ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 21 โชคไม่เข้าข้าง

เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมรอบ ๆ บ้านปูนขนาดเล็ก ภายในบ้านนั้นเงียบสงัดเพราะอยู่กันแค่เพียงสองแม่ลูกเท่านั้น ไม่มีการดูโทรทัศน์ หรือละครหลังข่าวเช่นบ้านหลังอื่น ๆ มีแค่เพียงกลิ่นธูปเทียนตลบอบอวลรอบ ๆ โถงบ้าน
นัทนอนใช้มือก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นทำเธอสับสนจนพาหัวใจปั่นป่วน ทุกอย่างมันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยสักอย่างจริง ๆ


“นามสกุลของพี่...คือพุทธารักษ์ใช่ไหมคะ!?” สิ้นคำถามของเด็กสาวทำเอาทุกคนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง 
“นี่น้องพูดอะไรของน้องน่ะ ชื่อจริงพี่ ชื่อวรวุทธ ทุ่งประสงค์ แล้วคนที่น้องถาม พุดตงพุดตานอะไรนั่นน่ะ พี่ไม่รู้จักหรอกนะครับ แล้วพี่ก็เป็นลูกคนเดียวด้วย น้องคงจำคนผิดแล้ว”
“อะ...อะไรนะคะ!?” คำตอบของชายหนุ่มทำนัทรู้สึกผิดหวัง มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเธอเพิ่งจะฝันถึงเขาในคืนก่อน
“หนูไม่เชื่อ พี่ต้องนามสกุลพุทธารักษ์มาก่อนแน่ ๆ ใช่ไหมคะ”
“นัท! พอได้แล้ว เลิกไปรบกวนพี่ว่านเขาสักที! ข้าวพาพ่อว่านไปพักผ่อนเถอะ น้าขอบคุณอีกครั้งนะลูก”
“โอเคค่ะ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“พี่ว่าน!! พี่นามสกุลพุทธารักษ์ใช่ไหม!? ไม่สิ นามสกุลของพี่คือคมประสิทธิ์ใช่ไหมคะ!?”
เมื่อนัทยังคงดื้อดึงไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ แม่ของเธอจึงต้องกระชากแขนเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างหัวเสีย
“นัท!! นี่มันเรื่องอะไร ทำไมถึงรู้จักชื่อพี่ว่าน แล้วไปเอานามสกุลนั้นมาจากไหน นั่นมันนามสกุลคนใหญ่คนโตเลยนะ”
“นัทก็แค่เห็นว่าพี่เขาดูรวยอะ นัทก็เลยลองถามดูเฉย ๆ”
“ไปกันใหญ่แล้ว อย่าถามอะไรเลอะเทอะแบบนั้นอีกนะ ถ้าคนในตระกูลนั้นมาได้ยิน นัทจะซวยได้นะรู้ไหม”
“ทำไมต้องซวยอะ แค่พูดถึงนามสกุลเอง แล้วแม่รู้จักตระกุลพุทธารักษ์ด้วยเหรอ”
“ตระกูลคนใหญ่คนโตแบบนั้นใครเขาก็รู้จัก ต้นตระกูลเขามีอิทธิพลในระแวงนี้ เอ...แต่พักหลัง ๆ มานี้ ลูกหลานบ้านนั้นเขาไม่ออกสื่อนานแล้วเหมือนกัน”
“หมายความว่าไงเหรอแม่ที่บอกว่าไม่ออกสื่อ แม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลนั้นบ้าง”
“แม่เห็นเขาพูดกันว่า ลูกสะใภ้บ้านนั้นหนีตามผู้ชายคนอื่นไป แล้วหลังจากที่หลานสาวไปเรียนต่อก็ไม่กลับบ้านอีกเลย สงสัยจะแอบมีลูกมีผัวจนไม่กล้ากลับบ้านล่ะมั้ง”
“ใครเป็นคนพูดอะแม่”
