ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 13 ความจริง

“สิบทิศ?...ชื่อใครเหรอคะ หนูไม่เคยได้ยิน”
นัทถามพลางกับเอียงคอด้วยความสงสัย ครูสาวจึงนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งด้านซ้ายที่นัทนั่งอยู่ แล้วจู่ ๆ เธอก็เงียบไป และดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศรอบข้างก็เงียบสงัด มีเพียงแค่เสียงพัดลมเพดานที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น แต่เมื่อนัทกำลังจะอ้าปากถามอีกครั้ง เธอก็ต้องชะงักเพราะครูสาวถอนหายใจเฮือกพร้อมกับหันหน้ามามองเธอ
'นี่แกคาดหวังอะไรอยู่เหรอตาน...ต่อให้พี่สิบทิศมาเกิดเป็นนัทจริง ๆ แต่แกก็รักเขาไม่ได้อยู่ดี...'
แววตาที่มองมานั้นคล้ายคนที่มีเรื่องทุกข์อยู่ในใจ ไม่เหมือนกับทุกครั้ง จากครูสาวที่ดูสดใสร่าเริง ตอนนี้กลับนั่งเงียบ นัทจึงเอื้อมมือไปกุมมือของเธอเอาไว้ รอยยิ้มจึงค่อย ๆ เผยออกช้า ๆ แต่นัทก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่กำลังมีความสุข
“ครูมีอะไรไม่สบายใจระบายกับหนูได้นะคะ ถึงหนูจะเป็นเด็ก แต่หนูก็รับฟังครูได้นะ”
“ไม่เป็นไร แล้วเธอดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“หนูหายแล้วค่ะ เมื่อกี้แค่ตกใจ ขอบคุณนะคะที่ช่วยปลอบหนู”
“อืม ครั้งหน้าถ้าครูมาช้าเกินสิบห้านาทีให้เธอกลับไปเลยนะ ไม่ต้องรอแล้ว ครูกลัวเธอจะเป็นแบบวันนี้อีก”
“ไม่ค่ะ หนูจะรอจนกว่าครูจะมา ถ้าครูหายไป หนูก็จะไปตามหาจนกว่าจะได้เจอครู”
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นจากปากลูกศิษย์ ครูสาวถึงกับอึ้ง หากเป็นคนอื่นที่ดื้อดึงแบบนี้ เธอคงด่าไปแล้ว แต่กับนักเรียนคนนี้เธอกลับรู้สึกอุ่นใจจนอยากจะดึงเข้ามากอด แต่เธอก็ทำได้แค่ยิ้มและพยายามห้ามใจตัวเองเอาไว้
“ขอบคุณนะนัท”
“ขอบคุณเรื่องอะไรคะ”
“ช่างมันเถอะ เรากลับกันไหม เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วงนะ”
“ครูโอเคไหมคะ”
“ครูโอเค เธอนั่นแหละ โอเคไหม”
“โอเคค่ะ กลับกัน”
นัทพูดจบเธอก็ยืนขึ้นพร้อมกับยกแขนบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาที จังหวะที่เธอจะหันกลับนั้น ทำเธอถึงกับสะดุ้ง เพราะครูสาวลุกขึ้นพรวดมายืนอยู่ต่อหน้าโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะเอื้อมมือมาติดกระดุมเม็ดแรก ตามด้วยจัดปกเสื้อนักเรียนให้เข้าที่
“ติดกระดุมให้มันดี ๆ หน่อยสิ”
“เอ่อ...ก็...จะกลับบ้านแล้วนี่คะ”
“แต่ตอนนี้ยังอยู่ในรั้วโรงเรียนอยู่นะ”
“ตอนทำสวนมันร้อนนะคะ”
“เข้าใจ ขอแค่ติดกระดุมก่อนกลับก็พอ กลับบ้านค่ำ ๆ คนเดียวมันอันตรายนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่นัทจะเดินแยกไปเก็บสมุดใส่ในกระเป๋าสะพายข้างสีดำ ส่วนครูสาวเดินไปปิดพัดลมเพดานที่สวิตช์มุมห้อง เธอหันมามองนัทด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก ความสับสนอลหม่านในใจกับความคิดที่ตีรวนสวนทางกัน ใจหนึ่งก็อยากให้เป็นคนที่เธอรักมาเกิดใหม่ อีกใจหนึ่งเธอก็พยายามปฏิเสธหัวใจตัวเอง เพราะสถานะที่ต่างกันแบบนี้ เธอจะรักกันได้อย่างไร…


“ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง...”
