A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 27 สู้ด้วยปัญญา

"แอนบอกแล้วไงว่ามันเป็นบอดี้การ์ดกระจอก!! เป็นยังไงล่ะ สุดท้ายมันจะทำให้เราตายกันหมด!!" เสียงตวาดลั่นอย่างไม่สบอารมณ์นักของหญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงทำเอาคนที่ถูกกล่าวหาถึงกับกัดฟันแน่น
ข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะสำหรับรับแขกถูกขว้างกระจัดกระจายจนคนเป็นแม่ต้องเข้าไปเขย่าตัวเพื่อเรียกสติของเธอ
"แอนนา!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ลูกควรมีสติมากกว่านี้!!"
"แม่จะให้แอนมีสติได้ยังไง มันบอกว่าจะล่อพวกนั้นให้คลานเข่ามาตายต่อหน้าเราใช่ไหม แต่ตอนนี้เรานี่แหละที่กำลังจะตาย มันจะมาฆ่าเรานะแม่!! แอนจะกลับไปที่อเมริกา ไปอยู่ในที่ของแอน ถ้าแม่อยากตายกับมันอยู่ที่นี่ก็อัพทูยู!!" เธอว่าพลางกับสะบัดแขนออกราวกับคนเสียสติก็ไม่ปาน ก่อนมือหนาข้างหนึ่งจะตวัดตบเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างจัง
เพี้ยะ!!!
น้ำใส ๆ เอ่อที่เบ้าตาทั้งสองของคนเป็นลูก เธอยกมือลูบแก้มซ้ายของตนด้วยความเจ็บปวด เรื่องเจ็บกายเธอน่ะทนได้ และไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนเป็นแม่ทำร้ายร่างกาย เธอเจ็บ...เจ็บตรงที่หัวใจ
"แม่ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ในเมื่อคุณเกริกพลบอกว่าจะช่วยเรา ยังไงเราก็ต้องรอด! ลูกเลิกเสียสติสักทีได้ไหม จะกลับไปเหรอ? กลับไปอยู่กับใคร แด๊ดดี้เหรอ? ลูกไม่รักแม่หรือไง"
"แล้วแม่ล่ะ ไม่รักลูกเหรอ แม่ก็เห็นผู้ชายดีกว่าแอนมาตลอด แม่จะไปนอนกับใครแอนไม่เคยห้าม แต่ตอนนี้เรื่องมันไปกันใหญ่ถึงขั้นที่มีคนตายเต็มไปหมด แม่จะให้แอนรู้สึกยังไง แอนไม่ตายอยู่ที่นี่หรอกนะ"
"บอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายไง!! จะให้แม่ตบหน้าเรียกสติอีกครั้งไหม ถึงจะเลิกพูดสักที!!"
"พวกคุณใจเย็น ๆ ก่อนเถอะครับ ตอนนี้คนของเราก็เยอะพอ ๆ กับมัน" ชายหนุ่มที่นั่งดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเป็นฝ่ายพูดบ้าง
"เยอะพอ ๆ กับมันแล้วยังไง แกไม่เห็นเหรอว่าคนของเราบาดเจ็บกันทุกคน เหมือนมีปืนอยู่ในมือ แต่ไม่มีกระสุนที่จะยิงมัน!!"
"คุณอย่าประเมินฝีมือคนของผมต่ำขนาดนั้นนะคุณแอนนา ต่อให้มีขาข้างเดียว พวกเขาก็สู้ได้"
"เหรอวะ...เหอะ...ขนาดตอนมันมีสองมือสองขา ยังไม่มีปัญญาสู้ยัยบอดี้การ์ดหน้าโง่นั่นได้สักคน เอาอะไรมาคุยโวขนาดนั้นวะไอ้กระจอก"
ถ้ากูฆ่าพวกมันได้เมื่อไหร่ มึงก็จะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกูเก็บเหมือนกันล่ะวะ... เขาคิดในใจด้วยความเคียดแค้น ตอนนี้อยากคว้าปืนมายิงทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้และหอบของมีค่าหลบหนีไปเพียงคนเดียวให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดที่เขาแอบรักคนเป็นนายและลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งร่วมกันมานานหลายปี เขาก็คงหนีไปแล้ว
"พอสักทีเถอะแอนนา แม่ปวดหัวกับลูกตั้งแต่กลับมาถึงไทยแล้วนะ เลิกหาเรื่องคุณเกริกพลเขาสักที พล...แล้วเราจะทำยังไงต่อไป" ว่าพลางกับหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาหันมายิ้มให้กับเธอเพื่อคลายความกังวล แม้ภายในใจของเขาเองก็ร้อนรุ่มและตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
"เชื่อใจผมครับคุณแพรว ผมจะปกป้องคุณเอง ผมสั่งให้คนของเรากระจายอยู่ตามจุดแล้วครับ ทันทีที่มันก้าวขาเข้ามาในอาณาเขตนี้ เท่ากับว่ามันเข้ามาในกับดักที่ผมวางเอาไว้แล้ว"
"แล้วถ้าไม่?" เธอพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน
"คุณหมายความว่ายังไงครับคุณแอนนา"
"ถ้ามันไม่เข้ามาในกับดักล่ะ จะจัดการยังไง ปากก็พูดได้ว่าให้เชื่อใจ สุดท้ายมันเป็นยังไงวะ แผนคืออะไรก็บอกมาสิ"
"แผนคือล่อให้มันเข้ามาในกับดักไงครับ ถ้าคุณช่วยอะไรผมไม่ได้ก็ช่วยเงียบหน่อยจะได้ไหม คนกระจอกอย่างผมก็กำจัดบอสของมันได้แล้วกัน ไม่ได้พลาดท่าจนโดนยิงแบบคุณหรอก"
"มึงว่าไงนะ!!?" 