“แม่ไม่รู้ เขาพูดต่อ ๆ กันมา ยังไม่มีใครเคยเห็นหลานสาวบ้านนั้นเลย เคยได้ยินว่ามีหลานชายเหมือนกันนะ แต่ก็มีคนพูดว่า หลานชายน่ะ คือลูกของชู้ ก็เลยถูกไล่ออกจากบ้านไป แต่แม่ก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าใครเป็นใคร มันเรื่องของครอบครัวเขา”
“แล้วตอนนี้ตระกูลนั้นเป็นยังไงอะแม่ ได้ยินข่าวอะไรอีกไหม”
“แม่จะไปรู้ได้ยังไง แล้วทำไมดูสนใจเรื่องตระกูลนั้นจังล่ะ”
“ก็แค่อยากรู้ เห็นเขาพูดกันว่า พุทธารักษ์ พุทธารักษ์ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีเรื่องราวอะไรขนาดนั้นได้”
“อย่าไปเอามาพูดเล่นอีก เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ”


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง นัทถึงกับสะดุ้งโหยงปลุกเธอจากภวังค์ในทันที
“เข้ามาเลยแม่! ไม่ได้ล็อก!”
“นัท ครูตานโทรหา” ทันทีที่ได้ยินชื่อของครูสาว นัทจึงดีดตัวลุกขึ้นวิ่งไปรับโทรศัพท์จากคนเป็นแม่ทันที ท่าทีของเธอดูกระตือรือร้นอย่างน่าสงสัย แต่แม่ของเธอก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากปิดประตูห้องแล้วกลับไปนั่งสมาธิต่อเท่านั้น
“ค่ะครู คิดถึงหนูจนต้องโทรมาเครื่องแม่เลยเหรอคะ งี้แหละ หนูขอเบอร์ครูแล้วแต่ครูไม่ให้หนูเอง”
“ไหนแม่บอกว่าไม่สบายไง ทำไมเสียงดี๊ด๊าแบบนี้ล่ะ ป่วยการเมืองหรือเปล่าเนี่ย”
“หนูไม่ได้ป่วยสักหน่อย แต่แม่พาหนูไปวัดมาค่ะ”
“อ้าว ทำไมเหรอนัท ถึงกับต้องลาโรงเรียนไปเลยเหรอ ครูเป็นห่วงแทบแย่ นี่เธอขาดเรียนคาบครูอีกแล้วนะ”
“แม่เป็นห่วงหนูเรื่องความฝันค่ะ ก็เลยพาไปหาพระ”
“ยังฝันร้ายอยู่อีกเหรอ”
“ใช่ค่ะ ครูคะ ตั้งแต่เจอครู ทำไมหนูฝันถึงลุงสิบทิศช่วงกลางดึกก็ไม่รู้   มันแปลกมากเลย ตอนแรกหนูคิดว่าลุงสิบทิศต้องการจะบอกอะไรหนูหรือเปล่า แต่พอมาวันนี้หนูคิดว่าไม่น่าใช่”
“ทำไมถึงว่าไม่น่าใช่ล่ะ”
“ลุงสิบทิศบอกมั่วน่ะสิคะ หนูเกือบซวยแล้ว หนูไม่เข้าใจเลย บางเรื่องมันก็ตรง บางเรื่องมันก็ไม่ตรง คืนก่อนหนูฝันถึงชื่อพี่ชายครูใช่ไหม แล้วเมื่อคืนหนูฝันถึงหน้าพี่ชายครูเลยค่ะ แต่มันดันผิดก็ตรงที่ ผู้ชายคนนั้นคือแฟนคนข้างบ้าน ไม่ใช่พี่ชายครู หนูคงคิดมากจนเก็บเอาหน้าพี่เขาไปฝันมั้งคะ”
“มันคงไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง ที่พี่ชายครูจะเป็นแฟนของเพื่อนบ้านเธอได้ โลกมันจะกลมขนาดนั้นเลยเหรอ”
“นั่นน่ะสิคะ อุตส่าห์มั่นใจแล้วเชียว ดันหน้าแตกซะได้ แล้วครูรู้จักนามสกุลคมประสิทธิ์ไหมคะ เมื่อคืนนี้หนูจำนามสกุลได้แม่นเลย บ้านหลังนั้นมีป้ายชื่อแขวนไว้ว่า วรวุทธ คมประสิทธิ์” 
เมื่อปลายสายจู่ ๆ ก็เงียบไปหลังจากที่นัทถามจบ คิ้วทั้งสองข้างจึงขมวดผูกเป็นโบว์ทันที
“ครูคะ ได้ยินหนูไหม”
“นัท”
“คะ?”