สายน้ำที่รินไหลผ่านที่กรวดน้ำทองเหลืองสู่ภาชนะรองรับ พร้อมกับการตั้งจิตอุทิศผลบุญถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งตานและมะลิต่างตั้งจิตอธิษฐานด้วยความตั้งใจ ก่อนจะประนมมือรับพรเมื่อสิ้นสุดบทสวด
“เอาน้ำไปเทใส่ต้นไม้กันค่ะคุณหนู”
“ค่ะป้ามะลิ แล้วเมื่อไหร่น้องพิกุลจะมาคะ”
“น่าจะรออยู่ข้างนอกนะคะ คงกลัวลูกร้องรบกวนคนอื่น ๆ น่ะค่ะ”
“อ๋อ นั่นสินะคะ งั้นเราออกไปข้างนอกกันค่ะ”
“ค่ะ”


เมื่อตานและมะลิกรวดน้ำลงที่โคนต้นไม้เสร็จแล้วนั้น เธอจึงยืนขึ้นพลางกับก้มลงปัดผ้าถุงสีดำที่เปื้อนฝุ่น สักพักก็มีมือเล็ก ๆ มาจับที่ผ้าถุง เธอจึงหันไปมองก็พบกับเด็กผู้หญิงวัยสามขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู สวมเสื้อคอกลมสีขาว และผ้าถุงผืนเล็กเหมือนกับที่เธอใส่อยู่ราวกับเป็นแฝดในเวอร์ชั่นย่อส่วน เธอจึงย่อตัวลงแล้วลูบศีรษะเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู
“อุ๊ย...น่ารักจังเลย เราแต่งตัวเหมือนกันเลยนะเนี่ย”
“ป้า ป้า”
เด็กหญิงพูดเสียงเจื้อยแจ้ว พร้อมกับเอื้อมสองมือคล้องคอของเธอเอาไว้ราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน ตานถึงกับหลุดขำด้วยความเอ็นดูและโอบกอดเด็กหญิงแบบงง ๆ มะลิเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามด้วยความเอ็นดูเช่นกัน
“หลานคงสัมผัสได้มั้งคะ ว่านี่คือป้าของแก”
“คะ? อย่าบอกนะว่านี่คือ...”
“มาหายายเร็วคนเก่ง”
“พี่ตาน!!”
เมื่อเด็กหญิงเดินเต๊าะแต๊ะออกจากอ้อมกอดไปหามะลิที่อ้าแขนรอรับ พร้อมกับที่ได้ยินเสียงเรียก ตานถึงกับหันขวับและลุกขึ้นพรวด หญิงสาวที่หน้าตาดีไม่แพ้เธอวิ่งเข้ามาสวมกอดเธอด้วยความดีใจถึงกับต้องกระโดดโลดเต้นกันอยู่สองคน
“น้องพิกุล!! ฮือ...คิดถึงจังเลย”
“ฮือ ๆ หนูก็คิดถึงพี่ตาน คิดถึงมาก ๆ เลยค่ะ ในที่สุดก็ได้เจอสักที พี่ตานเป็นยังไงบ้าง พี่ตานไปเป็นครูชนบทมาลำบากไหมคะ แล้วโรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้าง ทำไมพี่ตานไม่กลับไปอยู่บ้าน ทำไมไม่ไปหาหนูบ้าง หนูคิดถึงพี่ตานมากเลยนะ โอ๊ยดีใจมากเลย พี่ตานยังสวยเหมือนเดิมเลยอะ ไม่สิ ต้องบอกว่าสวยขึ้นมากเลยนะเนี่ย”
หญิงสาวยิงคำถามใส่แบบชุดใหญ่พร้อมกับเอื้อมมือมาจับทั้งใบหน้า ทั้งลำตัว และแขนด้วยความตื่นเต้น จนลนไปหมด ตานก็ถึงกับหลุดขำพรืดแล้วจับบ่าทั้งสองข้างของเธอเขย่าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“น้องพิกุลใจเย็น ๆ พี่ต้องตอบคำถามไหนก่อนเนี่ย”
“ก็มันดีใจนี่คะ เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ ตั้งแต่พี่ตานไปเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ได้เจอกันแค่ตอนที่พี่ตานแวะมาหาพี่เกตอะ แต่พี่ตานไม่เคยมาหาหนูเลย แม้แต่วันแต่งงานหนูพี่ก็ไม่มา พี่ไม่เคยมาเยี่ยมบ้านเลย พอกลับมาที่นี่ทั้งที พี่ก็ยังไม่กลับบ้านอีกพี่จะใจร้ายเกินไปแล้วนะ”
“ฮึฮึม! พิกุล”
“อ่า...ขอโทษค่ะพี่ตาน”
เมื่อคนเป็นแม่เรียกสติ พิกุลจึงรีบสงบปากสงบคำ ก่อนจะย่อตัวลงรับลูกสาวมาอุ้มเอาไว้ด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก เพราะรู้สึกผิดที่พูดเยอะเกินไปแล้ว แต่ตานก็ยิ้มและส่ายศีรษะไม่ถือสาคนเป็นน้อง
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ลูกสาวชื่ออะไรเนี่ย น่ารักจัง”
“ใบหม่อนค่ะ ตอบคุณป้าเร็ว หนูชื่อใบหม่อนค่ะ”