เหลืออด...ทั้งเขาและเธอต่างก็เหลืออด ต่างคนต่างจ้องมองกันและกันราวจะกินเลือดกินเนื้อ ตอนนี้คนที่คอยห้ามก็นิ่งเฉยกับเหตุการณ์นี้ไปเสียแล้ว เพราะเอือมระอาที่ต้องแยกทั้งสองอยู่บ่อย ๆ อย่างไรเสีย เป้าหมายของเธอก็คือสมบัติของสามีหลอก ๆ คนทั้งสองไม่ได้มีความหมายอะไรในชีวิตอยู่แล้ว ยิงให้ตายกันเสียตอนนี้ใช่ว่าเธอจะสนใจ
"ถ้าคิดว่าทะเลาะกันแล้วจะจัดการเรื่องทุกอย่างได้ก็เชิญเลยนะ ฉันเบื่อเต็มทนแล้ว!!"
"ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับลูกของคุณเลยนะครับคุณแพรว แต่ดูเธอสิ เหมือนจะมีปัญหาอะไรกับผมมากเลยนะ"
"ฉันเกลียดแกไง"
"พอสักทีเถอะ!!" สิ้นเสียงตวาดลั่นของแพรว ทั้งสองจำต้องยอมเบือนหน้าหลบไปคนละทาง เพราะหากยังเอาแต่จ้องหน้ากันดังเดิมล่ะก็ อาจต้องมีลงไม้ลงมือกันเป็นแน่


ทางฝ่ายปัญญาวี แม้แผนของเธอจะเป็นการใช้กลอุบายทำให้ศัตรูสับสน แต่เธอก็หาได้วางใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ โชคยังดีที่เธอยังมีไพ่ลับอีกหนึ่งคนที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์พ่อของเธอเอง หรือเป็นเด็กในสังกัดค่ายมวยเจตคติ 
"เป็นยังไงบ้างวะโต้ เห็นอะไรบ้างไหม"
"พี่ปัญ คนเดินไปเดินมาในบ้านเต็มไปหมดเลยพี่"
"เหรอ ขอบคุณมากนะ แกช่วยอยู่ที่นั่นไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็รายงานพี่ด้วย"
"ได้ครับพี่ ว่าแต่..."
"เออน่า เดี๋ยวพี่ให้ค่าแรง"
"เปล่าพี่ ไม่ได้หมายถึงค่าแรง โต้ว่าจะถามหาไอ้เปี๊ยกน่ะ มันหายไปไหนของมันวะพี่ แม่มันด้วย โต้ไปหามันที่บ้านก็ไม่เจอใครเลย" เธอชะงักเมื่อได้ยินคำถามมาจากปลายสายผ่านสปีกเกอร์โฟน ก่อนมือหนาข้างหนึ่งจะตบบ่าเธอเบา ๆ พลางกับส่ายศีรษะไปมาเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดความจริงออกมา
"พี่ส่งมันไปเรียนต่อน่ะ"
"เรียนที่ไหนพี่ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ปกติเวลามันมีอะไรก็มาอวดโต้ตลอด แต่นี่แม้แต่จะติดต่อมันยังโทรไม่ติดเลย"
"เลิกถาม แกมีหน้าที่คอยรายงานพี่ก็ทำไปเถอะ"
"อะไรของพี่วะพี่ปัญ แล้วนี่เจ้าของตึกจะเอาตำรวจมาลากคอโต้ไหมเนี่ย"
"ไม่หรอก ถ้ามีอะไรบอกให้โทรมาหาพี่เดี๋ยวพี่เคลียร์เอง จำไว้นะ ถ้าพวกมันมีการเคลื่อนไหวอะไรให้รีบรายงานพี่ทันที"
"เอาแบบเรียลไทม์เลยไหมล่ะ ถือสายค้างไว้เลย โต้จะรายงานตลอด อยากลองทำงานเป็นสายมานานแล้ว ตื่นเต้นว่ะ"
"แบตจะไม่หมดหรือไงไอ้โง่"
"อย่าดูถูกโต้นะครับผม แค่พี่บอกโต้ว่ามีภารกิจให้จับตามองคนที่บ้านหลังนั้น โต้ก็พกแบตสำรองมาด้วยตั้งสองอัน ไม่ให้พลาดแน่นอน"
"เยี่ยมมากไอ้โต้ ถ้าทำภารกิจนี้ผ่านนะ พี่จะส่งแกเรียนต่อจนกว่าจะได้เป็นตำรวจเลย"
"ว้าว! จัดไปพี่!! เดี๋ยวโต้จะรายงานเอง"
"ดี!"
