ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายอยู่ต่อหน้า เขามีรูปร่างผอมสูง สีผิวสองสี เขากำลังยืนส่งยิ้มที่อบอุ่นมาให้ แต่ทำไมกันนะ...หน้าตาเขาช่างคุ้นเคยนัก เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“พี่คือใครคะ”
“คิดดี ๆ สิ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ลุงสิบทิศ ลุงสิบทิศใช่ไหมคะ”
ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร ยังคงยืนยิ้มอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อกำลังจะก้าวเข้าไปหา ชายคนนั้นที่หน้าละม้ายคล้ายคลึงกับภาพวาดที่บ้านของครูสาวก็หันหลังเดินจากไป
“ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ! ลุงสิบทิศ!”
ภาพที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังวิ่งตามแผ่นหลังของชายคนนั้นที่เริ่มห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เธอเห็นสองมือของตัวเองที่ยื่นออกมาข้างหน้า ราวกับว่ากำลังจะคว้าแขนของเขาเอาไว้ แต่ก็คว้าได้แค่เพียงอากาศ ทั้ง ๆ ที่เขาแค่ก้าวช้า ๆ แต่ทำไม...ไม่ว่าจะวิ่งตามอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใกล้ชายคนนั้นได้เลย
“ลุงสิบทิศ รอหนูด้วย!! แฮก ๆ”
ดูเหมือนเขาจะได้ยินสิ่งที่เธอร้องขอ เขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ก่อนจะหันหน้ามาด้วยรอยยิ้ม เสียงหายใจเหนื่อยหอบดังก้องไปทั้งโสตประสาท ภาพในความฝันแสดงให้เห็นสองมือค้ำที่หัวเข่าของตัวเอง ประหนึ่งนักวิ่งกำลังหยุดพัก
แต่แล้วทุกอย่างกลับกลายเป็นเพียงกลุ่มควันที่กำลังมลายหายไปเป็นอากาศ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น สถานที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจากเดิม ชายคนนั้นกำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีป้ายไม้แกะสลักแขวนที่หน้าบ้านว่า
'วรวุทธ คมประสิทธิ์'
ทันทีที่เธออ่านชื่อที่ปรากฏอยู่บนป้ายไม้แกะสลักจบ ทุกอย่างมืดสนิทในชั่วพริบตา ความรู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนร่างของเธอถูกดึงให้จมดิ่งไปยังก้นแม่น้ำ เธอพยายามตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่กลับมีเพียงฟองอากาศที่พรั่งพรูออกมา แสงวิบวับบนผืนน้ำมีให้เห็นเป็นระยะ ๆ แต่เธอก็ไม่อาจพาร่างตัวเองให้ขึ้นไปเหนือน้ำได้
'ช่วยด้วย...ช่วยผมด้วย...ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย...ผมยังตายตอนนี้ไม่ได้…'
เสียงวิงวอนที่ดังแค่เพียงในใจ ไม่ว่าจะร้องขออย่างไรก็ไม่อาจมีใครได้ยิน สองมือและสองขาที่พยายามตะเกียกตะกายพาร่างตัวเองขึ้นเหนือผืนน้ำ แต่ก็พ่ายแพ้เพราะตอนนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว เสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในหูก่อนจะปิดโสตประสาทการได้ยินจนมืดบอด
'ผมจะตายแล้วใช่ไหมครับ...ถ้าอย่างนั้น...ขอได้ไหม...ขออีกสักครั้งได้ไหม...ขอให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณหนูพุดตานอีกสักครั้งได้ไหม ขอแค่สักครั้ง…ขอให้ผมได้เกิดใหม่เป็นใครก็ได้ ที่สามารถใกล้ชิดคุณหนูมากกว่านี้ ขอให้คุณหนูได้รับอุ่นไอจากตัวของผม...ขอร้อง...ผมขอร้อง...'
น้ำตาที่รินไหลถูกเจือจางเพราะสายน้ำ ร่างกายที่เย็นเฉียบจนชาไร้ความรู้สึกใด ๆ ค่อย ๆ จมลงช้า ๆ 
ไม่ไหวแล้ว...ใจจะขาดอยู่แล้ว…


ใบหน้าที่ท่วมไปด้วยเหงื่อกาฬสะบัดไปมา หนังตาที่กระตุกเป็นพัก ๆ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่นเทา ลมหายใจที่เริ่มติดขัด หญิงสาวตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ทรมานราวกับจะกัดกินตัวของเธอ
แต่เมื่อร่างในความฝันได้จมลงจนถึงพื้น นัทสะดุ้งเฮือกขึ้นก่อนจะตะเบงเสียงเรียกคนเป็นแม่อย่างสุดเสียง พร้อมกับพยายามหายใจเฮือกราวคนจะขาดใจ
“แม่!!! เฮือก!! แค่ก ๆ ๆ เฮือก!!”
