“เมื่อคืน...หนูฝันถึงลุงสิบทิศ...” เมื่อครูสาวได้ยินแบบนั้น เธอถึงกับชะงักพร้อมกับหัวใจของเธอที่กำลังสั่นไหว
“ฝันว่ายังไงบ้างนัท จำได้ไหม”
“จำได้แม่นเลยค่ะ ในฝันเหมือนลุงสิบทิศพาหนูไปที่ไหนสักที่ เป็นบ้านของคนชื่อวรวุทธ นามสกุลอะไรสักอย่าง อันนี้หนูจำไม่ได้ ครูพอจะรู้จักไหมคะ” เมื่อได้ยินนัทเอ่ยชื่อของใครบางคน ทำเอาครูสาวถึงกับตกใจพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นามสกุลพุทธารักษ์หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่นามสกุลครู ทำไมเหรอคะ ครูรู้จักใช่ไหม”
“ถ้าไม่ใช่พุทธารักษ์ก็คงไม่ใช่คนที่ครูรู้จักหรอกมั้ง แต่ทำไมเธอถึงฝันถึงพี่สิบทิศได้ ปกติเคยฝันถึงหรือเปล่า”
“ไม่เคยเลยค่ะ หนูได้ยินเสียงลุงสิบทิศดังก้องอยู่ในหัว วายังไม่อยากตาย สรุป...วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ลุงสิบทิศต้องการบอกอะไรบางอย่างกับหนูแน่ ๆ”
“มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อ...”
“อ้าว ครูตาน ณิชาภัทร มายืนทำอะไรตรงนี้” ระหว่างที่ทั้งสองกำลังยืนคุยกันอยู่ที่บันไดนั้น ยังไม่ทันที่ครูสาวจะได้พูดจบ ก็มีคุณครูหญิงวัยกลางคนเดินถือหนังสือเพื่อเตรียมสอนสวนขึ้นมาพอดี 
ทั้งสองหยุดชะงักเพียงแค่นั้น ก่อนที่นัทจะยกมือไหว้และเดินเบี่ยงมาทางครูสาวเพื่อเปิดทาง
“สวัสดีค่ะ ครูพิมพ์พร” ครูสาวกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ทำความเคารพครูอาวุโสกว่า
“สวัสดี ขึ้นไปเรียนได้แล้วณิชาภัทร”
“ค่ะครู งั้นหนูขึ้นไปเรียนก่อนนะคะครูตาน”
“อืม ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง” พูดพลางกับรับกระเป๋าจากนัทมาสะพายพาดบ่าไว้ดังเดิม
“ค่ะ ครูพิมพ์พรคะ หนูช่วยถือของนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ” 
ครูสาวมองนัทและครูพิมพ์พรเดินจากไปจนลับตา ก่อนจะเดินไปยังห้องพักครูหมวดศิลปะด้วยความสับสนในใจ เรื่องที่นัทเล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ ที่คนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว จะมาเข้าฝันเพื่อบอกบางสิ่งบางอย่าง แถมตอนนี้ก็กลับมาเกิดใหม่แล้วด้วย...หรือมันจะเป็นเพียงแค่ความฝันนะ...


“พี่ตาน พี่ตานครับ!”
