ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 10 กักบริเวณ

“คนที่อยากเจอตานคือพี่เหรอคะพี่สิงห์”
ตานลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ ผ่านไปนานหลายปี ไม่คิดเลยว่าชายหัวเกรียนที่ท่าทางเหมือนอันธพาลในวันนั้น จะกลายเป็นหนุ่มหล่อล่ำได้ถึงเพียงนี้
“ใช่ครับ นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้ซะอีก”
“ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอกค่ะ พี่สิงห์เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ที่ตานจำได้ก็เพราะรอยแผลเป็นที่หางคิ้วพี่นั่นแหละ”
“ฮ่า ๆ ร่องรอยที่น้องพุดตานเป็นคนฝากไว้ให้พี่เองแบบนี้ ถ้าจำไม่ได้พี่คงน้อยใจแย่”
“ผู้กองจะรับเครื่องดื่มเหมือนเดิมไหมครับ หรืออยากกินอะไรอย่างอื่นไหมครับ”
“อืม เหมือนเดิมเลยจ่า”
“ครับผม”
ทันทีที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำอีกคนเอ่ยถาม สิงห์จึงหันไปตอบด้วยรอยยิ้ม ทำเอาตานถึงกับดวงตาเบิกกว้างอีกครั้ง พร้อมกับอ้าปากเหวอ รู้สึกว่าเธอจะเจอแต่เรื่องเซอร์ไพรส์ทั้งนั้น
“อะ...อะไรนะคะ!? ผู้กอง!?”
“ฮ่า ๆ คาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่าพี่จะเป็นคนดีได้”
“โอ้โห...ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่เอาซะตานตั้งตัวไม่ทันเลยพี่สิงห์”
“ฮ่า ๆ เรานั่งคุยกันไหมครับ”
“อ๋อค่ะ ขอโทษนะคะ มัวแต่อึ้งจนลืมเลย เชิญนั่งค่ะพี่สิงห์”
“ขอบคุณครับ”
ตานส่งยิ้มพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญหนุ่มหล่อให้นั่งลงตรงข้ามกับเธอ เขาจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม และนั่งลงตามคำเชิญ สักพักชายอีกคนจึงเดินมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ ก่อนจะแยกออกไปนั่งโต๊ะด้านข้างที่ทั้งสองนั่งอยู่
“น้องพุดตานสบายดีไหมครับ”
“สบายดีค่ะ พี่สิงห์ล่ะคะ”
“ก็เรื่อย ๆ ครับ ได้มาเจอน้องพุดตานแบบนี้พี่ต้องขอบคุณพี่เกตจริง ๆ เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ”
“ใช่ค่ะ นานจนจำกันแทบไม่ได้เลย แต่ว่าพี่สิงห์ไม่ต้องเรียกว่าพุดตานแล้วก็ได้นะคะ พอดีตานเปลี่ยนชื่อแล้วน่ะค่ะ เรียกตานเฉย ๆ ก็ได้”
“พี่สะดวกเรียกแบบนี้มากกว่า”
“อ๋อ งั้นก็แล้วแต่พี่สิงห์เลยค่ะ”
“ครับ แล้วน้องพุดตานสั่งอะไรหรือยังครับ”
“พี่เกตจัดการให้แล้วค่ะ แต่ตานก็ไม่รู้ว่าพี่เกตเดินไปไหนแล้ว เห็นบอกว่าจะไปยืดเส้นยืดสายจนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“คงอยากให้เราสองคนได้คุยกันตามลำพังล่ะมั้ง”
“หะ ๆ คงงั้นมั้งคะ” ตานตอบพร้อมกับยิ้มกลับไป สิงห์จึงมองเธอพลางกับอมยิ้ม เพราะจู่ ๆ เธอก็หุบยิ้มและถอนหายใจเฮือก ท่าทีของเธอดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะคุยกับเขานัก เมื่อก่อนเคยเป็นอย่างไร วันนี้เธอก็ยังไม่เปลี่ยน
“น้องพุดตานเนี่ย เมื่อก่อนเคยเย็นชากับพี่ยังไง วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ทำไมถึงว่างั้นคะ”
“เหมือนไม่อยากเจอพี่ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ตานแค่รู้สึกว่า พอตานได้มาเจอพี่สิงห์ที่เป็นคนดีขึ้นแบบนี้ มันทำให้ตานคิดถึงพี่สิบทิศ ถ้าพี่สิบทิศยังมีชีวิตอยู่ พี่เขาจะได้เป็นตำรวจอย่างที่ฝันไว้ไหม”
“ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ มันอาจจะเป็นตำรวจที่ยศสูงกว่าพี่ก็ได้ เพราะมันเป็นคนที่มุ่งมั่น ถ้าได้ทำอะไรแล้วมันก็จะจริงจังมาก”
“ใช่ค่ะ ตานรู้”
“น้องพุดตานครับ...ที่เปลี่ยนชื่อนี่...เพราะอยากลืมอดีตหรือเปล่าครับ”
เมื่อจู่ ๆ สิงห์ยิงคำถามเปิดประเด็น ซึ่งคำถามนั้นเชือดเฉือนหัวใจจนตานถึงกับชะงัก เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองคู่สนทนา
“ตอบด้วยความสัตย์จริงเลยนะคะ ว่าใช่”
“อืม แล้วลืมได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่ว่าตานจะพยายามลบอดีตยังไง ตานก็ไม่เคยทำได้เลย ต่อให้เปลี่ยนชื่อ แต่นามสกุลก็ยังอยู่ หรือต่อให้เปลี่ยนนามสกุล ทุกคนก็รู้อยู่ดี ว่าตานเป็นลูกใคร”
“หลานสาวแห่งตระกูลพุทธารักษ์น่ะ ไม่มีใครไม่รู้จักหรอกนะครับ ในเมื่อคุณปู่ของน้องพุดตานสร้างประโยชน์ให้สังคมมากมายขนาดนั้น แล้วการที่น้องพุดตานพูดแบบนี้ แสดงว่ายังไม่หายโกรธคุณลุงสินะครับ”
“ก็อยากหายโกรธนะคะ แต่ไม่รู้ทำไม เวลาคิดถึงพ่อทีไร ตานจะรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากให้อภัย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อ ตานก็คงไม่เสียพี่สิบทิศไป”
“ปล่อยวางบ้างนะครับน้องพุดตาน เรื่องมันจบไปนานแล้ว อย่าถือโทษโกรธเคืองคุณลุงเลย ถ้าสิบทิศมันรู้ มันก็คงอยากให้น้องพุดตานให้อภัยพ่อนะ”
“เฮ้อ...นั่นสินะคะ แล้วที่พี่สิงห์มาเป็นตำรวจนี่เพราะอะไรเหรอคะ เมื่อก่อนดูต่อต้านคุณอาเรื่องรับราชการนี่คะ”
“เอาจริง ๆ ที่พี่มาเป็นตำรวจก็เพราะสิบทิศนี่แหละครับ ถึงพี่กับมันจะเคยชกต่อยกัน แต่เราสองคนก็เป็นเพื่อนรักกันมาก่อน การที่ต้องเสียเพื่อนรักไป มันทำให้พี่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็เพื่อสานฝันของมันน่ะ แล้ววันนี้พี่ก็ทำได้แล้ว”
“และพี่สิงห์ก็ทำได้ดีด้วย ขอบคุณนะคะที่พี่ทำเพื่อพี่สิบทิศขนาดนี้ พี่สิงห์รู้ไหมว่าตานสงสัยมาตลอดเลย ว่าทำไมพี่สิงห์กับพี่สิบทิศถึงได้ทะเลาะกันขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่เคยเป็นเพื่อนที่รักกันมาก ช่วยไขข้อสงสัยนี้ทีได้ไหมคะ”
“ฮ่า ๆ เสือสองตัวมันอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้น่ะน้องพุดตาน”
“คือยังไงคะ”
“พี่กับมัน ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน และพอมันรู้ว่าพี่จะขอร้องให้พ่อไปขอผู้หญิงคนนั้นให้ อารมณ์แบบจับคลุมถุงชนเลย มันก็ต่อยพี่เลย บอกว่าพี่จะใช้วิธีสกปรก ๆ ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงไม่ได้รักได้ยังไง นั่นเป็นจุดแตกหักระหว่างพี่กับมัน ตอนนั้นต่างคนต่างมีความคิดเด็ก ๆ อยากเอาชนะกันก็เลยไม่มีใครยอมใคร”
“ผู้หญิงคนนั้นคือตานสินะคะ”
“ฮ่า ๆ ครับ พี่ได้เปรียบมันตรงที่พี่ฐานะดีกว่า ส่วนมันได้เปรียบพี่ ตรงที่มันได้อยู่บ้านของน้องพุดตาน และยังได้หัวใจน้องพุดตานไปด้วย พูดแล้วก็อายเหมือนกันนะ ที่พี่พยายามจะแย่งทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงพี่ก็ชนะมันไม่ได้หรอก”
“ค่ะ รู้ไหมคะ ว่าจนถึงทุกวันนี้ตานก็ไม่เคยลืมพี่สิบทิศได้เลยและตานไม่เคยเริ่มต้นใหม่กับใครได้ด้วย”
“อืม พอรู้แบบนี้แล้วพี่รู้สึกโกรธมันจริง ๆ”
