A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว

A BAD Bodyguard | รอยแค้นบอดี้การ์ดสาว
ตอนที่ 5 คาดไม่ถึง

"ปัญ แกจำคำพ่อไว้นะ มวยไทยและศิลปะป้องกันตัวอื่น ๆ ที่แกเรียนมาน่ะ มันมีไว้ป้องกันตัว ไม่ได้มีไว้เพื่อรังแกใคร โดยเฉพาะคนที่ไม่มีทางสู้ อย่าคิดที่จะเอาไปทำร้ายใครเด็ดขาด จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ..."
เสียงของคนเป็นพ่อที่แล่นวนอยู่ในความคิดช่วยเตือนสติปัญญาวีเอาไว้ทุกครั้งที่เธอรู้สึกเคียดแค้นคุณหนูณิชาจนอยากจะฆ่าให้ตายตามแม่ของเธอไป แต่สุดท้าย...เธอก็รู้ดีว่าทุกชีวิตนั้นมีค่ามากเพียงใด แต่ทำไมกันนะ...เวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไรของคนที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด มันกลับทำให้เธอเจ็บปวด บาดแผลนั้นลึกเกินจะเยียวยา ใครกันที่จะช่วยรักษามันได้ ปัญญาวีไม่อาจรู้ได้เลย...
"อย่าลืมสิคะ ว่าตอนนี้คุณคือบอดี้การ์ด คุณควรที่จะรักษาตัวเองให้ดี ไม่ใช่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวแบบนี้" 
หญิงสาวมาดสุขุมยืนกอดอกต่อว่าบอดี้การ์ดสาวมือใหม่ขณะนั่งพันแผลที่มือข้างขวาด้วยตัวเอง เมื่อปัญญาวีพันแผลที่มือเป็นอันเสร็จสิ้น เธอจึงหยิบขวดยาล้างแผลเรียงกลับเข้ากล่องยาไว้ดังเดิมพร้อมทั้งแสดงท่าทีเมินเฉยพี่เลี้ยงสาว จนอีกฝ่ายถึงกับพ่นลมหายใจลากยาวด้วยความไม่พอใจ
"คุณปัญญาวีคะ ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหมคะ ว่าเวลาฉันพูดอะไรคุณต้องตั้งใจฟัง!"
"ก็ตั้งใจฟังอยู่นี่ไงคะ" ตอบแบบไม่หันไปสบตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เธอยังคงวุ่นแต่กับการเรียงขวดยาลงกล่องอยู่อย่างนั้น
"แล้วเมื่อกี้ฉันบอกคุณว่าไง"
"บอดี้การ์ดควรที่จะรักษาตัวเองให้ดี"
"ทวนที่ฉันพูดอีกครั้งหน่อยค่ะ"
"คุณนี่ก็แปลกคนนะ ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำหลายครั้ง ไม่ชอบตอบคำถาม แต่ตัวเองกลับชอบย้ำให้คนอื่นพูดซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหละ ฉันรู้แล้วค่ะ ว่าตอนนี้ฉันเป็นบอดี้การ์ด ฉันควรที่จะรักษาตัวเองให้ดี แต่ขอโทษนะ ฉันเรียนศิลปะป้องกันตัวมา ฉันเจ็บตัวจนชินแล้วล่ะ แล้วอีกอย่าง ฉันอยู่กับมวยไทยโบราณมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนเรียนคือเจ็บจริง ได้แผลจริง มือแตกเป็นว่าเล่น แผลแค่นี้มันทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ"
บอดี้การ์ดสาวตอบก่อนจะหันมามองหน้าด้วยท่าทีที่เย็นชา นงคราญจึงกัดฟันแน่นข่มอารมณ์เอาไว้และจ้องมองกลับด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนกับว่าการทำงานร่วมกันระหว่างหญิงสาวทั้งสองจะไม่ราบรื่นนัก เธอจะไว้ใจผู้หญิงคนนี้ให้มาดูแลคุณหนูของเธอได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ
คิดแล้วก็ขำ ไม่มีความเหมาะสมเลยสักนิด...