“นั่นมันนามสกุลแม่ของครู”
“เฮ้ย!!! งั้นก็หมายความว่า ลุงสิบทิศต้องการบอกอะไรบางอย่างกับหนูจริง ๆ สิคะ!!?”
“อืม ครูว่ามันต้องใช่แน่ ๆ แล้วแฟนเพื่อนบ้านเธอชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไงนัท”
“พี่เขาชื่อว่าน วรวุทธ เหมือนพี่ชายครูเป๊ะเลย แต่นามสกุล ทุ่งประสงค์ค่ะ หน้าตาเขาก็ดูเหมือนคนรวยนะคะ ผิวพรรณดีเลยแหละ”
“ไม่น่าจะใช่พี่ชายครูมั้ง พี่ชายครูเรียนสายอาชีพ เขาน่าจะทำงานหนัก ผิวพรรณเขาอาจจะไม่ได้ดีก็ได้”
“โอ๊ย ยากจังอะ การตามหาใครสักคนมันยากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“เฮ้อ...ครูคงต้องลองไปขอร้องพี่สิงห์ดูแล้วล่ะ เผื่อพี่สิงห์จะยอมฟังครู การตามหาพี่ชายครูคงไม่ง่ายแล้วล่ะ”
“หนูไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เลยอะครู แม่บอกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่าพี่ชายครูเป็นลูกชู้ เรื่องในบ้านครูมันมาถึงหูชาวบ้านได้ไง”
“เพราะเป็นตระกูลใหญ่ล่ะมั้ง เรื่องมันถึงแพร่ไปถึงชาวบ้านได้ เป็นใครก็คงพูดถึง”
“เขาบอกว่า หลานสาวบ้านนั้น แอบไปมีลูกมีผัวด้วยนะคะ มันจริงไหมอะ”
“ถ้าจะมีผัว มันก็คงเป็นเธอนั่นแหละ!! เดี๋ยวตบปากสักทีดีไหม ถามมาได้ยังไง ก็บอกไปแล้วนี่ว่าไม่เคยมีอะไรกับใคร!!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ครูพูดมาได้ไงอะ ไม่อายเหรอ”
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!!!”