“ทำไมคะ”
“น้องพุดตานรักมันมากขนาดนั้น แถมมันก็เคยบอกว่ารักน้องพุดตานนักหนา ทำไมมันถึงได้ทิ้งน้องพุดตานไป ทำไมมันไม่อยู่ดูแลด้วยตัวเอง ทำไม…”
“พอเถอะค่ะ ยิ่งพี่สิงห์พูดแบบนี้ตานยิ่งเจ็บปวด เมื่อก่อนตานก็อยากให้พี่สิบทิศฟื้นขึ้นมาตอบตานเหมือนกัน ว่าพี่สิบทิศทิ้งตานไปทำไม ตานทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ที่พี่สิบทิศตัดสินใจทำแบบนั้น แต่พอโตขึ้น ตานก็ได้เห็นสัจธรรม ว่าทุกอย่างมันช่างโหดร้ายกับเราจริง ๆ ทุกคนบนโลกล้วนเห็นแก่ตัว แม้แต่พ่อ...แม่...ที่ทำให้ตานเกิดมา แต่ไม่เคยทำเหมือนว่าตานเป็นลูก…จนบางครั้ง ตานก็อยากตายตามพี่สิบทิศไปเลย แต่เพราะมีเด็ก ๆ ตานถึงยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้”
แม้ผู้พูด จะพูดไปยิ้มไปก็ตาม แต่แววตาของเธอช่างว่างเปล่าและดูทุกข์ทรมาน ที่น้ำตาไม่ได้หลั่งไหลออกมาอาจจะเพราะร้องไห้มามากพอ มากจนแอ่งน้ำตาแห้งขอดแล้วก็เป็นได้ สิงห์ได้แต่นั่งมองเธอด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“น้องพุดตานเก่งมากเลยนะครับที่ผ่านมันมาได้ ขอบคุณนะครับ ที่วันนี้น้องสามารถยิ้มให้โลกสดใสขึ้นได้”
“ฮ่า ๆ พี่นี่ยังหยอดเก่งเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“เปล่าหยอดครับ พี่พูดจริง ๆ”
“คุยอะไรกันจ๊ะทั้งสองคน เบรกกินข้าวกันก่อนนะ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น เกตก็เดินเข้ามาพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟหนุ่มที่ถือถาดอาหารตามเธอมาด้วย ทั้งสองจึงมาให้ความสนใจอาหารเสิร์ฟร้อน ๆ ที่อยู่บนโต๊ะแทน


“เอ้อปราง ปรางเห็นครูตานไหม นัทไปหาที่ห้องหมวดก็ไม่เจอ ไปหาที่เรือนเพาะชำก็ไม่อยู่”
เมื่อเด็กสาวแก๊งคุณหนูและนัทกินข้าวกันเสร็จแล้วนั้น พวกเธอจึงไปนั่งเล่นกันที่บริเวณม้าหินอ่อนใต้ต้นพิกุลทอง โดยที่สองสาวขี้แซวนั่งหันหลังพิงโต๊ะหินอ่อนเพื่อที่จะนั่งมองไปทางสนามฟุตบอลที่มีหนุ่ม ๆ กำลังเตะบอลกันจนเหงื่อโชก ส่วนนัทและปรางนั่งเอาแขนอิงกับโต๊ะเพื่อเล่นโทรศัพท์โดยนั่งคนละฝั่งและหันหน้าเข้าหากัน
เมื่อนัทถามจบ ปรางจึงละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือก็พบว่าสีหน้าของนัทนั้นดูเป็นกังวล ผิดจากก่อนหน้าที่อารมณ์ดีอย่างลิบลับ
“นัทถามหาน้าตานทำไมอะ”
“ว่าจะเอาเสื้อไปคืนครูน่ะ แต่เดี๋ยวเอากลับไปซักให้ก่อนดีกว่า”
“เสื้อ? เสื้ออะไรเหรอ”
“อ๋อ ตอนเช้านัททำเสื้อเปียกน่ะ ครูตานเลยเอาเสื้อให้ใส่ระหว่างรอเสื้อนักเรียนแห้ง”
“อ๋อ...แม่เราพาน้าตานออกไปกินข้าวข้างนอกน่ะ เห็นบอกว่าจะพาไปหาน้าสิงห์”
“ฮะ!? ใครนะ” นัทพูดจบเธอก็ลุกพรวดแล้วพุ่งมาเกาะแขนปรางทันทีพลางกับเขย่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“น้าสิงห์”
“ใครอะ ทำไมได้ยินชื่อแล้วนัทรู้สึกตงิด ๆ เหมือนจะเป็นคนไม่ดีเลย”
“ไอ้บ้า! น้าสิงห์เขาเป็นตำรวจนะ จะเป็นคนไม่ดีได้ไง แล้วก็เลิกมาเกาะสักที!! ชอบสร้างกระแสให้คนเขาเข้าใจผิดอยู่เรื่อย นี่แหน่ะ!!” ปรางพูดพลางกับฟาดไปที่แขนของนัทเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่นัทกลับอมยิ้มแล้วพุ่งกอดเอวเธอแทน มิหนำซ้ำยังเอาหน้ามุด ๆ ที่หน้าอกอีก มือนุ่มจึงรัวฟาดไม่ยั้ง
“ฮ่า ๆ นัท!! มันจั๊กจี้!!”
