ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 14 กระจ่าง

“ต้องขอบคุณสำหรับอาหารอร่อย ๆ นะคะ อาหารฝีมือคุณแม่นี่อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ”
“อู๊ย คุณครูก็พูดเกินไป”
“หนูพูดจริง ๆ ค่ะ ชมจากใจเลย”
“ขอบคุณค่ะ ไว้มีโอกาสมากินข้าวด้วยกันอีกนะคะ”
“ได้เลยค่ะ อ้อ! เกือบลืมไปเลย รบกวนฝากของขวัญให้นัทด้วยนะคะ”
ครูสาวพูดพลางกับควานหาของขวัญในกระเป๋าผ้าสีขาวลายดอกไม้ออกมายื่นให้กับแม่ของนัท ซึ่งของขวัญที่เธอนำมาให้กับลูกศิษย์นั้นเป็นม้วนกระดาษที่มีการนำเชือกป่านมาผูกเป็นริบบิ้นอย่างดี แม้จะไม่ใช่ของมีราคาแต่คาดว่าต้องมีคุณค่าทางจิตใจอย่างแน่นอน
“คุณครูสวยแล้วยังใจดีอีกนะคะเนี่ย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ หนูตั้งใจจะให้นัทในวันเกิดอยู่แล้ว แต่เสียดายที่เขาไม่ได้อยู่รับด้วยตัวเอง ถ้ายังไงก็ขอรบกวนคุณแม่ด้วยนะคะ”
“ได้เลยค่ะคุณครู เดี๋ยวแม่บอกนัทให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับอาหารและการต้อนรับที่อบอุ่นค่ะคุณแม่”
“ค่า...ยินดีค่ะ ขับรถกลับดี ๆ นะคะ”
ทั้งตานและมะลิต่างยกมือไหว้ขอบคุณหญิงวัยกลางคนอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ ตานยกมือข้างซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเพียงแค่สี่โมงเย็น แต่ท้องฟ้ากลับเริ่มมืดเพราะฝนเริ่มตั้งเค้าแล้ว กลิ่นดินชื้น ๆ โชยมาตามสายลมแบบนี้ คงอีกไม่นานที่เมฆจะหอบฝนมาทางนี้
'ใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะ...แม้แต่เมฆฝนยังรู้เวลาเลย'
ตานคิดในใจระหว่างยืนอยู่ที่หน้าประตูรถ เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ เธอไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างแล้ว มันจุกจนแทบจะก้าวขาไม่ออก สมองก็ว่างเปล่าจนประมวลไม่ได้ว่าอะไรคืออะไร คนที่ยืนมองเธออยู่อีกด้านหนึ่งของรถก็กังวลใจกับสิ่งที่รับรู้มาไม่ต่างกัน
“ขึ้นรถเถอะค่ะคุณหนู ฝนจะตกแล้ว”
“ค่ะ”


ระหว่างทางกลับบ้าน ตานเอาแต่นั่งเงียบและกุมมือตัวเองเอาไว้ตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงบ้านพักจินดา เธอก็เดินลงรถแล้วตรงเข้าไปในบ้านโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ หัวใจคนเป็นแม่เลี้ยงก็เป็นห่วงคุณหนูพุดตานจนบีบหัวใจไปหมด เมื่อมะลิดับเครื่องรถได้ เธอจึงเดินตามเข้าไปในบ้านก็พบว่าคุณหนูของเธอนั้นกำลังนั่งกอดกรอบรูปภาพวาดหลานชายของเธอร้องไห้อยู่ที่โต๊ะกินข้าว น้ำตาเจ้ากรรมของเธอก็รินไหลออกมาเป็นสายด้วยความรู้สึกเห็นใจ ก่อนจะเข้าไปประคองร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้
“ฮือ ๆ ป้ามะลิ ฮือ…”
“โธ่...คุณหนู...ไม่ร้องนะคะคนเก่งของป้า”
“ทำไมพี่สิบทิศต้องมาเกิดเป็นลูกศิษย์ตานด้วย ฮือ ๆ ๆ ทำไมฟ้าต้องแกล้งตานด้วย ฮึก! ตานอุตส่าห์หนีไปตั้งไกล แต่ทำไม...ทำไมต้องให้ตานกลับมาเป็นครูของเขา...ฮือ ๆ ๆ”
“โธ่คุณหนูคะ ไม่เป็นไรนะคะ คุณหนูรักและดูแลแกเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งได้นะคะ”