ตุ๊บ ๆ ๆ
กำปั้นข้างซ้ายที่สั่นเทายกทุบหน้าอกของตัวเองหลายครั้ง ตอนนี้เธอแน่นหน้าอกคล้ายมีบางอย่างกดทับที่หน้าอกของเธอเอาไว้จนหายใจลำบากนัก ส่วนมือขวาตะเกียกตะกายคว้าผ้าห่มมากำเอาไว้แน่น
“นัท!!! เป็นอะไรลูก!!”
“เฮือก! แม่...ช...ช่วยด้วย...”
เมื่อคนเป็นแม่เปิดไฟในห้องจนสว่างจ้าจึงพบว่าลูกสาวของเธออยู่ในสภาพที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง เธอจึงรีบวิ่งมาคว้าร่างของลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้แน่น
“นัท!! ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ”
เรียวแขนข้างซ้ายโอบกอดร่างลูกสาวเอาไว้พร้อมกับบีบที่ต้นแขนเพื่อเรียกสติ ส่วนมือขวาลูบศีรษะด้วยความร้อนใจจนสั่นเทาไม่ต่างกัน ร่างในอ้อมกอดก็ยังคงดิ้นทุรนทุรายจนน้ำตาเจ้ากรรมของคนเป็นแม่หลั่งไหลออกมาเป็นสาย
“นัทลูก!! ฮือ ๆ อย่าเป็นอะไรนะ แม่อยู่นี่แล้วลูก ฮือ ๆ พี่ไม้! ช่วยลูกด้วย ฮือ ๆ ช่วยลูกด้วย!!”
“แม่!! ฮึก ๆ ฮือ!! นัทจมน้ำแม่!! นัทจมน้ำ!! ฮือ ๆ” เมื่อสติของนัทคืนกลับมา สองมือกอดรัดร่างคนเป็นแม่พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก แม่ของเธอจึงเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่บนหัวเตียงอย่างร้อนใจ
00:06
นี่มันอะไรกัน...นี่ไม่ใช่เวลาที่ลูกสาวจะฝันร้ายในช่วงเวลาแบบนี้ได้ แถมครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าทุกครั้ง
“คนเก่งของแม่ หายใจเข้าลึก ๆ ลูก ฮึก ๆ ไม่เป็นไรนะลูกนะ นัทไม่ได้เป็นไรนะ ฮึก ๆ นัทยังอยู่กับแม่นะลูก...”


เวลาผ่านไปนานค่อนชั่วโมง กว่านัทจะสงบลงได้คนเป็นแม่ต้องลูบศีรษะและโอบกอดร่างบางโยกไปมาช้า ๆ เพื่อปลอบประโลม แม้จะเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ลูกสาวจะฝันร้ายในช่วงเวลากลางดึกแบบนี้ ยิ่งได้เห็นคนที่รักดั่งดวงใจดิ้นทุรนทุรายแบบนี้ หัวใจของคนเป็นแม่แทบจะขาดรอน ๆ
“แม่...คืนนี้นอนเป็นเพื่อนนัทได้ไหม”
“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่นอนเป็นเพื่อนนะ” มือที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นลูบศีรษะลูกสาวที่กำลังนอนหนุนตักอย่างแผ่วเบา
“นัทดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ทำไมครั้งนี้ถึงฝันช่วงนี้ได้นะ”
“นั่นสิแม่ แปลกมาก...มันควรจะดีขึ้นสิ ในเมื่อเจอแล้ว…”
“เจออะไรนัท”
“อ๋อ เปล่าแม่ ไม่มีอะไร”
นัทตอบพลางกับนอนมองหลอดไฟนีออนสว่างจ้าติดบนเพดานห้องเป็นแนวยาว ตอนนี้ทุกอย่างมันตื้อไปหมดจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร หัวใจยังคงเต้นโครมครามด้วยความหวาดหวั่น แต่เมื่อสัมผัสที่อ่อนโยนกำลังลูบศีรษะเธอช้า ๆ และแผ่วเบา บวกกับเสียงเอื้อนเอ่ยคำร้องบทเพลงรัก ทำให้ช่วยคลายความกลัวให้มลายหายไป
“ฮือ...ฮืม...ฮือ...เมื่อดวงใจมีรัก...ดั่งเจ้านกโผบิน บินไปไกลแสนไกล…”
ดวงตาทั้งสองเปลี่ยนมาจ้องมองคนเป็นแม่ก่อนรอยยิ้มจะเผยออกมาช้า ๆ นัทหลับตาฟังเสียงร้องเพลงจนเธอผล็อยหลับไปในที่สุด


