ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 11 ความรู้สึกที่เริ่มชัดเจน

ครืด ~
เมื่อประตูบานเลื่อนสีดำเลื่อนเปิดออก ปรางที่ยืนรออยู่หน้าห้องปกครองก็รีบโผเข้าไปหานัททันที
“นัท! เป็นไงบ้าง!?”
“โดนทัณฑ์บนกับกักบริเวณน่ะ”
“ฮะ!? กักบริเวณด้วยเหรอ ทำไมอะ”
“เจ๊ดวงบอกว่าให้นัทอยู่แต่เรือนเพาะชำ จะได้ไม่ออกมาก่อเรื่องอีก”
“บ้าไปแล้วเหรอ!? แล้วแม่เราก็ยอมน่ะนะ!!? น้าตานอย่าทำโทษนัทเลย  นะคะ ครูระเบียบคะ อย่าทำโทษนัทเลยนะคะ เรื่องนี้ต้นเหตุมาจากหนูเองค่ะ”
“ครูไม่ทำโทษนัทหรอกลูก กลับขึ้นห้องกันได้แล้วไป อีกหน่อยก็หมดเวลาพักแล้ว” ครูระเบียบตอบด้วยรอยยิ้ม
“เห็นไหมบอกแล้ว ว่านัทไม่โดนไล่ออกหรอก เราขึ้นห้องกันเถอะ” กรีนและรุ้งพูดพลางกับเดินมาจับบ่าของปรางด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้าเธอเอาแต่เดินวนไปวนมาเป็นห่วงนัทจนอยู่ไม่เป็นสุข เมื่อรู้บทลงโทษของนัททำเอาเธอถึงกับซึมลงทันที
“แต่ว่า…นัทต้องถูกทำโทษเพราะเรานะ”
“ไม่เป็นไรหรอกปราง อย่าโทษตัวเองเลยนะ นัทใจร้อนเอง ดีซะอีกที่ถูกกักบริเวณให้อยู่ที่เรือนเพาะชำ ถ้าถูกทำโทษให้ไปล้างห้องน้ำ หรือทำเวร นัทคงคิดหนักเลย”
“เฮ้อ...นัทโอเคจริง ๆ ใช่ไหม”
“จริงสิ...ปรางไปเรียนเถอะ นัทก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน”
“อืม...งั้นดึก ๆ เดี๋ยวเราโทรหานะ”
“โอเค ตั้งใจเรียนนะคุณหนู” ทั้งสองยิ้มและโบกมือลากันและกัน ก่อนที่ปราง กรีน และรุ้งจะแยกตัวขึ้นห้องเรียนไปก่อน นัทจึงหันมามองหน้าครูประจำชั้นทั้งสองด้วยความรู้สึกผิด
“หนูขอโทษนะคะครูระเบียบ ครูตาน”
“ยังไม่พ้นวันเลย เธอก็ผิดคำพูดกับครูแล้ว!”
“หนูขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
“ขึ้นไปเรียนได้แล้ว ตอนเลิกเรียนไปเจอครูที่เรือนเพาะชำ เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
“ค่ะ…” นัทยกมือไหว้ขอโทษอีกครั้ง ก่อนจะเดินคอตกจากไป ท่าทีและแววตาที่รับรู้ได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดมากแค่ไหน แต่ครูสาวกลับไม่ได้ใจดีอย่างที่คิด อาจจะเพราะเธอผิดหวังในตัวลูกศิษย์คนนี้ก็เป็นได้ ถึงได้ตะคอกกลับไปแบบนั้น
 
เมื่อครูสาวและครูระเบียบเดินกลับมาถึงห้องพักครูหมวดศิลปะ ตานจึงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับด้วยความหนักใจ
“ครูตาน”
“ค่ะครูระเบียบ”
“หลังจากที่พี่ไม่อยู่ ช่วยดูแลนัทให้ดีนะ ที่ครูตานตอกกลับครูมลไปแบบนั้น แต่ทางนั้นเขาไม่ตอบโต้ครูตานน่ะ ไม่ได้หมายความว่าจะเกรงใจเราหรอกนะ แต่ท่าทีแบบนั้นแสดงว่ากำลังรอเล่นงานเราตอนพลาด พี่กลัวว่าครูตานกับนัทจะถูกกลั่นแกล้ง”
“คะ!? จริงเหรอคะ”
“ครูมลเนี่ยขึ้นชื่อเรื่องเก็บข้อมูลเลยล่ะครับพี่ตาน ก่อนหน้านี้ก็ฉะกับครูหมวดไทยจนต้องลาออก ถ้าครูมลจ้องจะเล่นงานใคร คือจะเอาจนได้ออกจากโรงเรียนเลย” ครูหนุ่มผมรองทรงที่นั่งถัดจากโต๊ะทำงานของเธอไปได้ยินทั้งสองคุยกันเขาจึงเดินมาร่วมวงสนทนาด้วย พลางกับยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดูดหลังจากพูดจบ
“นี่เขาเป็นครูฝ่ายปกครองได้ยังไงคะเนี่ย เหมือนจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลอีก”
“เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของผู้ก่อตั้งโรงเรียนน่ะ แถมยังได้มาทำงานที่นี่ก่อนที่ ผอ.เกตจะได้มาบริหารโรงเรียนซะอีก ผอ.เกตก็เลยเกรงใจเขานิด ๆ”
“ใหญ่มาจากไหนหนูก็ไม่กลัวหรอกนะคะ ถ้าจะมาใช้อารมณ์ทำร้ายลูกศิษย์หนู หนูก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“ดูพี่ตานปกป้องลูกศิษย์ดีจังเลยนะครับ เพิ่งเข้ามาสอนแท้ ๆ แต่เปรียบเสมือนแม่ที่คอยดูแลลูก ๆ ด้วยความรัก”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกต้า ใครถูกใครผิดเราก็ต้องฟังเหตุผลก่อนถูกไหม แล้วนี่ครูระเบียบยืนยันว่านัทเป็นเด็กดีแบบนั้น พี่ก็ยิ่งมั่นใจว่านัทจะไม่ทำร้ายใครก่อนแน่ ๆ”
“เพราะแบบนี้แหละครูมลถึงทำอะไรนัทไม่ได้ นัททั้งสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ทั้งเป็นจิตอาสาดูแลเรือนเพาะชำ นัทก็เลยได้คะแนนจิตพิสัยจาก ผอ. และก็เพราะว่าทำอะไรพี่ไม่ได้ด้วย เขาก็โวยวายอย่างที่เห็นนั่นแหละ พี่เลยกลัวว่าถ้าพี่ไม่อยู่เขาจะหาทางแกล้งอะไรครูตานกับนัทหรือเปล่า ระวังตัวเอาไว้ก็ดีนะ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะครูระเบียบที่เตือนหนู เรื่องนี้หนูจะระวังตัวนะคะ และสัญญาว่าจะดูแลนัทให้ดีที่สุด ถ้าคิดจะเล่นกับหนูก็ลองดูค่ะ ถ้าหนูไม่ผิด หรือนัทไม่ผิด หนูไม่มีทางยอมให้เล่นงานฝ่ายเดียวแน่!!”
 
 
ตกเย็น
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน นัทสะพายกระเป๋าสีดำเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าอาคารเรียน เธอทั้งกังวลทั้งกลัวว่าจะถูกครูสาวทำโทษจึงไม่กล้าเดินไปที่เรือนเพาะชำเสียที เรียกได้ว่าเดินหน้าไปสิบก้าว เธอก็เดินวนกลับมาที่เดิมสิบก้าว แต่ในเมื่อจักรยานคันโปรดจอดเอาไว้ที่เรือนเพาะชำจะไม่ไปก็ไม่ได้ เธอจึงต้องใจดีสู้เสือเดินตรงไปยังที่นัดหมายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
 
“มาได้สักทีนะ นึกว่าจะหนีกลับไปแล้ว” ทันทีที่นัทก้าวเท้าเข้ามายังเขตเรือนเพาะชำ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังต้อนรับมาก่อนที่จะได้เห็นหน้าเสียอีก
'วิ่งไปเอาจักรยานแล้วปั่นหนีไปดีไหมวะ เฮ้ย...ไม่ได้ ๆ ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องผ่านหน้าบ้านครูตานอยู่ดี ถ้าครูตานดักรอหน้าบ้านจะทำยังไง หรือพรุ่งนี้จะแกล้งป่วยดีวะ ไม่ได้ ๆ ถ้าไม่มาโรงเรียนก็ไม่ได้เจอหน้าครูสิ โอ๊ย...ทำไงดีวะ' นัทถึงกับคิดหนักและวางแผนในใจระหว่างที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเรือนเพาะชำ เธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าไปต่อ จะไปต่อหรือเผ่นแน่บไปตอนนี้ดีนะ…
“ถ้าคิดจะหนีกลับบ้านล่ะก็ ครูตามถึงบ้านเธอแน่!!”
