ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 9 พบเจออีกครั้ง

“ตัวนี้น่าจะใส่ได้นะ หุ่นเราก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่”
ตานจับเสื้อคอปกสีขาวมาเทียบกับตัวลูกศิษย์พลางกับมองสำรวจดูเหมือนกับว่านัทจะใส่ได้พอดี เพราะหุ่นดูไม่ได้ต่างกันมากนัก เพียงแค่เธอตัวสูงกว่าเล็กน้อย นัทก็ได้แต่ยืนอมยิ้ม ทำตาปริบ ๆ ด้วยความพอใจที่ครูสาวดูเป็นห่วงเป็นใยเธอขนาดนี้
“ใส่ตัวนี้แหละอย่างน้อยก็ดูสุภาพ ถ้ามีครูคนไหนถามก็บอกไปว่าเสื้อเปียก เสื้อนักเรียนก็เอาไปตากไว้ที่เรือนเพาะชำนะ ตอนพักกินข้าวก็ไปเปลี่ยนใส่คืน นั่นห้องน้ำรีบเข้าไปเปลี่ยนซะ”
ตานชี้ไปที่ห้องน้ำที่อยู่ถัดจากห้องนอนของเธอไป นัทจึงผงกศีรษะหงึก ๆ เป็นการตอบรับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักเธอก็วิ่งออกมายืดตัวโชว์เสื้อยกใหญ่ ราวกับเด็กดีใจที่ได้ของเล่นใหม่แล้วเอามาอวดเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น จนตานถึงกับอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
“ใส่ได้จริง ๆ ด้วย”
“อะไร ดีใจอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ให้เลยนะแค่ให้ยืมใส่”
“รู้หรอกน่า แต่เสื้อครูหอมมากเลย มีกลิ่นครูติดอยู่เสื้อด้วย”
“กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือเปล่า”
“ไม่ กลิ่นตัวของครู กลิ่นหอม ๆ เหมือนแป้งเด็ก”
นัทพูดพลางกับก้มลงดึงเสื้อขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมที่ติดอยู่กับเสื้อ พลางกับยิ้มไม่หุบ ไม่รู้ว่าเธอจะดีใจอะไรขนาดนั้น แต่เมื่อตานสังเกตเห็นผมที่ยังเปียกชุ่มอยู่ เธอจึงเดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนเอาไว้ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาลูกศิษย์ของเธอ
ทันทีที่ครูสาวเดินมายืนอยู่ต่อหน้าพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูซับที่ผมเบา ๆ หัวใจของนัทเริ่มเต้นตึกตักทั้งเร็วและแรง เธอยืนจ้องมองครูสาวอยู่อย่างนั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ก็หอมเย้ายวนเหลือเกิน อยากจะสวมกอดร่างบางนี้เอาไว้อีกครั้ง มือทั้งสองของเธอจึงค่อย ๆ เอื้อมมาวางบริเวณเอวของครูสาวช้า ๆ
จากที่ตานมัวแต่เช็ดผมจนไม่ได้สนใจอีกคน แต่เมื่อเธอได้รับสัมผัสที่เอว ทำให้เธอเหลือบตาลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาของทั้งคู่ประสานกันพอดี
ทุกอย่างหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างคนต่างรีบผละออกและเบือนหน้าหนีไปคนละทาง พร้อมกับที่ตานจับผมมาทัดที่หูข้างขวาเอาไว้ ส่วนนัททำทีเป็นจัดปกเสื้อตัวเองเพื่อแก้เขิน
“เอ่อ...ขอบคุณนะครู”
“อืม ไม่เป็นไร ว่าแต่หน้าผากยังเจ็บอยู่ไหม หายโนเร็วเหมือนกันนะ”
“ก็ยังเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้ว”
“ดีแล้ว เอ้อ! นัท ตอนเช้าได้มารดน้ำต้นไม้ให้ครูหรือเปล่า”
“เปล่า ฝนตกมั้ง”
“ฝนมันไม่ได้ตกที่บ้านครูหลังเดียวหรอกนะนัท เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าหัดโกหกผู้ใหญ่สิ”
“ถ้าครูคิดว่าเป็นหนู งั้นครูก็คิดถูกแล้ว”
“แล้วทำไมถึงไม่รอเจอครูก่อน ครูรู้สึกเหมือนเธอพยายามที่จะหลบหน้าครูเลย”
“ใครจะไปกล้าสู้หน้าครูล่ะ หนูทำไม่ดีให้ครูเห็นตั้งเยอะ หนูกลัวครูจะทำโทษหนู”
“ก็รู้ตัวนี่ว่าทำไม่ดี แล้วจะทำทำไมล่ะนัท ถ้าเธอประพฤติตัวดีก็ไม่มีใครทำโทษเธอหรอก เลิกโดดเรียน เลิกลอกการบ้านเพื่อน เลิกทะเลาะวิวาทกับใคร แล้วกลับมาตั้งใจเรียนซะ”
“เฮ้อ...ก็ได้ ๆ ถ้าเรื่องทะเลาะน่ะ เลิกไปนานแล้ว แต่เรื่องอื่นหนูจะพยายามแล้วกัน”
“พูดใหม่! หนูจะพยายามค่ะ บอกแล้วไงว่าพูดกับผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียง”
เมื่อครูสาวกอดอกพร้อมกับทำหน้าดุ นัทถึงกับรีบหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว ร้อยวันพันปีไม่เคยเกรงกลัวใคร แม้แต่ครูระเบียบสุดโหดก็ไม่เคย แต่ตอนนี้กลับมากลัวครูคนสวยเสียอย่างนั้น
“พูดสิ!! หนูจะพยายามค่ะ!”
