ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 17 ลำบากใจ

“พ่อบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าไปอยู่ใกล้มัน ทำไมถึงได้ชอบอยู่กับมันนักหนา!!”
“ก็หนูบอกพ่อไปแล้วไงคะ ว่าหนูรักพี่สิบทิศ”
“รักเหรอ? รักคนจน ๆ อย่างมันเนี่ยเหรอ!?”
“จนแล้วยังไงอะพ่อ!! พี่สิบทิศก็มีหัวใจนะ” 
“แกเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง แก่แดดรักผู้ชายเป็นแล้วเหรอ แกมันก็แรดเหมือนแม่แกไม่มีผิด หนีตามผู้ชายจน ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่ฉันมีให้ทุกอย่าง”
“คุณผู้ชายหยุดเถอะค่ะ!! หยุดพูดแบบนี้สักทีเถอะค่ะ คุณไม่ควรพูดกับคุณหนูแบบนี้นะคะ”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ที่ฉันพูดมันก็คือเรื่องจริงทั้งนั้น หลบไป! ฉันจะฟาดให้มันจำสักที เป็นลูกผู้ดีไม่ชอบ ชอบเป็นคนใฝ่ต่ำใช่ไหม!!”
“พ่อมันไม่มีหัวใจ!!”
ฟิ้ว...เพี้ยะ!!
“ฮึก ๆ ฮือ!!”
“คุณผู้ชายพอสักทีเถอะค่ะ!!”
“กูบอกให้หลบไป!!”
ฟิ้ว...เพี้ยะ!!
เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากบ้านเรือนไทยประยุกต์เรือนใหญ่ แต่คนที่อยู่เรือนเล็กสำหรับผู้ดูแลและคนรับใช้กลับได้ยินทุกถ้อยคำ ชายหนุ่มนั่งอยู่กับพื้นเอนหลังพิงประตูเอาไว้พร้อมกับเอามือปิดหูน้องสาวลูกพี่ลูกน้องวัยเก้าขวบที่นั่งหันหลังอยู่ด้านหน้าของเขา เสียงนั้นเป็นเสียงที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำ หัวใจของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ มันเจ็บปวดจนแทบจะชินชา ไม่แปลกใจที่เขามักจะมองว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อย เพราะคำพูดเหล่านั้นตอกย้ำอยู่เสมอว่าเขาเป็นได้แค่หลานคนใช้เท่านั้น
เสียงไม้เรียวต้านกับอากาศจนส่งเสียงลู่ลมก่อนจะกระทบกับบางสิ่งบางอย่างจนเกิดเสียงออกมา แม้จะไม่เห็นเหตุการณ์แต่เขารู้ดีที่สุดว่าคุณหนูพุดตานที่เขารักสุดหัวใจกำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่ อยากจะเข้าไปห้ามเหลือเกิน อยากจะไปช่วยคุณหนูเหลือเกิน แต่เขาก็ถูกคนเป็นป้าสั่งห้ามเอาไว้ ว่าห้ามออกไปไหนหลังหนึ่งทุ่ม และต้องอยู่ดูแลน้องจนกว่าเธอจะกลับมา เขาจึงทำได้แต่นั่งฟังเสียงแบบนี้ทุกวันด้วยความเจ็บปวดโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“พี่สิบทิศ เลิกปิดหูหนูสักที หนูจะไปทำการบ้านแล้ว”
“อะ...อืม”
เมื่อเสียงเอะอะโวยวายเริ่มสงบลง เด็กหญิงต่อต้านการถูกปิดหูก่อนจะพยายามปัดมือของพี่ชายออกไปให้พ้น ๆ ชายหนุ่มจึงยอมปลดปล่อยน้องสาวให้ออกจากอ้อมแขนของเขา พลางกับนั่งมองเด็กหญิงเดินจากไปนั่งแหมะที่พื้นข้างโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กเพื่อทำการบ้านต่อ แววตาที่จ้องมองอย่างเลื่อนลอย ไม่มีทางใดที่เขาจะหยุดเรื่องที่เลวร้ายแบบนี้ได้เลยอย่างนั้นหรือ


ก๊อก ก๊อก
ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูปลุกเขาจากภวังค์ที่พยายามคิดหาทางออก สิบทิศสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบลุกขึ้นเอื้อมมือเปิดประตูให้กับป้าของเขาที่กลับมาหลังจากส่งคุณหนูเข้านอนแล้ว นี่เขานั่งเหม่อเอาหลังพิงประตูมานานแค่ไหนกันนะ มันนานจนเด็กหญิงวัยเก้าขวบหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้
“คุณหนูหลับแล้วเหรอป้า”
“อืม...แล้วน้องล่ะ”
“น้องพิกุลเข้านอนแล้วป้า คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ”
“เป็นห่วงคุณหนูใช่ไหม”
“ครับ”
“ถ้าห่วง ก็อย่าเข้าใกล้คุณหนูสิ ทำได้ไหม เลิกให้ความหวังคุณหนูสักที สิบก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“แต่...”
