ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 12 พระคุณครู

“ครูคะ ที่ผ่านมาหนูอาจจะเป็นเด็กเกเร ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของครู แถมยังเคยแกล้งครูสารพัด มันเป็นเพราะหนูคิดน้อยเกินไป หนูคิดว่าครูไม่รักหนู แต่ความจริงครูรักและคอยปกป้องหนูมาตลอด วันนี้หนูเลยจะขอขมาครู ขอให้ครู ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ”
ภายในเรือนไม้ของเรือนเพาะชำหลังโรงเรียน ได้มีการจัดเก้าอี้เอาไว้สองที่สำหรับคุณครูประจำชั้นคนเก่าและคนใหม่ ครูระเบียบและตานนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนนัทพนมมือไว้ที่กลางอกพร้อมกับนั่งทับส้นอยู่กับพื้น โดยด้านหน้าของเธอ   มีกระถางดอกมะลิขนาดไม่ใหญ่นักวางเอาไว้ ครูระเบียบเห็นแบบนั้นก็ได้แต่นั่ง อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
เมื่อนัทก้มกราบลงกับพื้น ครูระเบียบจึงโน้มตัวลงประคองร่างของเธอให้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับลูบศีรษะด้วยความอ่อนโยน
“ลุกขึ้นเถอะนัท ที่ผ่านมาครูอโหสิกรรมให้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันนะลูกนะ”
“ขอบคุณนะคะครู”
“แล้วทำไมต้องเป็นดอกมะลิล่ะ”
“ครูเปรียบเสมือนแม่ของหนูเลยค่ะ ถึงครูจะโหดไปหน่อยก็เถอะ”
“ฮ่า ๆ ก็เพราะเธอเป็นเด็กเกเรไงนัท ไม่มีครูคนไหนอยากดุเด็กหรอกนะ ใช่ไหมครูตาน”
“ใช่ค่ะ”
“หนูขอกอดครูได้ไหมคะ”
“มาสิลูกมา”
เมื่อครูระเบียบอ้าแขนต้อนรับ นัทจึงอมยิ้มและโผเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ไม่คิดเลยว่าครูที่เธอเคยกลั่นแกล้งมาสารพัดจะรักและเอ็นดูเธอได้ถึงเพียงนี้
“หนูขอโทษสำหรับทุกอย่างนะคะครู” นัทพูดขณะยังอยู่ในอ้อมกอด    มือหนาของคนที่เปรียบเสมือนเป็นแม่ครูก็ลูบศีรษะของเธอช้า ๆ ช่างเป็นวันสุดท้ายของการทำงานที่มีความสุขจริง ๆ ครูสาวเห็นท่าทีแบบนี้ก็ได้แต่ยิ้มด้วยความปราบปลื้ม
“หลังจากนี้ก็ห้ามก่อเรื่องอีกนะเข้าใจไหม นัทต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังครูตานเขาให้มาก ๆ นะลูก”
“ค่ะครู หนูจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังครูตานให้มาก ๆ และหนูก็จะดูแลครูตานให้ดีที่สุดเลยค่ะ”
“ครูสิต้องเป็นคนดูแลเธอ”
“ก็ต่างคนต่างดูแลกันและกันนั่นแหละ เพราะพี่ไม่อยู่แล้วก็คงไม่มีใครเป็นเกราะป้องกันฝ่ายปกครองให้แล้วนะ พี่กลัวเขาจะกลั่นแกล้งเราสองคน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูไม่ยอมให้เขาเล่นงานเราฝ่ายเดียวแน่นอนค่ะ”
“หนูก็จะไม่ยอมให้ใครมาแกล้งครูตานเด็ดขาดเลยค่ะ ครูระเบียบเชื่อใจหนูได้” 
นัทผละออกจากอ้อมกอดแล้วหันไปพูดกับครูสาวด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและจริงจัง เจ้าตัวจึงจับผมมาทัดที่หูพร้อมกับเบือนหน้าหนีโดยการหันไปยิ้มให้ครูระเบียบแทน
“เดี๋ยวพี่ต้องขอตัวไปกินข้าวก่อนแล้วกันนะ ยังไงก็ฝากลูกศิษย์คนนี้ด้วยนะครูตาน ช่วงนี้ก็คงลำบากหน่อยที่ต้องมาเช็คชื่อเช้า กลางวัน เย็นแบบนี้ แต่ก็แค่เดือนเดียวเท่านั้นแหละ อดทนหน่อยนะ”
“แค่นี้เองค่ะ สบายมากเลย อย่างน้อยนัทก็อยู่ในสายตาหนูตลอด ก็คงไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทแล้วล่ะค่ะ ครูระเบียบไปทานข้าวได้เลยนะคะ”
“โอเคจ้ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ นัท เดี๋ยวเธอขนกระถางต้นไม้นี่ช่วยครูระเบียบหน่อย”
“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพี่จัดการเอง ดีที่กระถางไม่ใหญ่ พี่ถือไปด้วยได้”
“ให้นัทช่วยดีกว่านะคะ”
“ไม่เป็นไรครูตาน แค่นี้เอง”
“อ๋อ ถ้างั้นทานข้าวให้อร่อยนะคะ”
“จ้า ครูไปก่อนนะนัท”
“ค่ะครู ขอให้โชคดีนะคะ”