“เวร...ได้ยินที่เราคิดได้ไงวะเนี่ย”
ดูเหมือนว่าครูสาวคนสวยจะรู้ทันเธอเสียแล้ว นัทจึงได้แต่กลั้นใจฮึดสู้เดินยืดอกเข้าไปยังเรือนไม้ทั้งที่ขานั้นสั่นพั่บ ๆ เมื่อก้าวเข้าไปได้ ก็พบกับครูสาวที่ยืนกอดอกรอเธออยู่ แถมหน้าตายังดูเอาเรื่องอีกด้วย
“ทำไมมาช้า ครูเจษบอกครูว่าปล่อยเด็กตั้งนานแล้วนะ”
“หนูกลัว”
“กลัวอะไร”
“กลัวครูทำโทษ”
“ในเมื่อเธอกลัวครูจะทำโทษขนาดนั้น แล้วเธอจะผิดคำพูดทำไม นี่ยังไม่พ้นวันเลยนะ”
“หนูขอโทษคุ่ครู หนูยอมรับว่าหนูใจร้อนจนขาดสติ แต่หนูรับไม่ได้จริง ๆ ที่พี่เขามาเหยียดเพื่อนหนูอะ หนูสาบานได้ว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
นัทยืนกุมมือไว้ด้านหน้าและพยายามพูดอธิบายด้วยท่าทีที่จริงจัง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมาชูสามนิ้วแสดงความจริงใจ ครูสาวก็ได้แต่มองเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนนัทถึงกับทำตัวไม่ถูกแล้วชักมือกลับไปกุมไว้ท่าเดิม
“ครู...พูดอะไรสักอย่างสิคะ ครูไม่เชื่อหนูเหรอ ครูไปถามปรางก็ได้”
“ครูเชื่อ แล้วเธอทำอะไรคู่กรณีบ้าง”
“ต่อยหน้าค่ะ”
“แล้วเขาทำอะไรเธอไหม”
“ไม่ค่ะ นอกจากพูดเหยียด”
“มือข้างไหนต่อย ยกมือขึ้นมา”
“ทะ...ทำไมคะ”
“ยกมือข้างที่ต่อยเขาขึ้นมา!” เมื่อครูสาวขึ้นเสียงดัง นัทถึงกับสะดุ้งโหยงแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา โดยแบมือหงายขึ้น คาดว่าเธอจะต้องถูกทำโทษอย่างแน่นอน และเมื่อครูสาวก้าวเข้าหาเธอ นัทก็รีบหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
สิ่งที่ครูสาวทำไม่ใช่การทำโทษแต่อย่างใด เพราะเธอจับมือของนัทให้คว่ำลง ก่อนจะมองสำรวจมือทั้งสองข้างที่มีรอยถลอกแดงเป็นจ้ำ ๆ บริเวณข้อนิ้วมือ นัทจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ใบหน้าสาวสวยที่ยืนอยู่ต่อหน้า มือที่สัมผัสช่างนุ่มและอ่อนโยนพร้อมกับกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ช่วยปลอบประโลมให้ความหวาดกลัวมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เจ็บไหม”
“มะ...ไม่ค่ะ โอ๊ย!” 
ครูสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วโป้งกดบริเวณรอยจ้ำสีแดงเบา ๆ นัทก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เธอจึงอมยิ้มเล็กน้อย
“เจ็บก็บอกเจ็บ ไม่ต้องมาทำปากเก่งหรอกนะ”
“ก็ครูกดแผลหนู มันก็ต้องเจ็บสิคะ ทำไมครูชอบซ้ำเติมแผลหนูจัง”
“ก็เธอดื้อ ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม สุดท้ายก็เจ็บตัว แถมยังถูกทำโทษอีก มันคุ้มแล้วเหรอ”
“ไม่คุ้มค่ะ แต่ครูเข้าใจใช่ไหมคะ ที่พี่เขาพูดเหยียดแบบนั้น เป็นใครก็ไม่โอเค”
“ใช่ ถ้าเป็นครูก็ไม่โอเคเหมือนกัน แต่เรามีวิธีแก้ปัญหานะ ที่ไม่ใช่การใช้กำลัง มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น นอกจากได้ความสะใจ เรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ เดี๋ยว ผอ. ช่วยดูแลอีกทีจะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรกับน้องปรางด้วย เธอก็ไม่ต้องห่วงนะให้ผู้ใหญ่เขาจัดการไป”
“ค่ะ หนูขอโทษจริง ๆ นะคะ ขอโทษที่ทำให้ครูลำบากไปด้วย”
“ครูน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงครูก็ต้องมาดูแลเรือนเพาะชำกับเธออยู่แล้วนี่ แต่คนที่ควรจะขอโทษน่ะ คือครูระเบียบนะ เห็นแล้วใช่ไหมว่าครูระเบียบรักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหนเขาถึงได้ปกป้องเธอขนาดนั้น พรุ่งนี้ครูเขาจะมาโรงเรียนเป็นวันสุดท้ายแล้วด้วย รีบไปขอโทษซะนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถึงครูไม่บอก หนูก็ตั้งใจจะขอโทษครูระเบียบอยู่แล้ว แต่ครูช่วยหนูอย่างนึงได้ไหม”
“อืม เรื่องอะไร”
“เพื่อน ๆ ในห้องจะเอาพวงมาลัยไปไหว้ครูระเบียบกันพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อหนูถูกกักบริเวณแบบนี้ ครูช่วยพาครูระเบียบมาหาหนูที่นี่ได้ไหมคะ”
“ได้สิ แล้ววันนี้ต้องทำอะไรบ้าง รดน้ำต้นไม้อีกไหม เดี๋ยวครูช่วยเอง เธอเจ็บมือแบบนั้นก็พักเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง ไกลหัวใจ”
“จ้า แม่คนเก่ง เดี๋ยวเสร็จจากนี้ไปแวะบ้านครูนะ เดี๋ยวครูทายาให้”
“ทำไมครูดีกับหนูจัง”
“ก็เพราะเธอเป็นลูกศิษย์ของครูไง”
“ไม่ใช่...” เมื่อนัทตอบแบบนั้น พร้อมกับจ้องตากับเธอ ครูสาวจึงรีบผละออกและเบือนหน้าหลบไปทางอื่น พร้อมกับจับผมมาทัดที่หูข้างขวาเอาไว้
“อะไรนัท ไม่ใช่อะไร”
“ไม่รู้สิคะ หนูก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกเหมือนกัน แต่หนูรู้สึกว่าครูจะห่วงหนูเป็นพิเศษ”
“ก็เพราะเด็กนิสัยเสียแบบเธอต้องดูแลเป็นพิเศษไงนัท ไปได้แล้ว”
“ไปไหน?”