“หะ...ฮะ!?” เพราะเอาแต่เหม่อลอยคิดถึงเรื่องที่นัทพูด ทำให้ตานไม่รู้ตัวว่ามีครูหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาทักทาย แต่เมื่อเขาเรียกสติเธอ ตานถึงกับสะดุ้งโหยง
“ขอโทษที เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ได้สักพักแล้วครับ ใจลอยเลยนะพี่ ผมเข้ามาพี่ยังไม่รู้ตัวเลย”
“อืม คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“สวัสดีค่ะครูตาน ครูต้า” เมื่อมีครูสาวอีกคนเดินเข้ามาในห้องด้วยสภาพที่เปียกปอนและผมยุ่งเหยิง คาดว่าน่าจะวิ่งฝ่าสายฝนมาเป็นแน่ ทั้งที่มือก็ถือร่มคันใสมาด้วยแต่ทำไมถึงเป็นสภาพนั้นได้ เธอเดินเอาร่มไปห้อยไว้ที่หน้าต่างห้องพักครูเพื่อไม่ให้น้ำจากร่มหยดใส่พื้นห้องให้เฉอะแฉะ ครูหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงถอดเสื้อคลุมที่เขาใส่อยู่เพื่อให้ครูสาวสวมคลุมเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ”
“ไปเล่นน้ำมาเหรอหญิง หรือร่มรั่ว ฮ่า ๆ”
“เปล่าค่ะ ก็กางร่มเดินมาโรงเรียนดี ๆ นะ แต่จำได้เลยว่ารถพี่คณินเหยียบน้ำใส่ เป็นผู้ชายที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย ให้ตายสิ” ปากก็บ่นไป พลางกับใช้มือสางผมให้เข้าที่
“คณินอีกละ วีรกรรมเยอะนะมันเนี่ย”
“เขาไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่าหญิง” ตานเอ่ยถาม
“ตั้งใจแน่นอนค่ะ พี่คณินเคยจีบหญิงแล้วหญิงปฏิเสธ เขาเลยแกล้งแทน คงทำเพื่อความสะใจล่ะมั้ง ทำตัวแบบนี้ใครจะอยากคบด้วย”
“แย่เนอะ พี่ฟังคำพูดเขาก็ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่เลย”
“จริงพี่ตาน ผมกลัวอดใจไม่ไหวที่จะอัดมันเหมือนกัน ถ้ามันมาแกล้งอีกบอกผมนะ จะเอาคืนให้สาสมเลย”
“ช่างเถอะ ต่างคนต่างอยู่ ถ้ามันมากเกินไปหญิงนี่แหละที่จะตบให้หน้าหันเลย เนี่ยเมื่อคืนหญิงฝันว่าไปขุดพลอยแต่ดันได้ปลา มันหมายความว่าเราอาจจะถูกกลั่นแกล้งได้ และมันก็ใช่จริง ๆ อะไรจะแม่นขนาดนั้น”
“ฝันแม่นนะเราน่ะ นี่พี่ตาน ถ้าพี่ฝันอะไรให้หญิงตีเลขให้ได้นะ หญิงทำนายฝันแม่นมาก”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“หญิง...พอจะรู้ไหมว่า ถ้าเราฝันถึงคนที่เสียไปนานแล้ว แล้วเขาพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง มันหมายความว่ายังไง” ตานถามจบ ครูสาวอีกคนจึงทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“ก็ถ้าให้ตีความหมาย มันก็อาจจะเกี่ยวกับว่ามีใครบางคนที่จ้องจะกลั่นแกล้งขัดขา หรือถูกคนชั้นสูงรังแก หรือไม่ก็คนที่เสียไปแล้วอยากจะมาบอกอะไรบางอย่างกับพี่ตานก็ได้นะคะ พี่มีศัตรูหรือเปล่า ถ้ามีก็แสดงว่าโดนจ้องเล่นงานอยู่แน่ ๆ”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่ความฝันของพี่ พอดีมีคนมาเล่าความฝันให้ฟังน่ะ แต่พี่ได้ยินแล้วไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้”
“โห พอมาฟังความหมายแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจเลยสิครับพี่ตาน”
“อย่าไปคิดมากเลยค่ะครูตาน มันก็แค่ความฝัน มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้นะคะ”
“อืม พี่ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นแล้วกัน...”


“ปราง เป็นอะไร ทำไมวันนี้ดูซึม ๆ” รุ้งถามพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง เพราะปรางเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่เดินเข้าห้องเรียน จนถึงเวลาพักกลางวันก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรกับใคร เมื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ทยอยออกจากห้องจนหมดแล้ว รุ้งจึงเปิดประเด็นทันที
“เราบอกชอบนัทไปแล้วนะ” ปรางตอบด้วยใบหน้านิ่งเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้
“จริงเหรอ ผลเป็นไงบ้าง”
“ปรางมันซึมแบบนี้คิดว่าผลจะเป็นยังไงล่ะรุ้ง” กรีนตอบพลางกับถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่บ่าของปรางด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“เรารู้แล้วนะ ว่านัทก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน”
“เฮ้ย!! แบบนี้ก็มีโอกาสสมหวังสิ!!?”