“ครูอย่าดุสิ”
“นับหนึ่ง!!”
“หนะ...หนูจะพยายาม...ค่ะ”
“ดีมาก พูดแล้วก็ต้องทำอย่างที่พูดด้วยนะคะ ให้มันสมกับนามสกุล ถือสัจจะ ด้วยนะนัท”
“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”
“อืม ปะ กลับโรงเรียนกัน เดี๋ยวไม่ทันเข้าแถว”
“เดี๋ยวก่อน”
ยังไม่ทันที่ครูสาวจะได้เดินไปไหน นัทก็รีบคว้าที่ข้อมือห้ามเอาไว้ก่อน จนเธอถึงกับชะงัก และเมื่อเธอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย นัทก็ดันตัวเธอให้นั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนจะย่อตัวลงพร้อมกับล้วงเอาผ้าผืนเล็ก ๆ ในกระเป๋ากระโปรงมาเช็ดรอยล้อรถที่ขาของครูสาวเบา ๆ
นัทนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าครูสาวเพื่อบรรจงเช็ดรอยดำบริเวณข้างหัวเข่าด้านในทั้งสองข้างอย่างเบามือ ราวกับว่ากลัวเจ้าของขาเรียวขาวนี้จะเจ็บ ก่อนหน้านี้ที่นัทหัวใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ถึงคิวของครูสาวบ้าง เธอนั่งอึ้งกับการกระทำของลูกศิษย์จนพูดอะไรไม่ออก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเด็กแสบคนนี้ก็มีอีกมุมหนึ่งที่อ่อนโยนเช่นกัน
“ที่ครูบอกว่าจะลงเดินเอง เพราะครูเจ็บขาใช่ไหมคะ ทำไมครูไม่บอกหนู”
“อะ...อืม ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดขาครูทำไม มันก็เปื้อนหมดสิ”
“ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าหรอก เอาไว้เช็ดมือน่ะ เสร็จแล้วค่ะ”
เมื่อนัทเช็ดรอยดำที่ขาเสร็จแล้วนั้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าครูสาว แต่เมื่อสายตาของเธอปรับโฟกัสไปทางด้านหลังที่ครูสาวนั่งอยู่ ทำให้เธอเห็นภาพวาดผู้ชายคนหนึ่งที่อัดกรอบเอาไว้อย่างดีที่ตั้งอยู่บนชั้นวางหนังสือชั้นบนสุด จนเธอถึงกับชะงัก
“ครูคะ”
“ว่าไง”
“ครูมีแฟนแล้วเหรอ”
“หือ? ถามทำไม”
“หนูอยากรู้ ครูมีแฟนแล้วเหรอคะ”
นัทย้ำคำถามอีกครั้ง ดวงตาของเธอไม่ได้จ้องมองที่หน้าครูสาวแม้แต่น้อย แต่กลับมองผ่านไปทางด้านหลัง ตานจึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองตามสายตาของเธอ
“มองอะไรน่ะ”
“คนนั้นคือแฟนครูเหรอคะ”
“เปล่า”
“แล้วเขาเป็นใครเหรอคะ”
“เธอจะอยากรู้ไปทำไม”
“ทำไมหนูรู้สึกเหมือนรู้จักยังไงก็ไม่รู้”
“เธอจะรู้จักได้ยังไง เขาเสียก่อนที่เธอจะเกิดด้วยซ้ำ”
“เหรอคะ เขาคือพ่อครูเหรอ”
“ไม่! พ่อครูยังไม่เสียนะ!! นี่ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แฟน แต่เป็นทุกอย่างสำหรับครู รู้แค่นี้พอ ไปโรงเรียนกันได้แล้ว”
ตานพูดจบก็ออกแรงดึงข้อมือของนัทให้ยืนขึ้นแต่นัทยังคงจ้องมองที่ภาพวาดนั้นไม่ละสายตาพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นัท! ไปได้แล้ว!”