“แต่ตานรักและผูกพันกับเขาไปแล้วป้า ฮือ ๆ ตานฝันเห็นเขาตั้งแต่เขาเป็นเด็ก จนได้มาเจอกัน ฮึก! เขาทำให้ความรู้สึกตานเปลี่ยนไป เขาทำให้ตานรู้สึกรักอีกครั้ง ตานจะทำยังไงดี ฮือ…”
“ไม่ได้นะคะคุณหนู ความรักระหว่างครูกับนักเรียนมันผิดนะคะ”
“ก็เพราะตานรู้ไงคะ ตานถึงเจ็บปวดแบบนี้ ฮือ...ฟ้าจะแกล้งตานไปถึงไหน!! ฮึก! ถ้าจะไม่ให้รักกัน ทำไมต้องให้มาเจอกันด้วย!! ฮึก! อึก!”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจากร่างในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งกอดกรอบรูปเอาไว้ มืออีกข้างกอดร่างของคนเป็นแม่เลี้ยงเอาไว้แน่น ร่างกายที่สั่นเทากับเสียงสะอื้นที่แทบจะขาดใจแบบนี้ รับรู้ได้เลยว่าเธอต้องเจ็บปวดมากเพียงไหน ยิ่งคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิดย่อมรู้ดีที่สุด
“คุณหนูของป้า ไม่เป็นไรนะคะ คุณหนูของป้าเก่งอยู่แล้ว คุณหนูต้องผ่านไปได้แน่”
“ตานจะผ่านมันไปยังไงคะป้ามะลิ ฮึก ๆ ตานต้องทำยังไง ตานรู้สึกกับเขาไปแล้ว ไม่...ฮึก! ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงได้เหมือนพี่สิบทิศขนาดนั้น ฮึก! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตานถึงรู้สึกอุ่นใจที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ”
“ไม่ได้นะคะคุณหนู คุณหนูจะรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ห้ามใจตัวเองเอาไว้ค่ะ มันเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นผู้หญิงนะคะ”
“ตานไม่สน! ถึงจะเป็นผู้หญิงตานก็ไม่สน!”
“แต่เขาคือลูกศิษย์นะคะ!!”
คำพูดที่เหมือนจะทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บปวดมากกว่าเดิม ตานถึงกับปล่อยโฮจนพูดไม่ได้ศัพท์ เพราะสติแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
บางครั้ง...ก็เหมือนฟ้าเล่นตลก ที่ลิขิตให้เรามาเจอกัน ได้รักกันสุดหัวใจ แต่ฟ้ากลับมาพรากเราเพียงเพราะฐานะที่แตกต่าง จนวันเวลาผ่านไป คนสองคนได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ก็ยังจะให้แตกต่างที่สถานะอีกเหรอ ถ้าจะเป็นแบบนั้น...อย่าให้ต้องมาเจอกันอีกเลย…


“ขอบคุณนะคะแม่ที่มาส่ง ขอบคุณนะปรางที่จัดงานวันเกิดให้”
นัทยกมือไหว้ขอบคุณแม่ของปรางด้วยความนอบน้อม ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนรักที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
“อืม เรายินดี ไว้ดึก ๆ จะโทรหานะนัท”
“อยู่ด้วยกันทั้งวันยังจะคุยโทรศัพท์กันอีกเหรอคะน้องปราง”
“โธ่ คุณแม่คะ ก็ปกติได้คุยกันทุกคืนนี่นา ไม่ได้คุยคงรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง”
“ฮ่า ๆ ปรางติดหนูไงคะแม่”
“นัทนั่นแหละติดเรา”
“ปรางนั่นแหละ”
“นัทนั่นแหละ”
“พอ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน ก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ เอ...ฟ้าครึ้มแบบนี้ดูท่าแล้วคงตกแรงอยู่นะเนี่ย”
“นัทน่าจะชื่อฝนนะ ฝนตกวันเกิดนัททุกปีเลย”