“บายหม่อง” เสียงตอบแบบเล็กใส ทำเอาหญิงรุ่นแม่และรุ่นยายต่างขำพรืดด้วยความเอ็นดู ตานจึงยื่นมือไปรอรับเพื่อจะอุ้ม เด็กหญิงก็ไม่รอช้าเข้ามาสวมกอดเธอทันที
“ฮึ๊บ! ตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย ถึงว่าล่ะ ทำไมอยู่ ๆ ก็มากอดกันเฉยเลย รู้ว่าเป็นป้าใช่ไหมคะ”
“เด็กคงเซนต์แรงน่ะค่ะพี่ตาน”
“นั่นสิเนอะ แล้วสามีไม่มาด้วยเหรอพิกุล”
“ไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ”
“อ๋อ แอบงอนอยู่นะเนี่ย ทำไมมีสามีก่อนพี่ได้อะ”
“ฮ่า ๆ พี่ตานก็ เราไปที่เก็บกระดูกพี่สิบทิศกันไหมคะ”
“อืม ปะ”
“ใบหม่อนมาอยู่กับแม่มา เดี๋ยวคุณป้าจะเมื่อย”
“ไม่เป็นไร พี่อยากอุ้มหลานน่ะ ให้แกอยู่กับพี่นี่แหละ”
“อ๋อ โอเคค่ะ งั้นเราไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสามเดินไปยังเจดีย์เก็บอัฐิที่เรียงรายภายในบริเวณวัด ก็ได้พบกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำมาดเข้มกำลังวางมาลัยมะลิสดที่ฐานเจดีย์ และเมื่อเขาหันหลังกลับมาทำเอาตานถึงกับช็อคเมื่อเด็กหญิงที่เธอกำลังอุ้มอยู่ตบมือแปะ ๆ ราวกับดีใจที่ได้เห็นเขา พร้อมกับตะโกนเรียกชายคนนั้นดังลั่น
“ป้อ! ป้อ!”
“ครับลูก”
“พี่! ไหนบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำไง ทำไมมาก่อนล่ะ”
“ฮะ!! พ่อของน้องใบหม่อน คือพี่สิงห์เหรอ!?”


เมื่อรถเก๋งราคาแพงมาจอดที่หน้าบ้านหรู ปรางจึงเดินจูงมือนัทเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น ซึ่งภายในบ้านมีการตกแต่งต้อนรับเจ้าของวันเกิดด้วยลูกโป่ง และริบบิ้นห้อยระโยงระยางจนนัทถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“โหปราง ไม่ต้องทำให้นัทแบบนี้ทุกปีก็ได้นะ นัทเกรงใจ”
“ไม่ได้สิ วันเกิดคนสำคัญทั้งที เราก็อยากให้ความสำคัญให้มาก ๆ ไง”
“ขอบคุณนะปราง ที่ทำเพื่อนัทขนาดนี้”
“ไงตัวแสบ สุขสันต์วันเกิดนะลูก”
“เอ้าแม่ พ่อ สวัสดีค่ะ”
เมื่อพ่อและแม่ของปรางเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ นัทจึงหันไปยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม ก่อนที่ทั้งสองจะยื่นกล่องของขวัญให้ นัทจึงรับมาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะคะ”
“ได้ของขวัญแล้วก็เป็นเด็กดีนะเข้าใจไหม อย่าให้แม่ต้องตามแก้ปัญหาให้ทุกปีสิ”
“หนูขอโทษนะคะ แล้วพี่เขาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เจ็บหนักอยู่ พ่อกับแม่เขาก็บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่แม่ก็จัดการให้แล้วแหละ ไม่ต้องห่วง”
“เขาเรียกร้องค่าเสียหายแพงมากเลย ทั้ง ๆ ที่ลูกตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ ๆ ทำไมคุณแม่ถึงยอมเขาก็ไม่รู้”
“เอาน่าน้องปราง เรื่องมันจบด้วยเงินน่ะดีแล้ว ดีกว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมมันจะแย่เอานะ” คนเป็นพ่อตอบ
“หนูขอโทษจริง ๆ นะคะที่สร้างปัญหาให้ อันที่จริงแม่ไม่ต้องช่วยหนูก็ได้ หนูเป็นคนผิดเอง หนูก็ควรได้รับผิดกับสิ่งที่หนูทำ”
“อย่าโทษตัวเองเลยนัท ถ้าจะผิดมันก็ผิดกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ แต่ยังไงแม่ก็ขอบคุณนัทนะที่ปกป้องน้องปราง แต่ก็พยายามอย่าให้มันเกิดเรื่องแบบนี้อีก ครั้งหน้าเขาคงไม่ยอมแล้ว โดยเฉพาะครูดวงกมล”
“เอาล่ะเด็ก ๆ วันนี้วันเกิดทั้งที อย่ามาคุยเรื่องซีเรียสกันเลยนะ ขึ้นไปเล่นบนห้องน้องปรางกันไป เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเตรียมขนมอร่อย ๆ ไว้รอ”
“แต่ว่า...”