เพียงแค่ปัญญาวีลองถอยออกมาให้ไกลอีกก้าว เธอก็สามารถมองเห็นถึงโอกาสในการเอาชนะศัตรูได้โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงหรือเจ็บตัวเสียด้วยซ้ำ โดยการให้โตโต้ เด็กในสังกัดค่ายมวยเจตคติขึ้นไปบนตึกสูงที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณหนูณิชา และยังสามารถมองเห็นได้โดยการใช้กล้องส่องทางไกล แต่จะลำบากเล็กน้อยก็ตรงที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง
เธอใช้นิ้วขยายพิกัดที่อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือของคุณหนูณิชาพลางกับวิเคราะห์ตำแหน่งต่าง ๆ ที่เธอสามารถให้เขาเข้าไปได้อย่างปลอดภัยและไม่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรู โดยมีคนอื่น ๆ ช่วยระดมความคิดร่วมกัน ครั้งนี้จะเป็นการใช้ปัญญาต่อสู้เท่านั้น เธอไม่อาจสูญเสียใครไปอีกแล้ว
"ตอนนี้ไอ้โต้มันอยู่ที่นี่ค่ะ ซึ่งตึกนี้ห่างจากบ้านของคุณหนูประมาณสองร้อยเมตร เห็นไอ้โต้บอกว่าพวกมันมีลูกน้องอยู่แค่ในบริเวณบ้านเท่านั้น ไม่ได้กระจายอยู่ข้างนอกเหมือนตอนที่คุณนมให้คนเฝ้าดูแลน้องปุญ ฉันสันนิษฐานว่าคนที่คุยกับคุณนมคือคุณท่านจริง ๆ ไม่ใช่พวกมัน ไม่งั้นมันน่าจะมีการเฝ้าระวังที่รัดกุมมากกว่านี้" เธอว่าพลางกับใช้ปากกาวาดลงไปในกระดาษแผ่นหนึ่ง โดยมีตะเกียงโบราณช่วยส่องสว่าง 
"แต่ก็อย่าชะล่าใจค่ะคุณปัญญาวี การที่พวกมันไม่ได้เฝ้าระวังแบบรัดกุมก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่คุยกับฉันคือคุณท่าน" นงคราญเสริม
"มันเป็นแค่เพียงการสันนิษฐานค่ะ ฉันก็ไม่ได้ปักใจเชื่อนักหรอก"
"แล้วปัญจะเอายังไงต่อ จะให้ไอ้โต้คอยใช้กล้องส่องดูให้ตลอดก็ไม่ได้นะ ถ้าเจ้าของตึกมาเห็นแล้วเอาตำรวจมาจับเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกมันเคลื่อนไหว เราอาจจะพลาดได้นะ"
"ไม่เป็นไรค่ะพี่โก ปัญแค่อยากรู้จำนวนคนของมันเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไอ้โต้นับจำนวนคนที่บ้านได้สิบคน ทุกคนบาดเจ็บหมด หลังจากนั้นมีมาเพิ่มอีกห้าที่ดูปกติดี เดี๋ยวอีกประมาณสามสิบนาทีปัญจะให้คุณหนูส่งข้อความไปอีกครั้งหนึ่งว่าเราใกล้จะถึงแล้วให้มันแตกตื่นเล่น ๆ แล้วหลังจากนั้นเราจะปิดไฟค่ะ"
"ปิดไฟ?" ทุกคนต่างหันมามองเธอพร้อมกับพูดเป็นเสียงเดียวกัน
"ปิดไฟนอนสำหรับวันนี้ค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาลุยกันใหม่"
"โธ่ปัญ!! พี่นึกว่าเราจะลุยกันคืนนี้ซะอีก!!"