“นั่นสิ แต่นัทว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ เพราะฝนตกทำให้ไม่ต้องไปรดน้ำต้นไม้ นัทก็จะได้ไปอยู่กับปรางไง”
“เนี่ยเห็นไหม นัทติดเรา”
“ฮ่า ๆ เรานั่นแหละติดเขา งอแงอยากให้เขาไปบ้านทุกปี ทั้ง ๆ ที่เป็นวันเกิดเขาแท้ ๆ”
“ฮ่า ๆ จริงค่ะแม่ งั้นหนูเข้าบ้านก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับของขวัญด้วยนะคะ”
“จ้า อย่าลืมที่รับปากแม่ไว้ล่ะ”
“รับทราบค่ะ ไปนะปราง”
“บ๊ายบาย”


“แม่ ทำไมจานเยอะจัง”
นัทที่วิ่งเข้ามาในบ้านได้ก็พบว่าแม่ของเธอกำลังยืนล้างจานกองโต เธอถึงกับเอียงคอด้วยความสงสัย เพราะคนเป็นแม่อยู่บ้านคนเดียวแท้ ๆ จานชามมาจากไหนกัน
“ครูประจำชั้นนัทมาเยี่ยมบ้าน แม่เลยทำอาหารให้ครูเขากินไง มีครูสวยเหมือนกันนะเราน่ะ”
“ฮะ!!? ใครมานะแม่”
“ครูประจำชั้นนัทไง ชื่ออะไรนะ ครูกานหรืออะไรนี่แหละแม่จำไม่ได้”
“ครูตาน!!”
“เอ้อ! ใช่ ๆ ครูตานมา”
“เฮ้ย!!! แล้วทำไมแม่ไม่บอกนัทก่อนที่ครูจะมา!!? นัทจะได้อยู่เจอครูด้วย”
“เอ้า! ก็ปกติวันเกิดจะไปบ้านปรางไม่ใช่เหรอ แม่เลยไม่ได้บอกให้นัทไปอยู่กับเพื่อนไง วันนี้ครูเขาถามแม่ด้วยนะว่านัทมีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ ไหม แม่เลยเล่าเรื่องที่นัทระลึกชาติได้ให้ครูเขาฟัง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครูเขาก็เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย เอ้อ! ครูเขาฝากของขวัญให้นัทด้วยนะ แม่เอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง”
เมื่อคนเป็นแม่พูดจบ นัทจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที ก่อนจะพุ่งเข้าไปหยิบม้วนกระดาษที่วางเอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาเปิดดู ทันทีที่นัทคลี่กระดาษออก เธอถึงกับคิ้วขมวดและเอียงคอด้วยความฉงน เพราะกระดาษแผ่นนี้เป็นภาพวาดด้วยดินสอ โดยนางแบบไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเธอเอง
“นี่มันเรานี่...ทำไมลายเซ็นคุ้นจังวะ”
ภาพวาดที่มีลายเซ็นของจิตรกรลงนามเอาไว้ทีมุมด้านขวาล่าง เป็นลายเซ็นที่มีลักษณะการเขียนชื่อแบบลากเส้นตวัด แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าชื่อและนามสกุลนั้นอ่านว่าอย่างไร นัทจึงจับกระดาษเข้ามาเพ่งมองใกล้ ๆ เพราะลายเซ็นนั้นคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน 
“กานต์...ธี...รา...ครูเป็นคนวาดเหรอเนี่ย เฮ้ย! แล้วครูนามสกุลอะไรวะ”
มันน่านักที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งนามสกุลคุณครูประจำชั้นของตัวเอง        นัทถึงกับต้องใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ไปหนึ่งที แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นัทเหลือบมองไปที่กรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะนำกระดาษไปวางเทียบกันระหว่างลายเซ็นจากภาพวาดที่มีเธอเป็นแบบ และการเขียนชื่อแบบตัวบรรจงจากภาพวาดที่มีแบบเป็นดอกพุดตาน
“พุดตาน พุทธารักษ์...กานต์ธีรา...พุทธา...รักษ์...หรือว่า...ชื่อครูตาน จะมากจากคำว่า...”
ครึม!!!