"อ้อ...ฉันมีข่าวดีจะมาแจ้งค่ะ ตอนนี้หมอย้ายน้องสาวของคุณออกมาอยู่ห้องพิเศษแล้วนะคะ เธอปลอดภัยแล้วค่ะ" สิ้นเสียงของนงคราญ ปัญญาวีถึงกับดวงตาเบิกโพลงและโผเข้ามาคว้ามือของนงคราญด้วยความดีใจจนลืมตัว
"อ...อะไรนะคะ!!? จริงเหรอคะ น้องปุณปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะ!!?" 
"ใช่ค่ะ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนนะคะ คุณปล่อยให้น้องสาวของคุณทรมานจนป่านนี้ได้ยังไง เธอยังเด็กอยู่นะคะ"
"จี้ไฟฟ้ามันเป็นแสนเลยนะ ฉันจะมีปัญญาที่ไหนไปหาเงินมารักษาน้อง คิดหน่อยสิ ก่อนที่จะถามอะไรแบบนี้"
"ต่อให้แพงแค่ไหนคุณก็ต้องดิ้นรนหาค่ะ เพื่อช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เป็นน้องสาวของคุณเอง โรคแบบนี้น้อยนักที่จะเกิดกับเด็กอายุแค่นี้ แต่เมื่อมันเกิดแล้วคุณต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อที่จะช่วยชีวิตเธอ ที่ผ่านมาคุณทำอะไรเพื่อน้องของคุณบ้าง"
"คุณไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูด...คนรวย ๆ อย่างพวกคุณใช้เงินเหมือนเศษกระดาษ คงไม่มีวันเข้าใจหรอก" ปัญญาวีพูดพร้อมกับจ้องหน้านงคราญด้วยความโกรธ
ถ้าไม่ติดว่าคนที่พูดเป็นผู้หญิง เธอคงต่อยหน้าไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าแบบไม่มีใครยอมใคร จนภายในห้องเงียบสงัด แต่ท่าทีของนงคราญที่แสดงออกมานั้นยังคงสุขุมเยือกเย็นราวกับเธอไม่มีความรู้สึก ยิ่งพลอยทำให้อารมณ์ของปัญญาวีปะทุหนักขึ้นไปอีก
"เลิกจ้องหน้าฉันแล้วก็ไปเตรียมตัวได้แล้วค่ะ วันนี้คุณต้องพาคุณหนูไปเดินห้าง"
"กิจวัตรของพวกคุณหนูคงจะเป็นการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายสินะ"
"คุณปัญญาวี!!" นงคราญเหลืออดกับบอดี้การ์ดสาวเต็มที แต่ในขณะที่ทั้งสองจ้องตากันเขม็งราวจะกินเลือดกินเนื้อกันนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน ต่างฝ่ายจึงรีบเบือนหน้าหลบไปคนละทาง เพราะหากยังจ้องตากันต่อล่ะก็ มีหวังได้ลงไม้ลงมือกันแน่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"พี่นง! ทำแผลให้คุณปัญญาวีเสร็จหรือยังคะ!?" เสียงหวานดังอยู่อีกฟากของประตูห้องนอน ปัญญาวีจึงแสยะยิ้มออกมา ก่อนนงคราญจะรีบเดินไปเปิดประตูโดยเร็ว
"เสร็จพอดีเลยค่ะคุณหนู"
"โอเคเลยค่ะ ณิพร้อมเดินทางแล้ว"
"ปะค่ะ เราไปรอคุณปัญญาวีบนรถกัน ส่วนคุณก็รีบ ๆ ตามมานะคะ" พูดพร้อมกับหันมาทางบอดี้การ์ดสาว ก่อนจะเข็นรถวีลแชร์ออกไปด้วยรอยยิ้ม ปัญญาวีเห็นอย่างนั้นถึงกับกำหมัดแน่น
เย็นไว้ปัญ...ถือว่าตอนนี้แกทำเพื่อน้องปุณ...