ตานและนัทต่างกอดอำลาครูระเบียบกันอีกครั้ง สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ไม่มีการฟาดฟันระหว่างครูประจำชั้นกับลูกศิษย์ตัวแสบอีกต่อไปแล้ว
“หน้าผากเป็นไงบ้างนัท” ครูสาวถามพลางกับมองสำรวจหน้าผากของลูกศิษย์ที่เธอมือไวตบดังเพี้ยะไปในตอนเช้า แต่นัทกลับเดินไปดูบรรดาต้นแคคตัส   ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะโดยไม่สนใจครูสาว คาดว่าอาจจะงอนที่ถูกตบหน้าผาก ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนปากเสียแซวครูสาวเองแท้ ๆ
“คาบเช้ามีการบ้านไหม”
“...”
นัทยังคงแสดงท่าทีเมินเฉยไม่ยอมหันมาตอบ คนถามจึงอมยิ้มแล้วเดินไปยืนอยู่ด้านซ้ายที่ลูกศิษย์ยืนอยู่แล้วจึงเอียงตัวชะโงกหน้าไปหานัทเพื่อเรียกร้องความสนใจ นัทจึงเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วรีบหลบสายตาทันที เพราะใบหน้าสวยเอียงคอยิ้มหวานให้กับเธออยู่ จะหว่านเสน่ห์ไปถึงไหนกันนะ... สักพักใบหู  ลูกศิษย์ตัวแสบก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ
“ครูถามน่ะ ได้ยินหรือเปล่า”
“...”
“เมินครูเหรอ”
“เปล่าเมินซะหน่อย”
“ก็เนี่ย พูดกับครูยังไม่หันมามองหน้าครูเลย”
“ครูชอบทำร้ายร่างกายอะ ไหนบอกครูระเบียบว่าจะดูแลหนูไง”
“ใครบอกให้เธอว่าครูแบบนั้นล่ะ มือครูก็ไวตามปากของเธอนั่นแหละ     ทีหลังก่อนจะพูดอะไรคิดให้ดี ๆ เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ ครูคะ...เขยิบออกไปหน่อยได้ไหม ครูจะยื่นหน้ามาใกล้ ๆ หนูทำไม”
“ทำไม เขินเหรอ”
“บ้า หนูจะเขินครูทำไม”
นัทยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ครูสาวจึงอมยิ้มแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างไปประคองใบหน้าของนัทให้หันมาทางเธอ ครูสาวคนนี้ช่างใจร้ายแกล้งลูกศิษย์ได้ ลงคอ ยิ่งเห็นว่าหน้าแดง ก็ยิ่งอยากแกล้งให้หนัก ๆ
“ครู...ทะ...ทำอะไรคะ”
เมื่อมือทั้งสองข้างเปลี่ยนเป้าหมายจากประคองใบหน้ามาวางที่บ่าทั้งสองข้าง ก่อนจะค่อย ๆ คล้องอ้อมไปด้านหลัง เท่ากับว่าตอนนี้ตานกำลังยืนคล้องคอนัทอยู่ แถมยังยิ้มหน้าระรื่นแลดูมีความสุขที่ได้แกล้งลูกศิษย์เสียอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่อีกคนหน้าร้อนผ่าวแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
“สรุปจำได้หรือยัง ว่าทำไมถึงคุ้นหน้าครู”
“ยังค่ะ คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย แต่หนูรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะคะ เหมือนเราผูกพันกันมาก่อนจริง ๆ”
“ผูกพันที่ว่า ผูกพันแบบไหน ความรู้สึกมันประมาณไหน”
“ไม่รู้สิ หนูบอกไม่ถูก แต่หนูไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ครูเป็นคนแรก ที่หนูรู้สึกด้วย”
แววตาของนัทที่มองมา ช่างใสซื่อราวกับดอกพุดตานสีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่เคยถูกแต่งแต้มด้วยสีสัน ทุกครั้งที่มองแววตานี้ครูสาวรู้สึกใจสั่นและอบอุ่นหัวใจในคราวเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้...เธออยากให้สิ่งที่เธอคิดเป็นเรื่องจริง อยากจะขอโอกาสได้เคียงข้างคนที่เธอรักสุดหัวใจอีกสักครั้ง
ตานค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปช้า ๆ จนใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่คืบ หัวใจที่กระหน่ำเต้นรัว ๆ จนแทบจะทะลักออกมา ทำให้ต่างคนต่างลมหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จากที่จงใจจะแกล้งกลับกลายเป็นว่า ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ราวกับถูกสะกดให้ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างอัตโนมัติ
“นัท!! นัทเอ้ย!!”