ในเช้าวันจันทร์ที่ต้องกลับมาสู่สภาวะปกติ เมฆฝนยังคงไม่พัดผ่านหายไป เสียงเปาะแปะเมื่อน้ำจากหลังคาหยดลงกระทบกับพื้นหลายต่อหลายครั้ง เพราะวันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตรู่ สร้างบรรยากาศอึมครึมทั้งอากาศและสภาพจิตใจของนัทที่ยังกังวลกับความฝันในคืนที่ผ่านมา วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ...อยากรู้จริง ๆ
นัทยืนมองสายฝนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน สองมือจับเสื้อกันฝนสีใสเพื่อเตรียมพร้อมที่จะไปโรงเรียนแต่เช้า แต่ดูเหมือนท้องฟ้าจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย อยากมีเวลาเดินไปโรงเรียนกับครูสาวเพลิน ๆ แต่ตอนนี้กลับชื้นแฉะ หากจะต้องไปนั่งเรียนต่อมีหวังไม่สบายตัวเป็นแน่
“วันนี้เดี๋ยวป้าไหมไปส่งนะนัท เราก็ออกไปพร้อมกันเลย”
ป้าไหม หรือเพื่อนบ้านผู้ใจดี ที่ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นเดียวกันกับแม่ของนัท ทั้งสองมักจะเดินทางไปกลับสถานที่ทำงานและที่บ้านด้วยกันเป็นประจำ บางครั้งแม่ของนัทก็จะทำอาหารไปให้เธอบ้างเพื่อแสดงความขอบคุณ เพราะเธออยู่บ้านเพียงลำพัง ลูกเต้าเดินทางไปทำงานในเมือง นาน ๆ ครั้งที่จะกลับบ้านมาเยี่ยมบ้านบ้าง ส่วนสามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ทั้งสองรักและคอยสอดส่องดูแลกันและกันราวครอบครัวเดียวกันเสมอมา
“โอเคค่ะ นัทขอร่มคันหนึ่งนะแม่ เผื่อเลิกเรียนฝนตกไม่หนักนัทจะเดินกลับบ้านเองนะ” พูดจบก็เอื้อมมือหยิบร่มสีเขียวที่เสียบเอาไว้กับกล่องข้างชั้นวางรองเท้าขึ้นมา
“เดินกลับทำไม มันไกลนะ เดี๋ยวแม่กับป้าไหมไปรับ”
“งั้นไว้ไปรับนัทที่บ้านครูตานก็ได้แม่”
“หือ? ไปรบกวนครูเขาทำไม”
“ครูตานบอกว่าให้ทำการบ้านให้เสร็จแล้วครูเขาจะเป็นคนตรวจให้ก่อนกลับบ้าน”
“อ๋อ ดีเหมือนกัน จะได้เลิกไปลอกการบ้านเพื่อนแต่เช้าสักที”
“หลังจากนี้แม่จะได้เห็นนัทเป็นเด็กดีขึ้นแน่นอน”
“ดี ๆ ปะ ป้าไหมมาแล้ว ขึ้นรถกัน”
“ค่ะ”


ระหว่างที่เดินทางไปโรงเรียน เมื่อได้ผ่านบ้านครูสาวก็พบว่าที่หน้าบ้านของเธอมีรถเก๋งสีขาวจอดอยู่ ก่อนที่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งดูมีอายุเดินกางร่มพาเธอเดินขึ้นรถ นัทมองตามและเอนหลังลงกับเบาะรถด้วยความสบายใจ วันนี้มีคนมารับแล้ว โชคดีที่ไม่ใช่ครูคณินที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย
เพราะวันนี้ฝนตกหนัก ทำให้ไม่มีกิจกรรมหน้าเสาธงเช่นทุกครั้ง แต่จะเป็นการร้องเพลงชาติและสวดมนต์พร้อมกับเสียงตามสายที่หน้าห้องแทน และผู้ปกครองยังสามารถขับรถไปจอดที่หน้าอาคารเรียนได้เลย นัทจึงกางร่มสีเขียวของเธอเดินเข้าไปยังอาคารเรียน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเร็วเกินไป เพราะทุกครั้งเธอมักจะไปโรงเรียนก่อนใครอยู่แล้ว ทำให้ทั้งอาคารเงียบกริบ มีแค่เพียงเสียงฝน และเด็กนักเรียนห้องอื่นที่นั่งอยู่ระเบียงหน้าห้องบ้างประปราย
เมื่อนัทเดินมาถึงห้องเรียนที่มีป้ายพลาสติกสีน้ำเงินแขวนไว้ที่หน้าห้องว่า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ดูเหมือนกับว่าเธอจะมาเป็นคนแรกเพราะประตูยังคงปิดเอาไว้ แต่เมื่อเธอเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแล้วหมุนเข้าไปก็เห็นเงาของใครบางคนสะดุ้งโหยงและอุทานลั่นในความมืด ทำเอานัทก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจไม่ต่างกัน
“เฮ้ย!!!”