บนรถตู้คันหรูสีดำที่แล่นไปตามถนนเมืองกรุงแบบไม่รีบร้อนนัก เบาะข้างคนขับคือบอดี้การ์ดสาวที่กำลังใช้แขนข้างซ้ายเท้าที่ขอบหน้าต่างรถพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อยลอยพลางกับคิดอะไรในใจ ส่วนเบาะหลังคนขับคือพี่เลี้ยงสาวและคุณหนูณิชาที่พูดคุยหยอกล้อกันตลอดทางแลดูมีความสุข ผิดจากปัญญาวีเป็นไหน ๆ
การที่ปัญญาวีได้มาทำงานเป็นบอดี้การ์ดในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าฟ้าเล่นตลกอะไรกับเธอนักหนา บางครั้งก็เหมือนเป็นโอกาสที่จะได้แก้แค้น แต่บางครั้งก็เหมือนกับต้องตกนรกทั้งเป็นที่ต้องดูแลคนที่พรากแม่ของเธอไป
ทำไมถึงได้มีความสุขกันแบบนี้นะ... ยิ่งปัญญาวีคิดหาคำตอบอย่างไร เธอยิ่งเจ็บแค้นในใจเท่านั้น
เมื่อรถตู้คันหรูสีดำจอดสนิทที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ประตูด้านหลังก็เปิดขึ้นแบบอัตโนมัติก่อนพนักงานขับรถรูปร่างท้วมแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็คสีดำจะรีบวิ่งไปคว้ารถเข็นไฟฟ้าที่พับเก็บไว้มาประกอบให้อยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน จากนั้นจึงเปิดประตูรถเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองลงจากรถได้สะดวก
"คุณปัญญาวีคะ ช่วยมาประคองคุณหนูทีค่ะ" เมื่อนงคราญร้องขอ ปัญญาวีจึงเดินมาเคียงข้างคุณหนูณิชา ก่อนจะก้มช้อนร่างคุณหนูให้มาอยู่ในอ้อมกอดของตน เรียวแขนทั้งสองข้างจึงรีบคล้องคอบอดี้การ์ดสาวเอาไว้ทันที
"ค...คุณปัญญาวีทำอะไรคะ!!?"
"ตัวคุณหนูเบากว่าที่คิดนะคะเนี่ย"
"วางคุณหนูลงเดี๋ยวนี้นะคุณปัญญาวี!! ถ้าคุณพาคุณหนูล้มจะทำยังไง!?"
"ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะคะคุณนม ฉันอุ้มคุณหนูทำสควอทยังได้เลย" พูดจบปัญญาวีจึงย่อตัวลงก่อนจะยืดเหยียดแบบเต็มตัว ทำเอามือน้อย ๆ ของณิชารีบตบบ่าเธอทันที
"คุณปัญญาวีคะ!! อย่าเล่นแบบนี้สิคะ ณิกลัว!!"
"คุณปัญญาวี!! วางคุณหนูลง!!" 
"ค่า..." เธอตอบแบบลากเสียงยาวพร้อมกับอุ้มคนตัวเล็กไปวางบนรถเข็นไฟฟ้าด้วยความระมัดระวัง แม้ณิชาจะตัวสูงกว่าน้องสาวของเธอ แต่น้ำหนักนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก จะเรียกได้ว่าชินกับการแบกและอุ้มน้องสาวเลยก็ว่าได้
"คุณอย่าทำแบบนี้อีกนะ!! อย่าทำให้คุณหนูกลัวสิ!!"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่นง ณิโอเค คุณปัญญาวีอุ้มณิได้แบบนี้แข็งแรงจังเลยนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
"ยังมีหน้ามาขอบคุณอีกเหรอคะ!? คุณควรจะขอโทษมากกว่านะ!!"
"พอได้แล้วค่ะพี่นง เดี๋ยวก็ถูกคุณพ่อดุอีกหรอก พี่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อยเลยนะคะ"
"แต่คุณหนูคะ"
"พี่นง..." เมื่อณิชาพูดเสียงแข็ง นงคราญจึงสงบลงทันที ปัญญาวีเห็นแบบนั้นจึงยิ้มมุมปากอย่างมีชัย แต่ทั้งสองก็ยังไม่วายเขม่นกันอีกครั้ง
"ถ้ายังจะทะเลาะกันอยู่ งั้นณิไปก่อนนะคะ"
"คุณหนูคะรอด้วย!!"


ภายในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ตามโซนต่าง ๆ บอดี้การ์ดสาวรับหน้าที่เป็นคนเข็นรถวีลแชร์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการโดนรถเข็นเฉี่ยวชน หรือผู้อื่นเดินชนรถเข็นแบบไม่ทันระวัง และมีพี่เลี้ยงสาวเดินประกบข้างไม่ห่าง 
แต่เป้าหมายของการมาห้างสรรพสินค้านั้นไม่ใช่โซนของหรูแบรนด์เนมแต่อย่างใด เพราะณิชาตั้งใจให้บอดี้การ์ดสาวพาไปยังโซนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีข้าวของเครื่องใช้เรียงรายนับไม่ถ้วน ปัญญาวีถึงกับขมวดคิ้วด้วยความฉงน
"คุณปัญญาวีอยากได้พัดลมแบบไหนคะ ถ้าอากาศร้อน ๆ ณิแนะนำว่าเป็นพัดลมไอน้ำนะคะ คุณจะได้นอนสบาย"
"คะ?" บอดี้การ์ดสาวถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำถามที่คาดไม่ถึงจากปากคุณหนู ณิชาจึงหันมาถามเธออีกครั้ง
"ปกติคุณใช้พัดลมแบบไหนคะ"
"นี่อย่าบอกนะคะ ว่าคุณหนูตั้งใจพาฉันมาซื้อพัดลม"
"ใช่ค่ะ เห็นคุณดูเพลีย ๆ คงนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะแอร์ใช่ไหมล่ะคะ ณิก็เลยอยากซื้อพัดลมให้คุณ"
"ฮะ!!?"
แปลกคนอีกแล้วยัยคุณหนูนี่!
"คุณหนูถามว่าคุณอยากได้พัดลมแบบไหน คุณนี่เข้าใจอะไรยากจังนะคุณปัญญาวี" เพราะบอดี้การ์ดสาวเอาแต่ทำหน้าเหวอไม่ยอมตอบคำถาม นงคราญจึงไขข้อสงสัยอีกครั้ง
"มะ...ไม่ต้องซื้อก็ได้นะคะคุณหนู ความจริงฉันแค่ปรับแอร์ไม่เป็น มันเย็นเกินไปฉันก็เลยปิด"
"อ...อะไรนะคะ?"
"ฮ่า ๆๆ" นงคราญถึงกับหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำตอบที่ใสซื่อจากบอดี้การ์ดสาว แต่เจ้าตัวกลับทำได้แค่กะพริบตาปริบ ๆ แล้วใช้มือข้างขวาที่มีผ้าพันแผลลูบท้ายทอยของตนเพื่อแก้เขิน
"คือ...อะไรที่มันหรูไปฉันก็ใช้ไม่เป็นหรอกนะคะ แฮะ ๆ" ณิชาได้ยินคำตอบและท่าทีแบบนั้นจึงอมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
"ทำไมคุณไม่ปลุกณิล่ะคะ"
"ก็คุณหนูหลับไปแล้ว ใครจะกล้าปลุกล่ะคะ ก็แค่นอนไม่สบาย อย่างน้อยแก้ปัญหาด้วยการใส่เสื้อกล้ามนอนมันก็สบายตัวขึ้นแล้ว อีกอย่าง...ฉันมีหน้าที่ดูแลคุณหนู ฉันจะไปรบกวนคุณได้ยังไง"
"ถึงคุณจะต้องคอยดูแลณิก็เถอะ แต่ถ้าคุณไม่สบาย ณิก็มีหน้าที่ดูแลคุณเหมือนกันนะคะ เราต้องพึ่งพาอาศัยกันค่ะ ไม่ใช่ให้คุณมาดูแลณิฝ่ายเดียว งั้นไม่เป็นไรค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว คุณก็เลือกพัดลมกลับไปสักตัว ส่วนแอร์ที่ห้อง เดี๋ยวณิสอนใช้อีกทีนะคะ" ตอบด้วยรอยยิ้ม
ทำไมกันนะ...ทำไมเธอถึงชอบทำตัวเหมือนแสนดีตลอด เลิกสวมหน้ากากสักทีเถอะยัยคุณหนูณิชา เอาตัวตนของเธอออกมาสักที!! 