“ไม่มีคำว่าแต่ ป้าบอกสิบกี่ครั้งแล้วว่าให้สำเหนียกตัวเอง ป้าไม่อยากให้คุณผู้ชายลงโทษคุณหนูอีก ป้าไม่อยากให้คุณผู้ชายเอาคุณหนูไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนั้น!!”
“อือ...อย่าเสียงดัง...”
เพราะเสียงงัวเงียจากเด็กหญิงดังขัดจังหวะที่มะลิเริ่มขึ้นเสียง ทั้งสองจึงหันไปตามต้นตอของเสียงก่อนจะเบาเสียงลงเพราะกลัวไปรบกวนลูกสาวที่กำลังนอนหลับอยู่ มะลิหันมาจ้องหลานชายตาเขม็งก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าอกของเขาแล้วออกแรงผลักเบา ๆ 
“คนที่ทำให้คุณหนูเจ็บปวดน่ะ มันคือสิบนั่นแหละ รู้เอาไว้ซะ...ถ้ารักคุณหนูจริง เลิกยุ่งกับชีวิตคุณหนูสักที”
“การที่ผมเป็นคนจน มันผิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันผิดตั้งแต่สิบคิดที่จะรักคุณหนูแล้ว หยุดเถอะนะสิบ มันไม่มีทางสมหวังหรอก...ที่ป้าให้สิบมาอยู่ด้วย เพราะสิบไม่เหลือใครแล้ว แต่ป้าไม่ได้ให้สิบมาเป็นคนใฝ่สูงหวังเด็ดดอกฟ้านะ จำได้ไหมที่ป้าสอน ป้าสอนว่ายังไง”
“ครับ...อย่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา และหัดสำเหนียกตัวเองอยู่เสมอ ว่าเราเป็นใคร และคุณหนูเป็นใคร...ผมจำได้ดี”
ใช่...เขาจำคำสอนนี้ได้ดี คำสอนที่ทิ่มแทงหัวใจเขาทุกครั้งที่ได้ยินใครพูดประโยคนี้หรือแม้แต่ตอนที่เขาต้องพูดเตือนตัวเอง ถ้าหากคนเป็นนายจะลงโทษเขาอย่างไร เขาก็คงยินยอม ขอเพียงแค่ได้รักคุณหนูต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าคนเป็นนายกลับลงโทษลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองราวกับไม่ใช่ลูกของตน เหตุเพราะเคียดแค้นคนเป็นแม่ที่หนีหายตามผู้ชายคนอื่นไป แต่ทำไมกันนะ...ทำไมต้องเอาความโกรธมาลงที่ลูกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และพาลลงโทษเธอเพียงเพราะหลงรักเขาด้วย
ความจนมันทำให้เขาผิดขนาดนี้เชียวหรือ...เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ


เมื่อรถเก๋งคันหรูมาจอดยังโรงจอดรถ เด็กหญิงลงรถได้ก็รีบวิ่งเข้าไปยังสวนหลังบ้านด้วยความร้อนใจ เมื่อถึงที่หมายก็พบกับชายหนุ่มที่ยืนใช้มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกง และมือซ้ายถือสายยางกำลังรดน้ำต้นไม้หลังบ้านอยู่
เธอหายใจหอบไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่เพราะความโกรธที่ถาโถมอยู่ในใจจนรู้สึกอึดอัดและหายใจลำบาก
“พี่สิบทิศ! ทำไมตอนเช้าไม่นั่งรถไปโรงเรียนกับตาน แล้วตอนอยู่โรงเรียนเป็นอะไร ทำไมตานเรียกแล้วพี่ไม่หัน พี่เดินหนีตานทั้งวันเลยนะ แล้วนี่...หนีกลับมาก่อนตานอีก พี่เป็นอะไร”
เด็กหญิงถามพรั่งพรูออกมาด้วยความอัดอั้น แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจเธอ เขายังคงยืนหันหลังรดน้ำต้นไม้ต่อไปอย่างที่เคย สองมือเล็กกำแน่นด้วยความโกรธ ทำไมวันนี้เธอถึงโดยเขาเมินทั้งวันแบบนี้ เธอวิ่งไปใช้กำปั้นน้อย ๆ ทุบที่หลังของชายหนุ่ม แต่เมื่อเขาหันหน้ามา ทำเธอถึงกับชะงัก
“ก็เพราะคุณหนูเอาแต่ใจแบบนี้ไง ผมถึงไม่อยากคุยด้วย”
น้ำเสียงที่ดูดุดันและหนักแน่นไม่อ่อนโยนอย่างที่เคย แววตาที่แดงก่ำราวกับยักษ์ก็ไม่ปาน ท่าทีของเขาดูโกรธจัด แต่ไม่ใช่...เขาไม่ได้โกรธ...แต่เขาเพิ่งจะร้องไห้มา...เขาเองก็เจ็บปวดที่ต้องเมินคนที่เขารักทั้งหัวใจ เด็กหญิงเห็นแบบนั้นจึงผละออกมาด้วยความตกใจ เพราะเธอเด็กเกินกว่าที่จะรู้ว่านี่ไม่ใช่อารมณ์โกรธ
“ทะ...ทำไม...พี่สิบทิศต้องโกรธตานด้วย”
“เลิกมายุ่งกับผมสักทีได้ไหม ที่หัวผมเจ็บแบบนี้มันเพราะใคร!?”
