ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 8 อกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

ณ เรือนเพาะชำ ตานยืนมองเวลาในนาฬิกาข้อมือระหว่างรอลูกศิษย์ เข็มนาฬิกาที่แสดงเวลาปาเข้าไปห้าโมงสามสิบสี่นาทีแล้ว เธอรอแล้วรอเล่า ก็ไร้วี่แววว่าจะมีใครมาหา และเนื่องจากในตอนพักกลางวันเธอได้กินข้าวไปแค่ไม่กี่คำ ทำให้เธอรู้สึกโมโหหิวจนแขนขาเริ่มอ่อนแรง เธอจึงเลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงเพื่อสงบสติอารมณ์
“วันนี้เธอเบี้ยวนัดสองรอบแล้วนะ เธอคงไม่ได้หลบหน้ากันหรอกใช่ไหม”
“เอ้าครูตาน มาทำอะไรคะเนี่ย ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
หญิงวัยกลางคนที่เดินมาตรวจสอบประตูรั้วของเรือนเพาะชำเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำอีก แต่เมื่อเห็นว่าเหมือนมีใครบางคนยังอยู่ด้านใน เธอจึงเดินเข้ามาพบกับครูสาวที่นั่งอยู่เก้าอี้มุมด้านในห้อง
“หนูมารอนักเรียนค่ะป้าขาว”
“นัทหรือเปล่าคะ ถ้าเจ้านัทน่ะ กลับไปตั้งนานแล้วค่ะ”
“อ้าว! วันนี้นัทเข้ามาที่เรือนเพาะชำแล้วเหรอคะ”
“เลิกเรียนแล้วก็รีบมาดูแปลงผัก แป๊บ ๆ ก็กลับไปเลยค่ะ”
“อ๋อ เหรอคะ แล้วป้าขาวเข้ามาทำอะไรที่นี่คะ”
“เห็นนัทรีบกลับ ป้าก็ว่าจะมาเช็คดูนี่แหละค่ะว่านัทลืมปิดประตูรั้วหรือเปล่า เพราะวันก่อนคนสวนลืมปิดประตูรั้ว หมาเข้ามาพังแปลงผักหมดเลยค่ะ แล้วนี่ครูตานจะกลับเลยไหมคะ”
“ถ้างั้นหนูกลับเลยดีกว่าค่ะ สวัสดีค่ะป้าขาว”
“สวัสดีค่ะครูตาน”
เมื่อตานเดินออกมาจากเรือนเพาะจำ หญิงวัยกลางคนก็ปิดรั้วแล้วเดินตามออกมาติด ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันคนละทาง โดยเธอเดินแยกออกมาทางประตูด้านข้างโรงเรียน เพื่อกลับอีกทางหนึ่ง เธอเดินกระฟัดกระเฟียดทั้งโมโหที่ถูกทิ้ง ทั้งหิวข้าวจนไส้จะกิ่ว
ทันทีที่มีรถกระบะสีเทาคันหนึ่งมาจอดเทียบข้าง เธอถึงกับหันขวับไปมอง ซึ่งเจ้าของรถกระบะคือครูหนุ่มหน้าตาดี อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เขาเปิดกระจกรถมาถามด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
“ครูตานครับ กลับด้วยกันไหมครับ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้ ๆ เองค่ะ เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
“เถอะน่า ขึ้นมาเลยครับ เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะครูคณิน ตานขอเดินออกกำลังกายดีกว่า”
“แต่ผมรู้สึกว่าครูตานดูเหนื่อย ๆ นะครับ ดูไม่ค่อยมีแรงเลย ขึ้นรถมากับผมดีกว่านะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
เมื่อครูหนุ่มเดินลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูต้อนรับครูสาวและยังคงคะยั้นคะยอไม่เลิก เธอจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไป และเดินขึ้นรถแบบปฏิเสธไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก พลางคิดอะไรในใจ
'วันนี้มันอะไรนักหนาเนี่ย มีแต่เรื่องวุ่นวายตั้งแต่เช้าเลย แล้วยัยตัวแสบ เธอหายไปไหนของเธอ!'