ยังไม่ทันที่นัทจะได้พูดจบประโยค ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟ้าส่งเสียงร้องพอดี ทำเอากระดาษที่ถืออยู่ร่วงลงจากมือทันที นัทถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ทำไมเธอถึงไม่เคยเอะใจมาก่อนเลย ความรู้สึกที่เธอพยายามหาคำตอบมาตลอด วันนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้คำตอบแล้ว
“แม่!! เดี๋ยวนัทมานะ!!!”
“นัท!! จะไปไหน!!? ฝนจะตกแล้วนะ!!”
“ไปหาครูตาน!!”
“นัท!!! จะไปทำไม ไม่เห็นเหรอว่าพายุกำลังมา!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! นัท!!!”
แม้คนเป็นแม่จะร้องห้ามอย่างไร แต่นัทหาได้ฟังไม่ เธอวิ่งออกจากบ้านและคว้าจักรยานสีแดงขึ้นมาได้ก็รีบปั่นออกไปทันที ทั้งกระเป๋า ทั้งโทรศัพท์มือถือก็ไม่เอาติดตัวไปด้วย ท้องฟ้าก็ดูท่าว่าอีกไม่นานฝนต้องกระหน่ำตกลงมาเป็นแน่ แม่ของเธอก็ทำได้แค่เพียงภาวนาขอให้ลูกสาวปลอดภัยเท่านั้น
“ทำไมไม่เคยเอะใจเลยวะ นัทเอ๊ย!! ทำไมแกมันโง่แบบนี้วะ!!! ชื่อครูตาน ต้องมาจากคำว่าพุดตานแน่ ๆ”
ทั้งพายุที่พัดหอบใบไม้ใบหญ้าปลิวใส่หน้าจนต้องใช้มือป้องปิดเอาไว้ จักรยานที่เธอเร่งปั่นแบบสุดแรงก็พาต้านลมจนหอบแฮก ทั้งแสงฟ้าแลบ ทั้งเสียงฟ้าร้อง ทั้งลมกรรโชกแรง ดูเหมือนกับว่าเธอต้องฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ เพื่อที่จะได้พบเจอคนที่เธออยากเจอมากที่สุด


เมื่อนัทปั่นจักรยานมาถึงบ้านพักจินดา เธอรีบกระโดดลงจากรถแล้วพุ่งตัวเข้าไปทุบประตูบ้านอย่างร้อนรน แต่โชคร้ายนักที่เป็นจังหวะเดียวกับที่สายฝนกระหน่ำลงมาพอดีบวกกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้กลบเสียงเรียกของเธอไปเสียหมด
ตุบ ๆ ๆ
“ครูคะ!!? ครูอยู่ไหม!!?”
ตุบ ๆ ๆ
“ครูตาน!!”
ซ่า!!! ซ่า!!!
ตุบ ๆ ๆ
“ครูตาน!!! เปิดประตูให้หนูหน่อย!!”
ตุบ ๆ ๆ ๆ
ซ่า!!! ครึม!!!!
“ครูตาน!!!!”
เมื่อไม่มีทีท่าว่าเจ้าของบ้านจะเปิดประตูออกมา เธอจึงตัดสินใจกระโดดถีบประตูบ้านแบบสุดแรงที่เธอมี
โครม!!!!

ภายในบ้าน ครูสาวที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงดังโครมอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนจะเอาหมอนอีกใบมาปิดหูเอาไว้เพราะคิดว่าคงเป็นเสียงฟ้าผ่า แต่เมื่อเสียงโครมที่ดังติดต่อกันหลายครั้ง เธอจึงต้องยันร่างตัวเองลุกขึ้นมานั่งพลางกับพยายามฟังเสียงอีกครั้ง
“ครูตาน!!!”
โครม!!!
เสียงเรียกที่คุ้นเคยแว่วมากับเสียงฝน และเสียงเหมือนคนกำลังจะพังประตูบ้านก็ตามมาติด ๆ ตานถึงกับดวงตาเบิกโพลงแล้วรีบวิ่งออกไปที่หน้าประตูทันที เสียงเรียกนั้นก็ดังชัดขึ้น
เมื่อตานบิดลูกบิดแล้วเปิดประตูออกไป ต่างฝ่ายต่างหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตูบ้านไม้บานใหญ่ ก่อนที่แสงฟ้าแลบจะทำครูสาวหลับตาปี๋ สัญชาตญาณของคนที่คอยปกป้องจึงโผเข้ามาใช้มือสองข้างปิดหูครูสาวเอาไว้แน่น
เปรี้ยง!!!!