“นัทชอบผู้หญิง แต่นัทไม่ได้ชอบเรา” คำตอบของปราง ทำเอาเพื่อนรักทั้งสองถึงกับสะอึก 
“นัทยังคุยกับเธอเหมือนเดิมไหมปราง” รุ้งถาม ปรางจึงส่ายศีรษะไปมา
“เฮ้ย! ทำไมมันทำแบบนี้กับเธออะ แย่ ๆ อย่าไปสนใจมันเลย เธออุตส่าห์คอยช่วยเหลือทุกอย่าง จะมาเลิกคุยเพราะถูกบอกชอบมันก็ไม่ใช่ปะ”
“กรีน เธอจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนะ นัทก็ไม่ได้ผิดที่เลิกคุย ถ้าเป็นเธอ เธอจะคุยต่อไหมล่ะ ถ้ารู้ว่าเพื่อนแอบรักตัวเองมาตลอดน่ะ สมมตินะ ว่าฉันแอบรักเธอ แล้วฉันสารภาพรักไปเธอจะรู้สึกยังไง”
“ก็ไม่ไงนะ ก็ไม่ได้คบ และก็ไม่เลิกเป็นเพื่อนกันด้วย แต่นัทมันมะ...”
“พอสักทีเถอะ!! สมใจพวกเธอหรือยัง อยากให้เราบอกนัทมากใช่ไหม ตอนนี้ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว!”
“ใจเย็นสิปราง ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ นัทอาจจะตกใจจนไม่กล้าคุยกับเธอ เพราะกลัวจะเสียเพื่อนไปเหมือนกันมั้ง”
“ตอนไม่บอกมันก็ดีอยู่แล้วอะ!!”
น้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความเสียใจเพราะไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้อีกแล้ว ปรางปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก สองมือกำแน่น เพื่อนสาวจะเข้าไปสวมกอดเธอก็ผลักออก จึงทำได้แค่มองหน้ากันเท่านั้น
หญิงสาวที่ตั้งใจจะมาขอโทษเพื่อนรัก แต่เมื่อเธอเห็นกลุ่มเพื่อนรักของเธอยังนั่งอยู่ในห้องเรียน เธอจึงคอยด้อม ๆ มอง ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าห้อง เธอยืนแอบอยู่ที่หน้าประตูเพื่อที่จะฟังบทสนทนาที่ทั้งสามกำลังคุยกัน เสียงสะอื้นราวคนจะขาดใจดังออกมาไม่ขาดสาย ทำเอาหัวใจของเธอเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
ปราง...นัทขอโทษ...


ซ่า...ซ่า...
ต่อก...ต่อก...ต่อก...
เสียงฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลงสลับกับเสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นปูนซีเมนต์ชื้นแฉะเพราะขังไปด้วยน้ำฝน หญิงสาวเดินอยู่ภายใต้ร่มสีน้ำเงินเข้มแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวก็พลอยเปียกไปด้วย เพราะร่มคันเล็กเกินกว่าจะบังฝนได้มิด 
มือซ้ายของเธอมีถุงห่อข้าวร้อน ๆ ที่บรรจุลงไปในกล่องทัพเพอร์แวร์สีน้ำเงินที่เธอพกมาด้วย รองเท้าคัทชูสีดำก็เปื้อนไปด้วยโคลนเมื่อเธอเข้ามาสู่เขตเรือนเพาะชำ กลิ่นดินชื้น ๆ ก็โชยปะทะจมูก จะว่าหอมก็หอม จะว่าไม่พึงประสงค์ก็ใช่ สำหรับคนที่ไม่ชอบก็คงไม่ย่างกรายมาทางนี้แน่
เหล่าพืชผัก ดอกไม้ หรือแม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ เมื่อได้น้ำแลดูชุ่มชื้นและบานสะพรั่ง หากจะเปรียบดั่งคน ก็ราวกับคนที่ได้รับความสุขจนชีวิตอิ่มเอมแล้ว ครูสาวยืนมองดูพลางกับอมยิ้ม ตอนนี้เธอเข้าใจอีกคนอย่างสุดซึ้งว่าการดูแลเหล่าพืชผักให้เติบโตนั้น ก็ช่วยให้มีความสุขได้ดีเลยทีเดียวเมื่อได้เห็นผลลัพธ์จากความใส่ใจหมั่นดูแลในทุก ๆ วัน
เอี๊ยด...