“โอ๊ย!! เหม็นความรัก! เราไปหวีดกันที่อื่นเถอะกรีน ปล่อยให้สองคนนี้จู๋จี๋กันดีกว่า”
“นั่นสิ ไม่เคยจะเกรงใจเราเลยอะ ไปดีกว่า” สองสาวสะบัดหน้าและจูงมือกันเดินออกไป ปล่อยให้นัทและปรางหยอกล้อกันได้จุใจไปเลย ปรางก็ได้แต่มองค้อนตามเพื่อนรักทั้งสอง
“โอ๊ย! พวกนี้เนี่ยทำไมถึงได้ชอบแซวจังเนี่ย”
“ฮ่า ๆ นัทว่าปรางน่ะชินได้แล้วนะ กรีนกับรุ้งก็ชอบแซวเราสองคนแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ก็เพราะนัทนั่นแหละ!! ที่ทำตัวแบบนี้ คนอื่นเขาก็เข้าใจผิด คิดว่าเราสองคนคบกันนะ”
“ก็เราเป็นเพื่อนรักกันนี่นา จะให้นัทตีกับปรางมันก็ไม่ใช่ ถูกปะ”
“ฮ่า ๆ ไอ้บ้า ลองตีกับเราดูสิ เราเชื่อนะว่านัทต้องยงธงขาวแน่”
“ทำไมอะ”
“ก็เพราะนัทเป็นคนอ่อนโยนและไม่รังแกผู้หญิงไง ยังไงนัทก็ยอมปล่อยให้เราตีอยู่ฝ่ายเดียวแน่ ๆ”
“ฮือ...น่ารักที่สุด ปรางรู้จักนัทดีที่สุดเลยรู้ไหม” นัทโผเข้ากอดปรางอีกครั้งด้วยความดีใจ แต่แล้วเธอทั้งสองก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดแทรกขึ้นมาจนหันขวับกันทั้งคู่
“มึง ที่กูจีบน้องปรางไม่ติดนี่เพราะน้องไม่ได้ชอบผู้ชายเหรอวะ”
“เอ้า มึงไม่รู้เหรอ ว่าสองคนนั้นเป็นคู่เบี้ยนกัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น นัทและปรางจึงหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มสองคนด้วยความไม่พอใจ หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนถัดจากที่พวกเธอนั่ง โดยเอาขาทั้งสองข้างเหยียบที่เก้าอี้ ผู้พูดนั้นพูดพลางกับอมยิ้มเป็นเชิงพูดล้อเลียนและมองมาที่นัทและปรางด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่นัทจะลุกขึ้นยืนปรางก็รีบดึงแขนของนัทเอาไว้ก่อน
“ไม่เอา อย่ามีเรื่องนะนัท”
“อ่า...อืม”
“ทำไมครับน้องนัท ทุกทีเห็นทำเก่งหนิ วันนี้ยอมรับแล้วเหรอว่าเป็นเบี้ยน ถึงไม่ลุกขึ้นมาค้านอะไร”
“เฮ้ยพี่! เราจะเป็นอะไรพี่ก็ไม่ควรมายุ่งไหม นี่เห็นหลายครั้งละนะ ทำไมถึงได้ชอบมาวุ่นวายกับปรางนักหนาวะ”
“ไม่เสือกดิคนสวย ไม่ใช่แฟนกันไม่ใช่เหรอ พี่จีบน้องปราง ไม่ได้จีบน้อง”
“แต่ปรางคือเพื่อนหนู และเพื่อนหนูก็ไม่ได้ชอบพี่ด้วย คนที่เสือกน่ะคือพี่มากกว่า”
“โห ๆ อยากจับจูบจังว่ะ จะได้เลิกปากเก่งสักที”
“นัท!! ไปกันเถอะ อย่ามาอยู่แถวนี้เลย”
เมื่อปรางเห็นมือทั้งสองข้างของนัทกำแน่น เธอสัมผัสได้ถึงแขนที่สั่นเทา รับรู้ได้เลยว่าเพื่อนรักของเธอต้องกำลังโกรธจนแทบจะคุมสติตัวเองไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบจูงมือนัทออกจากบริเวณนั้นทันที แต่เมื่อเธอทั้งสองหันหลังและก้าวเท้าไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดชะงัก
“น้องปราง! ผู้หญิงมันดีกว่าผู้ชายตรงไหนครับ”
“พอเถอะมึง น้องแม่งชอบตีฉิ่งว่ะ! ฮ่า ๆ”
“เข้! ชอบตีฉิ่งก็ไม่บอก ไม่อยากลองเป่าปี่เหรอครับ ฮ่า ๆ”
“ไอ้สัตว์!!!”