“ไปกันเถอะนัท ขึ้นไปบนห้องเรากัน อย่าคิดมากเลยนะ”
“อ่า...อืม” ถึงแม้จะรู้สึกผิดที่เป็นคนสร้างปัญหา แต่ครอบครัวของปรางกลับรักและคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ ยิ่งทำให้นัทรู้สึกผิดที่มาเป็นเพื่อนกับคุณหนูแบบนี้ แต่เธอก็ทำได้แค่เดินตามแผ่นหลังของเพื่อนสาวที่เดินจูงมือเธอขึ้นไปบนห้องอย่างว่าง่าย
“ปราง...”
“ว่าไงนัท”
“ขอโทษนะ ที่เป็นตัวปัญหา ทั้งปราง ทั้งพ่อแม่ของปรางก็ต้องคอยแก้ปัญหาให้ตลอดแบบนี้ นัทรู้สึกว่านัทไม่ควรเป็นเพื่อนปรางเลยจริง ๆ”
เมื่อปรางได้ยินแบบนั้น เธอไม่ตอบอะไรกลับมาและยังจูงมือนัทเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนบนชั้น 2 ที่มีป้ายแขวนเอาไว้ว่า ‘ห้องน้องปราง ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต’ เธอจึงเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูแล้วพานัทเดินเข้าไปในห้อง ทันทีที่พ้นประตูเข้าไปได้ ปรางเข้ามาสวมกอดนัทจนเซถอยหลังไปพร้อม ๆ กับที่ประตูปิดดังปัง
ปัง!
“อะ...อะไรเหรอปราง ทำไมอยู่ดี ๆ ก็มากอดนัทล่ะ”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะนัท นัทไม่ใช่ตัวปัญหา แต่นัทคือคนที่ดีที่สุดสำหรับเราเลยนะ”
“ขอบคุณนะปราง ที่เห็นนัทเป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด”
“ไม่...”
“หือ? ไม่? หมายความว่าไงอะ”
“อ๊ะ! ไม่มีอะไร สุขสันต์วันเกิดนะนัท เดี๋ยวนัทรอเราบนห้องนะ เราจะลงไปช่วยแม่กับพ่อเตรียมอาหาร เสร็จแล้วจะขึ้นมาเรียก”
“นัทไปช่วยดีกว่านะ”
“ไม่ต้อง เจ้าของวันเกิดน่ะรออยู่นี่แหละ ห้ามค้นอะไรในห้องเรานะ ไม่งั้นโดนแน่”
“จะบ้าเหรอ นัทจะค้นอะไรเล่า”
“ฮิฮิ รู้หรอกน่า ว่าไม่ใช่คนแบบนั้น เดี๋ยวมานะนัท”
“อะอืม”
นัทตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ปรางจึงรีบเปิดประตูออกไปทันที ท่าทีของเธอดูลุกลนแปลก ๆ แต่นัทก็ทำได้แค่ยักไหล่ขึ้นแบบงง ๆ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งห้องนอนนี้ดูสะอาดสะอ้าน มีตุ๊กตาสีขาวและสีฟ้าวางเรียงรายอ้อมเตียง ผนังห้องสีขาวรับกับผ้าม่านสีฟ้าดูน่ารักสบายตาสมกับเป็นห้องนอนของคุณหนูเสียจริง
“เฮ้อ...กลิ่นคุณหนูนี่หอมจริง ๆ คิดถึงกลิ่นครูตานชะมัด”
นัทพูดพลางกับสอดมือเข้าไปใต้หมอนนุ่ม ๆ แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อมือของเธอสัมผัสไปโดนของแข็งบางอย่าง เธอจึงจับออกมาก็พบว่าเป็นหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งที่มีภาพหน้าปกเป็นเด็กผู้หญิงสองคนสวมชุดนักเรียนกำลังจูบกัน นัทเห็นแบบนั้นถึงกับอ้าปากเหวอด้วยความตกใจปนสงสัย ว่าหนังสือแบบนี้มาอยู่ที่ห้องนอนของคุณหนูปรางได้อย่างไร ก่อนจะเปิดอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ทำไมปรางอ่านการ์ตูนโป๊ผู้หญิงวะเนี่ย!!”
เนื้อหาในการ์ตูนที่เห็นทุกอณูและท่วงท่ารักทั้งที่เป็นสีขาวดำ แต่ก็รับรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร แทนที่นัทจะรีบปิดหนีและวางหนังสือการ์ตูนไว้ที่เดิมแต่เธอกลับเปิดอ่านด้วยความตื่นเต้น หัวใจที่กระหน่ำเต้นตึกตัก เลือดก็สูบฉีดอย่างดีจนใบหน้าร้อนผ่าวจนขึ้นสี หรือนี่จะคือแผนการของคุณหนูปรางกันแน่...