สิ้นสุดเสียงฟ้า นัทพาร่างครูสาวเข้าไปในบ้าน ก่อนจะรีบปิดประตูเอาไว้แล้วถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งใจ ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดก็ยังคงหลับตาปี๋และเอาหน้าซบลงที่อก สองมือก็กำคอเสื้อของลูกศิษย์เอาไว้แน่น นัทจึงลูบศีรษะของครูสาวช้า ๆ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว หนูอยู่นี่แล้ว”
ทันทีที่ตานได้ยินเสียงพูดพร้อมกับสัมผัสที่ศีรษะของเธอ ดวงตาทั้งสองข้างก็ลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบผละออกจากอ้อมกอดด้วยความตกใจ
“นัท!! เธอมาที่นี่ได้ยังไง!!?”
“หนูปั่นจักรยานมา”
“เธอจะมาทำไม!?”
“ชื่อของครู มาจากคำว่าพุดตานใช่ไหมคะ” เมื่อนัทยิงคำถามเปิดประเด็นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ ตานถึงกับชะงัก
“เธอ...ไปรู้อะไรมา”
“ตอบหนูสิคะ”
“ครูถามว่าเธอไปรู้อะไรมา”
“หนูมีภาพวาดที่บ้าน ซึ่งคนวาดภาพนั้นชื่อ พุดตาน พุทธารักษ์ แล้วนามสกุลครูก็ พุทธารักษ์ แถมชื่อเล่นครูก็ชื่อตานอีก มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอคะ สรุปมันคือชื่อของครูใช่ไหม หรือครูมีญาติชื่อพุดตาน”
“ทำไมเหรอ เธอจะถามถึงคนชื่อพุดตานทำไม”
“ทำไมครูต้องถามหนูกลับด้วย ครูตอบหนูมาก่อนสิ แล้วหนูจะเล่าให้ครูฟังทีหลัง”
“เล่าอะไร”
“ตอบมาก่อนค่ะ”
“มันคือชื่อเก่าของครูเอง”
“เราสองคน...เคยรักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น ความรู้สึกที่เหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางใจ ครูสาวถึงกับเจ็บแปลบจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เบือนหน้าหนี และเมื่อเธอกำลังจะเดินหนี นัทจึงรีบคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน
“ครูจะไปไหน ทำไมครูไม่ตอบคำถามหนูคะ เราสองคน...”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงนัท เธอเอาอะไรมาพูด!!?”
“ครูจำที่หนูเคยบอกครูไม่ได้เหรอคะว่าหนูรู้สึกเหมือนกับว่าเราเคยผูกพันกันมาก่อน หนูได้คำตอบแล้ว และหนูมั่นใจมากด้วยว่าเราสองคนเคยรักกัน”
“นี่เดี๋ยวก่อนนะ เธอจำไม่ได้เหรอ ว่าเคยบอกครูว่ายังไง เธอไม่เคยรู้สึกรักใคร ไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นด้วยซ้ำ เราจะรักกันได้ยังไง แล้วนี่เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง กำลังฝันอยู่หรือไง”
“หนูฝันว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำตาย หนูฝันแบบนี้มาตั้งแต่เกิด แล้วในฝันหนูก็ได้ยินเสียงพูดว่า อยากอยู่เคียงข้างคนที่ชื่อพุดตานอีกสักครั้ง ขอให้ชาติหน้าเรากลับมารักกันอีก”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ ปล่อย!”
ครูสาวพยายามทำให้ข้อมือหลุดพ้นจากพันธนาการแต่เธอก็ไม่อาจสู้แรงของนัทได้ เพราะยิ่งเธอขัดขืน นัทยิ่งกำข้อมือของเธอแรงขึ้น
“หนูไม่ปล่อย! ที่วันนี้ครูไปบ้านหนู เพราะครูก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม ครูเองก็สงสัยเรื่องความฝันของหนูใช่ไหม คนที่จมน้ำตาย คนที่ครูเคยรัก เขาคนนั้น...มันก็คือหนูใช่ไหมครู”
“ไม่ใช่!! ครูบอกให้ปล่อย!!”