“เฮ้ย! ไอ้โปเต้!! ตกใจหมด!!”
“โอ๊ย! แกนั่นแหละ ทำเราตกใจ โธ่เอ๊ย! ขวัญเอ๊ยขวัญมา หัวใจแทบวาย” พูดพลางเอามือขวาตบหน้าอกปลอบขวัญตัวเองแบบยกใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งใจ นัทเห็นแบบนั้นจึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะเขานั้นยืนอยู่ที่โต๊ะเรียนของเธอ ทั้งที่โต๊ะของเขาคือที่นั่งติดขอบหน้าต่าง
“โปเต้ แกมาทำอะไรที่โต๊ะเราวะ”
“เฮ้ย! เปล่านะ” โปเต้ยกสองมือขึ้นระดับไหล่แสดงท่าทีปฏิเสธ
“ถ้าเปล่าแล้วไปยืนอะไรตรงนั้น แกจะทำอะไร จะขโมยของหรือไง”
“บอกว่าเปล่าไง บ้านเรารวย เราจะขโมยของทำไมวะ ซื้อเองก็ได้ปะ”
“แล้วแกทำอะไรมืด ๆ ทำไมมาแล้วไม่เปิดไฟในห้อง พอเห็นเราเปิดประตูมา แกดูตกใจผิดปกตินะ แกมีพิรุธนะโปเต้” นัทพูดพร้อมกับเดินชี้หน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะมาหยุดที่ต่อหน้า มือก็ยังคงชี้อยู่อย่างนั้น จนสายตาของโปเต้    ล่อกแล่กส่อพิรุธอย่างชัดเจน
“เฮ้ย!! สรุปมาทำอะไรโต๊ะเรา!?” เมื่อนัทขึ้นเสียง โปเต้สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบคว้ามือของนัทเอาไว้แน่น
“นัท ขอล่ะ ถ้าเราบอกแกแล้ว แกอย่าบอกเปานะ สัญญานะนัท”
“ทำไม”
“เราไม่อยากให้เปารู้”
“รู้อะไร เรื่องที่แกจะขโมยของน่ะเหรอ”
“ปะ...เปล่านะ ไม่ได้ขโมยจริง ๆ ไม่เชื่อแกมาค้นกระเป๋าเราดูก็ได้”
“แล้วสรุปแกมาทำอะไรที่โต๊ะเราวะ บอกมา!!”
“เออ ๆ บอกแล้ว คือว่า...”