“เพราะพี่สิงห์ใช่ไหม เดี๋ยวตานจะบอกพ่อไปทำโทษพี่สิงห์ให้เอง”
“ไม่...มันเพราะคุณหนูนั่นแหละ เพราะคุณหนูใกล้ผมมากเกินไป คุณหนูก็รู้ว่าไอ้สิงห์มันชอบคุณหนู ผมเลยพลอยซวยไปด้วยไง ผมโดนมันทำร้ายเพราะคุณหนู”
“ทำไมพี่สิบทิศพูดแบบนั้น...ไหนพี่บอกจะคอยปกป้องตานไงคะ”
“ผมต้องปกป้องคุณหนูจากอะไรครับ ดูการ์ตูนมากเกินไปหรือเปล่า ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งจะไปปกป้องคุณหนูได้ยังไง แล้วอีกอย่าง...ไอ้สิงห์มันชอบคุณหนู มันน่าจะปกป้องคุณหนูได้ดีกว่าผมอีกนะ”
“ไม่...ตานไม่อยากให้พี่สิงห์ปกป้องตาน ตานอยากให้พี่สิบทิศเป็นคนปกป้องตานเหมือนที่ผ่านมา”
“ก็ผมไม่ได้ชอบคุณหนู ทำไมผมต้องปกป้องคุณหนูด้วย”
สิ่งที่ได้ยินทำเด็กหญิงถึงกับสะอึก ความรู้สึกเหมือนถูกเอามีดมาแทงที่กลางหัวใจ ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้จักกับความรัก ทำไมถึงทำร้ายความรู้สึกเธอได้ถึงเพียงนี้ แววตาของเธอเอ่อไปด้วยประกายของน้ำตา ก่อนน้ำใส ๆ จะไหลผ่านแก้มเนียนช้า ๆ ริมฝีปากบางสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด ไม่จริง...พี่โกหก...
“พี่สิบทิศ ฮึก...ทำไมพูดแบบนั้นคะ ฮึก พี่ไม่รักตานแล้วเหรอ”
“คุณหนูเอาอะไรมาพูด ผมไม่เคยบอกรักคุณหนูเลยนะ”
“ถึงพี่ไม่พูด ตานก็รู้ ว่าพี่ก็คิดเหมือนกัน ตานรักพี่สิบทิศ ฮึก...ตานรักพี่ สิบทิศนะ”
“แต่ผมไม่ได้รักคุณหนู แล้วก็ช่วยเลิกยุ่งกับผมสักที”
“ฮึก! ฮึก!”
เสียงสะอื้นจากเด็กหญิง ช่างบีบหัวใจของเขาเหลือเกิน สิบทิศพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้และซ่อนความรู้สึกผ่านแววตาที่แดงก่ำ ก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมา หลังจากที่เด็กหญิงที่เขารักสุดหัวใจวิ่งร้องไห้จากไป เขาเองก็เจ็บ...เขาเองก็รักเธอ...ไม่ต่างกัน...