“ถอนหายใจแรงขนาดนี้ ไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่าครับเนี่ย”
“คงจะโมโหหิวน่ะค่ะ เพราะตอนเที่ยงได้กินข้าวไปแค่ไม่กี่คำเอง”
“ว่าแล้วเชียว เห็นครูตานดูหงุดหงิด ๆ ถ้างั้นเราไปกินข้าวกันก่อนไหม”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ตานรู้สึกจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“งั้นเดี๋ยวผมพาไปกินอะไรอร่อย ๆ นะครับ”
“ขอบคุณนะคะ” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ก่อนจะเอื้อมมือปรับแอร์หันมาทางเธอ เพราะดูจากสีหน้าที่เริ่มซีดเผือกพร้อมกับเหงื่อที่ซึมเต็มใบหน้าอาจทำให้ครูสาวเป็นลมล้มพับได้
หน้าประตูรั้วของโรงเรียน มีเด็กสาวสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายโดยปล่อยชายเสื้อออกด้านนอกกระโปรงสีกรมท่าพร้อมกับพับแขนเสื้อนักเรียนแขนยาวจนมาถึงข้อศอก เธอยืนแอบอยู่หลังต้นไม้เพื่อดูเหตุการณ์ และได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้ครูสาวขึ้นรถไป แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเธอเพราะรถกระบะสีเทาได้ขับออกไปพร้อมกับครูสาวแล้ว
“เฮ้อ...นี่เขาเรียกว่าอกหักหรือเปล่าวะ ครูคณินเหมาะสมกับครูตานกว่าเราตั้งเยอะ” นัทถอนหายใจเฮือก และยืนมองรถขับออกไปจนลับตา ก่อนจะเดินคอตกกลับบ้านเพียงลำพัง
วันนี้รู้สึกว่าบ้านมันช่างไกลเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้ไกลกว่าทุกวัน อาจจะเพราะเธอเดินเตะฝุ่นไปตามทาง แวะต่อยลม ต่อยอากาศ ต่อยดอกหญ้าข้างทางจึงทำให้ไม่ถึงบ้านเสียที เมื่อนัทเดินมาถึงหน้าบ้านจินดา เธอก็รีบวิ่งไปคว้าจักรยานของเธอและเร่งปั่นออกไปโดยไม่หันย้อนกลับมามอง


โครม!!
ระหว่างที่หญิงวัยกลางคนกำลังยืนทำกับข้าว เธอก็ได้ยินเสียงดังโครมอยู่ที่หน้าบ้านจนถึงกับสะดุ้งโหยง เธอรีบวางทัพพีที่ถืออยู่ในมือด้วยความตกใจและวิ่งออกไปดูต้นตอของเสียงจึงได้พบกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะหันไปเห็นรถจักรยานสีแดงตีลังกาล้อชี้ฟ้าอยู่ข้างบ้าน
“นัท! ทำไมทิ้งรถแบบนั้นล่ะ!!”
“แม่!! ฮือ!!” นัทถึงกับปล่อยโฮแล้วเข้าไปสวมกอดคนเป็นแม่ทั้งน้ำตา ทำเอาแม่ถึงกับตกใจตอบรับกอดลูกสาวของเธอพลางกับใช้มือลูบศีรษะช้า ๆ การที่ลูกสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นจนร่างกายสั่นเทาแบบนี้ ต้องโดนใครรังแกมาเป็นแน่
“นัท! เป็นอะไรลูก ใครทำอะไรบอกแม่มา!!”
“แม่...นัทอกหัก ฮือ ๆ”
“ฮะ!? เมื่อวานเพิ่งบอกแม่ว่าชอบสาวไม่ใช่เหรอ ทำไมอกหักแล้วเนี่ย”
“เขาขึ้นรถไปกับผู้ชายแล้วแม่ ฮือ…ฮึก ๆ ฮือ...”
“โอ๊ย...ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ เขามีแฟนแล้วเหรอ”
“นัทไม่รู้ ฮือ ๆ”
“เอ้า!! แล้วร้องไห้ทำไมเนี่ย! เขาอาจจะไม่ใช่แฟนกันก็ได้”
“เหรอแม่! ฮึก! จริงเหรอ”
นัทผละออกจากอ้อมกอดพร้อมกับยิ้มหน้าระรื่นทั้ง ๆ ที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุดและยังสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนจะใช้หลังมือทั้งสองข้างสลับกันปาดน้ำตา ท่าทีที่ดูราวกับเด็กงอแง น้ำมูกที่ไหลเปรอะใบหน้าทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับลั่นเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ”
“แม่!! ขำไรอะ!”