โปเต้อ้ำอึ้งพลางหันซ้ายหันขวาราวกับหาทางบ่ายเบี่ยงที่จะพูดความจริง ก่อนจะมีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องเขาจึงเอามือรูดซิปปากทันที
“ทำไรกันอะ”
“อ้าวเปา มาพอดีเลย เมื่อกี้โปเต้มัน...” ยังไม่ทันที่นัทจะได้พูดจบ โปเต้ก็รีบเอื้อมมือปิดปากเธอเอาไว้แน่น ก่อนที่นัทจะยกกำปั้นขึ้น เขาจึงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“อะไรนัท โปเต้มันทำไม”
“ไม่มีไรเปา เมื่อกี้เราแค่จะหลอกให้นัทมันตกใจเล่นน่ะ แต่เราดันตกใจเอง น่าเสียดาย แผนล่มหมด”
“นิสัยเสียนะโปเต้ หัดทำอะไรที่มันมีประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เอาแต่แกล้งเพื่อนและแซวสาวไปวัน ๆ น่ารำคาญจังอะ” เปาพูดจบก็ยกเก้าอี้ที่วางอยู่บนโต๊ะลงด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด ส่วนโปเต้เดินกลับไปที่นั่งริมหน้าต่างของตนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้และหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างทำทีไม่รู้ไม่ชี้ นัทจึงมองทั้งสองสลับไปมาด้วยความแปลกใจ
ทำไมวันนี้โปเต้มันถึงไม่เถียงเปานะ...แปลกจัง
“เอ้านี่!” เปาพูดพลางกับหยิบสมุดเล่มสีฟ้ามาวางไว้บนโต๊ะระหว่างที่นัทกำลังยกเก้าอี้ลง
“อะไรอะ”
“การบ้านไง วิชาภาษาไทย”
“ไม่เป็นไร ทำเสร็จแล้ว”
“ฮะ? เฮ้ย...จริงเหรอ นัททำการบ้านเนี่ยนะ!? ถึงว่าล่ะ ทำไมฝนตก”
“เดี๋ยวก่อน...เราก็ทำการบ้านเป็นนะ ปัดโธ่”
“ทุกทีต้องมาขอการบ้านเราไปลอกไม่ใช่หรือไง”
“เลิกแล้วน่า จะเป็นเด็กดีแล้ว”
“ได้ไงเนี่ย...กินยาลืมเขย่าขวดเหรอนัท”
“ฮ่า ๆ ทำไมต้องแปลกใจขนาดนั้น แค่จะเป็นเด็กดีมันดูน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าเราจะทำไม่ได้เหรอเปา”
“เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้น ก็ปกตินัทไม่ค่อยสนใจที่จะทำอะไรไง เลยแปลกใจน่ะ”
“ก็แค่...อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อใครสักคนล่ะมั้ง”
“ฮั่นแน่...เพื่อนนัทครับ อินเลิฟเหรอครับเพื่อน” เด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งริมหน้าต่างเอ่ยแซว ทั้งที่ก่อนหน้าทำทีไม่สนใจสองสาวเสียด้วยซ้ำ
“ยุ่ง!!” เปาตวาดกลับ ทำเอานัทหันไปมองทั้งสองสลับไปมาอีกครั้งด้วยความฉงน
ทำไมวันนี้มันมีมวลแปลก ๆ ระหว่างเปากับโปเต้นะ...
“เฮ้ย!! อะไรเนี่ย!?” เมื่อจู่ ๆ เปาก็ตะโกนเสียงดังลั่น นัทจึงหันขวับไปมองทันที 
เพื่อนสาวสวมแว่นตากรอบใส กำลังถือดอกกุหลาบสีแดงไว้ในมือ ท่าทีดูตกใจไม่น้อย คาดว่าน่าจะหยิบดอกกุหลาบดอกนั้นมาจากใต้โต๊ะเรียน นัทจึงหันกลับไปมองโปเต้ที่ชะเง้อหน้ามามองราวคนอยากรู้อยากเห็น คิดว่า...เธอน่าจะได้คำตอบแล้ว ว่าโปเต้มาทำอะไรแถวโต๊ะเรียนของเธอก่อนหน้านี้
“ดอกกุหลาบไง ไม่รู้จักเหรอ”
“รู้! แต่สงสัยว่าใครเอามาไว้ใต้โต๊ะเรา นัทเอามาใส่เหรอ” ถามพร้อมกับชูดอกกุหลาบขึ้น นัทจึงส่ายศีรษะหงึก ๆ เพื่อปฏิเสธ
“ฮั่นแน่...เปา คนปากจัดอย่างแกก็มีหนุ่มเอาดอกกุหลาบมาให้เหมือนกันเหรอเนี่ย”
“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหมโปเต้ แล้วถ้ามีจริง ๆ แกจะทำไม”
“ก็ไม่ทำไมหร๊อก แค่อยากรู้อะ ว่าใครคิดจะจีบผู้หญิงแบบแกวะ ปากก็จัด ขี้ฟ้องก็ขี้ฟ้อง ประจบครูตลอด”
“มันหน้าที่ของหัวหน้าห้องอยู่แล้วไหม!?”