สิ้นเสียงหญิงวัยกลางคนที่ตะโกนจากด้านนอกเรือนเพาะชำ ทำทั้งสองต่างสะดุ้งโหยงแล้วรีบผละออกจากกัน เมื่อสติของนัทคืนกลับมา เธอรีบจัดปกเสื้อและเน็กไทสีกรมท่าให้เข้าที่ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปข้างนอกอย่างลุกลน ส่วนครูสาวเอามือทั้งสองข้างค้ำลงกับโต๊ะเพื่อเรียกสติตัวเองอยู่สักพัก
'นัทเป็นลูกศิษย์ของแกนะตาน แกทำบ้าอะไรของแกเนี่ย!'


“เอ่อ...ครูตานคะป้าขาวเอาข้าวมาให้”
นัทพูดพลางกับถือถาดข้าวไปวางบนโต๊ะนักเรียนเก่าที่วางอยู่มุมห้อง ก่อนจะหันมามองครูสาวที่จับผมมาทัดที่หลังหูพร้อมกับเบือนหน้าหลบไปทางอื่นด้วยท่าทีเลิ่กลั่กเพราะหากไม่มีใครมาขัดจังหวะ เธอคงเผลอจูบนักเรียนไปแล้ว ทำให้ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวจนขึ้นสีไม่ต่างกัน
“กินข้าวด้วยกันนะคะ”
“อะ...อืม มีอะไรกินบ้าง”
“มีแต่แกงจืดเต้าหู้ค่ะ ถ้าครูอยากกินอย่างอื่นก็บอกป้าขาวไว้ได้นะ พอดีว่าหนูชอบกินแกงจืดเต้าหู้น่ะ ป้าขาวเลยตักแค่อันนี้มา”
“ไม่เป็นไร ครูกินได้หมดแหละ”
“ครูไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่า ทำไมเหรอ”
“หน้าครูดูแดง ๆ นะ”
เมื่อนัทก้าวเข้าหาพร้อมกับยื่นมือออกมาหวังจะสัมผัสที่หน้าผากของ    ครูสาว เธอจึงเอนตัวไปทางด้านหลังพร้อมกับก้าวขาขวาถอยหลังช้า ๆ และตามด้วยขาซ้าย จังหวะที่จะก้าวขาขวาอีกครั้ง นัทก็รีบคว้าเอวเธอแล้วดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็วเพราะหากถอยไปอีกก้าวล่ะก็ มีหวังชนโต๊ะแคคตัสล้มแน่ 
“นัท! เธอจะมากอดครูทำไม!?”