“อย่าบอกใครนะว่าเป็นลูกพ่อไม้ อายเขา”
“ไมอ่า…ฮึก!”
“เป็นนักเลงต่อยตีกับผู้ชายไม่เคยร้องสักแอะ พอโดนสาวหักอกมานี่ร้องไห้เป็นหมาเลยนะ”
“ฮึก! อย่าว่าลูก”
“ฮ่า ๆ โอ๋ ๆ มานี่มา นัทเอ๊ย…” คนเป็นแม่ดึงร่างของลูกสาวเข้าไปกอดเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะใช้สองมือตบก้นเบา ๆ ไปหลายที จนต่างคนต่างหลุดขำออกมา
“ยิ้มได้แล้วสิไอ้ลูกหมา”
“แม่อ่า ทำไมไม่โอ๋ดี ๆ”
“แล้วแม่โอ๋ไม่ดีตรงไหน”
“ทำไมต้องตบตูดอะ นัทโตแล้วนะ”
“ฮ่า ๆ ท่าทีเมื่อกี้ดูโตตายล่ะ สรุปยังไม่รู้ใช่ไหมว่าเขามีแฟนหรือยัง”
“ยังเลยแม่ ฮึก ๆ”
“แล้วร้องไห้ทำไมเนี่ย เสียชื่อพ่อไม้หมด”
“ไม่รู้อะ เห็นเขาไปด้วยกันก็ร้องไว้ก่อน ฮึก ๆ ไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกที ฮึก!”
“นัทเอ๊ยนัท! พรุ่งนี้ก็ไปถามให้มันรู้เรื่อง ว่าเขามีแฟนหรือยัง ถ้ามีแล้วก็ถอยออกมาถือว่าวันนี้ร้องไห้เผื่อไปแล้ว และอย่าไปร้องอีกเข้าใจไหม”
“ก็ได้ ฮึก! แล้วถ้ายัง ฮึก! ไม่มีล่ะ”
“ไม่มีก็ลุยเลยลูก จีบเขาเลย อย่าให้เสียชื่อพ่อ”
“นัทจีบไม่เป็นอ่า ฮึก ๆ”
“โอ๊ยลูกฉัน สะอึกสะอื้นเป็นเด็กเลยนะหมาน้อยเอ๊ย ปะ ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวแม่บอกวิธีที่พ่อมาจีบแม่”
“จริงนะ!?”
คนเป็นแม่อมยิ้มปนหัวเราะแทนคำตอบ เพราะเธอไม่คิดว่าเด็กแสบสันแบบนี้จะร้องไห้เพราะเรื่องผู้หญิงได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยทะเลาะเบาะแว้งจนได้แผลกลับมาก็ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับสะอึกสะอื้นราวกับเด็ก ๆ
มือบางโอบไปที่ไหล่ของลูกสาวพลางกับลูบบริเวณต้นแขนขึ้นลงเพื่อปลอบโยน ก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน นัทเองก็โอบเอวแม่ของเธอเอาไว้ พร้อมกับเอียงศีรษะซบลงที่บ่าแสดงท่าทีออดอ้อน ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง


หลังจากที่ไปกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยจนเวลาล่วงเลยไปถึงหนึ่งทุ่ม ครูหนุ่มได้ขับรถมาส่งครูสาวถึงหน้าบ้าน เขาสังเกตเห็นว่าบ้านนั้นมืดสนิทบ่งบอกได้เลยว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน หรือครูสาวคนสวยอาจจะอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพังก็เป็นได้
เมื่อครูคณินเห็นแบบนั้น เขาจึงรีบเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งมาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารค้างเอาไว้ให้ครูสาวลงจากรถได้สะดวก ที่เขาบริการดีแบบนี้ ตานก็อดคิดไม่ได้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่ เธอจึงได้แต่เตือนตัวเองให้มีสติตลอดเวลา เพราะหากเกิดอะไรขึ้น เธอจะได้หนีได้ทัน