"คุณไปเลือกพัดลมได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวณิจ่ายเอง"
"เดี๋ยวฉันจ่ายเองก็ได้ค่ะ"
"คุณปัญญาวี..." เมื่อเสียงหวานเปลี่ยนเป็นเสียงแข็ง บอดี้การ์ดสาวจึงเดินไปเลือกพัดลมอย่างว่าง่าย ทำเอานงคราญและณิชาแอบขำกับท่าทีของเธอ
นี่สินะ ความรู้สึกของนงคราญที่โดนคุณหนูดุ ตอนนี้เธอเข้าใจอย่างสุดซึ้ง...


"คุณปัญญาวีอยากได้อะไรอีกไหมคะ มีของใช้จำเป็นที่คุณยังไม่มีไหมคะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือคุณเลือกซื้อได้ตามใจชอบเลยนะคะ"
"คุณทำเหมือนฉันเป็นเด็กเลยนะคะคุณหนู" ตอบพลางกับเข็นรถสินค้าที่มีกล่องพัดลมเครื่องใหม่เอี่ยมถึงสองเครื่องอยู่บนรถเข็น
"เปล่าซะหน่อย ก็คุณมาอยู่กับณิ ณิก็ต้องดูแลคุณสิคะ"
"ไม่ค่ะ แค่พัดลมพวกนี้ฉันก็เกรงใจจะแย่ แต่ฉันจะรบกวนคุณหนูพาเอาไปให้น้องที่ค่ายมวยก็พอค่ะ"
"คุณก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่คุณปัญญาวี คุณหนูบอกให้เลือกให้ตัวเอง คุณก็เอาแต่คิดถึงเด็กที่ค่ายมวยของคุณ"
"ทำไงได้ล่ะคะ พ่อฉันเลี้ยงดูเด็กคนนั้นมาตั้งแต่เกิดเพราะครอบครัวของเปี๊ยกมันฐานะยากจน ค่ายมวยก็เหมือนเป็นบ้านอีกหลัง มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอน ตอนนี้ไม่มีค่ายมวยให้ไปอยู่กันแล้ว ฉันก็คงทำได้แค่เอาของพวกนี้ไปให้น้อง เดี๋ยวไว้เงินเดือนก้อนแรกออกเมื่อไหร่ ฉันก็คงสร้างบ้านหลักใหม่ให้น้องไปอยู่กับครอบครัวเลย" 
รอยยิ้มเผยออกมาจากคุณหนูณิชาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบจากบอดี้การ์ดสาว ก่อนเธอจะหันไปมองหญิงสาวชุดสูทร่างสูงโปร่งที่กำลังก้มดูของใช้บนชั้นวางสินค้า
รอยยิ้มที่อบอุ่นแบบนั้น...คงมีแต่คุณสินะคะคุณปัญญาวี...
"คุณหนูคะ ถ้าฉันจะซื้อครีมโกนหนวดนี่ได้ไหมคะ พอดีเปี๊ยกมันบ่นอยากได้มานานแล้วค่ะ"
"ได้สิคะ คุณอยากได้อะไร คุณเลือกได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"ขอบคุณนะคะ" พูดจบ ปัญญาวีจึงเดินเลือกของใช้ส่วนตัวสำหรับผู้ชายและของใช้น่ารัก ๆ สำหรับน้องสาวของเธอด้วยความตั้งใจ
รอยยิ้มที่เผยอยู่บนใบหน้าคุณหนูนั้นดูสดใสกว่าทุกครั้ง นงคราญจึงเหลือบมองทั้งสองสลับไปมาด้วยความหวั่นใจ 
อย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันคิดเลย... นงคราญคิดในใจ
"คุณปัญญาวีเลือกของรอเลยนะคะ เดี๋ยวณิไปเข้าห้องน้ำก่อน"
"คุณหนูไม่ให้ฉันไปด้วยเหรอคะ"
"มีพี่นงอยู่ด้วยไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ"
"อ๋อ...โอเคค่ะ"
"พี่นงคะ ช่วยพาณิไปเข้าห้องน้ำทีค่ะ"
"ได้ค่ะคุณหนู"
บอดี้การ์ดสาวยืนมองนงคราญเข็นรถจากไปจนสุดสายตา ก่อนเธอจะหันไปเลือกของใช้ต่อพลางกับคิดถึงและเป็นห่วงน้องสาวที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าตอนนี้อาการจะเป็นอย่างไรบ้าง และด้วยกล่องพัดลมบนรถเข็นนั้นบดบังทางเดินข้างหน้า เธอจึงไม่เห็นว่ามีใครบางคนกำลังนั่งเลือกของใช้ชั้นล่างสุดอยู่ ทำให้รถเข็นชนกับใครคนนั้นเข้าอย่างจัง
"โอ๊ย!!!"