“ก็! จะทำอะไรก็ไปทำไง!” ครูสาวพูดพร้อมกับจับแขนของนัทให้หันหนีไปทางอื่น ก่อนจะผลักหลังของนัทให้เดินออกไปจากเรือนไม้ นัทจึงได้แต่เดินไปตามแรงแบบงง ๆ

“ต้นพุดตานนี้เธอปลูกเองใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ต้องดูแลยังไงบ้าง”
“ต้นพุดตานจะมีเพลี้ยแป้งเยอะค่ะ หนูต้องคอยเอาเพลี้ยออกทุกวัน แล้วก็คอยตัดแต่งไม่ให้ต้นสูงเกินไป ให้เขาเป็นพุ่มเตี้ย ๆ ริมรั้วก็พอ”
“อ๋อ...แล้วเพลี้ยเนี่ย ต้องกำจัดยังไง ใช้สารเคมีเหรอ”
“ไม่ค่ะ ที่นี่ห้ามใช้สารเคมีเด็ดขาด เพราะโรงเรียนเราต้องผักปลอดสารพิษเท่านั้น วิธีการกำจัดเพลี้ยคือ เราต้องกำจัดมดกับเพลี้ยควบคู่กันไป โดยการเอาสารส้มผสมน้ำมาราดที่ดินเพื่อป้องกันมด เพราะมดเนี่ยคือคู่หูของเพลี้ย มันจะแบกเพลี้ยขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หรือผักของเราค่ะ แล้วเราก็เอาน้ำผสมกับพริกป่น หรือยาเส้น ที่กลิ่นฉุน ๆ ไปฉีดตามใบ ลำต้น เพื่อกำจัดเพลี้ย เนี่ยครูเห็นไหม ขาว ๆ ที่เกาะตามใบเนี่ยเรียกเพลี้ยแป้ง”
นัทพูดอธิบายพลางกับจับใบพลิกกลับด้านเพื่อให้ครูสาวดูเพลี้ยสีขาวที่เกาะกันเป็นกลุ่มใต้ใบต้นพุดตาน แต่ครูสาวกลับไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย นอกจากมองหน้าผู้พูดและอมยิ้มด้วยความชื่นชม
“เวลาเธออยู่กับดอกไม้ หรือผักพวกนี้ดูเธอมีความสุขมากเลยนะนัท”
“ใช่ค่ะ การดูแลพวกเขา ก็เหมือนหนูได้ดูแลเด็กคนนึง ดูแลจนเขาเติบโต และเมื่อเขาออกดอก มันคือรางวัลที่เราทุ่มเทดูแลเขาอย่างดีมาตลอด”
“อื้อหือ...คมคายมาก แล้วดูแลแฟนดีเหมือนดูแลดอกไม้ไหมเนี่ย”
“หนูยังไม่มีแฟนสักหน่อย การรักใครสักคนหนูยังไม่เข้าใจเลย หนูจะมีแฟนได้ไง”
“จริงเหรอ ครูรู้สึกว่าเธอดูแลและใส่ใจคนรอบข้างดีนะ ที่เธอคอยปกป้องน้องปรางน่ะ แบบนี้ก็เรียกว่าความรักในรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”
“แม่บอกว่า ถ้าเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อใครสักคน แบบนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรักใช่ไหมคะ”
“อืม ก็มีส่วนใช่นะ แต่ความรักมันมีหลายรูปแบบน่ะ ครูเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะครูก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ครูแค่เคยรักคนคนหนึ่งมาก ๆ และเขาเหมือนเป็นทุกอย่างสำหรับชีวิตครูเลย”
“เขาคนนั้นคือผู้ชายที่อยู่ในรูปเหรอคะ”
“อืม ใช่”
“เอ่อ...แล้วตอนเช้าครูเป็นอะไรเหรอคะ ทำไมอยู่ดี ๆ ครูก็เงียบไป แล้วอยู่ดี ๆ ครูก็อารมณ์เสียใส่หนู หนูทำอะไรให้ครูไม่พอใจหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก แค่เธอมีอะไรหลาย ๆ เหมือนคนรักเก่าครูที่เสียไปแล้วน่ะ ครูเลยตกใจ”
“อ๋อ...หนูถามได้ไหมคะ ว่าทำไมถึงเสีย”
“จมน้ำน่ะ” สิ้นคำตอบของครูสาว นัทถึงกับชะงักเพราะภาพในความฝัน จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาซ้อนทับ จนเธอต้องใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะตัวเองเอาไว้         ลมหายใจก็เริ่มหอบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครูสาวเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว เธอจึงจับที่ต้นแขนของนัทแล้วเขย่าเพื่อเรียกสติ
“นัท! เป็นอะไรหรือเปล่า”