“ฮ่า ๆ ไม่ตบหรอก มันเจ็บ”
“เจอหน้าล่ะโดนแน่”
“ฮ่า ๆ คิดถึงนะคะ”
“ไม่ต้องมาบอกคิดถึงเลย ไม่คุยด้วยแล้ว วางแล้วนะ”
“เอ้า!! เดี๋ยวค่ะ!! ยังไม่หายคิดถึงเลย อย่าเพิ่งรีบวางสิคะ”
“ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ วันนี่รีบนอนได้แล้ว เดี๋ยวแม่จะสงสัย คุยนานไม่ได้”
“ครูก็ให้เบอร์หนูมาสักทีสิ จะทำให้มันยากทำไม”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกจ้ะณิชาภัทร”
“ไม่ง่าย แต่หนูก็ได้ครูแล้วล่ะ”
“นัท!!!! พูดอะไรเนี่ย!! ถ้าแม่ได้ยินจะทำยังไง”
“ฮ่า ๆ แม่ไม่ได้ยินหรอก แม่ไปนั่งสมาธิค่ะ”
“เฮ้อ...อย่าพูดแบบนี้อีกนะ มันอันตรายมากเลยนะนัท”
“โอเคค่ะ หนูจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว”
“อืม ครูวางแล้วนะ”
“บอกฝันดีหนูหน่อยสิคะ”
“ขอให้คืนนี้หลับฝันดีนะนัท อย่าให้ฝันร้ายอีก”
“ขอบคุณนะคะ ครูก็...ฝันถึงหนูด้วยนะคะ”
“อืม...วางแล้วนะ”
“ค่ะ หนูรักครูนะ”
เมื่อปลายสายกดวางสายไปแล้ว นัทจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะวางของข้างเตียง ก่อนจะนอนมองภาพวาดดอกพุดตานอัดกรอบพลางกับอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถ้าเธอสามารถตามหาพี่ชายของครูสาวได้ก็คงจะดี 
“คิดถึงนะคะครูตาน...” คำพูดสุดท้ายก่อนที่หญิงสาวจะผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะอุ่นใจที่ได้ยินเสียงคนที่รักสุดหัวใจก็เป็นได้ หวังว่าคืนนี้เธอจะไม่ฝันร้ายอีก
เอี๊ยด...
เสียงบานประตูไม้ที่เปิดเข้ามาช้า ๆ แสงจากหลอดไฟในห้องนอนที่สาดส่องออกไปตกกระทบกับร่างหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องช้า ๆ และลงฝีเท้าให้เบาที่สุด เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมากำเอาไว้ในมือด้วยความร้อนใจ ก่อนจะเดินจากไป และแสงไฟภายในห้องก็ดับลง

ตกดึกคืนนั้นเอง สิ่งที่หวังเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง นัทยังคงฝันร้ายเหมือนคืนที่ผ่านมา และยังเจ็บปวดรวดร้าวบริเวณบั้นเอวด้านขวาหรือบริเวณปานแดง ความทุกข์ทรมานนี้ไม่ได้มีแค่เพียงเธอที่ต้องหลั่งน้ำตา แต่คนเป็นแม่ที่รักเธอดั่งแก้วตาดวงใจก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
เธอกอดร่างลูกสาวเอาไว้ทั้งน้ำตา ร่างในอ้อมกอดนอนตัวแข็งทื่อ และส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด กลัวเหลือเกิน กลัวว่าความฝันจะกัดกินลูกสาวของเธอจนกลายเป็นอีกคนที่เธอไม่รู้จัก 
“แม่...ฮือ ๆ นัทเจ็บ นัทเจ็บตรงปาน ฮือ ๆ นัทเจ็บแม่....ฮือ...”
“ฮึก ๆ นัท...พอสักที!! เลิกคิดถึงอดีตสักทีนะลูก แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว...พี่ไม้ ฮือ ๆ ช่วยลูกด้วย อย่าให้ใครมาทำร้ายลูกเรา...ฮือ ๆ”
เสียงวิงวอนราวจะขาดใจของคนเป็นแม่ที่ไม่รู้จะหาวิธีช่วยลูกสาวอย่างไรไม่ให้ต้องทรมานแบบนี้อีก เธอเองก็จวนจะเป็นบ้าอยู่แล้วที่ต้องเห็นลูกสาวเป็นสภาพแบบนี้มาตั้งแต่เกิด โตมาก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายยังหนักข้อขึ้นกว่าเดิมลามมาถึงกลางดึกได้แบบนี้...นี่มันเรื่องอะไรกัน...