“หนูช่วยครูไม่ให้ถอยไปชนโต๊ะนะ ครูต้องขอบคุณหนูสิ”
“ปล่อยครูก่อน”
“ไม่ปล่อย จนกว่าครูจะขอบคุณหนู”
“ขอบคุณ ปล่อยได้ยัง”
“พูดดี ๆ สิคะ อยากให้หนูพูดมีหางเสียง ครูก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ถูกไหมคะ”
“ยอกย้อนเหรอ”
“เปล่ายอกย้อนซะหน่อย พูดคำว่า ขอบคุณนะคะ แล้วหนูจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังครูทุกอย่างเลย”
“ขอบคุณนะคะ” นัทไม่คิดว่าครูสาวจะยอมพูดง่าย ๆ แบบนี้ แถมยังใช้น้ำเสียงหวานหว่านเสน่ห์อีก นัทถึงกับต้องรีบปล่อยมือแล้วเบือนหน้าหลบสายตา พร้อมกับจับเน็กไทเพื่อแก้เขิน ทำเอาครูสาวถึงกับหลุดขำในท่าทีของเธอ จะแกล้งเขาแท้ ๆ แต่ดันผลัดกันเขินเสียอย่างนั้น
“รับปากแล้วนะ ว่าจะเชื่อฟังครูทุกอย่าง ต่อจากนี้ต้องอยู่ในโอวาทของครูเข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ หนูจะเป็นเด็กดีของครูตานนะคะ”
ดูเหมือนกับว่า นี่จะไม่ใช่ศึกฟาดฟันอย่างที่ผ่านมา แต่กลับเป็นศึกหว่านเสน่ห์ระหว่างครูกับลูกศิษย์ ที่แม้แต่นัทเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรลงไป ทำเอาครูสาวถึงกับต้องรีบเปลี่ยนเรื่องแก้เขินทันที
“ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวแกงจืดจะเย็นก่อนนะ”
“ค่ะ”
“เอ้อนี่ สรุปว่าคาบเช้ามีการบ้านหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ ทำไมเหรอ”
“หลังจากนี้ ถ้ามีการบ้านคาบเช้า ให้เอามาทำที่นี่ตอนพักเที่ยงนะ แล้วถ้ามีคาบบ่าย ก็ให้เอามาทำก่อนกลับบ้าน เธอต้องทำรอครูจนกว่าครูจะมาตรวจให้ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยครูถึงจะปล่อยให้กลับบ้านได้”
“โห ถ้าหนูมัวแต่ทำการบ้าน ใครจะดูแลแปลงผักล่ะคะ”
“ถ้าเธอเป็นห่วงต้นไม้ หรือแปลงผัก เธอก็ต้องตั้งใจทำการบ้านจะได้เสร็จเร็ว ๆ แล้วก็จะได้ไปดูแลต้นไม้กับแปลงผักต่อไง ตกลงไหม”
“ก็ได้ ๆ หนูรับปากครูไปแล้วนี่ว่าจะเป็นเด็กดี ว่าแต่เปาเคยบอกหนูว่า หนูต้องจับคู่ทำกิจกรรมกับครูนี่คะ กิจกรรมที่ว่าคืออะไรอะ”
“เออใช่ ครูลืมไปเลย งั้นกินข้าวไปคุยไปแล้วกัน เดี๋ยวครูอธิบายให้ฟัง”
“ได้ค่ะ”


“เฮ้อ...”
บริเวณม้าหินอ่อนใต้ต้นพิกุลทอง ปรางเอาแต่ก้มดูโทรศัพท์ เดี๋ยวปิด เดี๋ยวเปิดล็อกหน้าจอวนอยู่อย่างนั้นพลางกับถอนหายใจเฮือกใหญ่หลายต่อหลายครั้ง จนเพื่อนรักทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้อ...”
“นี่เธอถอนหายใจรอบที่ล้านได้แล้วนะปราง” รุ้งพูด
“นั่นสิ ไม่ต้องเป็นห่วงนัทหรอก ปกตินัทก็อยู่แต่เรือนเพาะชำอยู่แล้ว นัทไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“เฮ้อ...”