เมื่อสติของนัทคืนกลับมา เธอรีบดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลา '17:22' พร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตัก
“นัท เป็นอะไร”
“ปะ...เปล่าค่ะ ครูคะ เรากลับกันเถอะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่รดน้ำต้นไม้เหรอ”
“ตอนเช้าหนูเห็นป้าขาวเข้ามาเปิดสปริงเกอร์อยู่ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมารดก็ได้”
“อ๋อ โอเค งั้นเดี๋ยวครูเข้าไปเอากระเป๋าแป๊บนึงนะ”
“ค่ะ”
เมื่อครูสาวเดินย้อนกลับเข้าไปยังเรือนไม้ นัทจึงมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก
'ทำไมเหมือนเคยเจอครูตานมาก่อนเลยวะ แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ภาพความฝันก็ผุดขึ้นมาในหัวตอนครูพูดถึงคนรักเก่าด้วยวะเนี่ย หรือเราจะกลัวจนหลอนเลยเหรอเนี่ย'
 
 
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน นัทเอาแต่คิดถึงเรื่องความฝันและความรู้สึกที่เธอพยายามจะเข้าใจ แต่เธอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าคืออะไร ทำให้เธอถอนหายใจไปหลายครั้ง จนคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ หันไปมองเธอด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรนัท ทำไมถอนหายใจบ่อยขนาดนั้น”
“ครูเคยเป็นไหมคะ เวลาเราอยากรู้อะไรมาก ๆ แต่ทำยังไงเราก็ไม่รู้ มันทำให้เราหงุดหงิดและอึดอัดเหมือนอกจะแตกตายเลย”
“เคยสิ ตอนนี้ครูก็มีเรื่องที่อยากรู้เต็มไปหมด แต่ทำได้แค่รอเวลา ยิ่งเราอยากรู้อะไรมากเท่าไหร่ เวลามันยิ่งเดินช้ามากเท่านั้น”
“เฮ้อ…หนูต้องทำยังไง”
“แล้วเธออยากรู้อะไรล่ะ เผื่อครูช่วยเธอได้ ไม่เข้าใจการบ้านหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เรื่องการบ้านไม่เคยอยู่ในหัวหนูหรอก”
“แหม ตอบตรงเชียวนะ”
“อุ้ย! หนูลืมตัว”
“ช่างเถอะ สรุปอยากรู้อะไร”
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ ทำไมหนูรู้สึกคุ้นจัง แต่หนูคิดยังไงก็คิดไม่ออก มันมีความรู้สึกว่า เหมือนหนูเคยผูกพันกับครูมาก ๆ ครูเคยเลี้ยงหนูมาก่อนหรือเปล่า”
เมื่อนัทถามแบบนั้น ต่างคนต่างหยุดเดินและหันมามองหน้ากันราวถูกบังคับด้วยรีโมทคอนโทล แววตาของนัทนั้นเต็มไปด้วยความสับสน จนหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนที่เธอจะสะบัดศีรษะและจูงรถจักรยานเดินนำหน้าไปอย่างเสียไม่ได้
“ไม่หรอกมั้ง หนูคงคิดไปเอง”
“นัท เรารีบเดินกันเถอะ ครูจะได้รีบทายาให้ก่อนกลับ”
“ค่ะ”
 
 
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านพักของครูสาว นัทจึงเดินตรงไปที่ชั้นวางหนังสือเพื่อที่จะดูลายเซ็นบนภาพวาด ปรากฎว่าเป็นลายเซ็นที่เธออ่านไม่ออก และไม่คุ้นตา แต่เธอกลับข้องใจกับบุคคลในภาพวาดว่าทำไมถึงคุ้นเคยนัก ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เธอจึงได้แต่ยืนเกาศีรษะด้วยความฉงน ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้เพื่อรอครูสาว
“ไหนเอามือมาดูซิ”
ครูสาวพูดพลางกับดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งลงข้างหน้าลูกศิษย์ของเธอ ก่อนจะหยิบสำลีมาชุบกับแอลกอฮอล์ นัทจึงรีบเอามือไขว้หลังทันที
“ไม่เอาแอลกอฮอล์ได้ไหมอะ มันแสบ”
“ไม่ได้ ก็ต้องฆ่าเชื้อโรคสิ”
“ไม่เอา! มันไม่ได้เป็นแผลขนาดนั้นนี่คะ ไม่ต้องล้างแผลก็ได้ค่ะครู แค่ติด พลาสเตอร์ก็พอ”
“ยื่นมือมา!!”