"ยังค่ะ วันนี้เราจะพักเอาแรง พวกมันจะเคลื่อนไหวยังไงก็ช่างมันค่ะ มันทำอะไรเราไม่ได้หรอกเพราะมันไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ส่วนไอ้โต้ปัญจะให้คอยดูให้อีกสักหน่อยแล้วก็จะให้มันกลับแล้วค่ะ เป้าหมายของเราคือพรุ่งนี้ต่างหาก"
"คุณรู้ได้ยังไงคะคุณปัญญาวี ว่าพวกมันไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่"
"ถ้ามันรู้มันคงไม่ล่อเราออกไปติดกับมันหรอกค่ะ สู้มันมาถล่มเราให้มันจบ ๆ ไปจะง่ายกว่า แต่นี่มันยังไม่ลงมือทำอะไรแสดงว่ามันกำลังคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเรา แผนของวันพรุ่งนี้นะคะ เราจะเริ่มเคลื่อนไหวเข้าไปใกล้ตัวมันมากขึ้น ซึ่งเราจะแบ่งออกเป็นสองทีมค่ะ ฉันกับคุณหนู และคุณนมกับพี่โก โดยเราจะแบ่งเจ้าหน้าที่ไปยังสองจุดนี้ เพื่อล่อมันออกมา หน้าที่ของเราคือพยายามทำลายหมากให้เหลือน้อยที่สุดจนเหลือแค่ตัวหลัก ซึ่งฉันคิดว่า มันน่าจะมีคุณแพรว แอนนา และเกริกพล" ว่าพลางกับวงกลมสองสถานที่คือค่ายมวยและบ้านหลังใหม่ของเธอเอง
"ไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอคะคุณปัญที่จะกลับไปที่นั่น" ณิชาที่นั่งเงียบตั้งแต่ต้นเอ่ยถามบ้าง
"ฉันคิดว่าตอนนี้มันคงเรียกรวมพลเพื่อไปป้องกันมันหมดแล้วค่ะ แต่ที่ฉันบอกไปไม่ได้หมายความว่าเราจะไปที่นี่นะคะคุณหนู ฉันจะล่อมันออกมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดักรอมันอยู่บ้านหลังนี้และค่ายมวยของฉันเท่านั้นค่ะ ถ้าสู้แต่เราคงทำอะไรไม่ได้ เราต้องให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือแล้ว ในเมื่อมันใช้ไอ้เปี๊ยกเพื่อมาลอบกัดฉัน ฉันก็จะใช้ช่องทางนี้ลอบจับมันเหมือนกัน ฉันสามารถรื้อคดีลอบวางเพลิงเพื่อสาวเรื่องไปถึงตัวการที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังได้ หลักฐานเราก็มี ฉันถึงจะล่อให้มันไปสถานที่ที่มีความข้องเกี่ยวกับฉัน"
"อ้าว...แล้วถ้าเราไม่ได้ไปที่นี่ แล้วเราจะไปที่ไหนกันล่ะปัญ" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
"นี่ค่ะ ที่ที่เราจะไป" 
"จะบ้าเหรอปัญ!!?" ทั้งโกและคนอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้าง เมื่อเป้าหมายที่เธอชี้ในแผนที่คือโรงแรมที่อยู่ใกล้กับบ้านคุณหนูณิชา จะเรียกได้ว่าอยู่หลังบ้านเลยจะถูกมากกว่า
"ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดค่ะพี่โก มันจะคอยหวาดระแวงเราแล้วเร่งตามหายังสถานที่ที่มันคิดว่าเราจะไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหม่ของปัญ บ้านไอ้เปี๊ยก ค่ายมวย คอนโดยัยแอนนา แต่มันจะคิดไม่ถึงว่าเราอยู่ใกล้มันแค่นี้เอง"
"ไม่นะปัญ พี่ไม่เห็นด้วย มันเสี่ยงเกินไป มันอาจจะเห็นเราก่อนที่เราจะได้เข้าโรงแรมด้วยซ้ำ"
"แต่ฉันเห็นด้วยกับคุณปัญญาวีค่ะคุณโก ถ้าเราอยู่ไกลเกินไป เราก็จะคอยมองศัตรูได้ไม่ถนัดนัก แต่ถ้าเราอยู่ใกล้ เราก็จะทำอะไรสะดวกขึ้น เพียงแค่เราไม่ไปเผชิญหน้ากับมันโต้ง ๆ เหมือนก่อนหน้าก็เท่านั้น"
"ใช่ค่ะ คุณนมพูดถูก อย่ากลัวไปเลยค่ะพี่โก ครั้งนี้ปัญจะใช้ปัญญาให้มากขึ้น จะไม่พาทุกคนเข้าไปเสี่ยงอันตรายอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว มากสุดก็แค่ปั่นหัวมันเล่น แล้วค่อย ๆ จัดการหมากทีละตัว จนกว่าจะถึงลาสบอส จากนั้นเราก็ปิดเกม!"
"เอาวะ!! เป็นไงเป็นกัน!! พี่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคน ต้องกรีดเลือดสาบานไหม"
"ไร้สาระ" นงคราญพูดจบก็โน้มตัวลงนอนบนเตียงไม้ดังเดิม พร้อมกับที่หญิงสาวทั้งสองเดินกลับเข้าไปในมุ้งและจัดหาที่นอนปล่อยให้เขายิ้มเก้อเพียงลำพัง
"เอ๋...ไหงทิ้งกันแบบนี้ล่ะ..."