“หนูรู้ว่าใช่!! ครูปิดบังหนูไม่ได้หรอก หนูตามหาคนที่ชื่อพุดตานมาตลอด ไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คน หนูก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย จนหนูได้มาเจอครู แล้วครูก็บอกว่าหนูเหมือนกับคนคนนั้นมาก มันไม่มีอะไรบังเอิญหรอกนะ!!”
“ใช่!! ตอนแรกครูก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้        จริง ๆ แต่วันนี้ครูก็ได้ยินเรื่องต่าง ๆ จากแม่เธอแล้ว สิ่งที่ครูสงสัยมาตลอดมันก็ไขกระจ่างแล้ว แล้วยังไงเหรอนัท? เธอรู้ว่าเป็นเขาแล้วจะยังไงต่อเหรอ เธอจะมาสานต่อความสัมพันธ์งั้นเหรอ บอกไว้ก่อนนะว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม!? เพราะตอนนี้เธอจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ!!”
“ต่อให้หนูจะลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่หนูไม่เคยลืมความรู้สึกนั้นเลยนะครู!! ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ความรู้สึกโหยหาการที่จะได้เจอ โหยหาการที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ หนูตามหาครูมาทั้งชีวิต ครูจะผลักไสหนูเหรอคะ ครูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอคะ...”
 สิ้นสุดคำพูดของนัท ครูสาวเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมาเป็นสายเพราะเธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พยายามปฏิเสธ แต่ยิ่งเธอปฏิเสธเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น เธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อต้านอะไรอีกแล้ว เมื่อข้อมือของเธอหลุดพ้นจากพันธนาการ ทั้งสองมือก็ยกขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้โฮโดยไม่อายอีกคนแม้แต่น้อย
เสียงร้องไห้ดังแข่งกับเสียงฝนที่ตกลงมากระทบกับหลังคา ร่างอุ่น ๆ ที่เดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลังก็ยิ่งทำให้ครูสาวร้องไห้หนักขึ้น นัทซบหน้าลงที่บ่าข้างซ้ายพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างกอดร่างที่สั่นเทาเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะต้องพรากจากกันอีก
“ชาติที่แล้วความรักของเราไม่สมหวังใช่ไหมคะ”
“ใช่ ฮึก ๆ”
“หนูรักครูนะคะ...ต่อให้ชาตินี้ไม่สมหวังอีก หนูก็ยังจะรักครูนะ หนูจะคอยอยู่เคียงข้างครู จะคอยปกป้องและดูแลครูตลอดไปเลย”
“ตลอดไปไม่มีจริงหรอก ฮึก...เขาทิ้งครูไปแล้ว”
“แต่ตอนนี้หนูตามหาครูเจอแล้วค่ะ และหนูก็จะไม่มีวันทิ้งครูไปไหนอีก...หนูสัญญา”
“แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้หรอกนะนัท ฮึก ๆ”
“งั้นครูบอกหนูหน่อยได้ไหม ที่ครูดีกับหนู เพราะครูเองก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหมคะ”
นัทถามพลางกับจับที่ไหล่ทั้งสองข้าง แล้วค่อย ๆ ประคองร่างบางให้หันมาทางเธอช้า ๆ แววตาที่มองมาทางเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นพร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ รับรู้ได้เลยว่าครูสาวเจ็บปวดมากเพียงใด มือทั้งสองข้างของนัทจึงเอื้อมสัมผัสใบหน้าของครูสาวเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“อย่าร้องเลยนะคะ...หนูอยู่นี่แล้ว...หนูตามหาครูเจอแล้วนะ”
“ไม่เข้าใจเหรอนัท ฮึก ๆ ว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้...ทำไมเธอถึงได้ดื้อแบบนี้ ฮึก!”
