A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 28 ทรยศ

"คุณแพรวครับ!! ตื่นได้แล้วครับ เราต้องรีบหนีตอนนี้" ชายหนุ่มว่าพลางกับพยายามเขย่าร่างสาวสวยอย่างร้อนรน ก่อนเธอจะงัวเงียตื่นขึ้นมาในสภาพที่สะลึมสะลือ
"อะไรพล มาปลุกฉันทำไม"
"คุณแพรวครับ!! ตั้งสติ!! ตอนนี้ตำรวจกำลังมาที่นี่ เราต้องรีบหนี!!"
"อะไรนะ!!?'
"ไม่มีเวลาแล้วครับ ผมไปเอาของมีค่ามาหมดแล้ว เราหนีไปด้วยกันนะครับคุณแพรว"
สาวสวยพยายามรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าที่หน้าประตูมีกระเป๋าหนังใบใหญ่วางอยู่ คาดว่าในนั้นคงบรรจุของมีค่าที่เขาพูด เธอจึงสะบัดข้อมือออกจากการจับกุมของเขาทันที
"ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!"
"ไม่ได้นะครับ!! เราต้องรีบหนี ตำรวจกำลังมานะครับคุณแพรว!!"
"มาแล้วยังไง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!!" 
"นี่คุณพูดอะไรของคุณ" เขาตกใจกับคำพูดและท่าทีของสาวสวยไม่น้อย 
"ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องหนีด้วย"
"แต่คุณเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนะ!!"
"พูดอะไรของนาย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คนที่ลงมือทำคือนาย ไม่ใช่ฉัน!!" เกริกพลเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตอย่างฉับพลัน คำพูดของคนที่เขารักสุดหัวใจเหมือนเป็นการโยนความผิดให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อเธอทั้งนั้น
"คุณแพรว!! คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง!!?" ว่าพลางกับกระชากที่ข้อมือของเธอด้วยความโกรธ
"โอ๊ย!! ฉันเจ็บนะ!!!"
"คุณต้องหนีไปกับผม!!"
"ฉันไม่ไป!!"
"นี่คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ!!! เราลงมือมาด้วยกันตั้งแต่ต้น พอเข้าตาจนแล้วคุณจะทิ้งผมงั้นเหรอ คุณจะโยนความผิดให้ผมเพียงคนเดียวงั้นเหรอคุณแพรว!!"
"ฉันไม่ได้เป็นคนทำนะ!! ปล่อย!!!"
"ผมจะพยายามคิดว่าตอนนี้คุณยังไม่ตื่นจากฝันนะคุณแพรว ฟังผมนะ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ที่นี่มันอันตราย เดี๋ยวผมจะพาคุณหนีเอง"
มันอาจจะเป็นเพราะเธอกำลังท้องกำลังไส้และถูกปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันจึงส่งผลให้เธออารมณ์แปรปรวนก็เป็นได้ เขารู้ดีว่าเธอรักเขามากเพียงใด เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวรอดเพียงคนเดียวแบบนี้ เกริกพลพยายามตั้งสติและคิดหาทางช่วยหญิงคนรักเพื่อที่จะหลบหนี แต่เมื่อเขาก้มลงเพื่อจะช้อนร่างสาวสวย เธอก็ผลักหน้าอกของเขาอย่างแรงจนเซถลาไปด้านหลัง
"ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!! และนั่นก็สมบัติฉัน นายอย่าคิดว่าจะหยิบออกไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว" พูดจบเธอก็วิ่งไปคว้าที่สายสะพายกระเป๋ามากอดเอาไว้แน่นก่อนจะมีการยื้อยุดฉุดกระชากกันเกิดขึ้น
"พล!! ปล่อย!!"
"ผมไม่ปล่อย!! คุณต้องหนีไปกับผม!!"
"ก็บอกว่าไม่ไปไง!!"
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
"คุณเกริกพลครับ ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบหนีแล้วนะครับ!!" อีกเสียงหนึ่งที่ดังผ่านประตูห้องเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบประตูอย่างร้อนรน ซึ่งเป็นเสียงของหนึ่งในลูกน้องของเขาที่เพิ่งจะหลบหนีมาได้นั่นเอง เกริกพลจึงคว้าที่ข้อมือของแพรวอีกครั้งก่อนจะลากออกจากห้องทั้งที่ยังสวมชุดนอน
"คุณต้องไปกับผม!!"
"หยุดนะ!! ฉันไม่ไป!! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!"
ตุ๊บ!!