คืนนั้นเอง ในขณะที่ทุกคนนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ยังมีหญิงสาวที่กังวลใจจนนอนไม่หลับ เธอจับชายผ้าห่มผืนเล็กขึ้นมาคลุมถึงต้นคอ ก่อนจะพลิกตัวหันไปอีกฝั่ง ยิ่งดึกอากาศก็เริ่มเย็น บริเวณโดยรอบคงจะมีสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ออกหากินตามธรรมชาติของมันจนส่งเสียงร้องระงมสลับรับกันดูเพลิดเพลินดี แต่ณิชากลับไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งได้ฟังแผนการต่าง ๆ เธอยิ่งทุกข์ใจ
น้ำตาเจ้ากรรมรินไหลออกมาในที่สุด เธอไม่เคยหลับได้เต็มอิ่มเลยสักคืน เป็นห่วงเหลือเกิน อย่างน้อยขอให้รู้ว่าพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ยังดี แต่คืนนี้ก็ต่างไปจากคืนที่ผ่านมา เพราะมีมือข้างหนึ่งค่อย ๆ สอดเข้ามาที่ใต้ผ้าห่มคล้องอ้อมลำตัวของเธอ ก่อนจะมีร่างอุ่น ๆ แนบที่ด้านหลัง เธอกำลังถูกปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด เธอจึงรีบปิดปากตัวเองโดยพลันเพราะกลัวเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้คนด้านหลังได้ยิน
"อย่ากังวลไปเลยนะคะคุณหนู ฉันจะปกป้องคุณเอง คืนนี้คุณนอนพักผ่อนเถอะนะคะ" เสียงอันอ่อนโยนดังมาจากคนด้านหลัง เธอจึงพลิกตัวกลับมาแล้วสวมกอดร่างอุ่นเอาไว้แน่น
ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมต่อจากนี้ มีแค่เพียงร่างบางที่นอนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของบอดี้การ์ดสาวจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เธอบรรจงจูบลงไปที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่อีกคน
ถ้าเรื่องทุกอย่างจบ...ระหว่างเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไปนะคุณหนู...


"เมื่อไหร่มันจะมาวะ!!?" 
ครั้งนี้เป็นฝ่ายเกริกพลบ้างที่นั่งไม่ติดพื้น เขาเดินวนไปวนมาอย่างลนลานในขณะที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงและคนเป็นแม่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นบนชุดโซฟารับแขกสุดหรูหราภายในคฤหาสน์หรู
เวลาล่วงเลยไปถึงสี่ชั่วโมงแล้ว แต่ยังไร้วี่แววว่าจะมีใครย่างกรายเข้ามาในบ้าน อีกทั้งเหล่าบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะมีพละกำลังในการรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่เพราะประสิทธิภาพร่างกายลดลงไปเกินครึ่งจากอาการบาดเจ็บ ต่างคนต่างมีสภาพอิดโรยและสะบักสะบอม จนเกริกพลเองก็เริ่มวิตกกังวลว่าจะรับมือไหวหรือไม่หากอีกฝ่ายกลับมาจริง ๆ
"หรือมันจะซ้อนแผนกูวะ..." เขาเริ่มเอะใจ เพราะข้อความล่าสุดที่ส่งมาว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วโมงจนป่านนี้ก็ยังไม่ถึง
"คุณแพรว ไปนอนเถอะครับ วันนี้พวกมันไม่มาแล้วล่ะ" เขาพูดพลางกับเขย่าร่างสาวสวยเพื่อปลุกให้ตื่น ก่อนเธอจะสดุ้งเฮือกขึ้นด้วยความตกใจ
"มันมาแล้วเหรอพล!!?" เธอถามอย่างลนลาน
"ไม่ครับ คืนนี้มันไม่มาหรอก มันหลอกเรา"
"อะไรนะ!!?"
"มันต้องซ้อนแผนผมแน่"
"แล้วเราจะทำยังไง ถ้ามันบุกมาตอนที่เราหลับล่ะพล"
"ใจเย็น ๆ ครับคุณแพรว คุณกับคุณแอนนาไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมเฝ้าระวังให้เอง คุณไม่ต้องห่วง"
"งั้นฉันฝากด้วยนะพล"
"ครับ" สิ้นคำพูดของเขา สาวสวยจึงปลุกให้ลูกสาวของเธอเข้าไปนอนในห้องนอนตามคำที่เขาบอก ก่อนเกริกพลจะนั่งรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง
แสดงว่ามันต้องรู้แล้วแน่ ๆ ว่าคนที่ส่งข้อความคุยกับมันคือกู เหอะ...ฉลาดกว่าที่คิด กูนึกว่ามึงจะโง่กว่านี้ซะอีก แบบนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย ดูสมศักดิ์ศรีดี...