“หนูรู้ค่ะ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หนูรู้ค่ะว่าหนูเอื้อมไม่ถึงหรอก แต่อย่างน้อย เราก็ได้เจอกันแล้วนะ หนูจะอยู่ตรงนี้ถ้าครูอยากให้หนูอยู่ และหนูจะไปก็ต่อเมื่อครูไม่ต้องการหนู”
“ไม่ไปไหนแล้วไม่ได้เหรอ ฮือ ๆ ไม่ไปไม่ได้เหรอ ตามหากันเจอแล้ว ก็ยังจะทิ้งกันไปอีกเหรอ ฮึก ๆ ไม่ไปไหนได้ไหม ไม่ทิ้งตานแล้วได้ไหม ฮือ ๆ ๆ ฮึก! ไม่ทิ้งตานไปไหนได้ไหม ฮือ!!”
เมื่อเห็นว่าครูสาวร้องไห้โฮอีกครั้งพร้อมกับกระชากคอเสื้อราวกับคนขาดสติ นัทจึงดึงร่างของเธอเข้ามากอดเอาไว้แน่น เสียงสะอื้นที่ราวจะขาดใจก็ดังแข่งกับสายฝนแบบไม่ขาดสาย นัทเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“หนูไม่ไปไหนแล้ว...หนูจะไม่ทิ้งครูไปไหนแล้ว ต่อให้ครูไล่หนูก็ไม่ไป”
“ฮือ ๆ ๆ”
“หนูรักครู ได้ยินไหม หนูรักครูนะ ต่อให้มันจะเป็นไปไม่ได้ หนูก็จะรัก ต่อให้ใครจะมองว่ามันผิดหนูก็ไม่สน ต่อให้ครูจะหนีไปหนูก็จะพลิกแผ่นดินหาครูให้เจอ หนูอยากเจอครูจนใจจะขาดอยู่แล้ว...”
“ครูก็รักเธอเหมือนกัน...ฮึก ๆ”
ต่างฝ่ายต่างกอดกันและกันเอาไว้แน่นด้วยความโหยหา ในที่สุดทั้งสองก็ได้เจอกันเสียที อย่าให้มีอะไรมาพรากจากกันอีกเลย...


“สวัสดีค่ะคุณครู นัทอยู่บ้านคุณครูหรือเปล่าคะ”
เสียงจากปลายสายที่ฟังดูลุกลนเพราะความเป็นห่วง ครูสาวจึงพยายามเรียกสติให้กลับมาสู่สภาวะปกติอยู่สักพักก่อนจะหันไปมองหน้าลูกศิษย์ที่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ อยู่โต๊ะกินข้าว
“อยู่ค่ะคุณแม่”
“เฮ้อ...โล่งอกไปที นึกว่าห่วงต้นไม้ ดอกไม้ที่โรงเรียนจนโกหกแม่ว่าจะไปหาคุณครูซะอีก”
“นัทอยู่ข้าง ๆ หนูเลยค่ะ จะคุยกับเขาไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้ว่านัทปลอดภัยแม่ก็สบายใจแล้วค่ะ”
“นัทปลอดภัยดีค่ะคุณแม่ เอ่อ...จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าหนูจะให้นัทเขาค้างที่นี่ ดูเหมือนว่าฝนจะไม่หยุดตกง่าย ๆ หนูไม่มีรถไปส่งเขาซะด้วย ถ้าจะให้กลับไปหนูก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันค่ะ”
“มันจะไม่เป็นการรบกวนคุณครูเหรอคะ เดี๋ยวแม่โทรเรียกเพื่อนบ้านให้พาไปรับนัทกลับบ้านก็ได้นะคะ”
“ไม่ค่ะคุณแม่ ไม่รบกวนเลยค่ะ ฝนตกหนักแบบนี้อย่าเสี่ยงออกมาเลยนะคะ ให้นัทค้างที่นี่เถอะนะคะ เดี๋ยวหนูดูแลเขาเองค่ะ”
“จะดีเหรอคะ”
“ดีค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ถ้าคุณครูว่าอย่างนั้น งั้นแม่ก็ต้องขอรบกวนคุณครูด้วยนะคะ”
“ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณครู งั้นแม่ไม่รบกวนแล้วค่ะ ฝากลูกสาวด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ยินดีค่ะ สวัสดีค่ะ”
เมื่อครูสาววางโทรศัพท์ได้ เธอจึงเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่กับเหล็กดัดหน้าต่างบ้าน ก่อนจะเอาไปคล้องคอลูกศิษย์เอาไว้พลางกับลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา
“ขออนุญาตแม่ให้แล้วนะ คืนนี้ก็นอนด้วยกันนี่แหละ ไม่ต้องกลับบ้านหรอกมันอันตราย แล้วก็ไปอาบน้ำซะนะ สระผมด้วย โดนฝนแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ขอบคุณนะคะครู แต่หนูไม่มีเสื้อผ้าใส่นะ”
“เดี๋ยวใส่ชุดครูก็ได้ แล้วค่อยเอามาคืนพร้อมเสื้อตัวที่ครูให้ยืมวันนั้น”
“แล้ว...กางเกงใน กับเสื้อชั้นในล่ะคะ”
“ใส่ของครูไหมล่ะ”
“คะ!? ครูจะบ้าเหรอ!?”