"โอ๊ย!!" แพรวไม่ว่าเปล่า เธอคว้าสิ่งของใดขึ้นมาได้ก็ฟาดที่ศีรษะอีกคนไปอย่างเต็มแรงจนร่างสูงโปร่งถึงกับทรุดลงกับพื้น ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าห้องและล็อกประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา
เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลเพราะถูกทุบด้วยรูปปั้นม้าพยศสำหรับตั้งโชว์ เขากุมศีรษะตัวเองเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด นี่คงเป็นการหักหลังที่สาหัสที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา เพราะเขาถูกทรยศจากคนที่เขารักสุดหัวใจและอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้องก็เป็นของเขา แต่เธอกลับเลือกที่จะเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว
"ไม่มีเวลาแล้วครับคุณเกริกพล เราต้องหนีแล้ว!!" พูดจบชายกำยำอีกคนจึงรีบวิ่งมาพยุงร่างของเกริกพลเพื่อพาไปยังรถยนต์ที่เขาและคู่หูเตรียมเอาไว้สำหรับหลบหนีแล้ว 
เสียงไซเรนที่มาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ บ่งบอกได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งมาที่คฤหาสน์หลังนี้แล้ว เขาไม่มีเวลาที่จะคิดทบทวนอะไรทั้งนั้นนอกจากหนีเอาตัวรอด ช่างน่าขันสิ้นดี สิ่งที่เคยวาดฝันไว้ดั่งวิมานตอนนี้พังทลายลงไปในชั่วพริบตา
รถสปอร์ตประจำตำแหน่งของบอดี้การ์ดที่เปรียบเสมือนมือขวาของคนเป็นนายตระกูลผู้รากมากดี กลับกลายเป็นยานพาหนะที่ทำให้เขาต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน การไล่ล่าในครั้งนี้ไม่ต่างจากในหนังฟอร์มยักษ์ คือมีการไล่ล่ารถสปอร์ตของฝ่ายผู้ร้ายสองคัน แต่รถของเจ้าหน้าที่นั้นมีถึงสี่คันด้วยกัน ก่อนที่รถคันหนึ่งที่เป็นของลูกน้องของเขาจะเสียหลักพุ่งชนแบริเออร์คอนกรีตข้างทาง จึงทำให้เหลือแค่เพียงเกริกพลและลูกน้องอีกหนึ่งนายที่เป็นคนขับ
"เวรเอ๊ย!! ขับให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงวะ เปลี่ยนที่กับกู!! กูจะเป็นคนขับเอง!" เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียพลางกับเอี้ยวตัวมองไปทางด้านหลัง ซึ่งรถของเจ้าหน้าที่ก็ยังคงขับตามเขามาติด ๆ
หัวใจที่เต้นตึกตักเพราะหวาดหวั่นกับการถูกไล่ล่า อีกทั้งการขับรถที่ไม่ได้ดั่งใจของลูกน้อง ก่อนทั้งสองจะรีบเปลี่ยนหน้าที่กันอย่างรวดเร็วจนทำให้รถเสียหลักเล็กน้อยแต่เกริกพลก็สามารถประคองรถเอาไว้ได้


"ขอฝากทางนั้นด้วยนะคะพี่...ค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ" เพราะบอดี้การ์ดสาวคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้ชายหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยถามทันทีที่เธอวางสาย
"เกิดอะไรขึ้นเหรอปัญ ทำไมหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ"
"ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังไล่ล่าเกริกพลค่ะ ส่วนคุณแพรวถูกขังไว้ในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือแล้ว"
"แปลก ทำไมถึงถูกขังได้ล่ะ พวกมันเป็นพวกเดียวกันไม่ใช่เหรอ"