“อัก!!!”
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียงหัวเราะ เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่หมัดซ้ายเหวี่ยงอัดเข้าที่ขากรรไกรหนุ่มรุ่นพี่ไปเต็ม ๆ จนร่างไปกระแทกชายหนุ่มอีกคนตกโต๊ะตามกันไป คนที่โดนหมัดถึงขั้นสลบคาที่ ไม่เพียงเท่านั้น นัทคว้าคอเสื้อรุ่นพี่อีกคนได้ก็ต่อยไม่ยั้งจนคนที่อยู่บริเวณนั่นรีบวิ่งมาคว้าร่างเธอแยกออกมาด้วยความทุลักทุเล แม้จะเป็นผู้หญิงแต่เธอกลับแรงเยอะกว่าผู้ชายเสียอีก
“ปล่อยกู!! กูจะซัดให้ฟันแม่งหลุดออกจากปากให้หมด!! ไอ้หน้าตัวเมีย!!”
“นัท!!! พอได้แล้ว!!!”



“อาหารที่นี่อร่อยมากเลย ร้านนี้มาเปิดนานหรือยังคะพี่เกต”
“ได้สองถึงสามปีแล้วมั้ง ใช่ไหมสิงห์ พี่ก็ไม่แน่ใจ”
“ใช่ครับ ประมาณนั้นแหละพี่เกต น้องพุดตานเล่นหายไปหลายปีแบบนี้ คงไม่รู้สินะว่าแถวนี้มีร้านกาแฟ กับร้านอาหารผุดขึ้นเยอะอย่างกับดอกเห็ด”
“ฮ่า ๆ เหมือนตานไม่อยู่แล้วแถวบ้านเราเจริญขึ้นเยอะเลยนะคะเนี่ย”
อืด อืด ~
เมื่อทั้งสามกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานนั้น โทรศัพท์มือถือของเกตก็สั่นครืด เธอจึงรีบค้นกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์ออกมา ก็พบว่าเป็นลูกสาวคนสวยของเธอนั่นเอง
“น้องปรางโทรมาน่ะ พี่ขออนุญาตรับสายลูกสาวก่อนนะ”
“ตามสบายเลยค่ะพี่เกต”
“ตามสบายเลยครับ”
“สวัสดีค่ะน้องปราง อยากให้แม่ซื้ออะไรเข้าไปฝากเอ่ย”
“...”
“จริงเหรอคะ!!? เดี๋ยวแม่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ!!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะพี่เกต ทำไมดูตกใจขนาดนั้น”
“แย่แล้วน้องตาน!! นัทมีเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่ ตอนนี้อยู่ที่ห้องปกครอง!!”
“อะไรนะคะ!!?”


ณ ห้องปกครอง
เมื่อตานกลับมาถึงโรงเรียน ทั้งเธอและเกตต่างรีบมุ่งหน้าไปยังห้องปกครองด้วยความร้อนรน และเมื่อตานเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าลูกศิษย์ตัวแสบของเธอกำลังเอามือทั้งสองตบโต๊ะดังลั่นห้อง แล้วใช้มือค้ำกับโต๊ะเพื่อจ้องหน้าครูฝ่ายปกครองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอด้วยความโกรธ
ฝั่งด้านซ้ายของนัทมีครูระเบียบที่พยายามห้ามทั้งสองให้แยกจากกัน ฝั่งด้านขวาคือปรางที่พยายามดึงแขนเธอออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งนัทและครูฝ่ายปกครองที่อายุราวสี่สิบต้น ๆ ต่างดูโกรธจัดกันทั้งคู่ ตานจึงไม่รอช้ารีบส่งเสียงร้องห้ามทันที
“นัท!!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
สิ้นเสียงของครูสาว ทั้งสี่ต่างหันขวับมาอย่างพร้อมเพรียง และเมื่อนัทได้เห็นหน้าคนที่เธอรับปากเอาไว้ว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เธอถึงกับดวงตาเบิกกว้างแล้วรีบสืบเท้าถอยหลังออกมาด้วยความหวาดกลัว
“คุณแม่!! น้าตาน!! ช่วยด้วยค่ะ”
“ผอ. กับครูประจำชั้นเธอมาพอดีเลย ช่วยมาดูลูกศิษย์ของคุณด้วยนะคะครูกานต์ธีรา คุณสอนเด็กของคุณยังไง!!?”