“แฮก แฮก”
เสียงลมหายใจที่หอบแฮกจากความเหนื่อยล้า หลังจากเพลงรักอันเร่าร้อนราวกับพายุโหมกระหน่ำได้จบลง นอกหน้าต่างยังคงมีเสียงฝนโปรยปรายไม่หยุด บรรยากาศเย็น ๆ ในช่วงฝนตกแบบนี้ แต่ร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวทั้งสองที่สวมกอดกันและกันเอาไว้นั้นมันอบอุ่นเกินคำบรรยาย
ตานนอนอมยิ้มอยู่ในอ้อมแขนอุ่น ๆ พลางกับมองริมฝีปากอมชมพูที่อ้าพะงาบ ก่อนเจ้าตัวจะเลียริมฝีปากของตัวเองจนเงาวับทั้งที่ก่อนหน้าริมฝีปากแห้งจากการต้องหายใจทางปาก เธอพยายามปรับลมหายใจที่หอบแฮกให้กลับมาเป็นปกติ ขนตางามงอนสีดำเข้มสนิทหลับพริ้มน่าเอ็นดู ตานจึงใช้นิ้วชี้ลูบไล้ที่ขนตาพลางกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
“คิก ๆ”
“หัวเราะอะไรคะ”
นัทลืมตามองดูอีกคนที่นอนหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ก่อนจะกระชับเรียวแขนจนร่างทั้งสองสนิทแนบแน่นขึ้นภายใต้ผ้าห่มหนาสีครีม เพราะกลิ่นกายหอม ๆ และไออุ่นที่ได้สัมผัส ทำให้เธอไม่อยากจะปล่อยเลยจริง ๆ
“ขนตายาวจัง สวยกว่าของครูอีกมั้ง”
“ไม่จริง ของครูสวยกว่า”
“ของเธอนั่นแหละ” 
“เถียงเหรอคะ ฟืด...” พูดจบก็ก้มลงหอมศีรษะครูสาวไปฟอดใหญ่
“เดี๋ยว ๆ ใครให้หอม”
นัทอมยิ้มก่อนจะก้มลงจุ๊บไปทั่วใบหน้าเนียนจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อริมฝีปากอมชมพูของเธอถูกอีกคนขโมยจูบแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว จนแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“อะ...”
“ทีตอนเธอทำครูไม่เห็นจะหน้าแดงเลยสักนิด พอโดนเองแล้วทำเป็นมาหน้าแดงนะ”
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่คะ”
“อืม นัท”
“คะ” ก้มลงมองอีกคนพร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“คืนนี้ค้างที่นี่อีกไหม”
“หนูก็อยากค้างนะคะ แต่หนูไม่มีชุดนักเรียน เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วงด้วย”
“อืม ก็จริง แล้วปกติเวลาฝนตกไปโรงเรียนยังไง”
“ก็มีเพื่อนบ้านไปส่งบ้าง หรือไม่ก็ใส่ชุดกันฝนค่ะ”
“อ๋อ...ไว้ครูเอารถยนต์มาใช้ เดี๋ยวจะไปรับนะ”
“มะ...ไม่ต้องก็ได้ค่ะ หนูเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรล่ะนัท มากกว่านี้ครูก็ให้เธอได้นะ”
“ไม่ค่ะ อย่ามาลำบากกับหนูเลย”
“เฮ้อ...ทำไมถึงไม่เปลี่ยนไปเลย เป็นคนขี้เกรงใจมันก็ดีอยู่หรอก แต่เว้นแค่กับครูได้ไหม เธออยากเรียกร้องอะไรก็ได้ อยากขออะไรก็ได้หมดเลย ครูทำให้เธอได้นะนัท”
“ครูคะ”
“หืม?”