“นี่! ยัยปราง ถ้าเธอเป็นห่วงนัทขนาดนั้น เธอก็ไปดูที่เรือนเพาะชำเลยไหม จะได้รู้ว่านัทอยู่ดีหรือเปล่า”
“เฮ้อ...เราก็อยากไปหานัทนะ แต่เรากลัวทุกคนมองนัทไม่ดีอีกอะ เราเป็นห่วงความรู้สึกนัท กลัวว่านัทจะไม่โอเคที่โดนล้อ ดูอย่างเมื่อวานสิ ปกตินัทก็แค่ผลักหน้าอกแต่นี่เล่นต่อยหน้าเลย นัทคงเก็บความรู้สึกแย่ ๆ มานานแล้วมั้ง”
“นัทก็ดูไม่โอเคแค่ตอนที่เธอโดนล้อนะปราง เวลานัทโดนอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ ดูอย่างตอนที่ฉันกับกรีนแซวพวกเธอสิ ดูนัทแฮปปี้ออก”
“ใช่ รุ้งพูดถูก”
“มันเพราะพวกเธอเป็นเพื่อนเรามากกว่า นัทถึงดูแฮปปี้ ความจริงนัทอาจจะไม่ชอบ หรืออาจจะเกลียดเลยก็ได้ที่โดนกล่าวหาแบบนั้น นัทไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ นัทแค่มีนิสัยกับบุคลิกห้าว ๆ พวกเธอก็น่าจะรู้นะ”
“ฉันว่านัทเองก็อาจจะชอบเธอนะปราง แค่ยังไม่รู้ตัว ไม่เห็นเหรอว่านัทชอบมาอ้อนมาออเซาะเธอ แถมยังคอยปกป้องเธอมาตลอดอีก” รุ้งพูด
“ใช่ นัทมันซื่อบื้อ มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราพูดจริง ไม่ได้แซวเล่น ๆ แล้วไอ้เรื่องความรู้สึกที่เธอเก็บเอาไว้มาหลายปีน่ะ เธอก็ควรบอกไปได้แล้วนะ เธอจะรอบอกเมื่อไหร่กัน จะรอบอกตอนจบ ม.6 แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทางแบบนั้น ไม่เสียดายเวลาเหรอ ถ้าสมมติว่าต่างคนต่างชอบกัน เธอจะปล่อยเวลาที่เหลืออยู่ให้สูญเปล่าเหรอ” กรีนเสริม
“เฮ้อ...อันที่จริง ก็มีเรื่องนึงที่เราคิดมาก”
“เรื่องอะไร?” กรีนและรุ้งถามพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้
“เมื่อคืนนี้เราคุยโทรศัพท์กับนัทใช่ไหม แล้วอยู่ดี ๆ นัทก็ถามเราว่า ถ้าเรารู้สึกตกหลุมรักใครสักคน เราจะเป็นยังไง”
“แล้ว?”
“ก็เนี่ย ทำไมอยู่ดี ๆ นัทถึงถามเรื่องนี้ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยถามเลย ไม่เคยสนใจเรื่องรัก ๆ ชอบ ๆ ด้วยซ้ำ เราเลยกังวลว่าตอนนี้นัทชอบใครหรือตกหลุมรักใครไปแล้วหรือเปล่า”
“เฮ้ย! มันก็เป็นไปได้นะปราง นี่ก็ ม.4 แล้วอะ ก็เท่ากับว่าเริ่มโตเป็นสาวแล้วนะ มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนที่ไม่เคยรักหรือชอบใคร จะเริ่มรู้สึกแล้ว”
“แล้วคนคนนั้นเป็นใครอะ ไม่ใช่เธอเหรอปราง” รุ้งถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“เราคิดว่าไม่ใช่เรานะ เพราะเวลานัทมีอะไร หรือรู้สึกอะไร นัทจะบอกเราตรง ๆ แต่ครั้งนี้นัทแค่ถาม ไม่ได้บอกอะไร”
“นัทอาจจะแค่ถามก็ได้ไหมปราง เธออย่าคิดไปเองสิ หรือไม่ก็อาจจะหลอกถามเธอก็ได้”
“จริง นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดไปเอง หรือคิดแทนใครแล้วนะ เธอแอบรักนัทมาตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว เธอควรลุยได้แล้วปราง”
“เราก็เพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่านัทไม่ได้ชอบผู้หญิง ถ้าเราบอกความรู้สึกไปแล้วนัทมองเราเปลี่ยนไปจะทำยังไง เราไม่อยากเสียนัทไปนะ”
“ถามสิ ถามไปตรง ๆ เลย ในเมื่อปกติเธอกับนัทก็พูดกันตรง ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ นัทชอบใครอยู่หรือเปล่า แล้วโอเคไหมกับการที่ผู้หญิงสองคนจะคบกัน ถ้านัทไม่ได้อะไร เธอก็ชิงบอกความรู้สึกไปเลย มันถึงเวลาต้องลุยแล้ว แล้วก็อย่าเป็นนางเอกหลีกทางให้ใครนะ”