“เกิดอะไรขึ้นคะ ณิชาภัทรไปก่อเรื่องอะไรคะครูดวงกมล”
“ก็ลูกศิษย์ของคุณไปชกต่อยกับผู้ชายจนต้องหามส่งโรงพยาบาลยังไง   ล่ะคะ เป็นผู้หญิงแท้ ๆ แต่ริไปมีเรื่องกับผู้ชาย ไม่รู้ว่าเก่งมาจากไหน อยากให้คนเขารู้ว่าตัวเองเจ๋งหรือเปล่าก็ไม่รู้ถึงได้ทำสันดานเสีย ๆ แบบนี้”
“ไม่ใช่นะคะคุณครูดวงกมล ไม่ใช่นะคะคุณแม่! หนูอยู่ในเหตุการณ์ หนูอธิบายได้ค่ะ”
“อย่าคิดว่าเป็นลูก ผอ. แล้วจะแก้ตัวให้เพื่อนยังไงก็ได้นะปรางทิพย์     หนูปกป้องเด็กสันดานเสียคนนี้มากี่ครั้งแล้ว สุดท้ายเป็นยังไง เขาก็ยังก่อเรื่องอีก ครั้งนี้ยังไงก็ต้องทำโทษ ไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งนั้น!!”
“แต่ว่า…”
“น้องปราง หนูออกไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่ขอคุยกับคุณครูเขาก่อนนะ”
“คุณแม่คะ มันไม่ใช่…”
“น้องปราง...”
“กะ...ก็ได้ค่ะ” เมื่อคนเป็นแม่ยืนกอดอกพร้อมกับใช้น้ำเสียงดุดัน ปรางจึงต้องเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี ส่วนนัทเองก็ได้แต่ยืนก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะสบตาครูสาวที่ยืนจ้องหน้าเธอตาเขม็ง
“เรื่องมันเป็นยังไงคะครูดวงกมล ช่วยเล่าให้ ผอ. ฟังหน่อยได้ไหม”
“ก็อย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่ค่ะ เด็กคนนี้ไปก่อเรื่องอีกแล้ว ครั้งนี้อย่าเอาคะแนนบำเพ็ญประโยชน์ที่เขาไปดูแลเรือนเพาะชำมาอ้างแล้วปล่อยผ่านอีกนะคะ ผอ. นี่มันครั้งที่สามแล้ว เขาไม่ได้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แถมยังเลวร้ายขึ้นกว่าเดิมอีก แล้วเมื่อกี้เห็นไหมคะ ว่าณิชาภัทรตบโต๊ะใส่ดิฉันด้วย!!”
“ขอประทานโทษนะคะคุณครูดวงกมล ฉันรู้จักเด็กห้องดิฉันดีค่ะ โดยเฉพาะณิชาภัทร ถ้าไม่ถูกหาเรื่องก่อน เขาจะไม่มีวันทำแบบนี้แน่ แต่ตั้งแต่ดิฉันเข้ามา คุณยังไม่ถามสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องเลย คุณเอาแต่ด่าเด็กฉอด ๆ เป็นใครก็ต้องโมโหอยู่แล้ว”
“ไม่เอาสิคะครูระเบียบ คุณเป็นผู้ใหญ่ที่ดิฉันเคารพมาก ๆ แต่การที่คุณเข้าข้างเด็กแบบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้สันดานของเด็กดีขึ้นหรอกนะคะ อย่าทำให้ดิฉันหมดศรัทธาในตัวคุณเลย”
“คุณจะหมดศรัทธาในตัวดิฉันมันก็เรื่องของคุณ แต่ก่อนที่จะด่าอะไรเด็กเนี่ยช่วยฟังเขาอธิบายก่อนนะคะ”
“พอก่อนค่ะทั้งสองคน ว่าไงนัท สรุปเรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้ ผอ. ฟังหน่อย” เมื่อครูทั้งสี่ต่างหันมามองที่เธอคนเดียว นัทจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะครูสาวที่ยืนจ้องเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก เข้าห้องปกครองมาก็บ่อย ไม่เคยกลัวครูคนไหนขนาดนี้มาก่อน