เช้าวันถัดมา
'ขอโทษนะคะคุณพ่อ เมื่อคืนณิไปค้างที่บ้านหลังใหม่ของคุณปัญมาค่ะ เพราะคิดว่ามันดึกแล้วเลยไม่อยากเข้าไป วันนี้คุณพ่อมาหาณิที่บ้านคุณปัญได้ไหมคะ'
หึ...อย่างที่กูคิดไว้ไม่มีผิด มึงจะหลอกล่อกูออกไปติดกับสินะ อย่าคิดว่ากูจะออกไปง่าย ๆ
เกริกพลคิดในใจพลางกับพิมพ์ข้อความตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างคนมีชัย เขาไม่ได้โง่ที่จะติดกับอะไรง่าย ๆ อย่างที่คิด
'ได้ เดี๋ยวพ่อจะออกไปหา ลูกรออยู่ที่นั่น พ่อจะรีบไป'


"ตอบกลับมาแล้วค่ะคุณปัญ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นขณะที่มีเสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือ 
"มันตอบมาว่ายังไงบ้างคะ"
"ได้ เดี๋ยวพ่อจะออกไปหา ลูกรออยู่ที่นั่น พ่อจะรีบไป" ณิชาอ่านข้อความ
"ขอบคุณค่ะคุณหนู ดูท่าแล้วมันคงไหวตัวได้แล้วแน่ ๆ เลยค่ะ" เธอพูดพลางกับแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อดูลาดเลา
ฝ่ายปัญญาวีได้เดินทางมาถึงโรงแรมที่เป็นที่หลบภัยแห่งใหม่และยังเป็นสถานที่ใช้ดูลาดเลาตั้งแต่รุ่งสาง ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญาเหนือกว่า ในขณะที่ศัตรูคิดว่าตนรู้เท่าทันแผนการของเธอแล้ว แต่เขาไม่อาจรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วนั้นอันตรายได้ย่างกรายมาอยู่ใกล้เขาเพียงแค่เอื้อม 
บอดี้การ์ดสาวนั่งอยู่ขอบหน้าต่างเพื่อดูลาดเลามาได้สักพักหนึ่งแล้วจนกระทั่งมีข้อความตอบกลับก็ยังไร้วี่แววว่าจะมีการเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หรู เธอจึงนั่งพินิจวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งและสันนิษฐานว่าฝ่ายศัตรูเองก็คงไหวตัวทันและไม่ออกมาติดกับง่าย ๆ เป็นแน่
"แผนต่อไปว่ายังไงบ้างปัญ" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
"ทำตามแผนเดิมค่ะ เดี๋ยงส่งโลเคชั่นไปให้มันเพื่อยืนยันว่าเราอยู่ที่บ้านหลังนั้นจริง ๆ"
"เยี่ยมไปเลย"
ติ๊ง!
ทันทีที่พูดจบ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของปัญญาวีก็ดังขัดจังหวะการสนทนา ก่อนเธอจะปัดหน้าจอเพื่ออ่านข้อความและอมยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
"ไอ้โต้มันส่งโลเคชั่นบ้านปัญมาให้แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันส่งต่อให้คุณหนู แล้วให้คุณหนูส่งไปที่เครื่องคุณท่านอีกทีนะคะ"
"ได้ค่ะ"
หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนกับว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างที่เธอคาดเอาไว้ไม่มีผิด ทุกอย่างเธอได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้วรวมถึงเรื่องเจ้าหน้าที่ที่เธอไปขอความช่วยเหลือจากสถาบันสอนศิลปะป้องกันตัวที่เธอเคยไปร่ำเรียนมา ซึ่งทุกฝ่ายต่างให้ความร่วมมือ และอาสาดำเนินการทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธออย่างเต็มกำลัง
โชคยังดีที่เธอรู้จักกับบุคคลมากฝีมือเพราะเป็นลูกศิษย์สถาบันสอนศิลปะป้องกันตัวหลายแขนง หนึ่งในนั้นมีนักแม่นปืนที่มีเส้นมีสายกับวงการตำรวจอีกด้วย นี่เป็นการสู้ด้วยปัญญาอย่างที่เธอพูดเอาไว้จริง ๆ เธอไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายลงเล่นในสนาม แต่เธอเพียงแค่คอยจับตาดูผู้เล่นคนอื่น ๆ เท่านั้น
จากการสังเกตการณ์ มีเหล่าชายชุดสูทวิ่งวุ่นกันพัลวันเพื่อไปขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว แต่หมากตัวสำคัญกลับไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย
"ดูเหมือนเกริกพลจะไม่ได้ขึ้นรถออกมาด้วยนะคะคุณปัญญาวี"
"ก็ตามแผนที่วางเอาไว้ค่ะ"
"..." นงคราญไม่ได้ถามเธออีกครั้ง เพราะเธอเข้าใจแผนของบอดี้การ์ดสาวดี เว้นก็แต่...