"ตอนนี้ปัญก็งงไปหมดแล้วค่ะพี่โก เป็นไปได้ว่าพวกมันจะหักหลังกันเอง ไม่งั้นยัยแอนนาคงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอก" ว่าพลางกับมองไปยังสาวสวยอีกคนที่เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ 
แม้เธอจะไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยเชือกหรือสิ่งใดก็ตาม แต่เธอก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะหลบหนี คาดว่าคงร้องไห้จนเสียสติไปแล้ว ส่วนณิชานั้นช่วยปฐมพยาบาลที่ข้อมือข้างขวาให้เธอใหม่ และมีพี่เลี้ยงสาวคอยดูแลความปลอดภัยไม่ห่าง
"ฮึก ๆ พี่ขอโทษ...พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ไม่รู้จริง ๆ ฮือ ๆ"
"เป็นยังไงบ้างคะคุณหนู" บอดี้การ์ดสาวเดินมาอยู่เคียงข้างคุณหนูของเธอ ก่อนณิชาจะส่ายศีรษะและแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"ก็อย่างที่เห็นค่ะ พี่แอนนาเอาแต่ร้องไห้ แล้วก็เพ้อแบบนี้ซ้ำ ๆ"
"เราควรพาเธอไปโรงพยาบาลนะคะคุณปัญญาวี อย่างน้อยก็พาไปทำแผลก็ยังดี ดูเหมือนกับว่าตัวจะรุม ๆ เพราะพิษบาดแผลนะคะ"
ปัญญาวีชั่งใจกับคำพูดของนงคราญ เพราะกลัวว่าจะเป็นแผนหลอกล่อให้เธอตายใจแล้วก็หลบหนีไป แต่จากการวิเคราะห์สภาพแล้ว สาวสวยเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงนั่งร้องไห้จนตาบวมช้ำ ริมฝีปากเริ่มซีด เธอจึงเอื้อมมือไปสัมผัสที่ต้นคอจนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติ 
"ตัวร้อนจริง ๆ ด้วย"
"พาพี่แอนนาไปโรงพยาบาลเถอะค่ะคุณปัญ แล้วค่อยให้เจ้าหน้าที่คอยเฝ้าก็ได้ สภาพแบบนี้คงหนีไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ"
"ปัญ! อย่าใจอ่อนนะ นี่อาจจะเป็นแผนของมันก็ได้ มันอาจจะทำให้เราสงสาร แล้วก็แว้งกัดเราทีหลัง เราไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมพวกมันถึงแยกกันไปคนละทางแบบนี้ เพราะงั้นนะ...เชื่อพี่ อย่าใจอ่อน..."
"ถึงพี่โกจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ดูแล้วยัยแอนนาไม่น่าจะล้อเล่นนะคะ"
"จริงค่ะพี่โก ณิเชื่อว่าพี่แอนนาป่วยจริง ๆ" หญิงสาวตัวเล็กเสริม
"ปัญ! ทำไมขี้ใจอ่อนแบบนี้ อย่าปราณีศัตรูสิ!"
"แต่พี่แอนนาคือญาติของณินะคะพี่โก!!"
"ญาติประสาอะไร ทำไมถึงทำกับน้องณิแบบนี้ล่ะครับ!? ไม่เห็นเหรอว่าคนรอบข้างตายไปตั้งเท่าไหร่แล้ว!"
"แต่พี่โกคะ!!"
"พอสักทีเถอะ!!" 
ทางหนึ่งก็คนที่ตนรัก อีกทางหนึ่งก็เป็นรุ่นพี่ที่ลำบากร่วมกันมา ปัญญาวีถึงกับลำบากใจไม่น้อยว่าจะฟังใครดี แต่เมื่อเธอมองแววตาของพี่เลี้ยงสาวแล้วนั้นก็รับรู้ได้ว่านงคราญเองก็ลำบากใจไม่น้อยไปกว่าเธอ
"เอาเป็นว่าเราพายัยแอนนาไปโรงพยาบาลแล้วให้เจ้าหน้าที่คอยเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ค่ะ เพราะตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะปล่อยให้เพ้อไปเรื่อย ๆ แบบนี้อาการคงหนักกว่าเดิมแน่ หลังจากนี้เราค่อยไปหาคุณแพรว และสอบสวนเธอว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็จะได้ให้คุณนมได้รับการรักษาด้วย"
"ปัญ!! อย่าใจอ่อนให้ศัตรู!!"