“ถ้าหนูจะขอไม่ให้ครูไปชอบครูคณิน...จะได้ไหมคะ”
เมื่อนัทเอ่ยถามด้วยแววตาที่ดูเศร้าหมอง มือนุ่มจึงเอื้อมมาสัมผัสที่แก้มของเธอ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบอย่างแผ่วเบา ครูสาวโน้มตัวเข้ามาประทับรอยจูบที่ริมฝีปากอมชมพูอีกครั้ง ก่อนจะผละออกมาหนุนแขนของนัทดังเดิม
“เชื่อใจครูหน่อยได้ไหม ครูเองก็รอเธอมาตั้งนาน และครูไม่ชอบคนที่ชอบพูดดูถูกใครหรอกนะ แต่บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้ เชื่อใจครูนะ”
“ค่ะ...หนูเชื่อใจครู”
“อืม พูดง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย แต่ว่าครูขออะไรเธออย่างสิ”
“อะไรคะ”
“อย่าบอกเรื่องเรากับใครนะนัท แม้กับน้องปรางก็ห้ามบอก”
“ถึงครูไม่พูดหนูก็ไม่บอกใครอยู่ดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเรื่องของเรา”
“ใช่ ไม่มีใครเข้าใจหรอกนัท เพราะงั้นเก็บให้มันเป็นเรื่องของเราสองคนก็พอ และก็ขอให้เธอเชื่อใจครูนะ ว่าครูจะไม่ไปชอบใคร ครูรอแค่เธอ ครูให้เธอไปหมดแล้ว”
“หนูก็เหมือนกัน”
ริมฝีปากของทั้งสองประกบเข้าด้วยกันอีกครั้งอย่างช้า ๆ และอ่อนโยน กลิ่นลิปสติกหอมหวานจนอยากจะขบกัดริมฝีปากที่อุ่นและนุ่มราวกับเยลลี่นี้เสียจริง แต่เธอต้องทะนุถนอมให้ดีที่สุด เมื่อนัทเริ่มเร่งจังหวะจูบขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับผละออกทำเธอถึงกับมองตามตาละห้อย
“พอแล้ว เดี๋ยวยาว”
“คืนนี้หนูก็ไม่ได้จูบแล้ว ขอจูบตุนไว้เยอะ ๆ ไม่ได้เหรอคะ”
“เผื่อไว้วันหลังบ้างสิ”
“น่านะ...ขออีกนิด...นะคะ”
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะ ถ้าคืนนี้เธอค้างที่นี่ครูคงไม่ห้ามเธอหรอก”
“เฮ้อ...หรือจะกลับพรุ่งนี้เช้าดี”
เพราะแววตาที่ออดอ้อนราวกับลูกแมวที่ใสซื่อ ครูสาวจึงอมยิ้มก่อนจะใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งบีบที่ปลายจมูกโด่ง ๆ ไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว
“กลับเถอะ เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง แล้วก็กลับไปวาดรูปต่อให้มันเสร็จด้วยนะ วันอังคารก็เอาไปส่งในคาบ”
“หนูวาดเสร็จแล้ว”
“ใจคอจะวาดรูปนั้นส่งครูจริง ๆ เหรอ ครูให้วาดรูปที่มันสื่อถึงครูนะ ตอนนั้นรู้สึกยังไงถึงวาดรูปนั้น”
“ว่างเปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะหนูหึงครูอยู่”
“ก็เป็นซะแบบเนี้ย แล้วจะเสนอหน้าชั้นว่ายังไง ที่ระบายเป็นสีดำทั้งหมด เพราะหึงครูอย่างนี้เหรอ”
“หนูพูดแบบนั้นได้เหรอ” นัทถามอย่างหน้าตาเฉย ครูสาวจึงฟาดไปที่แขนของเธอไปหนึ่งที
“ก็บอกว่าไม่ได้ไง เพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าอย่าบอกเรื่องเรากับใคร” 
“ฮ่า ๆ หนูล้อเล่น งั้นหนูเตรียมตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
“จะกลับแล้วเหรอ ฝนยังตกอยู่เลยนะ”
“วันนี้มันคงไม่หยุดตกหรอกค่ะ ตอนนี้มันตกไม่แรง หนูว่าหนูรีบกลับดีกว่า”
“อืม โอเค”
นัทก้มลงจูบที่หน้าผากเนียนอีกครั้ง และเมื่อเธอลุกขึ้น ครูสาวจึงจับผ้าห่มผืนหนาปิดหน้าอกของตัวเองเอาไว้ ทำให้เผยเรือนร่างของอีกคนที่พ้นจากผ้าห่มออกไป แผ่นหลังเนียนไร้อาภรณ์ปกปิดของหญิงสาวดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี ระหว่างที่นัทเอื้อมไปคว้าเสื้อขึ้นมาและกำลังจะใส่นั้น ทำให้ตานสังเกตเห็นปานแดงเป็นรอยขีดยาวขนาดเท่านิ้วก้อยที่บั้นเอวด้านขวาของนัท ตานเห็นแบบนั้นจึงยันร่างตัวเองขึ้นและเอื้อมมือสัมผัสอย่างแผ่วเบา
“นัท เธอมีปานแดงที่หลังด้วยเหรอ” สองคิ้วขมวดถามด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ แม่เคยบอกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนหมายเอาไว้ เผื่อเกิดใหม่จะได้จำได้ว่าคือใคร ครูแอบมาหมายหนูไว้หรือเปล่า”
“เปล่าซะหน่อย” พูดพลางกับลูบที่ปานแดงช้า ๆ
“ครู อย่าลูบสิ มันเสียวนะ”
“เสียวอะไร อ่อนไหวง่ายจังนะ”
“มันจั๊กจี้”
“ฮ่า ๆ โอเค ๆ ไม่ลูบแล้ว รีบใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”
“ทำไมคะ หวั่นไหวเหรอ จ้องหนูขนาด”
“อะไร!?”