ทั้งสองยืนอยู่ด้านข้างรถกระบะสีเทา บริเวณโดยรอบมีแค่เพียงแสงไฟจากตัวรถและจากหน้ารถที่สาดส่องออกมาเท่านั้น เพราะรถยังติดเครื่องค้างเอาไว้อยู่
“ขอบคุณมากเลยนะคะครูคณิน ต้องลำบากพาตานไปกินข้าวแล้วยังต้องขับรถมาส่งอีก”
“ไม่เป็นไรเลยครับครูตาน ผมยินดีมากเลยครับ ผมว่าเราแลกเบอร์กันไว้ดีกว่านะครับ ยังไม่หมดหน้าฝนเลย เผื่อวันไหนฝนตกครูตานจะได้โทรเรียกผมมารับได้”
ดูเหมือนสิ่งที่คิดจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ การที่มีครูคนใหม่สวยดุจนางฟ้ามาสอนที่โรงเรียนแบบนี้ ต้องมีครูหนุ่มผลัดกันมาขายขนมจีบแน่ และครูคณินหนุ่มหล่อก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เริ่มเกมจีบก่อนใครเพื่อน ตานจึงได้แต่ยิ้มตอบกลับไป เพราะวิธีการแบบนี้ เธอเจอบ่อยจนชิน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตานเกรงใจ ตานไม่ใช่ผู้หญิงกลัวฝนนะคะ แล้วบ้านตานกับโรงเรียนไม่ได้อยู่ไกลอะไร เดินไปโรงเรียนแบบนี้ได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ”
“ดูท่าจะเป็นคนรักสุขภาพนะครับเนี่ย แสดงว่าครูตานชอบเดินไปโรงเรียนสินะครับ”
“ค่ะ เอ่อ...มันดึกแล้วนะคะครูคณิน ไม่ต้องรีบกลับเหรอคะ” เมื่อดูท่าครูหนุ่มจะชวนคุยต่อ และไม่มีทีท่าว่าจะกลับง่าย ๆ ตานจึงต้องรีบตัดบทไป แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามจนกว่าจะได้เบอร์โทรศัพท์กลับไปด้วย
“อ๋อไม่ครับ ผมอยู่บ้านคนเดียว คนโสดน่ะครับ ไม่ต้องรีบกลับไปหาใคร อยู่คนเดียวแบบนี้สบายใจดีนะครับ”
“ค่ะ”
ในขณะที่ครูสาวเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการที่จะต้องพูดคุยกันต่อนั้น ทุกอย่างราวกับสวรรค์เป็นใจ เพราะเธอหันไปเห็นแสงไฟหน้ารถสองดวงที่สาดส่องมาตามทาง ก่อนจะมาหยุดต่อท้ายรถกระบะของครูคณิน ช่างโชคดีจริง ๆ ที่รถคันนั้นคือรถเก๋งสีขาวที่คุ้นเคย ตานจึงรีบแก้ไขสถานการณ์ทันที
“อ้าว แม่ตานกลับบ้านพอดีเลย เดี๋ยวตานคงต้องขอตัวพาแม่ไปพักผ่อนก่อนนะคะครูคณิน”
“อะ...อ้าว...เดี๋ยวผมรอสวัสดีคุณแม่ก่อนนะครับ”
“ตานว่าอย่าดีกว่าค่ะ แม่ตานไม่ชอบให้ผู้ชายมาบ้านตอนดึก ๆ ซะด้วยสิครูคณินรีบกลับดีกว่าค่ะ”
“เหรอครับ เอ่อ...ถ้างั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“ครับผม”
ครูหนุ่มพูดจบ เขาก็รีบปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสาร ก่อนจะวิ่งกลับไปขึ้นรถฝั่งคนขับด้วยความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เบอร์โทรศัพท์กลับบ้านไปด้วย คนเป็นแม่เลี้ยงที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ในรถก็ได้แต่อมยิ้มที่มีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณหนูพุดตานของเธออีกแล้ว