"รู้ค่ะพี่โก ปัญเข้าใจ แต่เอาตัวเขาไว้แบบนี้ก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมหรอกค่ะ ดูสิคะ เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ เราไปหาคุณแพรวกันจะดีกว่าอีก"
"เฮ้อ...ก็ได้ ๆ งั้นพี่ขอเป็นคนเฝ้าเอง พี่ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เพราะตอนไอ้เปี๊ยก ปัญก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้วนะ ว่าเราไว้ใจใครไม่ได้"
"พี่โก แต่นี่คือเจ้าหน้าที่ที่ปัญติดต่อเองนะ"
"โอเค ๆ ยอมแล้วครับ" แม้จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเท่าที่ควร แต่โกจำต้องยอมเพราะหนึ่งเสียงจะไปสู้เสียงส่วนมากได้อย่างไร 


รถสปอร์ตสีดำเคลือบเงาพยายามขับรถฉวัดเฉวียนเพื่อหลบหนีการจับกุม แต่ก็ยังไม่วายถูกตามได้ทัน เพราะถนนเส้นที่เขาหลบหนีไปนั้นมีรถราสัญจรไม่มากนัก บ้างก็ถูกดักข้างหน้าทำให้เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าสู่ซอยแคบ 
ดูเหมือนกับว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีและฉับไวไม่น้อย เพราะมีรถของเจ้าหน้าที่ขับเลยซอยและเสียหลักบ้าง แต่ก็ยังมีที่ตามมาอีกสองคัน อย่างน้อยก็ลดจำนวนผู้ไล่ล่าลงไปได้ เมื่อสังเกตว่าบริเวณด้านข้างเต็มไปด้วยป่าสองฝั่งข้างทาง เขาจึงนึกอะไรขึ้นได้
"เฮ้ย! กูจะให้สัญญาณแล้วมึงเตรียมโดดรถพร้อมกูนะ"
"อ...อะไรนะครับ!!?" 
"หนึ่ง!!!" 
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ฟังคำอธิบายใด ๆ เจ้าตัวก็เริ่มนับและปลดเข็มขัดนิรภัยเสียแล้ว คงจะเป็นอย่างที่เขาเข้าใจ หลังสัญญาณคือให้กระโดดลงจากรถเป็นแน่ เขาจึงรีบปลดเข็มขัดตามคนเป็นนายทันที
"สอง!!"
"โดด!!!" 
สิ้นเสียงของเขา ประตูสองฝั่งซ้ายขวาก็ถูกเปิดออกก่อนที่ร่างทั้งสองจะกระโจนลงจากรถ ปล่อยให้รถสปอร์ตเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ต่อจากนี้เป็นการหลบหนีด้วยเท้า แม้จะบาดเจ็บบริเวณศีรษะและได้รับบาดแผลจากการกระโดดลงจากรถแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
ต่างคนต่างสิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทาง แม้จะตัดสินใจอย่างฉับพลันก็ยังมีเจ้าหน้าที่วิ่งตามเขามาอีกอยู่ดี ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อที่จะหนีตาย คงเป็นทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะรอดได้ 
แคว๊ก!!!
"อ๊าก!!"
กิ่งไม้ปลายแหลมที่โผล่ออกมาก่อนที่เขาจะวิ่งไปสัมผัสโดนมันทำให้กลายเป็นของมีคมชั้นดีเกริกพลได้รับบาดเจ็บบริเวณต้นแขนข้างซ้าย แต่เขาก็ยังต้องวิ่ง...วิ่ง...และวิ่งต่อไปเท่านั้น มือข้างขวามีปืนคู่ใจหนึ่งกระบอก บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยกิ่งไม้ขวนและเลือดที่ไหลมาจากศีรษะของเขาด้วย
จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง หัวใจที่เต้นโครมครามกับนาทีชีวิต ดูเหมือนว่าเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามเขามาก็เริ่มหายไปแล้ว เขาวิ่งหนีไปยังสถานที่ที่เขาไม่รู้จักมาค่อนชั่วโมงทำให้แขนขาร่วมอ่อนแรง โชคยังดีที่เหลียวมองไปข้างหน้าแล้วเห็นเหมือนมีสิ่งก่อสร้างลักษณะเป็นโกดังขนาดใหญ่ เขาจึงมุ่งไปที่นั่นทันที
"แฮก ๆ โกดังร้างเหรอวะเนี่ย" 
เห็นทีจะเป็นแมวเก้าชีวิต แม้แต่หนีตายหัวซุกหัวซุนยังมีโกดังร้างให้เข้ามาซ่อนตัว เกริกพลอ่อนแรงทรุดลงนั่งกับพื้นก่อนจะหาจุดที่สามารถอำพลางร่างของเขาได้ เขาแทรกตัวเข้าไปยังร่องระหว่างไม้พาเลทที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ รวมถึงกองไม้แปรรูปหลากหลายขนาดวางเรียงราย ก่อนจะฉีกเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตอนนี้อาบไปด้วยเลือดมาพันปิดปากแผลบริเวณต้นแขนเอาไว้ ตามด้วยพันรอบศีรษะบริเวณที่ถูกทุบด้วยของแข็ง
มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความเคียดแค้น ที่ผ่านมาเขาแค่ถูกหลอกใช้เท่านั้น มันเจ็บปวดตรงที่หัวใจคล้ายโดนกระแสไฟฟ้าช็อตจนมันแทบจะมอดไหม้ลงประเดี๋ยวนี้ แม้แต่ร่างกายของเขาก็สะบักสะบอมหากจะให้วิ่งหนีต่อก็คงจะไม่ไหว เพียงแค่จะกลืนน้ำลายยังลำบาก และตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันที่มีแดดร้อน ๆ ทำให้อุณหภูมิในโกดังร้อนระอุไปด้วย ต่อให้ทรมานแค่ไหนเขาก็ต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนกว่าจะมั่นใจว่าเขาปลอดภัยแล้วจริง ๆ
"หึ...ถ้ากูหนีออกไปได้เมื่อไหร่ มึงไม่รอดทั้งแม่ทั้งลูกแน่ อีคนทรยศ!!! มึงกล้าที่จะหักหลังกู มึงไม่ได้ตายดีแน่..."