“อ่า…”
ตานใช้สองมือประคองใบหน้าของลูกศิษย์ให้หันกลับมามองที่เธอพร้อมกับจ้องตาเขม็ง นัทจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ยังไม่ทันที่จะได้ดูลายเซ็นที่มุมด้านล่างด้วยซ้ำ เธอก็ถูกจูงเดินออกจากบ้านไปก่อน ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าผู้ชายในภาพวาดนั้นเสียไปก่อนที่เธอจะเกิดก็เถอะ แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก


“ปั่นไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวครูเดินตามไป”
“ไม่เอา หนูอยากไปพร้อมครู
“ไม่ได้ เดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าแถวหรอก”
“หนูไม่ต้องเข้าแถวอยู่แล้ว เพราะ ผอ. มอบหมายหน้าที่ให้หนูไปดูแลแปลงผักทุกวัน เลยไม่จำเป็นต้องเข้าแถวน่ะ แล้วก็ไม่ถือว่าโดดแถวด้วย”
“แหม ได้สิทธิพิเศษเชียวนะ เป็นเด็กเส้นเหรอเราน่ะ”
“เปล่าซะหน่อย”
ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปตามทาง โดยที่ตานเดินอยู่ฝั่งขวา และนัทเดินจูงจักรยานไปทางฝั่งซ้ายมือของตัวเองเพื่อไม่ให้มีอะไรมากั้นกลางระหว่างเธอกับครูสาวนั่นเอง นี่คงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยากให้โรงเรียนมันไกลกว่านี้อีกหน่อย เพราะอยากใช้เวลาแบบนี้กับครูสาวให้นานกว่านี้
“ครูคะ”
“อืม”
“สรุปว่าครูมีแฟนยังคะ”
“ยังไม่มี”
คำตอบที่ได้ยิน นัทแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่เธอกลับต้องเก็บอาการเอาไว้เพราะไม่อยากให้ครูสาวรู้ แต่หารู้ไม่ว่าการที่เธอเดินอมยิ้ม มือทั้งสองข้างกำแฮนด์จักรยานเอาไว้แน่นแบบนี้ ใครกันจะดูไม่ออก
“ถามทำไม”
“ก็ครูบอกว่าอยากสนิทกับหนูไม่ใช่เหรอคะ เราก็มาแลกกันถามเรื่องของอีกฝ่าย จะได้รู้จักกันมากขึ้นไง”
“แน่ใจเหรอ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงใช่ไหม”
“เปล่าหนิ”
“โอเค ๆ เปล่าก็เปล่า งั้นครูถามเธอบ้าง”
“ครูอยากรู้อะไรถามได้หมดเลย”
“อืม ครูระเบียบเคยเล่าให้ฟังว่า ปีที่แล้วเธอเอากระถางต้นมะเขือไปไว้ที่โต๊ะครูประจำชั้นในวันไหว้ครู เธอจงใจแกล้งครูเขาหรืออะไร”
“เปล่าแกล้งซะหน่อย หนูแค่ไม่อยากเด็ดดอกไปใส่พาน สู้ยกไปให้ทั้งกระถางเลยดีกว่า ครูกัลยาก็จะได้เอาไปปลูกต่อ ดีจะตาย”
“แหม เรื่องครูนี่คิดตื้น ๆ ทีเรื่องแบบนี้ทำไมคิดลึกและไตร่ตรองดีจังล่ะ”
“ฮ่า ๆ หนูไม่อยากทำลายเขา ถ้าไม่จำเป็น”
“อืม ก็ดีแล้ว เธอชอบปลูกดอกไม้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“เธอชอบดอกอะไรมากที่สุด”
“เอาจริง ๆ ก็ชอบทุกดอกนั่นแหละ เพราะแต่ละดอกก็มีความหมายในตัวเอง ทั้งสีและก็กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างดอกมะลิ กลิ่นเขาจะหอมเป็นพิเศษ คนเลยชอบเด็ดไปแต่งจานอาหาร หรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น ดอกอัญชัน ดอกกุหลาบ ดอกบัวหลวง พวกนี้สีสวย เอาไปทำอาหารได้ เพิ่มสีสันให้อาหารดูน่ากินด้วย”
“แลดูเธอรู้เรื่องดอกไม้เยอะดีนะ”
“ก็รู้บ้างค่ะ คงเพราะชอบดอกไม้มั้งคะ เลยไปหาข้อมูลมาประดับสมอง”
“อืม ดีแล้ว ชอบอะไรก็ทำให้เต็มที่นะ”
สิ่งที่อยากถามและอยากรู้มาตลอด ในที่สุดวันนี้เธอก็ได้รู้เสียที แต่คำตอบของนัทนั้นต่างจากคำตอบของสิบทิศมาก ทำให้ครูสาวรู้สึกหวิว ๆ ในใจ ไม่รู้ว่านี่คือความรู้สึกเสียดายหรือไม่ หรือเรื่องทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่เรื่องที่เธอคิดไปเอง
“แต่มีอยู่ดอกหนึ่งที่หนูยกให้เป็นที่หนึ่งในใจเลย ก็คือ...ดอกพุดตาน”
เมื่อตานได้ยินแบบนั้น เธอถึงกับหยุดชะงัก ทำให้นัทหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเธอแบบงง ๆ
“หยุดเดินทำไมอะครู”
“นัท…”
“คะ?”