เสียงบานพับประตูเก่าคร่ำครึจนมีสนิมเขรอะ ส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดเมื่อครูสาวใช้มือดันบานประตูไม้เข้าไป วันนี้คงไม่ได้เจอนักเรียนในการดูแลของเธอที่นี่ เพราะภายในเรือนไม้ดูมืดและอึมครึมจากสภาพอากาศที่ฟ้าครึ้มจนทำให้ภายในห้องมืดไปด้วย แต่ยังดีนักที่มีแสงจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างไม้ที่เปิดอ้าเอาไว้ ทำให้ยังพอมองเห็นภายในอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าภายในเรือนไม้ไม่มีใครอยู่ จังหวะที่เธอจะหันหลังกลับนั้นก็เห็นร่างของใครบางคนนั่งพิงผนังฟุบหน้าลงที่หัวเข่าอยู่ทางด้านขวาของประตูที่เธอยืนอยู่ เธอจึงวางร่มสีน้ำเงินเข้มไว้ที่หน้าประตู ก่อนจะเดินไปนั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ พร้อมกับเอื้อมมือลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือนักเรียนคนโปรดของเธอนั่นเอง เด็กสาวเงยหน้าขึ้นด้วยสภาพที่สะลึมสะลือ คาดว่ารอคอยครูสาวนานจนผล็อยหลับไป
“มานั่งหลับอะไรตรงนี้ แล้วทำไมไม่เปิดไฟ เป็นอะไรหรือเปล่า” ไม่มีคำตอบใดจากนักเรียนหญิง แต่เธอกลับโผเข้ามากอดร่างครูสาวจนพาเจ้าตัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
“นะ...นัท! ครูเจ็บ”
“นึกว่าครูจะไม่มาแล้ว หนูรอครูตั้งนาน”
“ขอโทษนะ พอดีครูมีประชุมน่ะ แล้วนี่กินข้าวยัง”
“ยังค่ะ ครูล่ะคะ”
“ยังเหมือนกัน ครูซื้อมากินกับเธอ” พูดพลางกับคว้าถุงกล่องข้าวขึ้นมาชูให้นัทดู นัทจึงอมยิ้ม ก่อนจะผละตัวออก
“ทำไมมานั่งตรงนี้ ไม่ไปนั่งบนเก้าอี้ล่ะนัท แล้วทำไมไม่เปิดไฟ”
“บางทีหนูก็อยากนั่งอยู่ในที่มืด ๆ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า บอกครูได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ รู้สึกเหนื่อย ๆ ไม่มีแรงเลย”
“ไม่กินข้าวจะมีแรงได้ไง งั้นกินข้าวกับครู”
ครูสาวเปลี่ยนอิริยาบถด้วยท่านั่งพับเพียบปลายเท้าชี้ไปทางซ้าย แล้วจึงจัดกล่องทัพเพอร์แวร์มาเปิดวางไว้ที่พื้นคั่นกลางระหว่างเธอและนัท ส่วนนัทนั่งพับเพียบปลายเท้าชี้ไปทางด้านขวา
มือข้างขวาตักแกงจืดเต้าหู้ลงไปที่กล่องข้าวสวยร้อน ๆ ก่อนจะตักขึ้นมาเป่าเบา ๆ จากนั้นจึงยื่นให้กับนัทโดยใช้มือซ้ายรองเอาไว้ป้องกันข้าวหกลงพื้น
“อ้ำ”
“ครูทำเหมือนหนูเป็นเด็กเลยนะคะ”
“ก็เธอยังเด็กอยู่นี่นา กินเร็ว”
“หนูโตแล้วนะ”
“จะกินหรือไม่กิน” ไม่มีคำตอบนอกจากยอมอ้าปากกินข้าวที่ครูสาวป้อนแต่โดยดี ริมฝีปากอิ่มที่แต้มด้วยลิปสติกสีนู้ดจึงฉีกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
“ก็แค่นั้นแหละ”
“อาหย่อย” พูดระหว่างเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ
“เคี้ยวก่อนค่อยพูดก็ได้ไหม” ทั้งสองยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่นัทจะหยิบช้อนมาตักข้าวขึ้นมาเป่าและป้อนครูสาวคืนบ้าง
“เราไม่ไปนั่งกินบนโต๊ะดี ๆ เหรอคะ”
“นั่งกินแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันอร่อยกว่าทุกวันเลยนะรู้ไหม”
“ทำไมคะ หนูว่าวันนี้รสชาติก็เหมือนเดิมทุกวันนะ”
“เปล่า เพราะกินกับเธอมากกว่า”
คำตอบของครูสาวทำเอานัทถึงกับต้องเบือนหน้าหลบไปทางอื่นพร้อมกับเม้มปากเอาไว้ด้วยความเขินอาย เธอก็ยังเป็นเธอที่พ่ายแพ้ให้กับครูสาวทุกที 
“ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาเขินนะนัท รีบกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวก็หมดเวลาพักก่อนหรอก”
“อะ...อืม...” 
ต่างฝ่ายต่างผลัดกันตักข้าวป้อนกันและกัน แม้กับข้าวจะเป็นแกงจืดเต้าหู้ที่เกือบจะไร้รสชาติ แต่วันนี้กลับเป็นอาหารมื้อพิเศษที่อร่อยกว่าทุกครั้ง และอิ่มใจกว่าทุกครั้งเช่นกัน

เมื่อกินข้าวกันเสร็จแล้วนั้น ทั้งสองนั่งเอนหลังพิงผนังเรือนไม้เอาไว้ โดยนัทนั่งเหยียดขาออกมาด้านหน้า ส่วนครูสาวยังนั่งพับเพียบเช่นเดิมและเอาศีรษะซบที่ไหล่ของนัทเอาไว้ มือข้างที่ถนัดของทั้งสองจับประสานกันเอาไว้แน่นบนตักของนัท เสียงฝนและกลิ่นดินก็ยังคงโชยมาไม่หยุด ในมุมมืด ๆ ที่อาศัยแสงจากด้านนอกส่องเข้ามาแบบสลัว ๆ แม้อากาศจะเย็นก็ไม่ได้ทำให้เหน็บหนาวแต่อย่างใด
“นัท...เรื่องความฝันของเธอ ครูรู้สึกเหมือนมันมีอะไรบางอย่าง”
“หนูก็คิดแบบนั้น”
“วรวุทธน่ะ...มันคือชื่อพี่ชายของครูเอง แต่ครูก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาใช้นามสกุลอะไร เพราะเราถูกจับแยกกันตั้งแต่เด็ก”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เล่าให้หนูฟังได้ไหม ถึงหนูจะเป็นเด็ก แต่หนูก็รับฟังครูได้นะ”
“อืม...ครูกับพี่ชาย เราได้แยกกันตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นครูแค่เก้าขวบเองมั้ง วันนั้นครูกลับจากโรงเรียนแล้วรู้สึกว่าบ้านมันเงียบกว่าทุกวัน...”


“คุณแม่!! คุณแม่คะ!” เด็กหญิงเดินขึ้นมาบนบ้านด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในใจ วันนี้บ้านดูผิดปกติไปจากเดิม เพราะไร้ร่างของคนเป็นแม่มารอรับ เธอสอดส่องและกวาดสายตาไปรอบ ๆ บ้าน ก็ไร้วี่แววของผู้ใด
“คุณแม่คะ!! หนูกลับมาแล้ว!!”
“มันไม่อยู่แล้ว!!” เสียงทุ้มและหนักแน่นตอบกลับมาจากทางด้านหลัง เด็กหญิงหันขวับด้วยความตกใจ ก่อนจะเดินก้าวถอยหลังออกห่างเพราะสายตาของคนเป็นพ่อดูดุดันราวกำลังโกรธจัด
“คุณแม่ไปไหนคะ”
“มันหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไปแล้ว!!”
“หนีตามผู้ชายคืออะไร...แล้วพี่ว่านไปไหนคะ”
“แกอยากรู้ไหมว่าหนีตามผู้ชายคืออะไร แม่แกน่ะ มันระยำ นอกใจกูไปหาผู้ชายคนอื่น ไอ้ว่านก็ระยำ เป็นลูกของพวกระยำเหมือน ๆ กัน มันไม่ใช่ลูกกู  กูไม่ให้พวกอัปรีย์มันมาอยู่บ้านกูเด็ดขาด!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คนเป็นพ่อพูดหมายความว่าอย่างไร แต่การที่เขาใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเธอราวกับเคียดแค้น เธอก็สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ เสียงสะอื้นดังออกมาด้วยความเจ็บปวด มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร พี่ชายของเธอไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ อย่างนั้นหรือ
“ฮึก ๆ พ่อพูดอะไร...ฮึก”
“คุณคะ!! อย่าพูดแบบนั้นให้คุณหนูได้ยินนะคะ แกยังเด็กอยู่นะ!!” หญิงวัยกลางคนวิ่งขึ้นมาบนเรือนอย่างร้อนใจ ก่อนจะดึงเด็กหญิงเข้าไปกอดเอาไว้แน่น พร้อมกับใช้มือปิดหูเธอเอาไว้
“ทำไมกูจะพูดไม่ได้!!!”
“พอเถอะค่ะ!! ช่วยสงบสติอารมณ์ก่อนได้ไหม!! นี่ลูกสาวของคุณนะคะ”
“ลูกสาวกูงั้นเหรอ...กูก็ชักจะไม่มั่นใจ ว่านี่คือลูกของกูหรือเปล่า หรือคือลูกของไอ้ระยำนั่น!!!”
“คุณพจน์!!! นี่คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง คุณเป็นพ่อภาษาอะไร!!!”
“ฮึก ๆ ฮือ!! ฮือ...”
“ไปกันค่ะคุณหนู ไปอยู่เรือนเล็กกับป้านะคะ” 
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงร้องไห้โฮเสียงดังขึ้น คนเป็นแม่เลี้ยงจึงพาเธอลงจากเรือนทันที ปล่อยให้คนเป็นพ่อยืนหายใจฟึดฟัดอยู่บนเรือนราวกับยักษ์ก็ไม่ปาน


“ตอนนั้นครูก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ครูจำ...จำมาตลอด จนวันที่ครูโตพอที่จะรู้ความหมายของมัน ครูเองก็เจ็บปวดกับสิ่งที่แม่ทำ แต่ครูก็ยังรอ...รอว่าสักวันแม่ของครูจะกลับมาหรือติดต่อมาหาครูบ้าง พี่ชายของครูเรียนสายอาชีพ เราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ หลังจากวันที่แม่กับพี่ชายของครูไม่อยู่ บ้านมันก็เงียบเหงา ไม่อบอุ่นเหมือนเดิม”
ครูสาวเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความอัดอั้นในใจ เรื่องแบบนี้เธอไม่สามารถคุยกับใครได้ ทำให้เธอต้องเก็บความเจ็บปวดแสนสาหัสแบบนี้มานานครึ่งชีวิต มือข้างขวาของนัทเอื้อมมาลูบศีรษะของเธอช้า ๆ คนที่นอนซบไหล่ก็ยังจับมือข้างซ้ายเอาไว้แน่น
“ทำไมครูถึงยังรอคนที่ทำร้ายครูให้กลับมาคะ”
“เพราะเขาคือคนที่ครูรักที่สุดไงนัท ยังไงเขาก็คือแม่ของครู และต่อให้พี่ว่านจะไม่ใช่พี่ชายของครูจริง ๆ แต่ครูก็รักเขา เพราะเราโตมาด้วยกัน และพี่ว่านก็คอยดูแลครูอย่างดีมาตลอดด้วย”
“เป็นไปได้ไหมคะ ว่าลุงสิบทิศต้องการให้หนูตามหาพี่ชายของครู”
“ไม่รู้สิ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ที่เธอฝันถึงชื่อนั้นได้ แถมคนที่ทำให้เห็นดันเป็นพี่สิบทิศอีก นี่มันเรื่องอะไรกันนะ”