"เฮ้ย!!!" สิ้นเสียงอุทานดังลั่น ปัญญาวีจึงรีบเข้าไปประคองร่างหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งลงกับพื้นเพราะอุบัติเหตุก่อนหน้า แม้จะไม่รุนแรงแต่ก็สร้างความตกใจให้ทั้งสองเป็นอย่างมาก
"คุณคะ!! ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ พอดีกล่องพัดลมมันบังทาง ฉันเลยไม่เห็นคุณ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ"
"ม...ไม่เป็นไรค่ะ" ตอบพร้อมกับพยายามลุกขึ้นโดยมีปัญญาวีช่วยประคอง
"ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ไม่ทันระวัง ขอโทษเหมือนกันนะคะ" ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เธอจึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ตัวสูงกว่า ทำให้ทั้งสองสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นตึกตักที่เห็นแววตาที่กำลังจ้องมองมาแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้หญิงร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสวย จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วคมเข้ม ริมฝีปากอมชมพู ราวกับถอดแบบมาจากนิตยสาร พร้อมทั้งชุดสูทดูสุภาพ ทรงผมเซ็ตเปิดหน้าผากช่างดูดีเหลือเกิน... หญิงสาวร่างบางสำรวจใบหน้าของปัญญาวีอย่างละเอียดพร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวทวีคูณ
"ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ" ปัญญาวีเอ่ยถาม
"ม...ไม่เป็นอะไรค่ะ" หญิงสาวร่างบางแต่งกายด้วยชุดเดรสสั้นแบบแฟชั่นสีขาว พร้อมกระเป๋าแบรนด์เนมใบหรู กลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมานั้น พร้อมกับผิวพรรณเนียนใสของเธอ ปัญญาวีจึงรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีฐานะอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ปัญญาวีคิดในใจนั้น ก็มีสาวสวยอีกคนสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำและกางเกงยีนส์ขาด ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร ก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหน้าอกเธอราวกับเกลียดชังกันมาก่อน 
"มึงมายุ่งไรกับแฟนกู" พูดพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น ทำให้มองเห็นรอยสักรูปเข็มทิศเหนือข้อมือข้างขวาได้อย่างชัดเจน
"ตัวเอง!! เค้าบอกกี่ครั้งแล้ว!!! อย่าทำตัวแบบนี้นะ!!" หญิงสาวร่างบางหันไปฟาดที่แขนของสาวสวยคนนั้นอย่างแรง
"ก็มันมาเข้าใกล้แฟนเค้านี่ มันจะทำอะไรที่รักบอกเค้ามา"
"ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีเมื่อกี้ฉันไม่ทันระวังเลยเข็นรถชนแฟนของคุณล้ม ฉันก็เลยเข้าไปประคอง"
"เฮ้ย!! มึงไม่มีตาเหรอวะ มึงทำแฟนกูเจ็บมึงจะชดใช้ยังไง!!?"
"ตัวเอง!!! บอกให้พอไง!! ถ้ายังไม่หยุดอีก วันนี้เค้ากลับบ้านนะ!!"
"อะไรอะตัวเอง ก็มันทำตัวเองเจ็บ จะปล่อยมันไปเหรอ แล้วทำไมต้องเอาเรื่องนี้มาอ้างทุกที อยู่กับเค้าแล้วมันอึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอ"
"เค้าไปนอนคลุกอยู่กับตัวเองทั้งเดือนแล้วไหม ถ้าเค้าอึดอัดเค้าก็หนีกลับบ้านแล้วปะ!? แต่ที่เค้าไม่พอใจคือตัวเองชอบทำนิสัยแบบนี้อะ!! คือเค้าก็ไม่เจ็บ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นน่ะ คุณคนนี้ก็ขอโทษเค้าแล้วด้วย คือตัวเองไม่ควรปากเสียใส่คนอื่นแบบนี้นะ"
"นี่ตัวเองปกป้องคนอื่นเหรอ!?"