“นี่มันอะไรกันคะ ตานงงไปหมดแล้ว พี่สิงห์กับน้องพิกุล...ตั้งแต่เมื่อไหร่!?” ตานพูดพลางกับเอามือนวดที่ขมับตัวเอง เพราะถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อีกเรื่องที่ทำเธอตั้งรับไม่ทัน สิงห์เห็นแบบนั้นก็ได้แต่นั่งอมยิ้ม ทั้งสองแยกมานั่งคุยกันที่ม้านั่งที่ทางวัดจัดเอาไว้พลางกับมองดูเด็กหญิงวิ่งไปหาแม่ที วิ่งไปหายายทีด้วยความเอ็นดู
“พี่กับพิกุลคบกันตอนที่น้องตานไปเรียนมหาลัยน่ะ”
“เหรอคะ เฮ้อ...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ป้ามะลิบอกว่าสามีของน้องพิกุลคือคนที่ตานรู้จัก ก็ไม่คิดว่าจะใกล้ตัวขนาดนี้ แล้วไหงไปคบกันได้คะเนี่ย จำไม่ได้เหรอคะว่าด่าพี่สิบทิศกับตานไปว่ายังไง”
“ฮ่า ๆ เฮ้อ...น่าอายจัง ด่าอะไรไปเหมือนเข้าตัวเองหมดเลยเนอะ”
“ไม่อยากจะเชื่อว่ากาลเวลาทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ นี่ตานกำลังฝันอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“นี่น้องพุดตาน ใจเย็น ๆ พี่เปลี่ยนไปแล้วนะครับ เห็นน้องตกใจขนาดนี้ทำพี่เครียดเลยนะว่ามันเป็นเรื่องดีไหมเนี่ยที่พี่แต่งงานกับน้องพิกุล”
“ดีสิคะ เมื่อก่อนพี่เป็นคนชอบดูถูกคน แต่ตอนนี้พี่กลับไม่ถือยศ ไม่ถือตัว ตานภูมิใจในตัวพี่นะคะพี่สิงห์”
“ขอบคุณนะครับ เอาจริง ๆ น้องพิกุลทำให้พี่เปลี่ยนความคิดน่ะ ความดีทำให้คนเปลี่ยนใจได้จริง ๆ”
“ได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจค่ะ ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะพี่สิงห์”
“ขอบคุณครับ เฮ้อ...สิบหกปีแล้วเนอะ ที่สิบทิศจากพวกเราไป น่าเสียดายที่มันไม่ได้เห็นหน้าหลาน ไม่ได้เห็นพี่เป็นคนดีขึ้น”
“พี่สิบทิศคงกำลังมองพี่จากที่ไหนสักแห่งล่ะมั้งคะ คงภูมิใจมากแน่ ๆ ที่เพื่อนรักของเขาประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและความรักแบบนี้ พี่สิงห์โชคดีจริง ๆ ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ แล้วตอนนี้พี่สิงห์อยู่ที่บ้านของตานเหรอคะ เห็นน้องพิกุลโทรตามป้ามะลิกลับบ้านบ่อย ๆ”
“ใช่ครับ พอดีคุณพ่อของน้องพุดตานท่านเหงาน่ะ เลยไม่อยากให้พิกุลย้ายไปอยู่บ้านพี่ พี่เลยได้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่บ้านน้องพุดตานแทน แต่พี่ก็พาหลานไปเจอปู่กับย่าทุกอาทิตย์นะ พวกท่านก็เอ็นดูหลานกันใหญ่ และไม่ได้มองว่าพิกุลเป็นคนต่ำต้อยด้วย”
“โชคดีจังเลยค่ะที่คุณอาเข้าใจ ทุกอย่างมันลงเอยด้วยดีแบบนี้ ตานก็มีความสุขและยินดีด้วยจริง ๆ”
“ก็ยังเหลือเรื่องเดียวนะครับ ที่ยังไม่ลงเอยด้วยดี”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“พิกุลเล่าให้พี่ฟังว่า น้องพุดตานไม่คุยกับคุณลุงเลยตั้งแต่สิบทิศเสีย แถมยังแยกไปอยู่เรือนเล็กกับป้ามะลิอีก พอเข้ามหาลัยก็ไม่กลับบ้านอีกเลย คุณลุงท่านเหงาและคิดถึงน้องพุดตานมากนะครับ จะไม่กลับไปเยี่ยมท่านหน่อยเหรอ ให้อภัยท่านเถอะนะครับ”
“ตานพยายามนะพี่สิงห์ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม แต่ตานเองก็ยังติดอยู่กับความรู้สึกผิดจนออกไม่ได้เหมือนกัน ถ้าตานไม่ยืนกรานว่ารักพี่สิบทิศ พ่อก็คงไม่ผิดหวังในตัวตานแล้วขัดขวางความรักของเราและพี่สิบทิศก็คงไม่ฆ่าตัวตายเพียงเพราะผิดหวัง ถ้าตานยังให้อภัยตัวเองไม่ได้ตานจะให้อภัยพ่อได้ยังไง ไหนจะเรื่องพี่สิบทิศอีก เฮ้อ...ความคิดแย่ ๆ แบบนี้มันตีกันและทำร้ายตานมาตลอดเลยค่ะพี่สิงห์”
“ก่อนอื่นน้องพุดตานต้องแยกเรื่องพวกนี้ออกจากกันก่อนนะ หนึ่ง...น้องพุดตานไม่ผิดที่ยืนกรานว่ารักสิบทิศ เรื่องความรัก ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้หรอกนะครับ สอง...ที่คุณลุงขัดขวางเพราะท่านรักและเป็นห่วงน้องพุดตาน อยากให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี ๆ มีฐานะ ท่านเองก็คงไม่คิดว่าสิบทิศมันจะตัดสินใจแบบนั้น
และสาม...เพราะสิบทิศมันไม่อยากเป็นตัวปัญหาให้น้องพุดตานทะเลาะกับคุณลุงซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเลยเลือกจากไปให้ทุกอย่างจบ ต่างคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง และทำเพื่อคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้น เพราะงั้นอย่าโทษใคร อย่าจมกับความโกรธแค้น อย่าติดอยู่กับบ่วงของความรู้สึกผิด แล้วน้องพุดตานจะรู้ว่าโลกมันไม่ได้โหดร้ายกับเราขนาดนั้น เชื่อพี่เถอะนะครับ ไม่สิ...เชื่อในตัวเองเถอะนะครับ ว่าน้องสามารถให้อภัยทุกคนได้แม้กระทั่งตัวของน้องเอง แล้วน้องพุดตานจะมีความสุข”
“ขอบคุณนะคะพี่สิงห์...”