“ทำไม...เธอถึงชอบดอกพุดตาน”
“ทำไมถึงชอบเหรอ ก็เพราะดอกพุดตานเป็นดอกไม้ที่มหัศจรรย์ค่ะ ครูรู้ไหมว่าในหนึ่งวันดอกพุดตานเปลี่ยนสีได้สามสีเลยนะ ตอนเช้าเป็นสีขาว หนูเปรียบถึงเด็กที่แสนบริสุทธิ์ พอสายมาก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเหมือนเด็กที่เริ่มโตเรื่อย ๆ จนเป็นสาว แล้วจะเข้มเต็มที่เมื่อถึงตอนเย็น เหมือนหนูได้เฝ้ามองเขาเติบโตอะครู ดอกพุดตานสุดยอดมากเลยใช่ไหมล่า”
คนพูดที่สาธยายถึงดอกไม้ในดวงใจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอดูมีความสุขจนแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจน แต่คนฟังกลับยืนนิ่งด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก มือทั้งสองบีบกันแน่นจนเริ่มสั่นเทา

“เพราะดอกพุดตานเป็นดอกไม้ที่มหัศจรรย์ล่ะมั้งครับ ในหนึ่งวันสามารถเปลี่ยนสีได้ถึงสามสีเลย จากสีขาวที่เหมือนเด็กที่แสนบริสุทธิ์ จนเติบโตเป็นดอกสีชมพูเข้ม เหมือนผมได้เฝ้ามองเขาเติบโตในทุก ๆ วัน มันทำให้ผมมีความสุข”

“พี่...สิบ...ทิศ”
ตานยกมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ นับว่าเป็นอีกเรื่องที่ช่วยการันตีว่านัทเหมือนกับชายคนรักของเธอจริง ๆ ไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด เมื่อนัทเห็นท่าทีแบบนั้นของครูสาว เธอถึงกับทิ้งจักรยานแล้วพุ่งเข้ามาหาทันที
“ครูเป็นอะไรคะ!?”
“อย่า! อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ เธอไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวครูตามไป”
“ไม่ไป ครูเป็นอะ…”
“ก็บอกว่าอย่าเพิ่งถามไง!! ครูบอกให้ไปก่อนก็ไปสิ!!”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่!”
แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะเป็นห่วงมากแค่ไหนก็ตาม แต่นัทกลับต้องทำตามคำสั่งแต่โดยดี เธอเดินกลับไปยกจักรยานสีแดงขึ้นมา ก่อนจะหันกลับมามองครูสาวแล้วปั่นออกไปโดยไม่กล้าพูดหรือถามอะไรอีก แววตาที่มองมานั้น ดูเป็นห่วงและสับสนอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อตานยืนมองลูกศิษย์ของเธอปั่นจักรยานออกไปไกลมากแล้ว เธอจึงรีบควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าผ้าลายดอกไม้ที่พาดอยู่บ่าของเธอ ก่อนจะค้นหาเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งบันทึกไปเมื่อวันก่อน
ตื๊ด…ตื๊ด…ติ๊ด!
“ฮัลโหล”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่ผู้ปกครองของนางสาวณิชาภัทร ถือสัจจะหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...ใช่ค่ะ ฉันเป็นแม่ของณิชาภัทรเองค่ะ”
“ดิฉันชื่อกานต์ธีรานะคะ เป็นครูประจำชั้นคนใหม่ของณิชาภัทรค่ะคุณแม่ ตอนนี้คุณแม่สะดวกคุยไหมคะ”
“สะดวกค่ะ ลูกสาวฉันไปก่อเรื่องอีกแล้วเหรอคะ!? มันน่าตีจริง ๆ เลย!!”
“ไม่ใช่ค่ะคุณแม่! ณิชาภัทรไม่ได้ก่อเรื่องเลยค่ะ พอดีว่าจะมีการเยี่ยมบ้านนักเรียนน่ะค่ะ เลยจะถามคุณแม่ว่าบ่ายวันเสาร์นี้สะดวกไหมคะ”
“อ๋อ...โล่งอกไปที ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ตลอดเลยค่ะคุณครู”
“ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตนัดเป็นวันเสาร์นี้เลยนะคะ ต้องขออภัยด้วยนะคะคุณแม่ที่กะทันหันแบบนี้ พอดีว่าเพิ่งทราบเรื่องเหมือนกันค่ะ”
“โอ๊ยไม่เป็นไรเลยค่ะคุณครู ยังพอมีเวลาเตรียมตัวอยู่ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ เดี๋ยวแม่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินค่ะ”
“อ๊ะ! ไม่รบกวนคุณแม่ดีกว่าค่ะ”
“ไม่ค่ะ ไม่รบกวนเลยค่ะ แม่ทำกับข้าวให้คุณครูประจำชั้นของนัททุกปีเลยค่ะ ไม่ต้องกินข้าวเที่ยงเข้ามานะคะ มากินที่บ้านด้วยกันค่ะ ไม่ต้องเกรงใจด้วยนะคะ เข้าใจไหมคะคุณครู”
“อะ…”
“ตกลงตามนี้นะคะ เดี๋ยวแม่ไปทำงานก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
ติ๊ด!