1 ปีก่อน...
"ผมรักคุณนะครับคุณแพรว..." เสียงนุ่มละมุนจากชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูสาวสวยอีกคนที่นอนเนื้อตัวเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ก่อนเธอจะหันมาจูบลงที่หน้าอกของเขา
"ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะพล ฉันมีความสุขมากจริง ๆ"
"ผมก็มีความสุขเหมือนกันครับ ผมแอบรักคุณตั้งแต่มาทำงานกับคุณท่านวันแรก ไม่คิดเลยว่าผมจะมีวันนี้...วันที่ผมได้ครอบครองคุณ"
"ชู่ว...พูดเยอะเกินไปแล้ว" ว่าพลางกับใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของเขา ใบหน้าของเธอนั้นสละสลายทุกองศา ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้ทุกครั้ง
ยิ่งได้ผ่านบทเพลงรักร่วมกันมาแล้วนั้น เขาก็ยิ่งตกหลุมรักเธอจนเรียกได้ว่าโงหัวไม่ขึ้น ใครล่ะจะคิด...ว่าบอดี้การ์ดอย่างเขาจะได้มีค่ำคืนอันแสนหวานกับคนเป็นนายที่เขาหลงรักมานานหลายปี
"คุณแพรวครับ"
"อื้อ...ว่าไงพล" เสียงหวานเอ่ยตอบพร้อมกับเงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้ม
"เราไปอยู่ด้วยกันดีไหมครับ ผมไม่เห็นว่าคุณท่านจะดีกับคุณเลยสักวัน วัน ๆ ก็ทำแต่งาน แม้แต่คุณหนูเขาแทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ"
"หนีไปแล้วจะดูแลฉันไหวเหรอ"
"ไหวครับ เงินเดือนที่คุณท่านให้มันไม่น้อยเลย มันมากพอที่จะดูแลคุณได้นะคุณแพรว"
"นายดูแลฉันไม่ได้หรอก"
"ได้สิครับ"
"ไม่ได้"
"ได้ครับคุณแพรว ผมดูแลคุณได้" เขาค้านหัวชนฝา
"ก็บอกว่าไม่ได้ไง ตราบใดที่สามีฉันยังอยู่เราก็ไปอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะงั้นนะพล...เราต้องกำจัดพวกเขาทีละคน"
"เดี๋ยวนะครับ คุณหมายความว่ายังไง" เขาว่าพลางกับขมวดคิ้วตกใจกับคำพูดของเธอไม่น้อย
"ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้นเท่านั้น ฉันไม่ได้รักหรือผูกพันกับใครที่นี่ ถ้าเรากำจัดมันได้อย่างแยบยล เราก็จะได้สมบัติอย่างมหาศาล ลองคิดดูสิพล ถ้ากำจัดมันได้ทีละคน เราจะมีเงินเท่าไหร่ มันมากจนเราสร้างชีวิตร่วมกันได้เลยนะ" เธอเริ่มวาดฝันและสร้างวิมานให้กับเขา
น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นช่างหนักแน่นและจริงจัง เกริกพลเชื่อคำหวานสนิทใจ การที่เขาได้ร่วมรักกับเธอนั้น ถือเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขาทั้งสองต่างคิดเห็นตรงกัน และถ้ามันจะทำให้วิมานที่แพรววาดฝันนั้นเกิดขึ้นจริง เขาก็ต้องสร้างมันด้วยมือของเขาเอง
"คุณอยากให้ผมทำอะไร ผมทำให้คุณได้ทุกอย่าง"
"ก่อนอื่นจัดการลูกของมันก่อนเป็นอันดับแรก ของของลูกมันทั้งหมด ฉันจะยกให้กับลูกสาวของฉัน ส่วนของพ่อมัน นายกับฉันจะได้ครอบครองร่วมกัน เราจะไปสร้างชีวิตใหม่ด้วยกันนะพล แต่มีข้อแม้ว่า...นายจะต้องวางแผนให้แยบยลที่สุด ให้การตายของทุกคนที่นี่เป็นอุบัติเหตุ"
"เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงครับคุณแพรว ระดับผมแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้"
"เฮ้อ...ฉันรักคนไม่ผิดจริง ๆ บอดี้การ์ดคนเก่งของฉัน ฉันจะรอดูความสำเร็จของนายนะพล" พูดจบเธอจึงโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากหนาไปหนึ่งครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มกว้างออกมา
"รอวันที่เราจะได้ไปอยู่ด้วยกันนะครับคุณแพรว..."