“ล้อเล่น ไม่ต้องใส่หรอก ปกติครูก็ไม่ใส่บรานอนหรอกนะ”
“เฮ้ย! ไม่ได้นะคะ!! คืนนี้ครูต้องใส่!!”
“ทำไม?”
“ปะ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“ถ้าไม่ชินก็ใส่ตัวที่ใส่อยู่นั่นแหละ มันคงไม่ได้เปียกไปถึงข้างในหรอกมั้ง”
“ไม่ค่ะ หนูโดนแค่ละอองฝนเอง”
“อืม โอเค งั้นเดี๋ยวรอครูแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวไปเอาชุดมาให้”
“ค่ะ” นัทตอบพลางกับอมยิ้ม ครูสาวจึงยิ้มตอบกลับมาก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง สักพักเธอก็เดินกลับมาพร้อมกับชุดนอนในมือและแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะกล่องมายื่นให้กับนัท
“โชคดีนะที่ครูซื้อแปรงสีฟันไว้หลายอัน รีบไปอาบน้ำซะ ครูจะได้อาบต่อ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” นัทรับชุดนอนมากอดเอาไว้ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องน้ำด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ บวกกับหัวใจที่เต้นตึกตัก คืนนี้เธอจะได้นอนกับครูสาวหรือนี่...จะเรียกว่าบังเอิญหรือฟ้าเป็นใจ ที่สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเนื้อหาในการ์ตูนที่เธอเพิ่งจะได้อ่านมาเป๊ะ
การที่จะได้อยู่ด้วยกันกับคนที่รักแบบสองต่อสอง แถมฝนก็ตกแบบนี้ บรรยากาศช่างเป็นใจนัก ฉากวาบหวิวต่าง ๆ ก็ผุดเข้ามาในความคิดจนต้องสะบัดศีรษะเรียกสติ จะมาคิดอกุศลแบบนี้ไม่ได้นะนัท!!
'บ้าเอ๊ย...ไม่น่าอ่านการ์ตูนเล่มนั้นเลย ลืมสิวะนัท ลบภาพฉากวาบหวิว ออกไปให้หมดเลยนะ!!'
ยิ่งพยายามลบเท่าไหร่ ดูเหมือนกับว่าความทรงจำของเธอจะยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น นัทจึงรีบตักน้ำเย็น ๆ ในถังน้ำมาราดใส่ศีรษะตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปลื้องผ้าออก ทำให้เสื้อผ้าของเธอเปียกตั้งแต่ตัวนอกยันข้างใน จนเธอต้องตบกะโหลกตัวเองไปหนึ่งที
'โอ๊ย!! ไอ้โง่เอ๊ย!! เปียกยันกางเกงใน จะทำยังไงดีวะเนี่ย งามไส้ไหมล่ะ'
“นัท!!” เมื่อจู่ ๆ นัทก็ได้ยินเสียงครูสาวตะโกนจากด้านนอก เธอถึงกับสะดุ้งโหยง
“คะครู!!?”
“น้ำอุ่นก็มี ทำไมไม่อาบน้ำอุ่น!?”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ! ปกติหนูก็อาบน้ำเย็นอยู่แล้ว”
“อ๋อ โอเค รีบอาบนะ”
“รับทราบค่า!”
'โอ๊ย! คืนนี้จะทำยังไงดีวะเนี่ย!!!'