“พูดสินัท ครูรอฟังอยู่” ครูสาวพูดด้วยท่าทีนิ่ง ๆ แต่น้ำเสียงของเธอเย็นยะเยือกจนนัทถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“เอ่อ...ตอนแรกพี่ ๆ เขามาแซวปรางค่ะ เราก็เลยมีปากเสียงกันนิดหน่อย ปรางก็พยายามห้ามหนูและพาหนูเดินแยกออกมา แต่พอพี่เขามาเหยียดปราง  หนูทนไม่ได้จริง ๆ มือมันก็ไปเองเลยค่ะ”
“เล่าให้ละเอียด แซวว่าอะไร และเหยียดว่าอะไร” ครูสาวเอ่ยถาม
“พี่เขาแซวว่า เพราะหนูกับปรางเป็นคู่เลสเบี้ยนหรือเปล่าที่ทำให้พี่เขาจีบปรางไม่ติด หนูก็เลยด่ากลับไปว่าจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกหนู พี่เขาเลยด่าว่าหนูเสือก แต่แค่นี้หนูไม่อะไรนะคะครู คำพูดที่ทำให้หนูเสียสติคือ พี่เขาเหยียดปรางว่าชอบตีฉิ่ง อยากลองเป่าปี่ดูไหม”
“เขาก็แค่พูดเล่น ๆ เธอไม่มีสิทธิ์ไปต่อยเขานะณิชาภัทร!! ถ้าพ่อแม่เขามาเอาเรื่องเธอ เธอจะมีปัญญาทำอะไรได้!!?” ครูดวงกมลตอบกลับ
“แต่การที่มีผู้ชายมาพูดแบบนี้ มันไม่สมควรไหมอะครู!!? ถ้ามีใครมาพูดแบบนี้กับครูอะ ครูมองว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นได้เหรอ ครูโอเคเหรอ พี่เขาหมายถึงอะไรครูก็น่าจะรู้นะ”
“เธอก็แค่ปล่อยผ่านและทำหูทวนลมไปสิ การใช้ความรุนแรงมันช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือไง!!?”
“ครูจะให้หนูปล่อยผ่านได้ยังไง! นี่ครูเป็นผู้หญิงประสาอะไรวะ!!?”
“ทุกคนเห็นไหมคะ!? ว่าณิชาภัทรเป็นเด็กนิสัยเสียขนาดไหน เถียงดิฉันฉอด ๆ แล้วยังขึ้นเสียงใส่ดิฉันอีก สันดานนักเลงเหมือนพ่อไม่มีผิด!!!”
“เฮ้ยครู!! เล่นถึงพ่อเลยเหรอ นี่ครูเป็นผู้ใหญ่ประเภทไหนอะ ครูจับสลากมาเป็นครูเหรอ ถึงคิดได้แค่นี้อะ!!? หนูไม่ต่อยปากครูด้วยก็บุญแค่ไหนแล้ว!!”
“นัท!! หยุดเดี๋ยวนี้!!” เมื่อครูสาวตะคอกเสียงดังลั่น นัทถึงกับหยุดชะงักและก้มหน้ารับผิดทันที คงจะมีเพียงแค่เธอที่สามารถหยุดเด็กแสบคนนี้ได้
“ตานว่าครูดวงกมลช่วยใจเย็นหน่อยนะคะ ตานขอรับผิดชอบเองค่ะ    ขอโทษนะคะที่ดูแลเด็กไม่ดีแล้วปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษตานด้วย”
“แน่นอนค่ะ ว่าดิฉันต้องโทษคุณแน่ เป็นยังไงล่ะคะ ผอ. การให้ครูใหม่มาเป็นครูประจำชั้นแบบนี้มันจะไหวเหรอคะ”
“เอาล่ะครูดวงกมล ให้โอกาสครูกานต์ธีราเขาหน่อยนะคะ นี่ถือเป็นบทเรียนให้ครูเขากลับไปทบทวนว่าจะดูแลเด็กยังไงไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีก ส่วนนัท เรื่องทะเลาะวิวาทแบบนี้นัทรู้ตัวใช่ไหม ว่ามันอาจจะถึงขั้นพักการเรียนได้เลยนะ”
“รู้ค่ะ ผอ.”
“อืม รู้ก็ดี แต่ด้วยความที่นัทไปแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมาก่อน โทษก็คงไม่หนักขนาดนั้น ครั้งนี้คงต้องทำทัณฑ์บนไว้ก่อน ถ้าครั้งหน้ามีอีก ผอ. คงต้องให้นัทพักการเรียนแล้วนะ”
“กักบริเวณให้อยู่แต่เรือนเพาะชำทั้งเช้า กลางวัน เย็นไปเลยค่ะ ผอ. เด็กนิสัยเสียแบบนี้อย่าให้ออกมาพบปะผู้คนเลย เดี๋ยวไปแว้งกัดใครเขาอีก ไม่รู้ว่าคนหรือหมาบ้า!”