“โอ๊ย! พอ ๆ เลิกเถียงกันสักที ไม่เถียงกันสักวันมันจะเป็นอะไรไหมเนี่ย เดี๋ยวก็ให้มานั่งข้างกันอีกหรอก!” นัทตอกกลับ
“ไม่!!” เปาและโปเต้ตอบอย่างพร้อมเพรียง
นัทได้แต่นั่งถอนหายใจเฮือกพลางกับส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอา จนเวลาผ่านไปไม่นานนัก เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามาในห้องจนได้ยินเสียงคุยกันโหวกเหวกภายในห้องตามประสานักเรียนที่ได้มาเจอเพื่อนหลังวันหยุดสุดสัปดาห์ 
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงคาบโฮมรูมแล้ว อยากเจอคุณครูประจำชั้นจนใจจะขาดอยู่แล้ว ทำไมเวลามันถึงได้เดินช้านัก นัทใช้นิ้วมือข้างซ้ายของเธอเคาะโต๊ะระหว่างตั้งหน้าตั้งตารอ และเมื่อกลิ่นที่คุ้นเคยโชยมาตามสายลม สายตาของนัทหันไปมองที่ประตูหน้าห้อง ก่อนริมฝีปากอมชมพูจะอ้าค้างอย่างอัตโนมัติ เพราะสาวสวยที่กำลังเดินเข้ามาในห้องใช้มือขวาเสยผมสีดำสลวยเบี่ยงไปทางเดียวกัน หัวใจของนัทเต้นตึกตักราวกับเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งแรก ทั้งที่เธอเคยมีค่ำคืนที่หวานชื่นด้วยกันมาก่อนแล้วเสียด้วยซ้ำ
เมื่อดวงตาทั้งสองหันมาสบประสานกัน รอยยิ้มที่แต้มด้วยลิปสติกสีนู้ดช่างกระชากใจดึงดูดให้นัทมองเธอแบบไม่ละสายตา ไม่ว่าเธอจะแสดงอากัปกิริยาอย่างไร ก็พลอยทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นโครมครามไม่หยุด 
“สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคน ออกไปเข้าแถวหน้าห้องได้แล้วค่ะ จะถึงเวลาเคารพธงชาติแล้ว”
“ครับ/ค่ะ!” เสียงตอบเจี๊ยวจ๊าวพร้อมกับเสียงเลื่อนเก้าอี้ดังตามกันมา นักเรียนในห้องต่างทยอยกันเดินออกไป เว้นก็แต่หญิงสาวผมประบ่าที่นั่งนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ นี่สินะ ที่เขาเรียกกันว่า ตกหลุมรักคนเดิมซ้ำ ๆ 
“นัท วันนี้ไม่ได้ไปที่เรือนเพาะชำก็ไปเข้าแถวกับเพื่อนนะ”
ครูสาวพูด แต่นัทก็ยังคงมองหน้าเธอไม่ละสายตา แถมยังอ้าปากค้างจนอดที่จะขำท่าทีของเธอไม่ได้ เมื่อครูสาวเห็นว่านักเรียนคนอื่นออกไปรอเข้าแถวที่หน้าห้องกันหมดแล้ว เธอจึงใช้ปลายนิ้วมือดันคางของนัทให้หุบปากจนเกิดเสียงฟันกระทบกันดัง กึก!
“ถ้าจะมองครูขนาดนั้นนะ วันนี้ครูสวยกว่าทุกวันหรือไง” ครูสาวพูดด้วยรอยยิ้ม 
“อะ...เอ่อ...ก็งั้น ๆ แหละ”
“อืม...ปากแข็งตลอด แล้วตอนเช้ามาโรงเรียนยังไง”
“ป้าข้างบ้านมาส่งค่ะ”
“อ๋อ ถึงว่าล่ะ ครูไปหาเธอที่บ้านแต่ไม่มีใครอยู่ นึกว่าจะปั่นจักรยานตากฝนมาซะอีก”
“ถ้าเป็นชุดนักเรียนก็ไม่ค่อยอยากปั่นตากฝนมาหรอกค่ะ มันไม่สบายตัว”
“อืม ดีแล้ว ครูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะไม่สบาย”
“ถ้าหนูไม่สบาย ครูก็มาดูแลหนูสิคะ”
“ถึงสบายดีก็จะดูแล”
“เอ่อ...ไปเข้าแถวแล้วนะคะ”
ใบหน้าที่แต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ แถมยังเดินชนโต๊ะ ชนเก้าอี้อย่างลุกลน ดูก็รู้ว่านักเรียนตัวแสบเขินจนทำตัวไม่ถูก ครูสาวมองตามก็ได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู จนป่านนี้ยังจะเขินอีกนะ...