"ใจเย็น ๆ นะคะ อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ ฉันผิดเอง"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แฟนฉันมันปากหมา เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ มานี่!!" พูดจบ หญิงสาวร่างบางจึงคว้าที่ข้อมือที่มีรอยสักรูปเข็มทิศเดินจากไปทันที ปัญญาวีเห็นแบบนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือก
"เฮ้อ...ถ้ามีแฟนแล้วจะเป็นแบบนี้ สู้ไม่มีเลยดีกว่า ไม่ต้องมีความรักเลยยิ่งดี..."


"ข้าวของพวกนี้ฉันจะให้คนเอาไปให้พวกน้อง ๆ ของคุณเองนะคะ" นงคราญพูดพลางกับมองข้าวของเครื่องใช้ใหม่เอี่ยมที่วางเกลื่อนกลาดเต็มห้องนอนของบอดี้การ์ดสาว
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะเอาไปให้พวกน้อง ๆ เอง"
"คงไม่ได้หรอกค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์ไปไหนด้วยตัวเองจนกว่าคุณจะทำงานครบหนึ่งเดือน"
"อะไรนะ!!? แล้วน้องสาวของฉันล่ะ คุณจะไม่ให้ฉันไปเจอน้องปุณหรือไง!!?"
"คุณไปเจอใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ ตราบใดที่ยังทำงานไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันส่งคนไปดูแลน้องสาวของคุณแล้ว คนของเราดูแลน้องสาวของคุณได้ดีแน่ ดีไม่ดี...อาจจะดีกว่าคุณด้วยซ้ำ"
"มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!!" สิ้นคำพูด ปัญญาวีคว้าที่คอเสื้อของนงคราญด้วยความโกรธ ตอนนี้เธอไม่ต่างจากนักโทษที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งน้องสาว
"ช่วยเอามือของคุณออกไปทีนะคะ อย่าให้คุณท่านมาเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของคุณเลย ระวังจะโดนไล่ออกก่อนได้เงินก้อนแรกนะคะ อ้อ...อีกเรื่อง ถึงคุณหนูจะใจดีแค่ไหน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้นะคะ คุณท่านไปต่างประเทศก็จริง แต่ฉันจะคอยรายงานคุณท่านตลอด ถ้าคุณยังประพฤติตัวไม่เหมาะสมแบบนี้อีก ก็เตรียมกลับบ้านไปแบบมือเปล่าได้เลย"
"โธ่เว้ย!!"
แม้จะโกรธและอยากซัดหน้าผู้หญิงตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตาม แต่ปัญญาวีกลับทำได้แค่คลายมือทั้งสองข้างออกและข่มอารมณ์เอาไว้เท่านั้น
เย็นไว้ปัญ...ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา...ถ้าพ่อกับแม่มันเดินทางไปต่างประเทศเมื่อไหร่ ทั้งยัยพี่เลี้ยงและยัยคุณหนูณิชานั่นไม่ได้ตายดีแน่...