เมื่อรถกระบะสีเทาขับออกไป รถเก๋งสีขาวก็เข้ามาจอดแทนที่ ก่อนเจ้าของรถจะเปิดประตูลงมาแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ใครเหรอคะคุณหนู”
“ครูที่โรงเรียนน่ะค่ะ”
“มาจีบคุณหนูของป้าล่ะสิท่า”
“หะ ๆ คงงั้นมั้งคะ เข้าบ้านกันค่ะป้ามะลิ”
ครูสาวหัวเราะด้วยใบหน้าเจื่อน ๆ ก่อนจะเดินไปไขกุญแจบ้าน โดยอาศัยไฟหน้ารถช่วยส่องสว่างให้


“ไปไหนกันมาเหรอคะคุณหนู”
“ครูคณินเขาพาตานไปกินข้าวมาน่ะค่ะ แล้วทำไมวันนี้มาดึกจังเลยคะ”
“ป้าเข้ามารอบนึงแล้วค่ะแต่ไม่มีใครอยู่ ป้าเลยกลับบ้านไปก่อน แล้ววันนี้ที่โทรหาป้าเรื่องสิบทิศคุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ ป้าไม่สบายใจเลยต้องมาหาให้ได้น่ะค่ะ”
“ป้ามะลินี่น่ารักกับตานตลอดเลย ขอบคุณนะคะ”
ตานพูดพลางกับเดินไปเปิดตู้เย็นขนาดกลางที่สูงเพียงหน้าอกเท่านั้น ก่อนจะก้มลงคว้าขวดน้ำที่กรอกเอาไว้ขึ้นมาเพื่อรินน้ำไปเสิร์ฟให้กับหญิงวัยกลางคน ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว สีหน้าของตานดูเคร่งเครียดผิดไปจากเดิม จนคนที่มองอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณหนูไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหมคะ”
มะลิถามคำถามย้ำอีกครั้ง ทำให้ตานชะงักและนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่างในใจ จนคนเป็นแม่เลี้ยงจ้องมองเธอด้วยความสงสัย
“ป้ามะลิคะ”
“คะ”
“วันเสาร์ว่างไหมคะ”
“ถ้าตอนเช้าก็คงจะไปวัดค่ะ เพราะถึงวันครบรอบวันเสียของสิบทิศแล้ว คุณหนูจะไปด้วยกันไหมคะ”
“ค่ะ ไปแน่นอนค่ะ แต่ตานมีเรื่องอยากรบกวนป้ามะลิอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรคะคุณหนู”
“ป้าช่วยพาตานไปบ้านนักเรียนหน่อยได้ไหมคะ”
“ใครเหรอคะ”
“เด็กนักเรียนที่ตานฝันถึงค่ะ วันนั้น...ตานคิดว่าเรื่องทุกอย่างคงกระจ่าง”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“เดี๋ยวไปถึงป้าก็รู้เองค่ะ วันนั้นเราอาจจะเข้าใจทุกอย่างเลย ว่าทำไมตานถึงฝันถึงเด็กคนนั้นมาตลอด แล้วทำไม...ตานถึงต้องถามวันที่พี่สิบทิศเสีย”
“คุณหนูจะบอกป้าว่า เด็กคนนั้นกับสิบทิศมีอะไรเกี่ยวข้องกันเหรอคะ”
“ค่ะ จากที่ตอนแรกตานไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ตานกล้าบอกเลยว่าตานมั่นใจไปแล้วเกินครึ่ง”
“อะไรทำให้คุณหนูมั่นใจขนาดนั้นคะเนี่ย”
“หลายอย่างเลยค่ะ ทั้งการกระทำ สิ่งที่เขาชอบ เขาเหมือนพี่สิบทิศมากจนตานตกใจ และสิ่งที่ทำให้ตานแปลกใจยิ่งกว่า คือ วันที่พี่สิบทิศเสียกับวันเกิดของเด็กคนนั้น คือวันที่สิบเอ็นกันยาเหมือนกันเลยค่ะ เพียงแค่คนละปีแค่นั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่ามันจะเป็นไปได้”
“มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นะคะ ที่เป็นวันเดียวกัน แล้วอะไรที่ทำให้คุณหนูรู้สึกว่าเด็กคนนั้นเหมือนสิบทิศ”
“ก็อย่างที่บอกไปค่ะ แทบจะทุกอย่างเลย เขาเหมือนพี่สิบทิศมากจริง ๆ”
“อาจจะเพราะว่าคุณหนูคิดถึงสิบทิศมากเกินไป ยิ่งตอนนี้ใกล้จะถึงวันครบรอบวันเสียแล้วด้วย มันเลยทำให้คุณหนูยิ่งคิดถึงเข้าไปใหญ่ จนคิดไปเองก็ได้นะคะ”
“ก็เพราะแบบนี้แหละค่ะที่มันทำให้ตานรู้สึกอึดอัดไปหมด ตานอยากรู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าตานไปหาแม่ของเขาอาจจะได้รู้อะไรมาบ้างก็ได้”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คุณหนูคิดล่ะคะ มันจะเป็นคุณหนูเองนะคะที่มีห่วงจนปิดกั้นตัวเองจนถึงทุกวันนี้”
สิ่งที่คนเป็นแม่เลี้ยงพูดมันช่างสะกิดใจครูสาวจนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ หรือเธอจะคิดไปเองจริง ๆ แต่สิ่งเหล่านั้นที่เธอได้พบเจอมันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กนักเรียนคนนั้นเหมือนกับชายคนรักของเธอจริง ๆ
“วันนี้ไม่รีบกลับเหรอคะป้ามะลิ”
“พอดีว่าลูกเขยป้าพาพิกุลกับลูกไปกินข้าวนอกบ้านน่ะค่ะ แต่ก็จวนจะกลับแล้วล่ะ”
“เหรอคะ แล้วป้ามะลิได้ลูกเขยเป็นคนที่ไหนคะเนี่ย”
“คนบ้านเรานี่แหละค่ะ ป้าว่าคุณหนูต้องรู้จักดีเลยล่ะ”
“ใครเหรอคะ”
“ยังไม่บอกหรอกค่ะ จนกว่าคุณหนูจะกลับไปเยี่ยมหลานด้วยตัวเอง”
คนที่อยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ แต่ตอนนี้กลับถูกขัดใจ จนเธอถึงกับทำหน้างอทันที แต่ด้วยความที่กาลเวลาเปลี่ยนนิสัยคนให้เติบโตขึ้นไปด้วย ตานจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกและยอมจำนนในที่สุด
“เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวไว้พร้อมเมื่อไหร่ตานถึงจะกลับนะคะ”
“ได้ค่ะ ถ้างั้นป้าต้องขอตัวก่อนนะคะ เห็นคุณหนูไม่เป็นอะไรป้าก็สบายใจแล้วค่ะ”
“ตานไม่เป็นไรค่ะ ป้ามะลิไม่ต้องห่วง”
“ค่ะคุณหนู งั้นเดี๋ยววันเสาร์ป้ามารับไปวัดแต่เช้านะคะ เตรียมตัวรอป้าได้เลยค่ะ”
“โอเคค่ะ”


วันรุ่งขึ้น
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงร้องเตือนเวลาตื่นนอนที่เช้ากว่าเมื่อวาน    ครูสาวงัวเงียขึ้นจากที่นอนแล้วเอื้อมมือไปแง้มผ้าม่านผืนสีขาวออกเล็กน้อย ดูเหมือนวันนี้คนสวนจำเป็นจะอู้งาน เพราะด้านนอกไม่มีเงาของใครสักคน แต่ไฉนต้นไม้และพื้นดินกลับเปียกชุ่มทั้ง ๆ ที่ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว แถมท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งสว่างจ้าเสียด้วยซ้ำ
“แอบมารดน้ำให้แต่เช้าหรือเปล่านะ”
ตานบ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะปิดผ้าม่านเอาไว้เช่นเดิมพลางกับเอนหลังพิงหัวเตียงคิดอะไรในใจ ทำไมเด็กนักเรียนคนนี้ถึงได้หาตัวจับยากนัก