“นัท!! เราบอกว่าอย่าค้นห้องเราไง!!”
เมื่อปรางเปิดประตูห้องเข้ามาพบว่านัทกำลังก้มอ่านหนังสือการ์ตูนต้องห้ามของเธออยู่ เธอถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งมาหวังจะแย่งหนังสือคืน แต่นัทกลับพลิกตัวหลบทำให้ปรางพลาดท่าล้มทับตัวนัทที่นอนหงายอยู่บนเตียง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่ปรางจะรีบคว้าหนังสือแล้วผละตัวออกอย่างรวดเร็วแล้วฟาดแขนของนัทรัว ๆ
“นัท!! คนบ้า!! บอกว่าอย่าค้นห้องเราไง ทำไมเป็นคนแบบนี้ฮะ!!”
“โอ๊ย ๆ ๆ เดี๋ยว!! ปราง!! นัทเจ็บนะ”
“คนบ้า! คนนิสัยไม่ดี!”
“หยุดเลยนะ! บอกนัทมาซะดี ๆ ทำไมปรางอ่านหนังสือแบบนี้”
“ว๊าย!”
เมื่อนัทคว้าเอวของปรางได้ เธอก็จับพลิกตัวปรางให้นอนลง พร้อมกับลุกมานั่งคร่อมตัวและจับมือทั้งสองข้างกดเอาไว้กับฟูกนุ่ม ทำเอาปรางถึงกับใจเต้นตึกตักแต่เธอก็ไม่อาจต้านแรงกดของนัทได้ จึงได้แต่นอนหอบแฮกอยู่อย่างนั้น
“นัท! ออกไปนะ!!”
“บอกมาก่อน ทำไมถึงอ่านหนังสือแบบนี้”
“ปะ...เปล่านะ หนังสือนี่แม่ยึดมาจากพวกเด็กเกเรอะ”
“แล้วมันมาอยู่ห้องปรางได้ไง”
“กะ...กะ...ก็...มันคงตกอยู่ในรถ หระ...เราก็หยิบ ๆ มานึกว่าเป็นพวกหนังสือเรียนน่ะ พะ...พะ...เพราะเราชอบเอาหนังสือเรียนไว้บนเบาะรถไง”
“โกหก!! ปรางเป็นเพื่อนนัทนะ ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาปรางโกหกปรางจะพูดติด ๆ ขัด ๆ อะ”
“คะ...คือว่า...”
“ปรางชอบผู้หญิงเหรอ”
สิ้นคำถามของนัท ปรางถึงกับชะงักและอ้าปากเหวอ ไม่คิดว่านัทจะยิงคำถามที่ตรงประเด็นจนฆ่าเธอให้ตายได้ตั้งแต่นัดแรกแบบนี้ เมื่อนัทเห็นปรางแน่นิ่งไป เธอจึงลงจากตัวพลางกับจ้องมองเพื่อนรักไม่ละสายตา
“ถ้าเราบอกว่าใช่...นัทจะรังเกียจเราไหม”
“ทำไมต้องรังเกียจอะ ปรางเป็นเพื่อนนัทนะ”
“นัทโอเคเหรอ ถ้าเราชอบผู้หญิง”
“โอเคสิ นัทรู้สึกอุ่นใจมากกว่า ที่ปรางก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน”
“ฮะ!? อะ...อะไรนะ”
“นัทอยากคุยเรื่องนี้กับปรางอยู่เหมือนกัน เฮ้อ...พอรู้ว่าปรางก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน นัทก็โล่งใจ เรานี่มันเพื่อนแท้กันจริง ๆ เลยเนอะว่าไหม”
คำตอบของนัท ทำเอาปรางถึงกับจุกจนชาไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่คนที่เธอแอบรักมานานก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน หรือจะเสียใจที่อีกฝ่ายเห็นเธอเป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น ปรางจึงค่อย ๆ ยันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะพยายามตั้งสติแล้วหันไปหานัทช้า ๆ
“นี่นัทรู้สึกชอบใครแล้วเหรอ”
“อืม ตอนแรกนัทก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร แต่ตอนนี้นัทมั่นใจแล้วล่ะ ว่านัทรักเขา”
“รักเลยเหรอ”
“อืม...นัทรักเขา”
“คนคนนั้น...คือใครเหรอนัท”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เด็ก ๆ ลงไปกินข้าวกันได้แล้วลูก!!”