"อันที่จริงแอร์ตัวนี้มันก็ไม่ได้ปรับอะไรมากหรอกค่ะ เพียงแค่คุณกดรีโมทเปิดปิดแค่นั้น ที่เหลือเป็นระบบอัตโนมัติหมดเลยค่ะ ช่วงแรกแอร์จะสร้างความเย็นให้ทั่วห้องแบบเร่งด่วน แล้วหลังจากนั้นไม่นาน มันจะค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิและความชื้นแบบอัตโนมัติ คุณก็จะไม่หนาวแล้วค่ะ" 
ปัญญาวียืนมองณิชาที่กำลังอธิบายวิธีการใช้งานเครื่องปรับอากาศในห้องนอนด้วยความตั้งใจ หากมองแบบผิวเผยคุณหนูณิชานั้นแสนดีกว่าคนอื่นเป็นไหน ๆ เธอไม่เคยแสดงท่าทีกดขี่ข่มเหงผู้น้อยเลยสักครั้ง แต่กลับให้เกียรติและเป็นห่วงทุกคนอยู่เสมอ มันทำให้ปัญญาวีอดคิดไม่ได้ ว่าภายใต้หน้ากากของคุณหนูณิชานั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ฉันไม่มีวันเชื่อเธอหรอกนะณิชา...ฉันอยากจะรู้นัก ว่าถ้าความจำของเธอกลับมา เธอยังจะแสนดีได้แบบนี้ไหม เบื้องหลังเธออาจจะเป็นยัยคุณหนูเอาแต่ใจก็ได้ วันนั้นเธอคงไปเที่ยวกลางคืนแล้วก็เมามากสินะ ไม่งั้นเรื่องวันนั้นคงไม่เกิด
"คุณปัญญาวีคะ? ได้ฟังที่ณิพูดไหมคะ"
"อ๋อ! ฟังค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ แค่เปิดไว้ เดี๋ยวเครื่องมันปรับอัตโนมัติ"
"ถูกต้องเลยค่ะ ทีหลังมีอะไรให้ณิช่วยก็บอกเลยนะคะ ณิอยู่ห้องข้าง ๆ คุณนี่เอง ณิยินดีที่จะช่วยคุณอยู่แล้วค่ะ"
"ขอบคุณนะคะคุณหนู คุณนี่ใจดีจังเลยนะคะ"
"ก็ไม่หรอกค่ะ ณิบอกแล้วไงคะ ว่าเราต่างพึ่งพาอาศัยกัน เราต้องดูแลกันและกันนะคะ จริงไหม"
"นั่นสินะคะ"
"แล้วมือของคุณเป็นยังไงบ้างคะคุณปัญญาวี ขอณิดูหน่อยได้ไหม"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเจ็บตัวบ่อยจนชินแล้ว อันที่จริงคุณหนูเรียกฉันว่าปัญเฉย ๆ ก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกชื่อจริงก็ได้"
"เอ่อ...จะดีเหรอคะ ปกติฉันจะเรียกชื่อเล่นเฉพาะคนที่สนิทใจน่ะค่ะ เหมือนพี่นงและคุณพล"
"แล้วคุณไม่สนิทใจที่จะเรียกชื่อเล่นของฉันเหรอคะ"
"ม..ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันก็อยากสนิทกับคุณมากกว่านี้ แต่ฉันไม่กล้าเรียกน่ะค่ะ"
"เรียกเถอะค่ะ ฉันชอบถ้าคุณจะเรียกฉันด้วยชื่อเล่น"
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น...ณิขอเรียกคุณว่า...ปัญ ได้ไหมคะ" 
"ได้สิค่ะ"
"ขอบคุณนะคะ" ณิชาตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหลบสายตาไปทางอื่น แต่ท่าทีและใบหน้าที่ขึ้นสีจนถึงใบหูนั้น ทำให้ปัญญาวีอดสงสัยไม่ได้ เธอจึงก้าวเข้าไปที่รถเข็นช้า ๆ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างค้ำลงไปกับที่วางแขนคร่อมตัวคุณหนูเอาไว้ ทำเอาณิชาถึงกับใจเต้นตึกตักและรีบเบือนหน้าหลบสายตาทันที
"คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมถึงหน้าแดงแบบนี้" พูดพร้อมกับยื่นหลังมือไปสัมผัสที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ยิ่งทำให้ใบหน้าของณิชาร้อนผ่าวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
"ค...คุณปัญญาวี...ณิไม่เป็นอะไรค่ะ"
"เรียกปัญสิคะคุณหนู แค่ปัญ..."
"อ...เอ่อ...ค่ะ คุณปัญ ช่วยเขยิบออกไปหน่อยได้ไหมคะ" พูดพร้อมกับพยายามเบือนหน้าหลบ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาบอดี้การ์ดสาวที่คร่อมตัวของเธออยู่
ถึงฉันจะไม่มีแฟน แต่ฉันก็พอจะมองออกว่าใครมีใจให้ฉัน ยิ่งได้เห็นท่าทีแบบนี้ของยัยคุณหนูณิชา ฉันก็ยิ่งมั่นใจ เหอะ...ฉันรู้แล้วว่าจะแก้แค้นเธอยังไงดีณิชา...ฉันไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือกับเธอให้เปลืองแรงเลยสักนิด...
ม้า
ไรท์แวะมาคุย~`

“ปัญ! เธอก็แอบร้ายนะ อย่าเล่นกับหัวใจคุณหนูนะคะ ;-;”