แม้จะเป็นเวลาที่เช้ามาก แต่ก็มีนักเรียนเริ่มทยอยกันไปโรงเรียนบ้างแล้ว บ้างก็เดิน บ้างก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ บ้างก็ผู้ปกครองไปส่ง และครูสาวเองก็ยังคงเดินไปโรงเรียนเช่นที่ผ่านมา 
เธอมุ่งหน้าไปยังเรือนเพาะชำเพื่อที่จะไปทำหน้าที่ที่เธอขอรับผิดชอบด้วยตัวเอง และยังหวังว่าจะเจอใครบางคนที่มักจะโดดเรียนไปอยู่ที่นั่นอีกด้วย แต่เมื่อมาถึงเรือนเพาะชำ เธอก็ต้องผิดหวัง เพราะประตูรั้วยังคงปิดเอาไว้ หรือเธอจะแกล้งนักเรียนแรงเกินไปถึงได้หายหน้าไปเลยตั้งแต่เมื่อวาน
“ใครกันที่บ่นให้ว่าตื่นสายผักจะเหี่ยว เหอะ...ทีตัวเองล่ะ จนป่านนี้ยังไม่โผล่หน้ามาอีก หายหัวไปไหนของเธอนะนัท”
ปากก็บ่นไป มือก็เอื้อมไปหยิบสายยางที่ม้วนพันรอบก๊อกน้ำขึ้นมาด้วยความโมโห ในขณะที่ตานกำลังจะเอื้อมมือซ้ายไปเปิดก๊อกน้ำนั้น ก็มีมือที่สวมนาฬิกาดิจิตอลเรือนสีดำมาคว้าหมับที่ข้อมือจนเธอถึงกับสะดุ้งแล้วรีบหันไปหาเจ้าของมือปริศนานี้ทันที
“ครูไม่ต้องรด เดี๋ยวหนูรดเอง” เมื่อพูดจบ นัทแย่งสายยางจากมือครูสาวที่ยืนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คงจะดีใจที่ในที่สุดเธอก็ได้เจอลูกศิษย์ของเธอเสียที
“ทำไมครูไม่เปิดสปริงเกอร์”
“ก็มันยังเช้าอยู่ แล้วไม่ได้รีบไปไหนด้วย ครูก็เลยขอรดเองดีกว่า”
“มันไม่ใช่หน้าที่ครูเลย”
“ก็ ผอ. ให้ครูมาดูแลที่นี่ มันก็ต้องเป็นหน้าที่ครูสิ”
“หนูถามปรางเมื่อวาน ปรางบอกว่าครูเป็นคนอาสาจะมาดูแลที่นี่เอง   คนรวย ๆ แบบครูจะอยากมาทำงานแบบนี้ทำไม”
“เดี๋ยวนะ น้องปรางเล่าอะไรให้เธอฟัง รวยแล้วยังไง รวยแล้วปลูกต้นไม้ไม่ได้เหรอ”
“หนูไม่อยากให้มือครูเปื้อน”
คำตอบของนัท ทำเอาครูสาวถึงกับอมยิ้มพลางกับยืนมองดูลูกศิษย์ที่กำลังหันหลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ถ้าหากไม่รู้มาก่อนว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เคยชกต่อยกับเด็กผู้ชาย เธอก็อดชื่นชมไม่ได้เลยว่า นัทก็เป็นเด็กที่อ่อนโยนมาก ๆ คนหนึ่ง
เมื่อจู่ ๆ คู่สนทนาก็เงียบไป นัทรู้สึกถึงความผิดปกติ เธอจึงค่อย ๆ เอนตัวกลับมาทีละนิดพลางกับเหลือบมอง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นครูสาวยืนกอดอกจ้องมองเธออยู่
“เฮ้ย! มองไรอะครู”
“มองเธอนั่นแหละ”
“มองทำไม!?”
“เมื่อวานหายไปไหนมา ทั้งตอนเที่ยงและตอนเย็น เธอปล่อยให้ครูมาที่นี่คนเดียวได้ยังไง”
“กะ...กะ...ก็...หนูไม่กล้ามาเจอหน้าครูอะ ทำไมถึงไม่บอกหนูตั้งแต่แรกว่าเป็นครู ปล่อยให้หนูเข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนาน”
“ครูก็คิดว่าเธอจะเข้าใจตั้งแต่ที่ครูบอกว่าได้อยู่บ้านหลังนั้นแล้วนะ”
“หนูไม่รู้”
“ก็รู้แล้วนี่”
“ครู”
“หืม?”
