจริง...ที่ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกัน...