ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 20 สิ่งที่ต้องแลก

ป้าบ!!
“ป้าบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีก!!”
เสียงตวาดดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นักหลังจากได้ยินคุณหนูที่เธอรักและหวงแหนมาทั้งชีวิต เอาแต่พูดถึงคนที่ทอดทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็กโดยไม่สนใจไยดีเธอแม้แต่น้อย
หญิงสาวนั่งกัดฟันแน่น การที่จะถามถึงบุพการีนั้นมันผิดมากขนาดนั้นเชียวหรือ เธอได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจและกำมือทั้งสองข้างบนโต๊ะอาหารที่คนเป็นแม่เลี้ยงเพิ่งจะตบโต๊ะดังลั่นแล้วยืนตวาดเธออย่างคนลืมตัวเพราะถูกครอบงำด้วยโทสะ
“ตานแค่อยากรู้ว่าแม่เป็นยังไงบ้าง แม่อยู่สบายดีหรือเปล่า ทำไมป้าต้องโกรธขนาดนั้นล่ะคะ”
“แล้วทำไมคุณหนูเอาแต่ถามหาผู้หญิงคนนั้น คนที่ทิ้งคุณหนูไปแล้วไม่แม้แต่จะติดต่อมาสักครั้ง ป่านนี้เขาคงมีความสุขกับผู้ชายคนใหม่จนมีลูกมีหลานหมดแล้วมั้งคะ!!”
“แต่เขาเป็นแม่ตานนะคะป้ามะลิ!!”
“แม่เหรอคะ ผู้หญิงที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายน่ะเหรอคะ ที่คุณหนูเรียกว่าแม่”
“เขาเป็นคนคลอดตานมา จะดีจะเลวเขาก็คือแม่ของตาน ป้าไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นกับแม่! ตอนนี้ตานต้องการเจอแม่กับพี่ว่าน และตานก็จะให้พี่สิงห์ช่วยหาที่อยู่ของแม่ให้ได้ ป้าอย่ามาขัดตานเลยค่ะ”
ดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันและกันด้วยความโกรธ ตอนนี้คุณหนูพุดตานที่อยากรู้อะไรต้องได้รู้กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง มะลิคว้ากระเป๋าถือของเธอขึ้นมาพร้อมกับเก็บข้าวของของตนใส่ในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาหญิงสาวอีกครั้ง
“ตอนนี้สิงห์คือลูกเขยของป้า เขาเชื่อฟังคำสั่งของป้าแน่ คุณหนูไม่มีทางที่จะได้เจอหน้าสองคนนั้นอีก!!”
“ป้า!!! ป้าทำแบบนั้นเพื่ออะไร!!?”
“เพื่อที่จะปกป้องคุณหนูไงคะ สิ่งที่ป้าทำน่ะ ป้าหวังดีต่อคุณหนูทั้งนั้น อะไรที่จะทำให้คุณหนูต้องกลับไปเจ็บปวดกับเรื่องในอดีตขอให้หยุดซะนะคะ เรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกัน”
“เด็กคนนั้นมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ป้ารู้นะคะว่าคุณหนูยังรักสิบทิศอยู่ การที่คุณหนูได้มาเจอเด็กผู้หญิงคนนั้นที่คุณหนูเชื่อว่าเป็นสิบทิศมาเกิดใหม่น่ะ มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณหนูจะรักแกได้ หรือความรักครั้งนี้มันจะสมหวังหรอกนะคะ แกคงไม่ได้รักคุณหนูหรอก และแกก็คงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่มีครูมารู้สึกชอบพอแก” 
ประโยคที่พูดออกมาอย่างหนักแน่นและแฝงไปด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจผู้ฟังจนแทบสะอึก มุมปากสีนู้ดข้างหนึ่งจึงยิ้มตั้งเพราะสิ่งที่ได้ยินนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปากที่คาดเดาแบบผิด ๆ เท่านั้น
“ป้าเข้าใจผิดแล้วค่ะ เราสองคนรักกัน ชาตินี้ตานสมหวังแล้วล่ะค่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ แต่ก็อย่าคิดว่าคุณผู้ชายจะยอมรับเด็กบ้าน ๆ คนหนึ่งเลยค่ะคุณหนู แล้วอย่าลืมสถานะตัวเองสิคะ ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรและแกเป็นอะไร ความรักระหว่างครูกับนักเรียนน่ะ มันผ…”
“ตานจะไปลาออกแล้วค่ะ ป้าไม่ต้องห่วง ก็ถ้าคำว่าครูมันค้ำคอตานก็แค่ลาออกมาเป็นคนธรรมดาทั่วไป แบบนี้...ตานก็รักกับเขาได้แล้ว”
“เหอะ! ทิ้งอนาคตเพื่อที่จะไปอยู่กับเด็กคนหนึ่งน่ะเหรอคะ เลือดแม่มันแรงสินะคะ ถึงได้เห็นความรักมันมีค่ามากกว่าอนาคตของตัวเอง”
“ป้ามะลิ!! ป้าก็แค่คนอื่น ป้าไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้!! อนาคตตาน ตานเลือกเองได้”
“คุณหนูเลือกไม่ได้หรอกค่ะ เพราะไม่ว่ายังไง คุณผู้ชายก็ไม่มีวันยอมให้คุณหนูรักกับเด็กคนนั้นแน่ และป้าเอง...ก็จะไม่มีวันยอมเหมือนกัน!”
“ที่ผ่านมายังทำลายชีวิตตานไม่พออีกเหรอ!!? เมื่อไหร่จะเลิกมาวุ่นวายกับชีวิตตานสักที!! แค่เสียพี่สิบทิศไปมันยังไม่ทำให้ป้ากับพ่อคิดได้อีกเหรอ ว่าไม่ควรไปขัดขวางความรักของคนอื่น จะทำลายชีวิตตานไปถึงไหน!!!?”
“ที่ป้าและคุณผู้ชายทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากให้คุณหนูมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งนั้นแหละค่ะ ก็ถ้าคุณหนูเป็นคนไม่รักดีอยู่แบบนี้ เห็นทีป้าต้องพาคุณหนูกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วล่ะค่ะ”
“ตานไม่กลับ!! และป้าไม่มีสิทธิ์!!”
“แต่ตอนนี้ถ้าป้าพูดอะไร ทุกคนที่บ้านต้องเชื่อฟังป้าแน่ ขอตัวก่อนนะคะ ป้าไม่มีเวลามาฟังคนที่ไม่รักตัวเองเอาแต่พูดพล่ามถึงเรื่องในอดีตหรอกค่ะ”
พูดจบมะลิคว้ากระเป๋าถือใบโตเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่แยแส ตานนั่งกำหมัดแน่นทั้งน้ำตา ความรู้สึกผิดหวังและอารมณ์โกรธถาโถมเข้าใส่จนมือทั้งสองข้างสั่นเทา แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปแต่ทุกอย่างในชีวิตเธอกลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ตานยังคงถูกขีดเส้นและตีกรอบการใช้ชีวิตอยู่เช่นเดิม แม้แต่เรื่องหัวใจที่เคยเกิดโศกนาฏกรรมมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกแก้ไข หนำซ้ำยังวนเวียนกับชะตากรรมเดิม ๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ลิขิต ทำไมถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก


“เอ้อนี่! นก เดี๋ยววันนี้มากินข้าวด้วยกันนะ พอดีลูกสาวพี่กลับบ้านน่ะ”
หญิงดูมีอายุเอ่ยพลางกับขับรถท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หนักมากนัก เสียงที่ปัดน้ำฝนที่สภาพยางเก่าและไร้ประสิทธิภาพจนได้ยินเสียง     เอี๊ยดอ๊าดเมื่อเสียดสีกับกระจก นัทนั่งมองดูสายฝนนอกหน้าต่างรถพลางกับคิดถึงเรื่องในความฝันโดยไม่สนใจหญิงรุ่นแม่ทั้งสองที่กำลังคุยกันระหว่างทาง
“ถึงว่าล่ะ ทำไมพี่ไหมซื้อของไว้เยอะแยะเลย”
“ลูกกลับมาทั้งที ก็อยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน เนี่ยเห็นบอกว่าจะพาว่าที่ลูกเขยมาด้วยนะ”
“โห...วันครอบครัวแบบนี้อย่าให้นกกับลูกไปเลยพี่ไหม”
“ไม่ต้องมาเกรงใจเลยนะ คนกันเอง เราพึ่งพาอาศัยกันมาตั้งนาน ไปกินข้าวด้วยกันนะนัท”
“อ๋อ...ค่ะ” เมื่อถูกถามแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งยังไม่ได้ฟังใจความของ    บทสนทนา ทำให้นัทตกปากรับคำทันทีจนคนเป็นแม่ส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับหันไปยิ้มให้คนเป็นพี่ที่กำลังขับรถอยู่
“เห็นทีจะได้ไปแล้วล่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ดีเลย ช่วยพี่ทำกับข้าวหน่อยน้า”
“ได้สิพี่ไหม เดี๋ยวนกช่วยเอง”


ปี๊บ ๆ
เสียงแตรรถยนต์ที่ดังขัดจังหวะหญิงรุ่นแม่ทั้งสองที่กำลังวุ่นกับการหุงหาอาหาร นัทที่จัดโต๊ะอาหารก็ถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะมองตามคนเป็นเจ้าบ้านเดินไปส่องที่หน้าต่างบ้านของตน
“อ๊ะ! มากันแล้ว ๆ”
เธอพูดด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น พร้อมกับเปิดประตูบ้านออกไปต้อนรับลูกสาวที่วิ่งมาสวมกอดเธอด้วยความดีใจ ก่อนจะมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนแบบธรรมดา ๆ แต่ดูจากผิวพรรณและการวางตัวแล้วคาดว่าจะมีฐานะพอสมควร
“แม่!! คิดถึงจัง แม่สบายดีไหมคะ” หญิงสาวสวมกอดคนเป็นแม่ก่อนจะถูกหอมแก้มไปฟอดใหญ่
“สบายดีลูก นี่น้องนัทที่อยู่ข้างบ้านเรา จำได้ไหม” หญิงรุ่นแม่เอ่ยแนะนำ หญิงสาวจึงหันมามองนัทพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด นัทจึงยกมือไหว้ทั้งสอง ก่อนเธอจะเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา
“อ๋อ! โห!! น้องนัทเหรอเนี่ย โตเป็นสาวแล้วสวยขนาดนี้เลยเหรอ เนี่ยตัวเอง น้องคนที่เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าระลึกชาติได้น่ะ” เมื่อชายหนุ่มว่าที่สามีได้ยินแบบนั้นจึงหันมายิ้มให้กับนัท แต่เธอกลับรู้สึกหวิว ๆ ในใจแปลก ๆ
“เอ่อ...พี่ข้าวเอาหนูไปขายเหรอคะเนี่ย”
“ฮ่า ๆ ไม่ได้ขายสักหน่อย แค่เล่าให้แฟนฟังเอง มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ”
“สวัสดีครับ ดีใจที่ได้มาเจอตัวจริงนะครับ พี่ชื่อว่านนะ”
“สวัสดีค่ะ”
“แล้วตอนนี้ยังจำอะไรในอดีตได้อยู่ไหมครับ”
“ลืมไปหมดแล้วค่ะ”
“อ๋อ เหมือนพี่จะเคยได้ยินมานะ ว่าถ้าใครระลึกชาติได้ พอโตมาก็อาจจะลืมเรื่องต่าง ๆ ไป มันจริงเหรอเนี่ย”
“เอาล่ะ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ข้าวกับว่านก็ขนของไปเก็บในห้องก่อนนะ พักสักหน่อยแล้วค่อยออกมากินข้าวนะลูก”
“ค่ะแม่ ปะตัวเอง ขนของกัน” นัทยืนมองหนุ่มสาวทั้งสองเดินขนสัมภาระเข้าไปในห้องนอนด้วยความฉงนในใจ ทำไมกันนะ...ความรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้มันคืออะไร

“แม่ แฟนพี่ข้าวนี่เป็นคนที่ไหนเหรอ” นัทถามระหว่างที่แม่ของเธอกำลังจัดหมอนทั้งสองใบไว้ข้าง ๆ กัน จากเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา ทำให้เธออดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้จึงต้องมานอนเป็นเพื่อนอีกครั้ง
“ไม่รู้สิ แม่ก็ไม่ได้ถามป้าไหม ทำไมเหรอ”
“เปล่า นัทแค่อยากรู้ ดูเหมือนจะรวยหรือเปล่าแม่”
“แม่ไม่รู้”
“นี่แม่รู้อะไรบ้างเนี่ย”
“เอ้า! แม่จะไปรู้เรื่องของคนอื่นได้ยังไง มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรู้สักหน่อย”
“เฮ้อ...นัทคงคิดไปเองล่ะมั้ง”
“คิดอะไร”
“ไม่รู้สิแม่ พอเห็นหน้าพี่ว่านแล้วนัทรู้สึกแปลก ๆ ถ้าจะว่าเป็นคนที่นี่นัทก็เชื่อนะ”
“ไม่ใช่หรอก พี่ข้าวเขาไปทำงานในเมือง อาจจะได้พบรักกันที่ทำงาน เขาอาจจะเป็นคนจากที่อื่นหรือไม่ก็เป็นคนในเมืองล่ะมั้ง”
“นั่นสินะ”
“แล้ววันนี้ปรางไม่โทรมาหาเหรอ”
“ไม่ค่ะ คงจะวุ่น ๆ เรื่องเรียนพิเศษล่ะมั้ง ไหนจะเตรียมสอบอีก”
“ก็หัดเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างสิ หนังสือหนังหาไม่รู้จักอ่าน วัน ๆ ไปคลุกแต่อยู่เรือนเพาะชำ”
“บ่นจัง นอนดีกว่า” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนหันก้นไปทางแม่ มันน่านัก…

ในคืนนั้นเอง หญิงสาวเข้าสู่ห้วงนิทราและได้ฝันร้ายอีกครั้ง โดยเรื่องราวในความฝันเหมือนกับในคืนที่ผ่านมาราวกับเป็นคืนเดียวกัน ใบหน้าที่โชกไปด้วยเหงื่อสะบัดไปมาไม่หยุด ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้นจนเหนื่อยหอบ หนังตาของเธอกระตุกและกลอกไปมาทั้งที่ยังคงหลับใหล
วรวุทธ คมประสิทธิ์
“เฮือก!! ฮือ...ฮือ...” นัทสะดุ้งเฮือกตื่นจากความฝัน สองมือของเธอกำแน่นที่ผ้าห่มผืนหนาจนยับยู่ยี่ ครั้งนี้เธอจำชื่อในความฝันได้แม่น แต่สิ่งที่ผิดไปจากเดิมคือ เธอปวดที่บั้นเอวข้างขวาบริเวณที่มีปานแดงจนน้ำตาไหลพราก เพราะหากดิ้นหรือขยับตัวแม้ติดนิดเดียวเธอจะเจ็บปวดราวกับโดนสายฟ้าช็อตจนได้แต่นอนตัวแข็งทื่อส่งเสียงคร่ำครวญทั้งน้ำตาเพื่อที่จะปลุกคนเป็นแม่ให้ตื่น
“นัท!! เป็นอะไรลูก!”
“แม่...ฮือ ๆ นัทฝันร้ายอีกแล้ว ฮึก ๆ”
“อะไรนะ!? นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ มันอะไรกันนักกันหนา!!” คนเป็นแม่ราวกับคนเสียสติก็ไม่ปาน เธอไม่รู้ว่าจะโทษใครเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เธอโอบกอดร่างลูกสาวทั้งน้ำตา ยิ่งเห็นอีกคนทรมานเธอก็ทรมานยิ่งกว่า
นัทนอนตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดและร้องไห้ไม่หยุด ความทรมานที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนทำเธอไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหนได้ มันปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลังลามไปถึงต้นขา เรี่ยวแรงที่มีก็แทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่ในความคิดของเธอกลับพยายามท่องจำชื่อในความฝันให้ขึ้นใจ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เธอต้องแลกเพื่อที่จะตามหาความจริง ว่าในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
เช้าวันถัดมา แม่ของนัทร้อนใจเป็นอย่างมากในเรื่องของความฝัน เธอจึงโทรศัพท์ไปลากับคุณครูประจำชั้นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะพาลูกสาวไปหาพระอาจารย์รูปหนึ่งที่เธอศรัทธาตั้งแต่สมัยสามีของเธอยังไม่เสียชีวิต โดยคนที่พาไปคือลูกสาวและว่าที่ลูกเขยของเพื่อนบ้านเธอนั่นเอง
ตอนนี้อาการเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า และวันนี้ท้องฟ้าดูปลอดโปร่งราวกับเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส แต่สถานการณ์ตอนนี้นัทกลับนั่งเงียบเป็นกังวลกับความฝันในคืนที่ผ่านมา
รถเก๋งสีขาวขับไปตามทางแบบไม่รีบร้อนนัก เพราะหนุ่มคนขับดูใจเย็นและสุขุมผิดไปจากเมื่อวานที่ดูอบอุ่นเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เมื่อรถไปจอดยังลานกว้างใต้ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ทั้งสี่เดินลงจากรถพร้อมกับเครื่องสังฆทานในมือคนละชุด ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาการเปรียญขนาดไม่ใหญ่มากที่สามารถจุคนได้ราวห้าสิบคน เพราะเป็นวัดในหมู่บ้านจึงไม่ได้เป็นวัดที่ใหญ่โตมากนักและมีพระสงฆ์เพียงแค่สามรูปเท่านั้น


“วันนี้มีเรื่องอะไรถึงมาหาอาตมาล่ะโยมนก”
“หลวงตาจำลูกสาวของฉันได้ไหมเจ้าคะ”
“จำได้สิ โยมนัทที่ตอนเป็นเด็กระลึกชาติได้ใช่ไหม” เจ้าอาวาสที่มีอายุอานามมากแล้วแต่ยังความจำดีราวกับเป็นพระสงฆ์บวชใหม่ถามพลางกับหันมามองนัทที่นั่งพับเพียบพนมมือไว้กลางอก โดยมีหญิงสาวและชายหนุ่มที่เป็นคนพามานั่งถัดไปทางด้านหลัง
“ใช่เจ้าค่ะ” คนเป็นแม่ตอบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“มีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือ”
“ลูกสาวฉันฝันร้ายมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่คิดว่าพอโตขึ้นจะหนักขึ้นเจ้าค่ะหลวงตา”
“หนักขึ้นที่ว่า หนักขึ้นยังไง”
“นัทเขามีอาการแปลก ๆ เจ้าค่ะ ปกติไม่เคยฝันในช่วงกลางดึกเขาก็ฝัน แถมตื่นมาเพ้อว่าตัวเองจะจมน้ำตายอีก ฉันทุกข์ใจมากเจ้าค่ะหลวงตา เป็นห่วงลูกสาว กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือทำให้เขาป่วยได้”
“ไหนโยมลองเล่าความฝันให้อาตมาฟังหน่อยสิ” เจ้าอาวาสกล่าวยิ้ม ๆ ราวกับรู้อะไรบางอย่างแต่ก็ยังไม่พูดอะไรนอกจากให้นัทเล่าความฝันให้ฟัง นัทจึงหันไปมองหน้าแม่ของเธอก่อนจะเริ่มเล่าสิ่งที่เธอฝัน
“เอ่อ...ทุกครั้ง หนูฝันว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำตายค่ะ ซึ่งมันจะเป็นช่วงเวลาเย็น ๆ ตลอด แต่ตอนนี้มันแปลกไปจากเดิมคือหนูฝันช่วงกลางดึกด้วย แต่ก่อนที่กำลังจะจมน้ำ หนูฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขากำลังพาหนูไปที่ไหนสักที่ แต่พอหนูได้รู้อะไรบางอย่าง ก็เหมือนกับว่าร่างของหนูถูกดึงลงไปในแม่น้ำเย็น ๆ มันเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจจริง ๆ มันทรมานมากเลยค่ะ”
“แล้วโยมรู้อะไรมา”
“มันเป็นชื่อของคนคนหนึ่งค่ะ”
“ไม่ใช่เพราะโยมหรอกเรอะ ที่อยากรู้เรื่องในอดีตมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองน่ะ อย่าเอาตัวเองไปผูกกับเรื่องในอดีตเลยโยม อย่าสร้างบ่วงกรรมกันอีกเลย ต่อให้จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรใครไม่ได้หรอกโยม”
พระอาจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้มพลางกับมองหน้านัทแบบไม่ละสายตา ซึ่งนัทก็จ้องมองคิ้วขมวด สิ่งที่พระท่านว่านั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
“ใจคนอำมหิตยังไง เวลาผ่านไปมันก็อำมหิตอย่างนั้น เหมือนผ้าขาวที่ถูกแต้มด้วยสีดำ โยมจะมองให้มันใสสะอาดดังเดิมไม่ได้อีกแล้ว อโหสิกรรมซะเถอะ และใช้ชีวิตในแบบที่มันควรจะเป็น ก่อนที่อะไรมันจะสาย”
“หมายความว่ายังไงเจ้าคะหลวงตา” คนเป็นแม่เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“อาตมาพูดได้แค่นี้ ที่เหลือก็ขอให้โยมนัทจงอยู่กับปัจจุบันนะ อย่าเอาชีวิตของตัวเองไปแลกกับสิ่งที่มันแก้ไขไม่ได้เลย” สิ่งที่เจ้าอาวาสพูดทุกคนถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย มีแต่นัทคนเดียวที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าสิ่งที่พระท่านพูดมานั้น ถูกต้องทั้งหมด...


“ลุงสิบทิศ!! รอหนูด้วย!! แฮก ๆ” หญิงสาวพยายามวิ่งตามร่างชายหนุ่มที่เดินไปตามทาง บริเวณโดยรอบราวกับควันโขมงสีขาวหนาตาจนมองเห็นได้ไม่ถนัดนัก แม้เขาจะเดินช้า ๆ แต่เธอกลับเร่งความเร็วอย่างไรก็ไม่ทันถึงตัวเขาเสียที และเมื่อเขาหยุดยังหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีป้ายไม้แกะสลักแขวนไว้ที่หน้าบ้านว่า 'วรวุทธ คมประสิทธิ์' รอยยิ้มจึงเผยออกมาจากใบหน้าของเขา
“ที่นี่คือบ้านของใครเหรอคะลุงสิบทิศ แล้วลุงต้องการจะบอกอะไรกับหนู” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด”
“หมายถึงครูตานใช่ไหมคะ”
“ใช่...อย่าให้ใครมาทำร้ายเธอ”
“หนูไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่เรารักแน่ แล้วลุงพาหนูมาที่นี่ทำไม” สิ้นคำถาม ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันก็เลือนรางจางหายไปดั่งอากาศ ก่อนที่จะมีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน หน้าตาของเขาช่างคุ้นเคยนัก ใช่...ผู้ชายคนนั้น เธอเพิ่งจะเคยเห็นหน้าเมื่อตอนเย็นวันนี้เอง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวขาเข้าไปหาชายคนนั้น ร่างของเธอก็ถูกดึงให้จมดิ่งลงไปยังก้นแม่น้ำ ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานถาโถมเข้าใส่ดังพายุ ครั้งนี้ไม่เพียงแค่หายใจลำบาก แต่ยังเจ็บปวดที่บั้นเอวข้างขวาราวกับถูกของแข็งบางอย่างเสียบคาอยู่ สายน้ำที่เคยใส กลับแปรเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงฉาน...เธอกำลังจมไปในแม่น้ำสีเลือด...


“นัท!” เมื่อคนเป็นแม่เรียกสติ นัทถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ตอนนี้รถเก๋งสีขาวมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว นัทหันไปมองชายคนขับด้วยความรู้สึกจุกอยู่ในอก ขนาดในความฝันยังเจ็บปวดขนาดนี้ ถ้าหากเป็นเรื่องจริง และผู้ชายคนนี้คือพี่ชายคนของที่เธอรักจริง ๆ เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี
“เป็นอะไรหรือเปล่านัท” หญิงสาวหันมาถาม
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ข้าว”
“ขอบคุณมากนะพ่อว่าน หนูข้าว ขอโทษด้วยนะที่น้าต้องรบกวน อุตส่าห์กลับมาทั้งที แทนที่จะได้พักผ่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะน้านก ถ้าไม่ช่วยเหลือกันตอนนี้จะไปช่วยเหลือกันตอนไหนล่ะคะ จริงไหมคะ”
“จ้า ขอบคุณอีกทีนะลูก ปะนัทเข้าบ้านกัน”
“พี่ว่านคะ พี่ว่านมีน้องสาวหรือเปล่า” เมื่อนัทเอ่ยถาม ทุกคนบนรถถึงกับชะงักและหันมามองหน้าเธอแบบงง ๆ 
“ไม่มีครับ พี่เป็นลูกคนเดียว” ชายหนุ่มตอบ
“ไม่มี...จริง ๆ เหรอคะ” นัทยังคงถามย้ำอีกครั้ง
“มีอะไรสงสัยหรือเปล่านัท เอาแต่นั่งมองหน้าพี่มาตลอดทางเลย”
“พี่ชื่อวรวุทธหรือเปล่าคะ” สิ้นคำถามของนัท ทุกคนต่างขมวดคิ้วผูกกันเป็นโบว์ เธอไปรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไรกัน
“ทำไมน้องรู้จักชื่อพี่ล่ะครับ”
“นั่นสิ เมื่อวานพี่ยังไม่ได้บอกชื่อจริงพี่ว่านเลยนะ”
“พี่รู้จักคนชื่อพุดตานหรือเปล่าคะ” 
“นัท!! พูดอะไรของลูกน่ะ เข้าบ้านได้แล้วอย่าไปรบกวนพี่เขา ต้องขอโทษด้วยนะพ่อว่าน ปกติลูกสาวน้าไม่ค่อยยุ่งกับใครเท่าไหร่ แต่ทำไมวันนี้ถึงเอาแต่สงสัยก็ไม่รู้”
“พี่รู้จักใช่ไหมคะพี่ว่าน” แม้คนเป็นแม่จะคะยั้นคะยอให้นัทลงจากรถ แต่เธอก็ยังคงนั่งนิ่งและเอ่ยถามซ้ำ ๆ 
“ไม่ครับ พี่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ข้าวพี่ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ พี่รู้สึกปวดหัวยังไงก็ไม่รู้”
“อ้าว พี่ว่าน ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“น้าว่าเราเข้าบ้านกันเถอะ ลงไปได้แล้วนัท เลิกสงสัยสักทีได้ไหม” 
เมื่อนัทยังคงดื้อดึงไม่ยอมลงจากรถ คนเป็นแม่จึงต้องเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งที่นัทนั่งอยู่แล้วดันตัวนัทให้ลงจากรถไป แต่นัทก็ยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เธอเอ่ยถามอีกครั้งจนชายหนุ่มที่กำลังจะเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก
“นามสกุลของพี่...คือพุทธารักษ์ใช่ไหมคะ!?”