"ทำไมมันถึงได้หนังเหนียวแบบนี้นะ..." สาวสวยพูดพลางกับกัดฟันแน่น เธอเพิ่งจะผ่านการแสร้งร้องไห้จนตาบวมช้ำ แต่เหยื่อกลับรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
"ทั้ง ๆ ที่รถมันพังยับเยินขนาดนั้น แต่ทำไมมันถึงแค่ขาหักกันนะ...คนที่ตายดันเป็นคนอื่น สงสัยโชคจะเข้าข้างมันล่ะมั้งครับ ถึงได้มีคนตายแทนมัน น่าเสียดายจริง ๆ ผมอุตส่าห์ตัดสายเบรกมันด้วยตัวเองขนาดนี้ ผมทำงานพลาดเหรอเนี่ย" เกริกพลแทบกุมขมับที่เขาทำงานพลาด
"ไม่หรอกพล นายทำดีแล้ว อย่างน้อยมันก็พิการล่ะน่ะ น่าจะง่ายต่อการกำจัดมันไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ก็น่าสมเพช ที่ลูกเกือบตายขนาดนั้นพ่อมันยังเอาแต่ทำงาน เหอะ...คนแบบนี้มันควรลงนรก"
"นั่นน่ะสิครับ ไม่สมกับเป็นพ่อคนเลยจริง ๆ น้องสาวของคุณรักไปได้ยังไงกันนะ"
"ความรักทำให้คนตาบอดน่ะสิ มันน่ะเลวสิ้นดี"
"เดี๋ยวผมจะกำจัดคนเลว ๆ ให้เองครับ แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงต่อไปดีครับ" สิ้นคำถามของเขา เธอจึงวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานส่วนตัวของสามีหลอก ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง
"ลองอ่านกระทู้ล่าสุดสิ" เธอพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนบอดี้การ์ดหนุ่มจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่าน
"อย่าบอกนะครับว่า...คุณจะใช้คนคนนี้เป็นเครื่องมือ"
"ใช่...แม่ของเธอตายเพราะณิชา มันเลยแค้นและตั้งกระทู้หาความเป็นธรรม ยัยพี่เลี้ยงนั่นก็คอยแจ้งลบทุกครั้ง ทำให้มันแค้นหนักขึ้นไปอีกและรู้อะไรไหมพล ผู้หญิงคนนี้น่ะ...คือคนที่ณิชาแอบรักมานานแล้ว เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของค่ายมวยเจตคติ มีฝีมือด้านศิลปะป้องกันตัวทุกรูปแบบ นายลองคิดดูสิว่าจะใช้เธอเป็นเครื่องมือยังไงดี" เธอให้คำถามแบบปลายเปิดเพื่อให้เขาได้คิด ซึ่งเวลาเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นเขาก็รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร
"แกล้ง ๆ จ้างมาเป็นบอดี้การ์ดคุณหนูดีไหมครับ พอเธอรู้ว่าคนที่ทำให้แม่ต้องตายอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ เราอาจจะใช้เธอเป็นเครื่องมือในการกำจัดคุณหนูได้"
"ใช่...แต่วิธีของนายมันง่ายเกินไป เราต้องเพิ่มความแค้นลงไปอีก"
"ยังไงครับ"
"กำจัดคนใกล้ตัวของผู้หญิงคนนี้อีกสักคนสิคะ แล้วพยายามให้เธอสาวเรื่องมาถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็คือสามีของฉัน"
"ฮ่า ๆ คุณนี่ฉลาดจริง ๆ เห็นทีจะเป็นหน้าที่ของผมแล้วล่ะ แกล้งเผาค่ายมวยเธอดีไหมครับ จะได้เหมือนมดแตกรัง เศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ถ้ามีคนมาเสนอเงินค่าจ้างมาก ๆ เธอก็คงรีบคว้าแน่นอน ผมมั่นใจ"
"เธอตอบรับแน่นอน เดี๋ยวฉันจะไปเกลี้ยกล่อมสามีด้วยอีกแรง แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งลงมือทำอะไรนะ รอจังหวะและสัญญาณจากฉัน ถ้าเห็นทีว่าพวกมันจะทำตามแผนที่เราวางไว้ นายก็เริ่มหาเหยื่อได้เลย เดี๋ยวฉันหนุนหลังเอง"