ตานถึงกับยืนอ้าปากค้าง เพราะเธอปฏิเสธไม่ทันปลายสายแม้แต่คำเดียว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวไปไหน เธอก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะโทรศัพท์ที่ยังแนบอยู่ที่หูสั่นครืดจนเกือบร่วงออกจากมือ
“สวัสดีค่ะพี่เกต”
“น้องตาน วันนี้ก่อนเที่ยงมีสอนไหม”
“ไม่มีค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“เดี๋ยวตอนสิบเอ็ดโมง ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“ไปไหนเหรอคะ ตานกินข้าวที่โรงอาหารได้นะคะ ไม่ต้องพาออกไปข้างนอกก็ได้”
“เถอะน่า มีคนอยากเจอน่ะ”
“อยากเจอตานเหรอคะ”
“ใช่ ไปนะ เดี๋ยวพี่พาไป”
“ใครคะ”
“ไม่บอกจ้ะ เซอร์ไพรส์”
“เดี๋ยวนะคะ หวังว่าจะไม่ใช่พ่อนะคะพี่เกต”
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก พี่ไม่ทำแบบนั้นแน่นอน คนคนนี้เขารู้ว่าตานมาสอนที่โรงเรียนพี่ เขาเลยขอร้องให้พี่พาตานไปหาให้ได้”
“บอกก่อนไม่ได้เหรอคะว่าใคร”
“บอกก่อนก็ไม่เรียกว่าเซอร์ไพรส์สิจ๊ะ”
“เฮ้อ...ทำไมช่วงนี้ตานรู้สึกว่าเจอแต่เรื่องเซอร์ไพรส์บ่อยมากเลย”
“ฮ่า ๆ คุณหนูพุดตานกลับมาทั้งที ก็ต้องมีแต่คนอยากเซอร์ไพรส์เป็นธรรมดา งั้นสิบเอ็ดโมงเจอกันนะ”
“ค่ะพี่เกต”


หลังจากเลิกแถวเคารพธงชาติ นักเรียนต่างทยอยกันขึ้นห้องเรียนของตน เปาที่เดินขึ้นห้องก่อนใครก็พบกับนัท ที่นั่งหน้าบึ้งและกอดอกจ้องมองกระดาน เธอจึงเดินสะพายกระเป๋าไปที่นั่งของตัวเองด้วยความสงสัย
“นัท เป็นอะไรหรือเปล่า”
“...”
นัทยังคงนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา ราวกับว่าไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง ไม่แม้แต่จะหันมาทักทายเพื่อนร่วมห้อง เปาจึงยักไหล่ขึ้นทำทีเป็นไม่สนใจ แต่ก็แอบชำเลืองมองเล็กน้อย พลางกับยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ
“ทำไมใส่เสื้อแบบนี้มาล่ะนัท เดี๋ยวครูก็ดุเอาหรอก”
“...”
“ฮัลโหล! ยังอยู่ไหมเนี่ย หรือหลับใน”
“...”
“โย่วนัท วัทซับเกิร์ล!”
โจอี้ โปเต้และเค สามหนุ่มสามมุมที่เดินตามหลังกันเข้ามาในห้องเอ่ยทักทายนัท แต่เธอก็ยังนิ่งสนิทไม่มีการตอบรับใด ๆ
“เฮ้ยเพื่อน! หยิ่งอะ”
“...”
“นัทเป็นไรเหรอเปา” โปเต้เอ่ยถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยส่งกระแสจิตคุยกับมนุษย์ต่างดาวอยู่”
“ทำได้ด้วยเหรอ สอนมั่งดิ มะงึม ๆ มะงอง ซาลาบาแงม นัทว่าเราพูดแบบนี้มนุษย์ต่างดาวจะเข้าใจเราปะ”
โจอี้พูดพลางกับใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มที่ขมับพลางกับหลับตาบ่นงึมงำคล้ายกับท่องมนต์ จนสองสาวฝาแฝดที่เดินมาเห็นเหตุการณ์พอดีถึงกับกรอกตามองบน
“โอ๊ย ทำตัวให้มันปกติสักวันได้ไหมโจอี้!”