“นัท นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียว”
ระหว่างที่ครูสาวเดินตรวจการบ้านนักเรียนคนอื่น ๆ เปากระซิบถามนัทเพราะเพื่อนสาวตัวแสบนั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยไม่ยอมหุบตั้งแต่เริ่มชั่วโมงโฮมรูม ทั้งที่เมื่อก่อนเอาแต่อยากไปนั่งริมหน้าต่างเพื่อมองออกไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย แต่วันนี้กลับดูตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ การบ้านก็ทำครบทุกวิชา แถมยังดูอารมณ์ดีผิดไปจากเดิมมาก
“เปล่านี่” นัทกระซิบตอบ
“นี่นัทอินเลิฟจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“ทำไมเหรอ เราอินเลิฟไม่ได้เหรอ”
“ก็ได้ ดีซะอีก ที่นัทดูสดใสแบบนี้ เราชอบนะที่เห็นนัทเป็นแบบนี้”
“อืม”
“อยากรู้จัง ว่าใครกันน้า ที่ทำให้นัทเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“ไม่ต้องมาอยากรู้เรื่องเราเลยนะเปา เอาเรื่องตัวเองก่อนเถอะ รู้ยังว่าใครเป็นคนเอาดอกกุหลาบมาไว้ใต้โต๊ะ”
“ไม่รู้อะ แล้วตอนนัทมา นัทเห็นใครเอามาไว้ไหม”
“ไม่นะ สงสัยมีคนแอบชอบเปาล่ะมั้ง”
“จริงเหรอ คนอย่างเราจะมีคนมาชอบด้วยเหรอ”
“มีสิ เปาน่ารักจะตาย”
“อะแฮ่ม!!” เมื่อได้ยินเสียงกระแอมขัดจังหวะ ทั้งสองถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ก็พบว่าครูสาวยืนกอดอกอยู่ต่อหน้า ทั้งสองจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไป
“แฮ่ ๆ”
“ไม่ต้องมาแฮ่ ๆ คุยอะไรกันคะ”
“เปล่าค่ะคุณครู”
“ถ้าเปล่าก็เตรียมเรียนวิชาต่อไปได้แล้ว ส่วนนี่ของเธอ เธอทำตกน่ะ” 
ครูสาวพูดพร้อมกับยื่นดินสอ 2B แท่งสีดำให้กับนัท เธอจึงรับมาแบบงง ๆ ก่อนจะเห็นเลข 0 ที่ก้นดินสอ คล้ายรอยมีดกรีด เธอจึงอมยิ้มออกมาทันที
หมายเลขโทรศัพท์ตัวแรกสินะ...
“ขอบคุณค่ะ”
“สำหรับวันนี้ครูก็ต้องขอบใจนักเรียนทุกคนมากนะ ที่ทำการบ้านเสร็จครบทุกคน ถือว่าปฏิบัติตามกฎของครูดีมาก หวังว่าจะเป็นแบบนี้ทุกวันนะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”
“นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณครูกานต์ธีรา!”
ครูสาวเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งกลิ่นแชมพูสระผมหอมคละคลุ้งปะทะจมูกของนัท เธอนับหนึ่งถึงสามสิบในใจก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วรีบตามไปทันที เมื่อเธอเดินลงบันไดมาก็พบว่าครูสาวยืนอมยิ้มรอเธออยู่ที่ชานพักบันได จะเรียกว่าใจตรงกันหรือบังเอิญที่ทุกอย่างดูเป็นใจไปเสียหมด
“ว่าแล้วเชียว ว่าเธอต้องตามครูมา”
“หนูไม่ได้ตามครูมาซะหน่อย หนูจะไปห้องน้ำ”
“ห้องน้ำอยู่อีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่เหรอ เลิกปากแข็งสักทีได้ไหม”
“ครูนี่รู้ทันหนูหมดเลยนะ หนูมาช่วยถือของค่ะ”
“ถ้าจะช่วยถือของก็ช่วยตั้งแต่อยู่ในห้องก็ได้ ไม่เห็นต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ เลยนะนัท”
“หนูไม่รู้ต้องทำยังไงให้คนอื่นไม่สงสัยเรื่องของเรา”
“ไม่มีใครสงสัยหรอกนัท แค่ทำตัวตามปกติที่นักเรียนคนอื่นเขาทำกัน”
“อ๋อ...งั้นเดี๋ยวหนูเดินไปส่งที่ห้องพักครูนะคะ” นัทพูดพลางกับเอื้อมมือหยิบสายกระเป๋าผ้าสีขาวลายดอกไม้ที่ครูสาวสะพายพาดบ่าอยู่ เธอจึงอมยิ้มก่อนจะเดินนำหน้าไปก่อน ทำให้กลิ่นแชมพูตีปะทะจมูกของนัทอีกครั้ง 