สิ้นเสียงเรียกจากด้านหลังประตู นัทก็ดีดตัวออกจากเตียงด้วยความดีใจ ก่อนจะจูงมือเพื่อนรักเดินออกไปข้างนอกโดยไม่รู้เลยว่าคนที่เดินตามแรงจูงนั้นพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บจนแทบจะไม่มีแรงเดินแล้ว...


เมื่อรถเก๋งสีขาวมาจอดที่หน้าบ้านสวนหลังเล็ก ที่มีป้ายหน้าบ้านระบุชื่อเจ้าของบ้านว่า 'นายประครอง ถือสัจจะ' ตานบีบมือที่กำลังสั่นเทาพร้อมกับพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติและรวบรวมความกล้าที่จะต้องเผชิญกับเรื่องที่เธออยากรู้มาตลอด คนเป็นแม่เลี้ยงจึงหันมามองเธอด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณหนู”
“ตานกลัวค่ะ กลัวว่าถ้ารู้ความจริง ตานจะรับไหวหรือเปล่า แล้วตานจะทำยังไงต่อดี”
“ความจริงอะไรคะ”
“เดี๋ยวเข้าไปข้างในป้าก็รู้เองค่ะ ช่วยเล่นตามน้ำด้วยนะคะ”
“คะ?”
“ตานจะบอกแม่ของนักเรียนว่าป้าเป็นครู ป้าก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่ฟังเรื่องทุกอย่างไปพร้อม ๆ ตานก็พอ”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่มะลิก็ต้องพยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลงจากรถเพื่อตรงเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้าน ซึ่งใบหน้าของเธอไม่ต่างจากนัทมากนัก เรียกได้ว่าลูกสาวเหมือนแม่ราวกับพิมพ์เดียวกัน เมื่อตานยกมือไหว้และแนะนำตัว เธอก็พุ่งเข้ามาสัมผัสตามตัวด้วยความตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะ คุณแม่ของณิชาภัทรใช่ไหมคะ หนูชื่อกานต์ธีรา เป็นคุณครูประจำชั้นคนใหม่ของณิชาภัทรนะคะ”
“อุ๊ยตายแล้ว! คุณครูทำไมสวยแบบนี้คะเนี่ย โอ้โห!! ตายจริง ผิวก็ดี สวยก็สวย นัทคงดีใจแย่เลยนะคะที่มีครูประจำชั้นสวยขนาดนี้”
“แฮะ ๆ ขอบคุณค่ะคุณแม่ นี่ครูมะลินะคะ สอนวิชาภาษาไทยค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณครู เชิญค่ะ เชิญเข้าบ้านเลยค่ะ แม่เตรียมอาหารไว้รอแล้ว”
“เอ่อ...คุณแม่คะ แล้ว...ณิชาภัทรล่ะคะ”
“อ๋อ เพื่อนเขามารับไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ พอดีวันนี้เป็นวันเกิดเขาน่ะค่ะ เพื่อนเขาจะมารับไปบ้านทุกปี”
“น้องปรางเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เข้าบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่เอาน้ำให้ดื่ม”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งตานและมะลิต่างเดินเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม เพราะเจ้าบ้านต้อนรับด้วยความอบอุ่นและดูตื่นเต้นขนาดนี้ ตานมองสำรวจรอบ ๆ บ้านของลูกศิษย์ ที่บรรยากาศร่มรื่นสมกับที่เธอชื่นชอบและรักต้นไม้เสียจริง ก่อนที่ทั้งสองจะถูกเชิญไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวขนาดเล็ก ที่มีอาหารจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแก้วน้ำที่ใส่ดอกมะลิเพิ่มความหอมมาเสิร์ฟให้แบบเย็น ๆ 
“ใส่ดอกมะลิด้วยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เพิ่มความหอม นี่ถ้านัทอยู่น่ะด่าแม่ตายเลยนะคะเนี่ย หวงดอกไม้มากจนเด็ดไม่ได้เลย”
“ฮ่า ๆ นั่นสินะคะ ก็ทราบมาบ้างเหมือนกันค่ะ”
“แม่ขอถามได้ไหมคะ คุณครูอายุเท่าไหร่คะเนี่ย ทำไมดูสาวจัง”
“อ๋อ ยี่สิบเก้าค่ะ”
“ถึงว่าล่ะ หน้าเด็กมากเลย แถมผิวก็ดีอีก ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนนัทแม่ก็เชื่อนะเนี่ย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่”