"อ้าว สรุปว่าแผนเราคือยังไงเนี่ย เราต้องล่อมันออกมาไม่ใช่เหรอปัญ"
"แผนของเราแค่กำจัดหมากทีละตัวค่ะพี่โก ส่วนหมากตัวสำคัญเอาไว้จัดการทีหลัง มันไม่จัดการอะไร ๆ ด้วยตัวเองหรอกค่ะ จนกว่าไฟจะไหม้รังของมัน แล้วมันค่อยแตกรังออกมา"
"โอ๊ย...อย่าเล่นคำได้ไหม พี่ขออะไรที่มันเข้าใจง่าย ๆ น่ะ"
"เฮ้อ..." นงคราญถอนหายใจเฮือก
"ฮ่า ๆ ปัญจะบอกยังไงดีล่ะพี่โก เอาเป็นว่าหัวหน้ามักจะออกโรงตอนจบน่ะ"
"อ้อ...เข้าใจละ"
"ส่วนเราเอง ก็อาจจะได้ลงเล่นเองตอนจบเหมือนกันค่ะ ไอ้เกริกพลมันต้องเจอกับปัญเท่านั้น เพราะมันทำให้ปัญสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปถึงสามคน มันไม่ได้ตายดีแน่"


"อะไรนะ!!? ไม่เจอมัน มึงหมายความว่ายังไง!!?" เกริกพลตวาดเสียงแข็งพลางกับคว้าที่คอเสื้อชายชุดสูทคนหนึ่งที่หลบหนีจากการจับกุมมาได้
"มันล่อเราให้ไปติดกับครับคุณเกริกพล ทุกคนโดนจับหมดมีแค่ผมคนเดียวที่หลบหนีได้ทันเพราะไม่ได้ลงจากรถ"
"เวรเอ๊ย!!!" 
พลั่ก!!!
เขาสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเหวี่ยงหมัดอัดเข้าที่ใบหน้าของลูกน้องจนหมดสติ ตอนนี้กำลังพลเหลือแค่เพียงสี่นาย แต่สภาพก็ไม่ได้พร้อมต่อการตั้งรับเลยสักนาย เขากำหมัดแน่น นี่เขาพลาดท่าหรือนี่
"ไอ้บอดี้การ์ดกระจอกเอ๊ย!! ไหนแกบอกว่าจะปกป้องฉันกับแม่ไง!! แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ!!!?"
"แล้วกูจะไปรู้ได้ยังไงวะ!! ถ้ามึงคิดว่าเก่งมาก มึงก็ออกไปตายข้างนอกเลยไป!!"
"ไอ้เกริกพล!!! นี่กูเป็นเจ้านายมึงนะ!!"
"มึงไม่ใช่เจ้านายกู!! แต่กูเป็นผัวแม่มึง!!"
"กูไม่มีวันยอมรับคนอย่างมึงหรอกไอ้กระจอก!!" เธอไม่ว่าเปล่า สิ้นคำพูดเธอก็คว้าไม้เบสบอลขึ้นมาหวังจะฟาดเขา แต่เกริกพลกลับชักปืนขึ้นมาจ่อที่หน้าผากของเธอเสียก่อนจนเธอถึงกับชะงัก
"กูเริ่มจะหมดความอดทนกับมึงแล้วนะแอนนา คนอย่างมึงน่ะไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตแม่มึงหรอก คุณแพรวแค่ใช้มึงเป็นเครื่องมือในการทำลายชีวิตยัยคุณหนูนั่นก็เท่านั้น แต่คุณแพรวจะหนีไปมีชีวิตใหม่แค่กับกูแล้วก็ทิ้งมึงเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่คนเดียว ลูกไม่รักดีอย่างมึงใครเขาจะอยากเลี้ยงดูวะ เขาไม่เคยรักมึงเลย เขาเห็นกูดีกว่ามึงอีก จำใส่กะลาหัวมึงด้วยนะ" ปลายกระบอกปืนที่กระแทกลงหน้าผากของเธอย้ำ ๆ ยังไม่เจ็บปวดเท่าคำพูดของเขาแม้แต่น้อย 
เขากัดฟันพูดเพื่อกดเสียงเอาไว้ไม่ให้ออกมาดังจนเกินไปเพราะกลัวจะไปรบกวนหญิงคนรักที่ยังนอนหลับอยู่ในห้อง มีแค่เพียงตัวปัญหาเท่านั้นที่จ้องแต่จะหาเรื่องเขาไม่เลิกจนเหลืออด ใจจริงอยากจะเหนี่ยวไกปืนให้มันจบ ๆ แต่ก็เพราะไม่อยากมีปัญหากับอีกคนจึงได้แต่ข่มความเคียดแค้นเอาไว้
"งั้นมึงก็ฆ่ากูเลยสิ แม่กูไม่มีวันให้อภัยมึงแน่"
"คุณแพรวไม่สนใจมึงหรอกนอกจากผู้ชาย มึงเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นเขาไม่มานอนกับกูหรอก อย่าสำคัญตัวผิดไป"
"เหอะ...ฟัคยู!"