เพราะเห็นครูสาวจ้องเรือนร่างของเธอไม่ละสายตา นัทจึงเอ่ยถามพลางกับอมยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะโน้มตัวลงนอนพร้อมกับเอาผ้าห่มปิดหน้าเอาไว้ นัทเห็นแบบนั้นจึงหลุดขำเบา ๆ พร้อมกับใส่เสื้อกลับให้เข้าที่
“ครูคะ หนูขอเบอร์ครูหน่อย”
“เอาไปทำไม”
“ครูก็ถามแปลกเนอะ ขอเบอร์ไปจะให้หนูเอาไปทำอะไรคะ หนูก็ต้องเอาไว้โทรหาครูสิ”
“เข้าเรียนคาบครูให้ครบสิบคาบ เดี๋ยวครูให้คาบละตัว”
“โห!! สิบคาบเลยเหรอคะ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ กว่าหนูจะได้โทรส่งครูเข้านอนก็ปิดเทอมพอดี”
“ฮ่า ๆ ทำไม ทนไม่ได้เหรอ”
“หรือครูไม่คิดถึงหนูอะ”
“ยังไงก็ได้เจอกันทุกวันอยู่ดี ทำไมต้องคิดถึงด้วย”
“อ๋อ...ด้...า...ย...งั้นหนูจะหลบหน้าครู ไม่เข้าโฮมรูม ไม่...” ยังไม่ทันที่นัทจะได้พูดจบประโยค ครูสาวจึงรีบลุกขึ้นพรวดก่อนจะเอื้อมไปหยิบปากกาดำที่วางอยู่โต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมา พร้อมกับใช้มือซ้ายจับผ้าห่มปิดหน้าอกเอาไว้
“รู้แล้ว ๆ เอามือมา”
“เอามือหนูไปทำไมคะ”
“ส่งมือมาเร็ว ๆ สิ”
“อะ”
เมื่อนัทยื่นมือไปให้ ครูสาวมองค้อนเธอเล็กน้อย ก่อนจะดึงรวบผ้าห่มไม่ทางด้านหลังให้ตึงแล้วใช้แขนหนีบเอาไว้ มือซ้ายของเธอจับมือนัทให้หงายขึ้น มือขวาจับปากกามาเขียนหยิก ๆ ลงไปที่ฝ่ามือ
“ไม่เห็นต้องปิดเลย เห็นหมดแล้ว”
“หุบปากเลยนะ อะ...เสร็จแล้ว”
นัทอมยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่เมื่อเธอยกฝ่ามือขึ้นมาดู ปรากฏว่าไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์อย่างที่คิดเอาไว้ แต่เป็นประโยคบอกรักสั้น ๆ ที่ทำเธอถึงกับหัวใจพองโต
“รักนะ...อะไรกันคะเนี่ย หนูขอเบอร์นะ ไม่ใช่ให้ครูมาบอกรักหนู”
“เข้าคาบโฮมรูมให้ครบสิบคาบนะ ครูจะให้วันละตัว ตกลงไหม”
“โธ่...ครูคะ จะทำให้มันยากทำไมเนี่ย”
“ไม่ใช่ทำให้มันยาก แต่ครูอยากให้เธอเข้าเรียนไง”
“เฮ้อ...บอกเฉย ๆ หนูก็เข้าเรียนแล้วไหม หนูเชื่อฟังครูจะตาย”
“เชื่อฟังตายล่ะ ก็ถือว่าเป็นรางวัลของเด็กดีแล้วกัน ถ้าเข้าเรียนก็ได้ ถ้าไม่เข้าก็ไม่ได้ และก็รอต่อไปจนกว่าจะครบสิบตัวเธอถึงจะโทรหาครูได้ และก็อย่าคิดที่จะไปขอเบอร์ครูจากใครนะ ไม่งั้นครูทำโทษเธอจริง ๆ ด้วย”
“ทำโทษเหมือนวันนี้เหรอ ถ้าแบบนี้หนูก็ยอมนะ”
“ตลกละ!”
“ครูไม่อยากให้หนูโทรบอกฝันดีเหรอคะ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย ทำตามที่ครูบอก แล้วก็รอเอารางวัลจากครูถ้าครบสิบวันแล้ว ตกลงไหม”
“ก็ได้ค่ะ งั้นวันนี้หนูกลับไปบ้านแล้วหนูก็โทรบอกครูไม่ได้สิ ว่าถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า”
“ให้แม่เธอโทรมา แต่เธอห้ามขอดูเบอร์จากแม่เด็ดขาด ถ้าเธอโกงนะ ครูจะไปกินข้าวกับครูคณิน”
“เฮ้ย!! ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ไม่ไปนะครู”
“ไม่รู้ล่ะ ห้ามโกง สิบวันสิบคาบเพื่อตัวเลขสิบตัว โอเค๊?”