“ขนาดนั้นแหละค่ะ งั้นเราทานข้าวไปคุยไปนะคะ จะได้ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วคุณพ่อไปทำงานเหรอคะ”
“พ่อของนัทเขาเสียตั้งแต่นัทอยู่ ป.4 แล้วค่ะ”
“อ๊ะ! ขอโทษนะคะคุณแม่ หนูไม่ทราบมาก่อนเลย ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณครู ไม่ต้องคิดมาก นี่ค่ะปลานิลนึ่งมะนาว แม่ทำเองเลยนะคะ”
หญิงวัยกลางคนพูดพลางกับตักปลานิลนึ่งมะนาวเนื้อสีขาวแบบสุกฉ่ำ ๆ กลิ่นหอมฉุยไปใส่จานครูทั้งสอง ตานจึงรีบยกมือไหว้ขอบคุณทันที
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...คุณแม่คะ ระหว่างนี้หนูขออนุญาตสอบถามเรื่องของนัทไปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ อยากถามอะไรถามได้หมดเลยค่ะ กินไปคุยไปได้เลยค่ะ”
“คือว่า...ตอนอยู่บ้าน นัทมีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ ไหมคะ”
“แปลก? แปลกยังไงคะ ก็ปกตินะคะคุณครู”
“อย่างเช่น...ฝันแปลก ๆ อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ”
“ครูรู้ได้ยังไงคะเนี่ย!? นัทแอบหลับในห้องเหรอคะ”
“ปะเปล่าค่ะ พอดีนัทเขาชอบงีบหลับตอนปลูกต้นไม้เสร็จน่ะค่ะ แล้วเขาบอกหนูว่าเขาฝันว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำในช่วงเวลาเดิม ๆ บ่อย ๆ แถมเขายังดูตื่นตระหนกจนหนูอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวว่ามันจะส่งผลกับสุขภาพของเขาน่ะค่ะ”
เมื่อครูสาวพูดแบบนั้น ทั้งแม่ของนัทและมะลิต่างมองหน้าเธอด้วยความตกใจ หญิงวัยกลางคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามออกมาจนตานถึงกับชะงัก
“งั้นแม่ขอถามก่อนว่า...คุณครูเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหมคะ”
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ”
“เชื่อหรือเปล่าคะ”
“เชื่อค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“งั้นแม่จะเล่าให้คุณครูฟังนะคะ ความจริง...มันมีอะไรมากกว่าความฝันค่ะคุณครู ตอนเด็ก ๆ นัทเขาเหมือนจะระลึกชาติได้ เขาชอบพูดว่าอยากเจอคุณหนูพุดตาน คิดถึงคุณหนูพุดตาน ตอนแรกแม่เองก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาแค่ฝันหรือเปล่าก็เลยพาไปหาพระ พระอาจารย์ท่านเลยบอกว่า ชาติที่แล้วเขาเคยผิดหวังกับความรักมาก่อน และสาเหตุการตายก็คือจมน้ำ มันทำให้เขาฝันว่าตัวเองตายยังไง และด้วยแรงอธิษฐานจิตสุดท้ายของเขา ชาตินี้เลยเหมือนเกิดมาเพื่อที่จะตามหาคนรักในอดีตและแก้ไขสิ่งต่าง ๆ หรือชดใช้ในสิ่งที่เขาอยากทำแต่ไม่ได้ทำ”
คำตอบที่ได้ยินทำเอาตานและมะลิถึงกับช็อก สองมือที่กุมเอาไว้อยู่ที่ใต้โต๊ะก็เริ่มสั่นเทา จนคนเป็นแม่เลี้ยงต้องเอื้อมมือจับเอาไว้แน่น ตานกลืนน้ำลายดังอึก ก่อนจะกลั้นใจถามเพื่อยืนยันคำตอบอีกครั้ง
“เรื่องจริงเหรอคะคุณแม่”
“จริงค่ะ แม่ถึงต้องถามก่อนไงคะ ว่าคุณครูเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่า เรื่องแบบนี้มันเชื่อยาก”
“หนูเชื่อค่ะ ว่าคุณแม่พูดจริง ๆ พอรู้แบบนั้น คุณแม่ทำยังไงต่อเหรอคะ”
“แม่กับพ่อก็พยายามหาวิธีแก้ แต่พระท่านบอกว่า ถ้านัทโตขึ้น เดี๋ยวเขาจะค่อย ๆ ลืมทุกอย่างไปเอง เหมือนกับเป็นเพียงแค่ความฝัน ซึ่งพอเวลาผ่านไปก็เหมือนนัทค่อย ๆ ลืมไปจริง ๆ เหลือแต่ฝันว่าตัวเองตายนี่แหละค่ะ ที่แก้ไม่ได้สักที ก็คงจนกว่าจะตามหาคนรักในอดีตเจอ หรือไม่ก็ได้แก้ไขสิ่งต่าง ๆ แล้วมั้งคะถึงจะหาย”
'เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย...พี่สิบทิศ...พี่ตามหาตานเจอแล้วนะคะ...'