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็มักจะทิ้งกลิ่นให้นัทหลงใหลทุกครั้ง แม้ดอกพุดตานจะไม่มีกลิ่นให้ดอมดม แต่สาวสวยคนนี้กลับพิเศษกว่าดอกพุดตานดอกไหน ๆ บนโลกใบนี้เสียอีก
“ดินสอนั่น...คือเบอร์ครูเหรอคะ”
“นึกว่าจะดูไม่ออกซะอีก”
“ครูนี่ก็สมกับเป็นครูศิลปะจังเลยนะคะ จะให้ด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้ว่างั้น”
“ก็ไม่อยากให้ด้วยวิธีที่ธรรมดา ๆ ไง ขอบคุณนะที่รักษาคำพูด ที่จะเข้าเรียนน่ะ”
“ต่อจากนี้ หนูจะเป็นเด็กดีแล้วนะคะ หนูจะไม่ทำให้ครูต้องเหนื่อย ครูไม่ได้เข้าห้องปกครองเพราะหนูแน่ ๆ”
“อืม ครูรู้ว่าเธอเป็นเด็กดี”
“หนูจะเป็นเด็กดีของครูนะ” 
“อืม” ครูสาวพูดพลางกับอมยิ้ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอาแต่เขินเธอแท้ ๆ บทจะเป็นคนใสซื่อพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับใจสั่นไม่แพ้กัน
เมื่อทั้งสองกำลังเดินลงบันไดอยู่นั้น ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินสวนขึ้นมา ทั้งสามหยุดชะงักอยู่กับที่ก่อนที่นักเรียนหญิงคนนั้นจะยกมือไหว้ครูสาวโดยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ
“สวัสดีค่ะน้าตาน”
“สวัสดีค่ะน้องปราง เพิ่งมาถึงโรงเรียนเหรอ”
“ถึงนานแล้วค่ะ แต่ว่าไปช่วยงานคุณแม่มาน่ะค่ะ” 
เธอพูดโดยไม่หันมามองหน้าเพื่อนรักของเธอแม้แต่น้อย ขอบตาของเธอทั้งแดงและบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าคงร้องไห้มาอย่างหนักแน่ ๆ นัทจึงกลืนน้ำลายลงหนึ่งอึกด้วยความยากลำบาก สถานการณ์ตอนนี้ชวนอึดอัดจนไม่กล้าเอ่ยพูดทักทายเสียด้วยซ้ำ
“อ๋อ ทำไมตาบวมแบบนั้นล่ะน้องปราง แพ้อากาศอีกแล้วเหรอ”
“ค่ะน้าตาน ฝนตกก็แบบนี้แหละค่ะ เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ”
“กินยาแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ จะถึงเวลาเรียนคาบแรกแล้ว”
“โอเคค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
“ค่ะ” พูดจบก็เดินสวนนัทไปทันทีโดยไม่มีการหันมามอง ไม่แม้แต่จะยิ้มทักทาย นัทจึงหันมองตามเธอที่เดินขึ้นบันไดจนสุดสายตา
“ทะเลาะกับน้องปรางเหรอนัท”
“เอ่อ...จะว่างั้นก็คงใช่ค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น ให้ครูช่วยพูดไหม”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องไร้สาระน่ะค่ะ”
“จะว่าเป็นเรื่องของเด็กสินะ งั้นเธอส่งครูแค่นี้ก็ได้ รีบกลับขึ้นไปบนห้องได้แล้ว เดี๋ยวครูท่านอื่นเข้าห้องแล้วจะว่าเธอเข้าเรียนสายนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูส่งครูให้ถึงที่ หนูถึงจะสบายใจ”
“สบายใจอะไร ครูไม่โดนลักพาตัวหรอก”
“ไม่รู้แหละ กลัวเจอครูคณินระหว่างทาง”
“ฮ่า ๆ ขี้หวงจังน้า” พูดจบตานจึงใช้มือบีบที่ปลายจมูกโด่ง ๆ ด้วยความมันเขี้ยว นัทจึงยกมือลูบพลางกับอมยิ้มแบบเขิน ๆ
“ครูคะ ตอนเย็นหนูไปบ้านครูได้ไหม”
“อืม ได้สิ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันนะ ป้ามะลิจะไปทำอาหารให้กิน”
“จะมีคนไปบ้านครูเหรอคะ งั้นหนูไม่ไปดีกว่าค่ะ ไม่อยากรบกวน”
“รบกวนอะไรล่ะนัท ถ้าเป็นเธอน่ะ จะไปเมื่อไหร่ก็ได้เลยนะ”
“หนูมีเรื่องที่จะคุยกับครูเป็นการส่วนตัวมากกว่า หนูไม่อยากคุยตอนมีคนอื่นอยู่ด้วย”
“คุยเรื่องอะไร ทำไมต้องส่วนตัวขนาดนั้น”
“เมื่อคืน...หนูฝันถึงลุงสิบทิศ...”