"ได้ครับคุณแพรว แต่ว่า...ช่วยเลิกเรียกว่าสามีได้ไหมครับ ผมไม่มีแรงจะทำงานเลย"
"ก็แค่สามีหลอก ๆ น่า ตัวจริงคือนายต่างหาก ที่ฉันไปนอนด้วยทุกคืน จะน้อยใจไปทำไม"
"เปล่าน้อยใจครับ แต่ไม่ค่อยพอใจที่คุณพูดถึงคนรักเก่าแบบนั้น"
"อดีตก็คืออดีต มันจบไปนานแล้ว!"
"แต่เขาก็คือพ่อของลูกคุณนะครับคุณแพรว"
"พล!!! อย่าพูดแบบนี้อีก ฉันไม่ชอบ!!!" 
"อ่า...ครับ...ผมขอโทษครับ"
ความจริงแล้วนั้น แผนได้ถูกวางเอาไว้มานานนับปี  และทุกอย่างได้ดำเนินไปตามแผนที่ทั้งสองวางเอาไว้ทุกอย่าง ภาพฝันที่เขาและเธอวาดเอาไว้ร่วมกัน วิมานแห่งความสุขกำลังจะเป็นจริงแล้ว ถ้าเขาไม่ถูก...ทรยศ...เสียก่อน


"แค่ก ๆ"
ไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดหนุ่มผล็อยหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมด้วยสีครามไปแล้ว ภายในโกดังเก็บของเก่าจากเดิมเคยมีอุณหภูมิร้อนระอุแต่ตอนนี้เขาสามารถอยู่ได้แบบไม่ลำบาก จะติดก็เพียงบาดแผลบนร่างกายของเขาและความหิวที่กำลังทำให้เขาเริ่มมองหาอะไรมาประทังชีวิต
เขามองไปรอบ ๆ พบแต่ความมืดและความเงียบงัน ก่อนจะพยายามประคองร่างของตนให้ยืนขึ้นและเดินขากะเผลกตรงเข้าไปด้านในสุดและมาชะโงกหน้าดูที่หน้าประตูโกดัง
"เหอะ...เวรเอ๊ย..."
ช่างน่าสมเพชเสียจริง สถานที่ที่เขามาใช้เป็นที่ซ่อนตัวมันไม่ใช่ที่ไหนไกลเลย แต่มันคือโกดังร้างที่อยู่ด้านข้างลานจอดรถกว้าง ตรงข้ามกับซากปรักหักพังจากเหตุเพลิงไหม้นั่นเอง
'ค่ายมวยเจคติ'
ซากป้ายไม้ที่ผ่านการเผาไหม้ไปซีกหนึ่งแต่ยังพออ่านได้ว่ามันคือคำว่าอะไร พร้อมกับแสงไฟสีนวลจากเสาไฟฟ้า นี่เขาหนีตายมายังที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ แต่ข้อดีของการที่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน ก็คือ...มันง่ายต่อการกลับไปแก้แค้นคนที่ทรยศเขานั่นเอง


"การสอบสวนเป็นยังไงบ้างคะ"
"เธอเอาแต่ร้องไห้และบอกว่าถูกข่มขู่ ถ้าไม่ทำก็จะถูกเอาชีวิต เธอจึงต้องอยู่กับเขา"
"ไม่หลุดอะไรนอกจากนี้เลยเหรอคะ"
"ใช่ครับ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดีกว่านะครับคุณปัญ เจ้าหน้าที่จะทำอย่างเต็มความสามารถแน่นอน"
"ปัญต้องขอขอบคุณจริง ๆ นะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยก็ไม่รู้ว่าปัญจะต้องทำยังไงต่อไปแล้ว เรื่องทุกอย่างที่ได้เจอมันถาโถมจนไม่รู้จะเริ่มจัดการจากตรงไหนก่อนดี"
"เอาน่า...เราเป็นศิษย์ครูคนเดียวกัน ยังไงผมก็ต้องช่วยครับ ไว้ว่าง ๆ ก็เข้าไปที่สนามยิงปืนสิ มีคนคิดถึงฝีมือนักแม่นปืนหญิงที่ชื่อปัญญาวีนะ" 
"ก็ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย ไว้ทุกอย่างจบเมื่อไหร่ปัญจะเข้าไปนะคะ คิดถึงครูกับเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นอยู่เหมือนกัน"
"ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ"