“กรีน เธอจะให้เราทำแบบนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อนัทไม่ได้ชอบเรา จะให้เราดึงดันเพื่ออะไรล่ะ ดีไม่ดี เราอาจจะถูกนัทเกลียดเลยก็ได้”
“โอ๊ยยัยปราง เลิกคิดแทนคนอื่นสักที นัทมันไม่เกลียดเธอหรอก มันรักและหวงเธอขนาดนั้น แม้แต่ผู้ชายคนไหนยังมาแตะต้องตัวเธอไม่ได้เลย ฉันมั่นใจเกินครึ่งว่ามันต้องมีรู้สึกบ้างแหละ แต่แค่ซื่อบื้อไม่รู้ตัวว่ารู้สึกยังไงกับเธอแค่นั้นเอง”
“นั่นสิ ฉันก็คิดว่านัทก็ชอบเธอนะ ลองบอกความรู้สึกดูนะปราง จากที่ไม่มีหวัง มันอาจจะมีหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยคำตอบมันก็มีแค่สองทาง คือนัทก็ชอบเธอเหมือนกัน และนัทไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย มันก็แบ่งเป็น 50% ที่อาจจะสมหวังหรือผิดหวัง ความน่าจะเป็นน่ะ มันก็น่าลองเสี่ยงดูนะ ดีกว่าเก็บเอาไว้แบบนี้โดยที่เธอไม่รู้อะไรเลย”
“โหรุ้ง ทฤษฎีกับความรักมันใช้ด้วยกันไม่ได้นะ”
“ใช้ได้สิ ก็บอกแล้วไง ว่าคำตอบมันมีสองทางแค่นั้น คือรู้สึกกับไม่รู้สึก”
“หรือนอกจากนัทมันจะซื่อบื้อ จนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเธอกันแน่”
“ฮ่า ๆ ใช่ พรุ่งนี้วันเกิดนัทไม่ใช่เหรอปราง ลองหาเวลาอยู่ด้วยกัน แล้วก็สารภาพรักไปดูสิ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ฉันว่านัทก็จะไม่มีวันเกลียดเธออยู่ดี”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“แน่นอน พวกฉันเชียร์เธอสุดแรงเกินเลยปราง รีบบอกไปซะ ก่อนที่จะเสียนัทไปให้คนอื่น”
“อืม...โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะรวบรวมความกล้าแล้วสารภาพรักดู”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ คุณหนูปรางเพื่อนรัก!!”


ตกเย็น
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ภายในห้องประชุมขนาดกลางที่จุนักเรียนและครูได้ประมาณ 50 คน เหล่านักเรียนห้องมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ต่างล้อมวงร้องเพลงอำลาผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นแม่ครู ทุกคนต่างถือดอกกุหลาบเอาไว้ในมือ และมีหัวหน้าห้องที่เป็นตัวแทนถือพวงมาลัยมะลิสดกลิ่นหอมตลบอบอวลที่สั่งให้ทางร้านดอกไม้เข้ามาส่งช่วงเลิกเรียนพอดี ทำให้พวกมาลัยยังสดใหม่ 
ซึ่งกิจกรรมนี้ปราศจากนักเรียนที่เพิ่งก่อปัญหาไปเมื่อวันก่อน เพราะมีครูฝ่ายปกครองที่ลงโทษเธอมาร่วมกิจกรรมด้วย ตานจึงได้แต่ยืนร่วมกิจกรรมแบบไม่มีกระจิตกระใจจะให้ความร่วมมือใด ๆ เพราะเธอเป็นห่วงความรู้สึกลูกศิษย์อีกคน ทั้ง ๆ ที่อยู่ห้องเดียวกันแท้ ๆ เธอควรที่จะได้มาร่วมกิจกรรมอำลากับเพื่อน ๆ ไม่ใช่ถูกกักบริเวณที่เรือนเพาะชำเพียงลำพัง
“เด็กห้องครูตานนี่น่ารักกันจังเลยนะครับ” ครูหนุ่มหล่อเอ่ยชมพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ครูสาวเพียงแค่หันไปยิ้มให้เท่านั้น โดยไม่พูดอะไรกลับไป
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับครูตาน”