“ครูดวงกมลใจเย็น ๆ ค่ะ ช่วยระวังคำพูดด้วย งั้นก็ตามนั้น ผอ. จะกักบริเวณให้นัทอยู่เฉพาะบริเวณเรือนเพาะชำในช่วงพักกลางวันเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยห้ามออกมาข้างนอกถ้าไม่มีธุระจำเป็น เวลาเรียนก็ไปเรียนตามปกติ ส่วนเรื่องอาหารก็ให้ป้าขาวจัดการเหมือนทุกครั้ง”
“ได้ค่ะ ผอ. ให้หนูอยู่ที่นั่นเช้า กลางวัน เย็น เหมือนที่ครูดวงกมลต้องการก็ได้ อยู่เรือนเพาะชำหนูมีความสุขมากกว่าอีก”
“อืม เรื่องนี้ก็คงต้องรบกวนครูกานต์ธีราด้วยนะ ช่วยไปเช็คชื่อนักเรียนพร้อมกับลงบันทึกให้ทีว่าแต่ละวันนัททำอะไรบ้าง คงต้องดูแลความประพฤติเด็กอย่างใกล้ชิดแล้วล่ะ”
“ได้ค่ะ ผอ.”
“ตกลงตามนี้นะครูดวงกมล ส่วนคู่กรณี ครูก็พิจารณาโทษตามความเหมาะสมได้เลย ผอ. คงต้องขอตัวไปดูคู่กรณีที่โรงพยาบาลก่อน หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกนะ ฝากด้วยนะคะครูระเบียบ”
“ได้ค่ะ ผอ. เดี๋ยวดิฉันจัดการต่อเองค่ะ”
ผู้อำนวยการยิ้มให้ทุกคนก่อนจะปลีกตัวออกจากห้องปกครอง ครูดวงกมลจึงกอดอกจ้องมองทั้งสามสลับไปมาด้วยความไม่พอใจ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะครูดวงกมลที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ต่อจากนี้ตานจะดูแลเด็กให้ดีกว่านี้ค่ะ”
“เหอะ! เด็กแบบนี้ควรโดนไล่ออกตั้งนานแล้ว ไม่น่าเอามันไว้เลย ไปสร้างชื่อเสียงแค่ครั้งเดียว คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเจ๋ง แถม ผอ. ยังให้ท้ายมันอีก ถ้าทำผิดมาอีกครั้งล่ะก็ ฉันเอาเธอออกแน่!”
“ครูดวงกมลคะ ตานรู้สึกว่าตัวครูเองก็มีพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมาะสมเหมือนกันนะคะ การที่คุณเป็นครูฝ่ายปกครอง คุณก็ควรมีเหตุผลและ ใจเย็นมากกว่านี้ ทัศนคติของคุณในการแก้ไขปัญหาดูเหมือนจะคับแคบมากเลยค่ะ ไอ้เรื่องที่มีเด็กนักเรียนชายมาพูดจาแบบนี้กับเด็กผู้หญิงน่ะ หวังว่าครูจะทำโทษเด็กได้แบบเป็นธรรมนะคะ ถ้าไม่ถูกตักเตือนหรือสั่งสอนเลย เขาจะโตไปด้วยความคิดที่ว่าเขาจะพูดแบบนี้กับใครก็ได้ ทั้งที่จริงมันไม่เหมาะสมเลย คนเราควรเคารพซึ่งกันและกัน ไม่พูดจาเหยียดหยามหรือล้อเลียนใคร เด็กคนนี้เดี๋ยวตานจัดการเองค่ะ แต่ตอนนี้ช่วยจัดการทุกอย่างให้มันเสร็จเถอะค่ะ เราเสียเวลามามากแล้ว เอาแต่ด่าเด็กเพื่อความสะใจแบบนี้ก็คงไม่ได้กลับไปเรียนสักที แล้วเรื่องที่จะเอาเด็กออกก็ช่วยพิจารณาตัวเองด้วยนะคะ ว่ามีเหตุผลเหมาะสมที่จะเป็นครูฝ่ายปกครองหรือเปล่า ไม่ใช่เที่ยวทำโทษเด็กด้วยการไล่ออกอย่างเดียว การกักบริเวณแบบนี้ก็ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีนะคะ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่ต้นเหตุ คนที่ควรดูแลความประพฤติน่ะ น่าจะเป็นนักเรียนชายคู่กรณีมากกว่า เด็กทุกคนควรได้รับสังคมที่ดี เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อครูตัดสินโทษไปแบบนั้นแล้วตานก็จะดูแลเด็กของตานให้ดีที่สุดเองค่ะ เชื่อได้เลยว่า ครูจะไม่มีวันได้ไล่เด็กคนนี้ออกแน่”
ครูระเบียบและนัทต่างอมยิ้มเมื่อได้ยินครูสาวร่ายยาว ยิ่งทำให้ครูฝ่ายปกครองโกรธและเหมารวมครูสาวไปด้วย ดูเหมือนกับว่า การมาเป็นครูที่นี่ เธอจะถูกเพ่งเล็งเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น หากใครสักคนทำผิดล่ะก็ ครูดวงกมลคงไม่ปล่อยเอาไว้แน่...