"ค่ะ" ทั้งสองต่างยิ้มและโค้งตัวให้กันและกัน ก่อนชายรูปร่างสูงดูท่าทางทะมัดทะแมงจะเดินจากไป
ปัญญาวีมองตามแผ่นหลังหนาพลางกับถอนหายใจเฮือก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างอิดโรย แม้จะจับกุมตัวแพรวได้แต่เธอก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมานอกจากร้องไห้อย่างที่แอนนาทำ ส่วนคนที่เป็นตัวการสำคัญก็หลบหนีไปได้ อุตส่าห์ใช้ปัญญาเข้าช่วย เธอก็ยังเป็นรองศัตรูอยู่ดี
"เฮ้อ..."
"เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณปัญ" เสียงหวานเอ่ยถามก่อนเจ้าตัวจะเดินมานั่งลงที่โซฟาด้านข้างเธอ
"สรุปว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นยังไง ใครกันที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจค่ะ สุดท้ายฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"
"อย่าคิดมากเลยนะคะ คุณทำดีที่สุดแล้วค่ะคุณปัญ ตอนนี้ไม่มีใครเสี่ยงอันตรายเลยสักคนนะคะ"
"แต่ฉันกลัวว่าเกริกพลมาจะแว้งกัดเราทีเผลอน่ะสิคะ"
"เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอะไรรู้ไหมคะ"
"เพราะอะไรเหรอคะคุณหนู"
"เพราะณิมีบอดี้การ์ดที่เก่งที่สุดคอยปกป้องอยู่ยังไงล่ะคะ" เธอว่าพลางกับอมยิ้ม
"คุณทำดีแล้วค่ะคุณปัญญาวี แต่ทำไมต้องบังคับให้ฉันเข้าน้ำเกลือด้วยคะเนี่ย" นงคราญพูดพร้อมกับชูแขนซ้ายที่มีการให้น้ำเกลืออยู่ โดยเธอนั่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลที่พาตัวแอนนามารักษานั่นเอง
"กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไปก่อนไงคะ"
"คุณจำปาและน้องปุณช่วยดูแลฉันอย่างดีจนแทบจะหายดีแล้วค่ะ ให้ฉันแอดมิทแบบนี้ไม่ชอบใจเลยค่ะ" 
"เอาน่าพี่นง ถ้าน้องปุณมาด้วย น้องก็คงอยากให้พี่พักผ่อนและได้รับการรักษานะคะ"
"ก็ได้ค่ะคุณหนู"
"ทำไมทุกครั้งที่คุณหนูพูดถึงน้องปุณ คุณต้องเชื่อฟังตลอดเลย น้องสาวฉันมันทำไม พวกคุณมีอะไรปิดบังฉันใช่ไหมคะ" บอดี้การ์ดสาวเอนหลังพิงโซฟาพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
"เปล่านะคะคุณปัญ"
"คุณเนี่ยชอบจับผิดฉันอยู่เรื่อยเลยนะคะ" นงคราญเสริม พวกเธอเข้ากันได้ดีแบบเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนทำให้ปัญญาวีหน้ามุ่ยอีกครั้ง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ ทั้งสามถึงกับหันขวับไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะมีใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ทำเอาพวกเธอถึงกับดวงตาเบิกโพลง
"เป็นยังไงกันบ้าง...ทุกคน..." เสียงทุ้มจากชายรูปร่างสูงท้วม ทำณิชาถึงกับร่างสั่นเทาก่อนเธอจะโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้แน่น
"คุณพ่อ!!!! ฮือ ๆ"
"คุณท่าน!!"
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“พ่อหนูณิยังไม่ตายค่าทุกคนนนน TT^TT ส่วนเกริกพล หนีไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับมาตายรังค่ะ!!!”