"อ้อ...รู้เอาไว้ด้วยนะ ถ้าคุณแพรวรักมึง เขาคงไม่ให้มึงไปนอนกับน้องสาวตัวเองหรอก สิ่งที่คุณแพรวต้องการก็คือทำลายชีวิตยัยคุณหนูและครอบครัวของมันเพื่อที่จะเอาสมบัติ คนที่เขารักน่ะคือกู กู และกู"
"มึงพูดอะไรของมึง  ทำไมมีแต่คนบอกว่าน้องณิคือน้องสาวของกูวะ!! นี่มันเรื่องบ้าอะไร!!?" หญิงสาวคว้าคอเสื้อของเขาอย่างไม่เกรงกลัวกระสุนปืนแม้แต่น้อย
"ยัยคุณหนูณิชาคือน้องสาวของมึง น้องสาว...ที่มาจากพ่อคนเดียวกันยังไงล่ะ"
"ไม่จริง!!"
"แด๊ดดี้มึงจริง ๆ น่ะ คือไอ้ไพศาลที่กูเป็นคนวางแผนฆ่ามันเองกับมือ ส่วนไอ้คนที่อยู่อเมริกาคือคู่นอนของแม่มึงเท่านั้นแหละ ไม่แปลกใจหน่อยเหรอ ว่าทำไมตามึงถึงเป็นสีน้ำตาล ทั้ง ๆ ที่ไอ้พ่อตัวปลอมมันตาสีฟ้า พื้นผมของมึงก็เป็นสีดำ ไม่ใช่ผมสีทอง ถ้าแม่มึงไม่สวย มึงก็คงไม่เกิดมาหน้าตาดีขนาดนี้หรอก มึงสูงได้พ่อ ผิดกับน้องมึงที่ตัวเล็กได้แม่"
"ก...กูไม่เชื่อ!!" เธอกำคอเสื้อของเขาแน่นขึ้นจนมือเริ่มสั่นเท่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยบนใบหน้าของเกริกพลก่อนจะผลักร่างของเธอออกอย่างแรงจนล้มไปกองกับพื้น
เขาก้าวไปคร่อมตัวของเธอเอาไว้ ก่อนจะย่อตัวลงแล้วใช้ปลายกระบอกปืนเกลี่ยไล่ที่ใบหน้าสวยช้า ๆ
"โธ่ ๆ คุณแอนนาผู้น่าสงสาร เติบโตกับเรื่องจอมปลอมมานานขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ ถ้าเป็นกูคงกัดลิ้นตัวเองตายไปแล้ว พ่อก็ไม่รัก แม่ก็ยังไม่รักอีก แถมยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายชีวิตน้องสาวต่างแม่ ช่างน่าสมเพช"
"ไม่จริง ๆ ฮึก ๆ กูไม่เชื่อ!!"
"มึงไสหัวไปแล้วอย่ากลับมาอีก กูจะหนีไปมีความสุขกับแม่ของมึง ตอนนี้เรากำลังมีลูกด้วยกัน มึงไม่ต่างจากขยะที่เขาเบ่งออกมาเท่านั้นแหละ!! ไสหัวไป!!!"
สิ้นเสียงของเขา แอนนารีบวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา เรื่องแบบนี้มันเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ออกไปตายข้างนอกยังดีเสียกว่าต้องทนอยู่แบบไร้ค่าเช่นนี้
ตุ๊บ!!
ทันทีที่เธอวิ่งผ่านพ้นรั้วบ้าน รถตู้คันหนึ่งก็มาจอดขวางทางก่อนจะมีชายฉกรรจ์ลงมากระชากเธอขึ้นรถ และถูกจับมัดมือมัดขาเอาไว้แน่น ไม่ใช่ใครที่ไหน โกนั่นเองที่มาพาตัวเธอไป
ทันทีที่สายตาของแอนนาเหลือบไปเห็นใบหน้าของณิชา เธอถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนักและไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน
"พี่แอนนา!!! พี่แอนนาคะ!! ณิเองค่ะ พี่แอนนา!!"
"เฮ้!! เกิดอะไรขึ้น ทำไมร้องไห้หนักขนาดนี้เนี่ยยัยบ้า!!" ปัญญาวีว่าพลางกับตบหน้าเรียกสติเธอเบา ๆ แต่หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงก็ยังคงนอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น
"ฮือ ๆ น้องณิ พี่ขอโทษ...ฮือ ๆ พี่ขอโทษ..." 
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ค่ะ...ความจริงยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีมาอีกเรื่อย ๆ ดาหน้าเข้ามาค่ะ // สรุปตอนนี้แบบคร่าว ๆ เผื่อใครงงนะคะ ที่เกริกพลพูดว่าณิชาคือน้องสาวต่างแม่ก็เพราะมีพ่อคนเดียวกัน ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับพาร์ทบรรยาย ตอน 'ณิชา' ที่สงสัยว่าทำไมพี่แอนนาถึงมีตาสีน้ำตาลทั้ง ๆ ที่เป็นลูกครึ่ง แท้จริงแล้วเธอไม่ใช่ลูกครึ่งนั่นเองค่ะ”