“อะไรกิ๊กกิ๊ก”
“เมื่อไหร่จะเรียกชื่อพวกเราถูกสักที!?”
“เราเรียกไม่ถูกเหรอ”
“ถูกก็บ...”
“โอ๊ย!! ไปคุยกันที่อื่นได้ปะ!!”
ป้าบ!!
เมื่อนัทพูดจบ เธอก็ตบโต๊ะดังลั่นห้อง พร้อมกับลุกขึ้นพรวดจนเพื่อนคนอื่น ๆ ถึงกับชะงัก และในขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้อง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ครูระเบียบเดินมาพอดี ทำให้ทั้งสองต่างหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“จะไปไหนณิชาภัทร”
“เปล่าค่ะ”
“ทำไมใส่เสื้อแบบนี้มา”
“ตอนเช้ารดน้ำต้นไม้แล้วทำเสื้อเปียกค่ะ ครูกานต์ธีราเลยเอาเสื้อตัวนี้ให้ใส่รอเสื้อนักเรียนแห้ง”
“แล้วไป”
“เอ่อ...ครูกานต์ธีราไปไหนเหรอคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“สบายดี แต่วันนี้ครูจะเข้าโฮมรูมแทนน่ะ กลับไปนั่งที่ได้แล้วไป”
“ค่ะ”
จากที่ก่อนหน้านี้เป็นห่วงครูสาวจนแทบจะบ้า พอมาถึงคาบโฮมรูม คนที่เธอหวังว่าจะได้เจอก็ดันเป็นครูประจำชั้นคนเก่าเข้าโฮมรูมแทนอีก เธอจึงทำได้แค่เดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดีเพราะจะให้หนีออกไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เมื่อนัทกลับมานั่งที่ดังเดิม เปาจึงสังเกตเห็นว่าเธอนั่งกำมือแน่น พร้อมกับหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ เปาจึงเอื้อมมือจับที่หน้าตักแล้วกระซิบเบา ๆ
“นัท เป็นอะไร ดูไม่โอเคตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เราทั้งอึดอัด ทั้งหงุดหงิด”
“เมนส์จะมาเหรอ”
“ไม่นะ เพิ่งหาย”
“ใจเย็น ๆ นัท ตอนนี้นัทน่ากลัวมากเลยรู้ตัวไหม”
“พยายามใจเย็นอยู่”
เมื่อพูดจบนัทก็ก้มหน้าลงพร้อมกับดึงเสื้อขึ้นมาสูดดมไปฟอดใหญ่ เธอดมแล้วดมอีก แล้วจู่ ๆ เธอก็ทำหน้าเคลิบเคลิ้มแลดูอารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนเปาถึงกับทำหน้าเหวอแล้วเขยิบเก้าอี้ออกห่างจากเธอทีละนิด ๆ


เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน สาวสวยลูกคุณหนูทั้งสามเดินตรงไปที่โรงอาหารพลางกับหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปตามทาง ท่ามกลางสายตาของเหล่านักเรียนชายที่แม้เดินผ่านไปแล้วยังต้องเหลียวหลังมามอง
“วันนี้กินอะไรดีอะ ช่วยคิดหน่อย”
“ก๋วยเตี๋ยวร้านป้าขาว”
“ไม่เอา เบื่อแล้ว”
“ข้าวขาหมู”
“ไม่เอาอะ อ้วน”
“ข้าวหมูแดง”
“ไม่อ่า ขี้เกียจเคี้ยว”
“แล้วจะให้ช่วยคิดทำไมยะยัยรุ้ง!!”
“ก็มันคิดไม่ออกนี่ว่าอยากกินอะไร แต่ที่เธอเสนอมา ฉันก็ไม่อยากกินอะ ปรางช่วยคิดหน่อย”
เมื่อเพื่อนสาวผมเปียหันมาเกาะแขนแล้วส่งสายตาออดอ้อน ปรางจึง    อมยิ้มและส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาไว้ต่อหน้าเธอ
“เลือกมาหนึ่งนิ้ว เอานิ้วไหน”
“วิธีนี้อีกแล้วเหรอ”
“ถ้าเลือกไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
“แต่กฎมันคือถ้าสุ่มได้อันไหนก็ต้องกินอันนั้น ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนี่ ถ้าฉันไม่อยากกินอันนั้นจะทำยังไง”
“ก็ในเมื่อกรีนเสนออะไรเธอก็ไม่เอา ก็ต้องวัดดวงกันล่ะ เลือกมา โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย”
“อ่า...เอา...นิ้วนางแล้วกัน”
“อืม นิ้วนางคือสุกี้ทะเล”
“เยี่ยม!! โชคดีจริง ๆ อยากกินอยู่พอดีเลย”
“เหอะ! อยากกินแล้วจะถามฉันทำไมยะ!?”