“เป็นห่วงณิชาภัทรน่ะค่ะ เขาควรจะได้มาร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่มีครูอยู่ด้วยตั้งหลายคน แต่ครูมลเขาก็ไม่ยอมเพราะกลัวจะเป็นปัญหาอีก”
“เด็กเกเรแบบนั้น ให้แยกตัวออกไปน่ะดีแล้วครับ”
“พูดแบบนี้ไม่ใจดำไปหน่อยเหรอคะครูคณิน ต้นเหตุไม่ได้เกิดจากตัวณิชาภัทรเลยด้วยซ้ำ แต่เขาถูกทำโทษอยู่คนเดียวแบบนี้ รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย”
“เด็กพวกนั้นก็แค่ใช้คำพูดส่อเสียด ไม่เคยลงไม้ลงมือเลย มันก็ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนนะครับ แต่ณิชาภัทรดันใจร้อนและใช้กำลัง ผมว่ามันก็สมควรแล้วล่ะ”
“ครูคณินคิดแบบนั้นเหรอคะ”
“ครับ” เมื่อตานได้ยินคำตอบที่ไร้ความเมตตาจากครูคณิน เธอถึงกับบีบมือตัวเองแน่นด้วยความไม่พอใจ คนเราจะตัดสินใครจากหน้าตาไม่ได้เลยจริง ๆ เธอจึงผละตัวออกจากกิจกรรมเพื่อหวังที่จะไปหาลูกศิษย์ของเธอ แต่ครูหนุ่มกลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน
“จะไปไหนครับครูตาน กิจกรรมยังไม่เสร็จเลยนะ”
“ตานจะไปดูแลเด็กเกเรค่ะ พอดีนัดกันเอาไว้ที่เรือนเพาะชำน่ะค่ะ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว”
“ปล่อยไปเถอะครับ ผมว่าณิชาภัทรหนีกลับบ้านไปแล้วมั้ง”
“ต่อให้จะหนีกลับบ้านแล้วก็ต้องไปดูเพื่อความแน่ใจค่ะ ถ้าหากว่าเขายังรออยู่ ตานคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นครูประจำชั้นที่แย่มากที่ปล่อยเขาเอาไว้คนเดียวแบบนั้น ขอตัวนะคะ”
“อ๋อ โอเคครับ งั้นผมไปเป็นเพื่อนนะ”
“ไม่ต้องค่ะ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ”
“อะ...คะ...ครูตานครับ!”
ครูสาวแกะมือของครูหนุ่มออกแล้วเดินออกมาโดยไม่สนใจอีกฝ่าย แต่เมื่อครูหนุ่มจะเดินตามเธอมา ก็ถูกบรรดาลูกศิษย์มาจูงมือเข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย   ทำให้ไม่สามารถตามออกมาได้


เมื่อตานเดินมาถึงเรือนเพาะชำ ประตูรั้วยังคงแง้มเอาไว้และไม่ได้ใส่กลอน เธอจึงมั่นใจว่านัทยังคงรออยู่ข้างใน เธอจึงรีบเดินเข้าไปด้วยความเป็นห่วง หวังว่าคงไม่น้อยใจนั่งหน้างออยู่คนเดียวหรอกมั้ง แต่เมื่อเธอเดินเข้าไปยังเรือนไม้        ก็พบว่าคนที่เธอเป็นห่วงนั้น กำลังนอนบนเก้าอี้สบายใจเฉิบ โดยการนำเก้าอี้สี่ตัวมาเรียงต่อกันนอนเช่นที่เคยทำ เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะปลุกให้ตื่น
ครูสาวมองไปที่โต๊ะนักเรียนเก่า เห็นกองสมุดสามเล่มและปากกาวางเอาไว้ คาดว่าเพิ่งทำการบ้านเสร็จจึงมานอนรอเธอก่อนกลับบ้าน ก่อนจะมาหยุดอยู่ข้างนัทที่นอนกอดอกหลับตาพริ้มอยู่บนเก้าอี้ โดยเธอปลดกระดุมเสื้อเม็ดแรกออก ปลายเน็กไทก็ห้อยออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ชายเสื้อที่ยับยู่ยี่ก็ปล่อยออกด้านนอก แขนเสื้อนักเรียนแขนยาวก็พับขึ้นมาถึงข้อศอก คงเตรียมพร้อมและอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว แต่ทำไมถึงยังรออยู่อีก
“นัท ตื่นได้แล้ว” ครูสาวพูดพลางกับเอื้อมมือไปเขย่าแขนของลูกศิษย์ที่ไม่สะทกสะท้านอะไร และยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่เช่นเดิม
“นัท! ทำไมถึงได้ปลุกยากแบบนี้เนี่ย นี่ไม่ใช่เวลามานอนนะ ตื่นได้แล้ว!!”
“เฮือก!”