“ครู หนูไม่ชอบแอลกอฮอล์”
“จะเอาแอลกอฮอล์หรือทิงเจอร์ เลือกเอา!!”
“ฮือ...เอาน้ำเกลือค่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ!! น้ำเกลือไม่มีในตัวเลือก จะยื่นมือมาดี ๆ หรือจะยื่นมาด้วยน้ำตา!!?”
“ฮือ! ครูอย่าโหดดิ!”
“ยื่นมือมาเดี๋ยวนี้!!”
“ม่าย!!!”
เมื่อนัทยังคงดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่งง่าย ๆ ครูสาวจึงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดโดยการออกแรงดึงแขนลูกศิษย์ของเธอ แต่นัทก็ยังต้านแรงและยื่นมือหลบซ้ายที ขวาที และขณะที่เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ครูสาวก็ยืนขึ้นเพื่อที่จะจับมือเอาไว้ แต่แล้ว นัทกลับดึงมือลงไปด้านหลังศีรษะทำให้ครูสาวเสียหลักคร่อมตัวของเธอเอาไว้
ทั้งสองอยู่ในท่าที่นัทนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วแขนทั้งสองข้างยกพาดไปด้านหลัง ส่วนครูสาวนั่งอยู่บนตัก และแขนทั้งสองข้างคล้องคอนัทเอาไว้ ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดใบหน้ากันและกันอยู่ ทุกอย่างหยุดชะงักอยู่อย่างนั้น ดวงตาทั้งสองคู่ที่จับจ้องประสานกันไม่ละสายตาทำเอาต่างคนต่างหัวใจเต้นตึกตัก
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
เมื่อสติของครูสาวคืนกลับมาก่อน เธอจึงค่อย ๆ โน้มตัวเข้าใกล้เรื่อย ๆ ก่อนจะจับหมับที่ข้อมือของนัท แล้วรีบคว้าขวดแอลกอฮอล์ราดใส่มือ จนนัทถึงกับแผดเสียงร้องออกมา ส่วนครูสาวนั้นกลับยืนหัวเราะร่าด้วยความสะใจ
“อ๊าก!!! ซี๊ด!! โอ๊ย ๆ ๆ แสบ!!!”
“ฮ่า ๆ ๆ ร้องเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวกเลยนะ ทีตอนมีเรื่องทำไมไม่กลัวเจ็บแบบนี้น่ะฮะ!!?”
“โอ๊ยครู!! ทำไมป่าเถื่อนแบบนี้เนี่ย!! ซี๊ด...ฮือ!! แสบ!!”
“กล้ามีเรื่อง แต่กลัวแอลกอฮอล์เนี่ยนะ เธอนี่มันจริง ๆ เลย”
“กระซิก ๆ”
ไม่คิดเลยว่าเด็กแสบที่ชอบมีเรื่องกับเด็กผู้ชาย จะกลัวแอลกอฮอล์ล้างแผลจนน้ำหูน้ำตาเล็ด แม้ที่ข้อนิ้วมือจะเป็นเพียงแค่แผลถลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มือทั้งสองข้างกลับสั่นระริก อาจจะเพราะแสบมากจนนั่งตัวแข็งทื่อ  ครูสาวเห็นแบบนั้นถึงกับปิดปากแอบขำจนไหล่สั่น
“ครูใจร้ายอ่า กระซิก ๆ”
“เก่งดีนัก ไปมีเรื่องอีกนะ ครูจะได้ซื้อแอลกอฮอล์มาตุนไว้เยอะ ๆ สนุกดี”
“ครูโรคจิต”
“เดี๋ยวเถอะ!!”