“เราลองไปตามหาพี่ชายของครูดูไหมคะ เผื่อลุงสิบทิศอยากให้ครูกับพี่ชายของครูกลับมาเจอกันอีกก็ได้ รวมถึงแม่ของครูด้วย”
“ครูไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหนน่ะสิ พี่ว่านโตมาหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ และตอนนี้ยังใช้นามสกุลพุทธารักษ์อยู่หรือเปล่า แล้วเป็นตายร้ายดีที่ไหนครูไม่เคยรู้เลย อ๊ะ!! จริงสิ!!” ครูสาวพูดพร้อมกับพุ่งตัวออกมา ก่อนจะหันมากุมมือทั้งสองข้างของนัทเอาไว้
“นัท เธอรู้จักหรือพอจะจำคนชื่อสิงห์ได้ไหม”
“สิงห์? ใครเหรอคะ”
“เขาเคยเป็นเพื่อนรักของพี่สิบทิศน่ะ ตอนนี้เขาเป็นตำรวจ ครูว่าเขาน่าจะช่วยครูตามหาพี่ชายครูได้นะ”
“ทำไม...หนูได้ยินชื่อนี้แล้วหนูรู้สึกตงิดใจแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนจะเป็นคนไม่ดีเลย”
“นี่! ฝังใจจนมาถึงชาตินี้เลยเหรอนัท”
“หมายความว่าไงคะ”
“ตอนที่พี่สิบทิศยังมีชีวิตอยู่ เขาสองคนทะเลาะกันมาตลอด มันเลยทำให้ชาตินี้เธอรู้สึกไม่ดีมั้ง แต่ตอนนี้พี่สิงห์เป็นคนดีแล้วนะนัท เชื่อสิ ว่าพี่สิงห์ช่วยเราเรื่องนี้ได้แน่ ๆ”
“แต่หนูไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย หนูอยากไปตามหากับครู แค่เรา...ได้ไหมคะ”
“แค่เราสองคนจะไปตามหาได้ยังไงล่ะนัท เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายครูเลยนะ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้”
“เฮ้อ...แต่หนูสังหรณ์ใจแปลก ๆ หนูกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีเลยถ้ามีคนรู้เรื่องนี้”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว เรื่องของเรามันจะมีแค่เราที่รู้ ส่วนเรื่องพี่ชายครูก็ให้คนที่เขากว้างขวางช่วยสืบให้ดีกว่า”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องกลัวนะนัท ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครูก็จะไม่ทิ้งเธอไปไหนแน่นอน เชื่อใจครูนะ” 
เพราะแววตาที่มุ่งมั่นและน้ำเสียงที่หนักแน่น ทำให้นัทเชื่อ...เชื่อว่าทุกอย่างมันจะเป็นไปได้ด้วยดี ริมฝีปากอมชมพูเผยรอยยิ้มช้า ๆ พร้อมกับที่เธอเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มขวาของครูสาวอย่างแผ่วเบา
“จูบได้ไหม”
“อะไร ใช่เวลามาจูบกันไหมเนี่ย และเราก็ไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ที่โรงเรียนนะนัท”
“แต่เย็นนี้เราก็ไม่ได้เจอกันแล้วนะคะ แถมหนูยังไม่ได้เบอร์ครูอีก หนูคงคิดถึงครูแย่เลย” 
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วไหม”
“ครู...หนูขอกำลังใจหน่อยสิ วันนี้เหนื่อยมากเลย การนั่งเรียนนาน ๆ มันเสียพลังงานชีวิตมากเลยนะคะ”
“ครูสอนหนังสือก็เหนื่อยเหมือนกันนั่นแหละ แถมยังมีประชุมอีก วันนี้ครูเหนื่อยกว่าเธ...”