เมื่อนัทสะดุ้งเฮือกขึ้น ดวงตาของเธอเบิกโพลงราวกับตกใจบางสิ่งบางอย่าง แถมเนื้อตัวยังสั่นเทาจนรู้สึกได้ นัทมีอาการแบบนี้อีกแล้ว ครูสาวเห็นแบบนั้นจึงพยายามกุมมือของนัทเอาไว้ แต่ดูเหมือนกับว่านัทจะยังไม่ได้สติ เพราะเธอนอนตาค้างจนน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาช้า ๆ ตานจึงรีบคว้าร่างแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้แน่น
“คุณหนู...พุดตาน...”
เสียงพูดที่เบาและสั่นเครือดังออกมาจากร่างในอ้อมกอดจนตานถึงกับชะงักและดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่ลูกศิษย์ตัวแสบเรียกเธอแบบนั้น เธอจึงรีบกลั้นใจเรียกแบบสุดเสียงหวังจะเรียกสติลูกศิษย์ของเธอ
“นัท!! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!!”
“เฮือก! ครู!! ช่วยด้วย ฮือ...หนูเกือบจมน้ำตายแล้ว ฮือ ๆ”
นัทสะดุ้งเฮือกอีกครั้งพร้อมกับปล่อยโฮออกมา ร่างกายของเธอสั่นเป็นเจ้าเข้า และกอดร่างครูสาวเอาไว้แน่น อาการแบบนี้คงไม่ได้โกหกแน่ ครูสาวจึงใช้มือขวาลูบศีรษะเธอช้า ๆ แล้วใช้แขนซ้ายกอดร่างเธอให้แน่นขึ้น
“ไม่เป็นไรนะนัท ครูอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ”
“ฮือ ๆ ครูช่วยหนูด้วย ฮือ...”
“ชู่ว...ไม่เป็นไรนะ มองหน้าครู”
ครูสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน พลางกับผละตัวออกแล้วประคองใบหน้าของนัทให้มองที่เธอ แต่นัทยังคงสะอึกสะอื้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาทำให้มองหน้าครูสาวได้ไม่ถนัดนัก นิ้วโป้งนุ่ม ๆ จึงค่อย ๆ ลูบเช็ดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มเนียนอย่างแผ่วเบา ไม่นานสติของนัทจึงค่อย ๆ กลับมา เธอมองหน้าครูสาวด้วยความดีใจถึงกับยิ้มทั้งน้ำตาและโผเข้าไปกอดอีกครั้ง
ครั้งนี้นัทซบลงที่หน้าอกของครูสาวเอาไว้ กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ สัมผัสที่อ่อนโยนที่กำลังลูบศีรษะเธออยู่ทำให้ความหวาดกลัวมลายหายไป อยากกอดเอาไว้แบบนี้ไม่ปล่อยเลยจริง ๆ
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ครูฟังได้ไหม”
“หนูฝันร้ายค่ะครู หนูฝันว่ากำลังจะจมน้ำ”
“อีกแล้วเหรอ ครั้งที่แล้วที่ครูเจอเธอหลับอยู่ที่นี่ เธอก็ฝันแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หนูฝันแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และมันก็เป็นช่วงเวลาเดิมด้วย คือระหว่างห้าโมงถึงหกโมงเย็น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
“อะไรนะ? ฝันว่ายังไง จำรายละเอียดได้ไหม”
“จำอะไรไม่ได้เลยค่ะ นอกจากว่ากำลังจมน้ำ มันเหมือนจริงมากเลยนะครู หนูหายใจไม่ออก หนูพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำแต่ก็ทำไม่ได้ จนหนูหมดแรงแล้วค่อย ๆ จมลงเรื่อย ๆ มันหนาวและชาไปทั้งตัวเลย เหมือนหนูกำลังจะขาดใจตายจริง ๆ”
'มะ...ไม่จริง...นี่มันเป็นช่วงเวลาที่พี่สิบทิศจมน้ำเลยนี่ แถมเมื่อกี้ยังเพ้อเรียกชื่อเราอีก นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย'
ตานแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่ในเมื่อเธออยู่ในเหตุการณ์ที่ลูกศิษย์ของเธอตื่นตระหนกและเพ้อว่ากำลังจะจมน้ำถึงสองครั้ง ยิ่งการันตีว่าเรื่องที่นัทพูดคือเรื่องจริง ไม่ได้สร้างหรือเติมแต่งเรื่องแต่อย่างใด
“สิบทิศ...เธอเคยได้ยินชื่อนี้หรือเปล่านัท”