“ก็ได้ ๆ ตกลงก็ได้ค่ะ” นัทตอบพลางกับทำหน้ามุ่ย ครูสาวจึงอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ”
“อ้าว จะกลับตอนนี้เลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูจะกลับไปวาดรูปใหม่ที่มันสื่อถึงความรู้สึกที่หนูได้เจอครูครั้งแรกนะ”
“อ๋อ...อืม” 
“แต่ก่อนไป...เอ่อ...” เพราะเอาแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมา ครูสาวเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม นัทจึงโน้มตัวลงมาบรรจงจูบที่ริมฝีปากนุ่มอย่างอ่อนโยนก่อนจะรีบเบือนหน้าหลบไปทางอื่นด้วยแก้มที่แดงระเรื่อและร้อนผ่าว เป็นคนจูบเองแท้ ๆ แต่ตัวเองดันพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น 
“อะ...เอ่อ...ไปนะคะ”
“อืม กลับดี ๆ นะ ถึงแล้วก็รีบอาบน้ำสระผม เป่าผมให้แห้ง กินข้าวให้ตรงเวลา ห้ามนอนดึก แล้วก็...ขอให้คืนนี้หลับฝันดีนะนัท”
“ค่ะ”
คำตอบสั้น ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน ก่อนเธอจะหันหลังเดินจากไป เมื่อนัทเดินออกจากห้องไปแล้ว ตานโน้มตัวลงนอนกับฟูกนุ่ม ๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจ
“เฮ้อ...จะบอกป้ามะลิว่ายังไงดี แล้วเราจะปิดเรื่องนี้ไปได้นานแค่ไหนนะนัท...”


เมื่อนัทอาบน้ำสระผมเสร็จแล้วนั้น เธอนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียง พลางกับคิดถึงสัมผัสที่อ่อนโยน ตอนมีคนมาเช็ดผมให้นี่มันรู้สึกดีจริง ๆ มุมปากอมชมพูยกยิ้มตั้งอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ก็เหมือนได้รับรางวัลที่เธอพยายามตามหาและเฝ้ารอมานานแสนนานแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาดูถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!! แปดสิบสายไม่ได้รับ!!”
หมายเลขที่โทรศัพท์มาหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนรักของเธอเอง นัทรีบโทรกลับไปทันทีโดยไม่รีรอ 
“ฮัลโหล” ปลายสายพูด
“ปราง! นัทขอโทษนะที่ไม่ได้รับสาย”
“อืม”
“ปะ...ปราง งอนเหรอ”
“วางไหม เดี๋ยวเราโทรกลับ”
“อ๋อ อืม”
เมื่อปลายสายกดตัดสายไป นัทถึงกับเสยผมประบ่าของเธออย่างกระวนกระวายใจ เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะหายไปไหนจนไม่ได้รับโทรศัพท์หลายสายขนาดนี้มาก่อน ทันทีที่โทรศัพท์มือถือสั่นครืดอยู่ในมือ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดรับสายด้วยใจที่เต้นตึกตัก
“ฮัลโหลปราง”
“อืม หายไปไหนมา ทำไมถึงโทรกลับเอาป่านนี้”
“เอ่อ...เมื่อวานนัทกลัวฟ้าเลยไปนอนห้องแม่น่ะ นัทเอาโทรศัพท์ไว้ที่ห้องตัวเองเลยไม่ได้รับ ขอโทษน้า”
“นัท...”