“ก็มันคิดไม่ออกนี่ ทำไมเธอไม่ใช้วิธีปรางแต่แรกล่ะกรีน”
“ฮ่า ๆ เอาน่า อย่าเถียงกัน ไปซื้อข้าวกันเถอะ”
“เอ...ดูสิใครมา สงสัยวันนี้คุณหนูปรางจะกินข้าวอร่อยอีกแล้วล่ะ”
เมื่อเด็กสาวสวมแว่นพูดแบบยิ้ม ๆ พลางกับชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ปรางและรุ้งถึงกับหันขวับ ซึ่งบริเวณหน้าทางเข้าโรงอาหารนั้น นัทกำลังเดินหันซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใครสักคน และเมื่อเธอได้เจอคนที่ตามหา นัทก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“ปราง!”
นัทกระโดดกอดเพื่อนรักด้วยความดีใจจนปรางถึงกับเซถลาไปทางกรีนและรุ้งเพราะเธอไม่ทันได้ตั้งตัว ดีแค่ไหนแล้วที่เพื่อนสาวทั้งสองช่วยประคองได้ทัน ทำให้ไม่ล้มทับกันเหมือนในละคร ไม่อย่างนั้นต้องกลายเป็นเรื่องเด่นเรื่องดังให้ซุบซิบกันทั้งโรงเรียนเป็นแน่
“ไอ้บ้า! อย่ากระโดดใส่กันแบบนี้สิ!”
“ฮ่า ๆ เจ็บเปล่า”
“ไม่เจ็บหรอก แต่มันตกใจ”
“โอ๋ ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมาน้า”
นัทพูดพลางกับใช้มือเกาคางเพื่อนรักราวกับเห็นเพื่อนเป็นลูกแมว ปรางจึงมองค้อนแล้วใช้กำปั้นต่อยเข้าที่ท้องของนัทเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยวพร้อมกับหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน ทำเอาเพื่อนสาวทั้งสองถึงกับมองหน้ากันและเบ้ปากมองบนทันที
“โอ๊ย ไปเถอะรุ้ง อยู่แถวนี้นาน ๆ ไม่ได้”
“ทำไมเหรอกรีน บอกหน่อยสิ”
“มันเลี่ยนอะ”
“อ๋อเหรอ นึกว่าเหม็นความรัก ฮ่า ๆ ไปกันเถอะ”
กรีนและรุ้งรีบจูงมือกันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ตัวว่าจะต้องถูกคุณหนูปรางดุอย่างแน่นอน ปรางจึงได้แต่เอามือเท้าเอวและมองค้อนตามหลังเพื่อนรักทั้งสอง
“เฮ้อ! พวกนี้นี่!! ตลอดเลยอะ”
“เอาน่าปราง ช่างเถอะ”
“เฮ้อ...แล้วนัทกินข้าวยัง”
“ยังเลย ว่าจะมากินกับปรางนี่แหละ”
“ทำไมวันนี้มากินกับเราอีกแล้วเนี่ย ช่วงนี้ออกมาเพ่นพ่านนอกเรือนเพาะชำบ่อยนะเนี่ย”
“โห...อะไรอะ พูดเหมือนนัทเป็นหมาเลยนะปราง”
“ฮ่า ๆ ทำไมล่ะ แม่นัทยังชอบเรียกว่าหมาน้อยเลย ทำไมเราจะเรียกไม่ได้”
“โธ่เอ๊ย! นอกจากแม่ก็มีปรางนะ ที่นัทยอมให้เรียกอะ หงิง ๆ”
นอกจากจะทำเสียงร้องเลียนแบบลูกหมาแล้ว นัทยังเอาหน้าไปถู ๆ ที่ต้นแขนของปรางอีก เจ้าตัวก็ได้แต่ผลักศีรษะเธอออก ก่อนจะฟาดเข้าให้ จนนัทได้แต่ลูบแขนตัวเองป้อย ๆ
“อ้อนอะไรมิทราบ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาสร้างกระแส เดี๋ยวต่อยท้องแรงกว่าเดิมนะคราวนี้”
“ฮ่า ๆ ใครกันแน่ที่เป็นหมาอะ ปรางนั่นแหละ ดุอย่างกับหมา”
“เดี๋ยวเถอะ!!”
“ฮ่า ๆ ได้แกล้งปรางแล้วนัทอารมณ์ดีตลอดเลยอะ”
“นัทก็เป็นแบบนี้ทุกที เห็นเราเป็นที่ระบายความเครียดหรือไง”
“เห็นปรางเป็นคนน่ารักต่างหาก นัทถึงอารมณ์ดีได้แบบนี้ไง”
“เหร๊อ!!?”
“ช่าย...ไปซื้อข้าวกันเถอะ”
“อืม ปะ”
“กินแกงจืดเต้าหู้ด้วยไหม เดี๋ยวนัทสั่งถ้วยใหญ่เลย”
“เอาสิ วันนี้ว่าจะสั่งกินอยู่เหมือนกัน”
“ใจตรงกันอีกแล้วนะเราเนี่ย ปะ!”