“หนูขอโทษ”
“ขอโทษเรื่อง?”
“เรื่องที่หนูแกล้งครู เรื่องที่หนูเกือบจะต่อยหน้าครู แล้วก็เรื่องที่หนูเข้าใจผิดด้วย”
“ไม่ให้อภัย”
“เอ้า! ทำไมอะ!?”
“พูดกับผู้ใหญ่ต้องพูดยังไง มันควรจะมีหางเสียงไม่ใช่เหรอคะณิชาภัทร”
“เอ่อ…”
ครูสาวพูดแบบยิ้ม ๆ นัทจึงได้แต่หลบสายตา เพราะรอยยิ้มนั้นทำเธอใจเต้นตึกตัก มือก็บิดสายยางม้วนไปมา ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำจากสายยางพุ่งใส่หน้าตัวเองจนต้องรีบโยนทิ้งไปให้พ้น ๆ
“อะ! แค่ก ๆ”
“ว๊าย! เล่นอะไรเนี่ยนัท!!?”
ครูสาวเอ็ดเสียงแข็งพลางกับรีบไปปิดก๊อกน้ำทันที เพราะลูกศิษย์ตัวเปียกโชกไปทั้งท่อนบน เสื้อนักเรียนสีขาวตัวบางที่ทำให้เห็นเสื้อซับด้านในชัดเจนแบบนั้น ทำเธอถึงกับร้อนใจ
“กลับไปเปลี่ยนชุดไหม ตอนนี้ยังเช้าอยู่ น่าจะกลับมาทัน”
“บ้านหนูอยู่ไกลนะครู ตั้งสามกิโล ถ้าไปกลับก็ตั้งหกกิโลแหน่ะ”
“งั้นรออยู่นี่ เดี๋ยวครูกลับไปเอาเสื้อมาให้เปลี่ยน”
“เดี๋ยวหนูไปด้วย ถ้าเป็นบ้านครูน่ะโอเค ปั่นจักรยานไปมันเร็วกว่านะ”
“จะให้ครูยืนซ้อนหลังรถเธอหรือไง”
“ใช่!”
เมื่อพูดจบ นัทจึงจับข้อมือของครูสาวแล้วจูงพาไปยังรถจักรยานสีแดงที่จอดอยู่หน้าเรือนเพาะชำ ก่อนจะปิดประตูรั้วเอาไว้ แล้วไปคว้ารถจักรยานขึ้นมานั่งคร่อมโดยไม่สนเลยว่าตนจะใส่กระโปรงอยู่
ครูสาวก็ได้แต่ยืนดูด้วยความลำบากใจ เพราะตอนนี้เธอสวมกระโปรงทรงเอและรองเท้าคัทชู จะให้ยืนซ้อนรถจักรยานคงไม่ดีแน่
“เอ้า! ขึ้นมาสิครู เดี๋ยวมันสายนะ”
“นัท ครูว่า เดี๋ยวครูเดินไปเอามาให้ดีกว่า”
“ไม่! ขึ้นมาเร็ว ๆ จะพาไป”
“เอ่อ…”
“เร็วสิ!!”


แม้จะอยากปฏิเสธแค่ไหน แต่ตานก็ไม่อาจปฏิเสธเด็กแสบคนนี้ได้เลย เธอต้องถอดรองเท้าคัทชูและถือไว้ด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายเกาะที่บ่าของนัทเอาไว้ กระโปรงก็ต้องถลกขึ้นเล็กน้อย เพราะต้องกางขาหลบล้อรถจักรยานที่เสียดสีกับขาของเธอจนดำปื้น ถ้าความหวังดีและเป็นห่วงลูกศิษย์จะทำให้ทุลักทุเลขนาดนี้ สู้เป็นคนใจดำเสียยังดีกว่า!!
“นัท!! หยุด!! ครูจะลงเดินเอง!!”
“ครูอย่าดื้อสิ!!”
“โอ๊ย!! หยุดรถก่อน!! ไม่งั้นครูโดดลงจริง ๆ ด้วย”
“อย่าโดดนะครู!! จะถึงแล้วเนี่ย!!”
“ฮือ…นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย!!!!”