“ครูคะ อย่าบอกแม่หนูได้ไหม หนูกลัวแม่จะเป็นห่วง”
“ก่อนทำทำไมไม่คิดล่ะนัท ว่าถ้าทำไปแล้วจะมีใครเดือดร้อนหรือเป็นห่วงเธอบ้าง”
“หนูยอมรับว่าหนูขาดสติจริง ๆ”
“อืม ช่างเถอะ งั้นครั้งนี้ครูจะไม่บอกแม่ของเธอแล้วกัน แต่ถ้ามีอีกครูจะไม่ไว้หน้าแล้วนะ”
“ค่ะ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”
“อืม แล้วนี่หิวหรือเปล่า กินข้าวบ้านครูก่อนไหม”
“ก็หิวนะคะ แต่หนูไม่ได้บอกแม่ไว้ ขอบคุณนะคะ”
“งั้นก็รีบกลับเถอะ เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง ครูไม่มีรถไปส่งเธอซะด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูปั่นจักรยานกลับคนเดียวจนชินแล้ว ครูคะ…”
“อืม ว่าไง”
“สรุปว่า...เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ แล้วที่ครูดีกับหนูแบบนี้ มันเพราะอะไรคะ” เมื่อนัทถามจบ ครูสาวจึงยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวเข้าใกล้นัทเรื่อย ๆ เธอเอามือทั้งสองข้างค้ำกับพนักเก้าอี้คร่อมตัวนัทเอาไว้ จนนัทถึงกับนั่งตัวแข็งทื่อ หัวใจก็กระหน่ำรัวตึกตัก เพราะใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น
“ลองมองหน้าครูดี ๆ สิ เธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าล่ะ”
“มะ...ไม่รู้ค่ะ หนูคิดไม่ออก คะ...ครูจะทำอะไรคะเนี่ย”
“ทำไมตัวสั่น กลัวครูเหรอ”
“ปะ...เปล่าค่ะ ทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้ ๆ อะครู”
“ครูชอบแกล้งคนคนนึงด้วยวิธีนี้น่ะ และเขาก็มีปฏิกิริยาเหมือนเธอเลยอย่างกับเป็นคนคนเดียวกัน ครูก็สงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมเธอถึงได้มีอะไรเหมือนเขาขนาดนั้น เธอเป็นใครมาจากไหน ครูอยากรู้จนใจจะขาดอยู่แล้ว”
“หนะ...นางสาวณิชาภัทร ถือสัจจะ ไงคะ”
ดวงตาโฉบเฉี่ยวที่จ้องมองมา ใบหน้าที่สวยดุจนางฟ้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบ กลิ่นกายหอมราวกับแป้งเด็กทำให้อกของนัทแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ร่างของเธอจึงค่อย ๆ อ่อนเอนไหลลงจากเก้าอี้ช้า ๆ เพื่อที่จะได้หนีจากการกระทำแบบนี้ของครูสาว เมื่อพ้นจากวงแขนทั้งสองข้างที่คร่อมร่างเธออยู่ นัทจึงเอี้ยวตัวหลบออกมาแล้วนั่งถอนหายใจเฮือกอยู่กับพื้นด้วยความโล่งใจ แต่ครูสาวก็ยังคงจ้องมองเธอแบบไม่ละสายตา
'นี่เธอจะเหมือนพี่สิบทิศเกินไปแล้วนะ ต้องใช่แน่ ๆ เธอต้องเป็นพี่สิบทิศมาเกิดใหม่แน่ ๆ แต่ทำไมถึงเกิดมาเป็นผู้หญิงล่ะ…'
“หนะ...หนูกลับบ้านก่อนนะคะ!!” เมื่อพูดจบ นัทยกมือไหว้แล้วเผ่นแน่บ ออกไปทันที ปล่อยให้ครูสาวยืนกอดอกคิ้วขมวดข้องใจอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นจนต้องวิ่งออกไปดูที่หน้าบ้านด้วยความตกใจ
“ว๊าก!!!!!” ภาพที่เห็นคือ นัทไม่แม้แต่จะคว้าจักรยานสีแดงคันโปรด แต่เธอกลับตะโกนวิ่งแบบไม่คิดชีวิตราวกับกำลังแข่งขันกรีฑาโอลิมปิก สมแล้วที่ได้เหรียญทองแข่งขันกรีฑามา เพราะไม่นานเธอก็วิ่งหายไปจนลับตา วิ่งไวราวกับวอกก็ไม่ปาน ดูเหมือนจะเขินจนสติหลุดไปเสียแล้ว
“ฮ่า ๆ นี่มันพี่สิบทิศเวอร์ชั่นผู้หญิงชัด ๆ”
 
 
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตานได้ยินเสียงผิวปากแว่ว ๆ ดังมาจากด้านนอก คาดว่าคงมีใครบางคนมารดน้ำต้นไม้ให้เธอแต่เช้า แต่เมื่อเธอเปิดประตูหน้าบ้านออกมา ก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนที่เคยมาขนของเข้าบ้านช่วยเธอวันก่อนกำลังนั่งขาไขว้ห้างอยู่โต๊ะในสวนหย่อมพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี เธอจึงมองหาจักรยานสีแดงที่จอดไว้หน้าบ้านเมื่อวานก็ไม่ปรากฎให้เห็นแล้ว