“ว่าไง”
“ขอความจริง” น้ำเสียงจากปลายสายที่พูดออกมาอย่างสั่นเครือ ทำนัทถึงกับร้อนใจ
“ปราง...นัทขอโทษ ปรางร้องไห้เหรอ”
“ถ้าไม่พูดความจริง คือเราจะร้องจริง ๆ แล้วนะ นัทไปไหนมา”
“เอ่อ...เมื่อคืนนี้...นัทไปค้างบ้านครูตานมา”
“ทำไมอะนัท”
“นัทไปเอาของที่บ้านครูตานน่ะ แล้วฝนมันตกพอดีก็เลยได้ค้างที่นั่น”
“เหรอ”
“อืม ปรางไม่เชื่อนัทเหรอ”
“แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องโกหกด้วย นัทไม่เคยโกหกเรามาก่อนเลยนะ”
“ก็นัทไม่อยากให้ปรางเป็นห่วงไง เนี่ย...ถ้าปรางเป็นห่วงมาก ๆ เดี๋ยวก็ร้องไห้อะ”
“อืม ช่างเถอะ อย่างน้อยนัทก็ติดต่อกลับมาแล้ว”
“อืม ไม่ต้องห่วงนะปราง นัทขอโทษจริง ๆ แล้วปรางมีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาหลายสายขนาดนี้ ตกใจหมดเลย”
“ต้องมีอะไรด้วยเหรอถึงโทรไปได้ ก็เราบอกแล้วไงว่าจะโทรหา แต่โทรยังไงนัทก็ไม่รับสาย เราเป็นห่วงก็เลยโทรหลาย ๆ สายไง”
“ก็เปล่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น นี่งอนแรงมากเลยใช่ไหมเนี่ย”
“ก็เล่นหายไปขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องงอนไหม”
“โอ๋ ๆ หายงอนน้าคุณหนูปราง อยากให้ง้อยังไงไหนบอกมา”
“อยากให้หายงอนใช่ไหม”
“อยากสิ อยากให้ง้อยังไงบอกมาได้เลย”
“ถ้างั้น...นัทตอบคำถามเราหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ ถามมาเลย”
“อืม สรุป...คนที่นัทชอบ คือใคร...บอกได้ไหม” ทันทีที่ปลายสายถามจบ นัทถึงกับชะงัก คิดไม่ถึงว่าเพื่อนรักจะถามคำถามนี้ และเธอเพิ่งจะรับปากครูสาวไปแล้วด้วยว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ริมฝีปากอมชมพูอ้าค้างไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป
“ทำไมถึงเงียบล่ะนัท”
“เอ่อ...นัทบอกปรางไม่ได้อะ”
“ทำไมเหรอ ทำไมต้องปิดบังเราด้วย ไหนบอกว่ามีอะไรก็จะไม่ปิดบังกัน เราจะบอกกันตรง ๆ ไม่ใช่เหรอนัท”
“นัทไม่ได้อยากปิดบังปรางนะ แต่นัทก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อน่ะ และนัทก็คิดว่าถ้าบอกไป ปรางก็ไม่เชื่ออยู่ดี”
“ทำไมถึงจะไม่เชื่อ ถ้านัทบอกอะไรเราก็เชื่อหมดนั่นแหละ เพราะนัทไม่เคยโกหกเรา ไม่สิ...แต่วันนี้นัทเพิ่งโกหกเราไปเมื่อกี้ อะไรทำให้นัทเปลี่ยนไป”
“ปะ...ปราง เรื่องนั้นนัทขอโทษ นัทไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะ ส่วนเรื่องที่นัทชอบใคร อันนี้นัทบอกไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็รอให้นัทพร้อมก่อนนะ นัทถึงจะบอก”
“เมื่อไหร่เหรอนัท วันที่นัทพร้อมน่ะ แค่บอกว่านัทชอบใครมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แล้วทำไมปรางต้องอยากรู้ขนาดนั้น”
“เพราะเราชอบนัทไง”
“อะ...อะไรนะ!?” คำตอบที่ได้ยินนัทถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ขอร้องล่ะ...อย่าให้มันเป็นอย่างที่คิดเลย 
“เราชอบนัทนะ”
“มะ...หมายความว่าไงอะปราง ชอบแบบเพื่อนเหรอ”
“ไม่ แต่ถ้าจะบอกว่ารักก็คงจะใช่มากกว่า เราแอบรักนัทมานานแล้ว ไม่ใช่แบบเพื่อน แต่มันมากกว่านั้น”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ปราง”
“ม.ต้น”
“ปราง...นัทขอโทษนะ แต่ว่า...อย่ารู้สึกแบบนั้นกับนัทเลยนะ นัทคิดกับปรางแค่เพื่อนอะ คือ...”
“อืม...ไม่ต้องพูดต่อหรอก เรารู้แล้ว...ไม่ต้องย้ำ ฮึก...งั้นแค่นี้นะนัท”
ติ๊ด!
เมื่อปลายสายกดตัดสายไป นัทขยุ้มผมตัวเองด้วยความหนักใจ อุตส่าห์ได้เจอคนที่ตามหามาทั้งชีวิตแล้ว ทำไมกันนะ...ทำไมต้องมาโดนเพื่อนสนิทสารภาพรักด้วย เสียงสะอื้นก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไปนั้นเธอรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ นัททิ้งตัวลงนอนกับที่นอน พร้อมกับจ้องมองเพดานสีขาวด้วยความลำบากใจและรู้สึกผิด
“ลุงสิบทิศ...ช่วยให้ทุกอย่างมันราบรื่นที...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”