นัทพูดพลางกับเอื้อมมือมาจูงมือเพื่อนสาวอย่างอารมณ์ดี ปรางก็ได้แต่  อมยิ้มแล้วเดินตามแรงอย่างว่าง่าย แม้จะมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เธอทั้งสอง แต่เธอก็หาได้สนใจ


“สรุปว่าใครอยากเจอตานคะเนี่ย”
ตานพูดพลางกับหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ ร้านกาแฟที่มีคนผลัดกันเข้า ผลัดกันออก คนแล้วคนเล่าก็ไม่ใช่คนที่เธอรู้จักเลยสักคน
บรรยากาศร้านกาแฟนั้นเหมาะกับการมานั่งทำงาน หรือมาพักผ่อน หย่อนใจ เพราะเป็นร้านสไตล์บ้านสวนที่มีการตกแต่งด้วยพืชจำพวกเฟิร์นและพืชฟอกอากาศนานาชนิดที่ทั้งแขวน ทั้งตั้งพื้นทำให้ดูร่มรื่นราวกับนั่งจิบกาแฟในป่าที่อุดมณ์สมบูรณ์
“เดี๋ยวอีกสักหน่อยก็มาแล้วล่ะ ถ้าเขามาแล้วก็นั่งคุยกันไปเลยนะ พี่ไปยืดเส้นยืดสายก่อน”
“เอ่อ...ตานรู้จักเขาใช่ไหมคะ”
“รู้จักสิ”
“อ๋อ โอเคค่ะ”
“น้องตานอยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เกต เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก่อนค่ะ ตานถึงจะสั่งเครื่องดื่ม”
“ก็สั่งไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยให้พนักงานมาเสิร์ฟหลังกินข้าวก็ได้นี่”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ งั้นรบกวนสั่งชามะลิให้ตานด้วยนะคะ รู้สึกอยากกินอะไรเย็น ๆ หอม ๆ คงจะสดชื่นดี”
“จ้า ได้เลย ที่นี่ชาอร่อยนะ ขึ้นชื่อเลยล่ะ เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้”
“ขอบคุณนะคะ”
เมื่อคนเป็นพี่เดินออกไป ตานก็ยังไม่วายหันซ้ายหันขวาด้วยความตื่นเต้น ใครกันที่อยากเจอเธอมากถึงขั้นต้องขอร้องให้ผู้อำนวยการโรงเรียนพาออกมาแบบนี้ หลังจากนั้นไม่นาน ตานหันไปเห็นชายสองคนที่สวมแจ็คเก็ตสีดำ เสื้อด้านในเป็นเสื้อคอกลมสีขาว และกางเกงสแล็คสีดำเดินเข้ามาในร้าน
คนที่เดินนำหน้าดูไม่สูงมากนัก แต่รูปร่างกำยำ ทรงผมสกินเฮด ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แลดูเป็นคนอารมณ์ดี แต่เธอสะดุดตากับชายอีกคนที่เดินตามหลังมา เขาดูเป็นคนเคร่งขรึม รูปร่างกำยำ สูงสง่า ทรงผมอันเดอร์คัทเซ็ทปัดไปทางซ้าย ใบหน้าคมเข้มราวกับนายแบบ จนลูกค้าสาวที่นั่งอยู่ในร้านต่างมองตามและสะกิดกันดูยกใหญ่
จากใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อเขาหันมาเห็นคุณครูสาวสวย เขาก็ส่งยิ้มมาราวกับดีใจที่ได้เจอคนรู้จัก จนตานต้องรีบหลบสายตาในทันที
'ใครเนี่ย! แล้วมายิ้มให้ฉันทำไม' ตานคิดในใจ พลางกับรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำทีเป็นดูนั่นดูนี่ แต่หางตาเธอกลับรู้สึกว่าชายสองคนนั้นกำลังเดินตรงมาทางเธอและมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอจึงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ซึ่งเขาคนนั้นก็กำลังยืนส่งยิ้มให้เธออยู่
“ถ้าจะก้มเล่นโทรศัพท์ ก็ต้องหันหัวโทรศัพท์ให้ถูกทางด้วยนะครับ”
เขาพูดพลางกับถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับพลิกโทรศัพท์ที่กลับด้านให้อยู่ในสภาพที่คนปกติเขาใช้กัน คนอะไรช่างไร้มารยาทสิ้นดี จนตานถึงกับจ้องตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเธอสังเกตที่บริเวณหางคิ้วข้างซ้ายดี ๆ เธอก็เห็นรอยแผลเป็นสามรอย คล้ายกับรอยแมวขวนจนเธอถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“พี่สิงห์!!?”
“นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้ซะแล้ว สวัสดีครับน้องพุดตาน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ…”