“อ้าวคุณหนู สวัสดีครับ จะไปโรงเรียนแล้วเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ลุงชัยมาทำอะไรคะเนี่ย”
“อ๋อ คุณมะลิให้ผมมารับคุณหนูไปโรงเรียนน่ะครับ เห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก”
“วันนี้ฝนไม่ตกหรอกค่ะ เพราะมันจะตกจริง ๆ ก็พรุ่งนี้ หรือทุกวันที่สิบเอ็ดกันยาของทุกปี”
“ทำไมคุณหนูจำได้แม่นแบบนั้นล่ะครับ”
“เพราะเป็นวันที่ตานร้องไห้หนักที่สุดล่ะมั้งคะ ฟ้าฝนก็คงจะร้องไห้กับตานไปด้วย”
“เอ่อ…”
“ช่างมันเถอะค่ะ แล้วตอนมา ลุงชัยเห็นเด็กนักเรียนผมสั้นประบ่า สูงประมาณนี้ไหมคะ”
ตานพูดอธิบายส่วนสูงของลูกศิษย์ของเธอ ด้วยการใช้มือขวาวัดระดับประมาณคิ้วของเธอแล้วปัดออกไปด้านข้าง
“อ๋อ คนที่ปั่นจักรยานสีแดงใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“แกมาเอาจักรยานแล้วก็ปั่นออกไปแต่เช้าแล้วครับ เห็นบอกว่าจะรีบไปที่เรือนเพาะชำนะครับ”
“เหรอคะ งั้นรบกวนไปส่งตานที่เรือนเพาะชำของโรงเรียนทีนะคะ”
“ได้ครับผม”
 
 
เมื่อรถเก๋งสีขาวมาจอดหน้าเรือนเพาะชำ นัทที่กำลังวุ่นกับการปลูกต้นไม้จนไม่ได้สนใจว่าใครจะมาใครจะไป จึงไม่เห็นว่าครูสาวกำลังเดินย่องเข้ามาช้า ๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ลูกศิษย์ตกใจเล่น แต่กลิ่นกายของเธอกลับโชยมาแต่ไกล จนนัทถึงกับหันขวับ ทำให้เธอหยุดชะงักอยู่ที่หน้าทางเข้าพร้อมกับหน้ามุ่ยที่แกล้งลูกศิษย์ไม่สำเร็จ
“อ้าว สวัสดีค่ะ ทำอะไรคะครู”
“กะจะแกล้งจ๊ะเอ๋สักหน่อย ทำไมรู้ตัวเร็วจังล่ะ”
“หนูได้กลิ่นครูอะ ก็เลยจะมองหา”
“เหอะ! จมูกดีจังนะ แล้วทำอะไรอยู่น่ะ”
“กำลังย้ายต้นมะลิมาใส่กระถางค่ะ”
“ย้ายทำไมอะ”
“จะเอาไว้ไหว้ครูระเบียบค่ะ”
“หือ? เดี๋ยวนะ ฮ่า ๆ นี่จะยกให้ครูเขาทั้งกระถางเลยหรือไง”
“ใช่ ก็หนูเคยบอกครูไปแล้วไง ว่าหนูจะไม่เด็ดพวกเขาถ้าไม่จำเป็น”
“แล้วจำเป็นที่ว่าคือกรณีไหนบ้างเนี่ย”
“ตัดแต่งกิ่งค่ะ แต่ก็ต้องให้ดอกเหี่ยวหมดแล้วนะถึงจะตัดได้”
“มันก็มีค่าเท่ากับว่าไม่ได้เด็ดดอกอยู่ดีไหมล่ะ”
“ใช่ไง”
“อะไรของเธอเนี่ย แล้วครูต้องทำอะไรบ้าง มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ไม่ค่ะ แค่เปิดสปริงเกอร์แปลงผักก็พอ ส่วนพวกนี้เดี๋ยวหนูจัดการเอง”
“อืม โอเค”
ครูสาวยืนอมยิ้มมองลูกศิษย์ของเธอกลบดินใส่กระถางต้นมะลิขนาดเล็กด้วยความขะมักเขม้น เวลาตั้งใจทำอะไรแบบนี้ช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับกระดาษทิชชูในมือ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ แล้วเอื้อมมือไปซับเหงื่อที่กำลังไหลบนใบหน้าให้อย่างเบามือ
นัทถึงกับนั่งอ้าปากเหวออึ้งกับการกระทำของครูสาวจนใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย ใบหน้าและใบหูก็เริ่มแดงเถือกขึ้นเรื่อย ๆ ครูสาวก็ถึงกับอมยิ้มที่แกล้งลูกศิษย์ให้เขินจนหน้าแดงได้ขนาดนี้
“ขะ...ขอบคุณค่ะ”
“อืม ใกล้เสร็จยัง”
“เสร็จแล้วค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“ว่าจะชวนไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารน่ะ ไปเป็นเพื่อนครูหน่อยสิ”
“หนูกินมาแล้วค่ะ ครูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอคะ”
“อืม ปกติก็ได้กินแค่ขนมปังที่ซื้อตุนไว้รองท้องเฉย ๆ น่ะ เสร็จคาบโฮมรูมค่อยไปกินข้าว”
“เอ่อ...หนูก็อยากไปนะคะ แต่หนูโดนกักบริเวณแบบนี้ หนูคงไปเป็นเพื่อนครูไม่ได้”
“งั้น...ครั้งหน้าครูซื้อมากินที่นี่กับเธอดีกว่าเนอะ” ครูสาวตอบด้วยรอยยิ้ม มันช่างกระชากใจยิ่งนัก มันจะเกินไปแล้วนะ จะหว่านเสน่ห์ไปถึงไหนกัน อีกคนแทบจะละลายลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว
“ครูก็ขี้อ่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
“เดี๋ยวเถอะ!!!”
เพี้ยะ!!!