ยังไม่ทันที่ครูสาวจะได้พูดจบ ริมฝีปากอิ่มที่แต้มด้วยลิปสติกสีนู้ดก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากอมชมพูอย่างรวดเร็ว แต่เธอไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธหรือต่อต้านดวงตาทั้งสองคู่หลับพริ้มก่อนจะขยับอ้ารับกันและกันช้า ๆ ท่ามกลางเสียงฝนที่เทลงมาอย่างหนัก กลิ่นกายหอม ๆ กับรสจูบที่หวานชื่นทำลายความเหนื่อยล้าให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ครูสาวถอนริมฝีปากออกช้า ๆ แต่จมูกโด่ง ๆ ยังคงถูไถที่แก้มเนียนอย่างออดอ้อนจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่หายใจรดแก้มของเธออยู่
“หายเหนื่อยยัง” ครูสาวเอ่ยถาม
“ยังค่ะ...ขออีก”
“อืม” พูดจบก็เอียงคอประกบริมฝีปากเข้าด้วยกันอีกครั้งแบบแนบแน่น ก่อนที่เธอจะผละออกมา และโน้มตัวจุ๊บที่ปลายจมูกโด่ง ๆ ไปหนึ่งที
“พอได้แล้วมั้ง”
“ขออีก”
“พอแล้ว”
“ครูขา...นะ นิดนึง” น้ำเสียงพร้อมกับสายตาที่ออดอ้อนแบบทวีคูณแต่ครูสาวหาได้หวั่นไหว เธออมยิ้มอย่างมีชัย แต่ก็ไม่วายโน้มตัวเข้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากตามคำร้องขอ
“ครั้งนี้พอแล้วนะ”
“ก็ได้”
“เสพติดครูเกินไปแล้ว”
“หนูก็รักของหนูอะ”
“รู้แล้วว่ารัก แต่เราไม่ควรทำแบบนี้ที่โรงเรียน ครูให้แค่วันนี้วันเดียวนะ”
“เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ งั้นไว้หนูไปค้างบ้านครูอีกนะ”
“อืม ได้สิ แล้ววันนี้จะไม่ไปกินข้าวด้วยกันจริง ๆ เหรอ ครูอยากให้เธอเจอป้ามะลิ เขาคือป้าแท้ ๆ ของพี่สิบทิศ เธอน่าจะดีใจนะที่จะได้เจอเขา”
“ไว้วันหลังดีกว่าค่ะ หนูไม่อยากเจอใคร”
“โอเค ๆ ครูไม่อยากบังคับเธอ”
“แต่หนูอยากบังคับครูอะ”
“บังคับอะไร”
“อยากจูบอีก”
“พอแล้ว!!” พูดจบก็ฟาดไปที่แขนของนัทไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว
“คิก ๆ ครูเขินเหรอ”
“ไม่ได้เขิน แต่ต้องรู้จักพอ”
“งั้นหอมแก้มหนูทีหนึ่ง หนูจะพอ” พูดพลางกับยื่นแก้มป่อง ๆ ไปหาครูสาว แต่อีกคนกลับเบ้ปากและตบแก้มป่อง ๆ ดังเพี้ยะจนลมพุ่งออกจนหมดราวกับลูกโป่งแฟบ
“นี่แน่ะ ให้มันรู้ซะบ้าง ถ้ายังดื้ออีกเดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”
“ฮ่า ๆ ดุชะมัด”
“เดี๋ยวเถอะ กลับอาคารเรียนกัน”
“ครูไม่น่ามานั่งพื้นกับหนูเลยอะ กระโปรงครูเปื้อนฝุ่นหมด ครั้งหน้านั่งตักหนูนะ จะได้ไม่เปื้อน”
“ยังอีก!!”
“ฮ่า ๆ ล้อเล่น” เพราะหน้าทะเล้น ๆ ของนักเรียนคนโปรด ครูสาวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าด้วยความเอ็นดู ก่อนหน้านี้เอาแต่เขินแท้ ๆ บทจะเป็นฝ่ายรุก ก็รุกหนักจนเธอก็ใจเต้นแรงเหมือนกัน
เธอนี่นะ...น่ารักเป็นบ้า...