“นัท ตั้งแต่วันนี้แม่กับป้าไหมจะไปส่งที่โรงเรียนนะ”
“อ้าว ทำไมอะแม่ วันนี้ฝนไม่ตกสักหน่อย”
“เถอะน่า แม่เป็นห่วง ปั่นจักรยานไปกลับโรงเรียนมันก็รวมเกือบสิบกิโลเลยนะ กว่าจะมาถึงบ้านก็ค่ำพอดี”
“ไม่เอาอะ นัทกลับเองได้ ปกตินัทก็ปั่นจักรยานไปกลับเองอยู่แล้วไหมอะ”
“เชื่อแม่เถอะ เดี๋ยวแม่กับป้าไหมจะไปรับไปส่ง เข้าใจไหม”
“ไม่ นัทจะไปเอง!”
“อย่าให้แม่ต้องเอาจักรยานไปขายทิ้งเลยนะนัท ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้! แม่เป็นห่วงนัทมากแค่ไหนรู้ไหม!?”
“อะไรเนี่ยแม่ ก็ถ้าแม่มานอนด้วยแล้วแม่จะเป็นแบบนี้ นัทนอนคนเดียวก็ได้นะ นัทแค่ฝันร้ายทำไมต้องดูห่วงไปซะทุกอย่างเลยอะ”
“แค่ฝันร้ายเหรอ? นัทพูดมาได้ยังไง ถ้าแค่ฝันร้ายแล้วทำไมต้องทรมานเหมือนจะตายขนาดนั้น มันอะไรกันนักกันหนา นัทคิดอะไรอยู่ พอสักทีเถอะ เลิกคิดถึงอดีต แล้วอยู่กับปัจจุบันสักที!! แม่ไม่อยากให้นัทตายนะ!!!”
“แม่พูดอะไรของแม่น่ะ”
“หลวงตาบอกแม่ว่า นัทกำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนอีกคน เขาคนนั้นกำลังจะกัดกินตัวนัทนะรู้ไหม มันจะทำให้นัทไม่เป็นตัวเอง ที่เลวร้ายกว่านั้น...นัทจะตายเพราะเขา!!”
“ไปกันใหญ่แล้วแม่!! นัทไม่ตายหรอก และตอนนี้นัทก็มีความสุขดีด้วย แม่ห่วงนัทเกินไปนะบางที ห่วงจนไม่มีเหตุผล นัทไปโรงเรียนละนะ เดี๋ยวสาย” พูดจบเธอก็เดินออกไปจากบ้านทันทีโดยไม่สนว่าแม่ของเธอจะพยายามฉุดกระชากเธออย่างไร แต่เมื่อเธอกำลังจะก้าวขึ้นรถจักรยานคันโปรด คนเป็นแม่จึงกระชากคอเสื้อแล้วดึงลงจากรถราวคนเสียสติ พร้อมกับที่แววตาแสดงความโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“นัท!!! เลิกดื้อสักทีได้ไหม!!!?”
“แม่!! มันอะไรนักหนาเนี่ย!! แค่นัทจะปั่นจักรยานไปโรงเรียนเองมันจะอะไรนักหนา!!”
“อะไรที่ระวังได้นัทก็ควรจะระวัง ถ้าแม่เสียนัทไปอีกคนแม่จะทำยังไง!!?”
“นัทไม่เป็นไรหรอกแม่!! เลิกห่วงแบบไร้เหตุผลสักทีได้ปะ!! ก็ถ้าคนมันจะตาย ก็ปล่อยให้มันตายไปเลย!!!”
เพี้ยะ!!
ใบหน้าซีกซ้ายที่โดนฝ่ามือเหวี่ยงตบเข้าอย่างจังจนชาไร้ความรู้สึก นัทอึ้งกับสิ่งที่คนเป็นแม่กระทำกับเธอ แต่เมื่อหันกลับไปจ้องมองด้วยความโกรธก็พบว่า คนเป็นแม่ก็ตกใจกับสิ่งที่พลาดพลั้งไม่ต่างกัน มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างพยายามเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของลูกสาว แต่เธอกลับปัดออกอย่างแรงและรีบคว้าจักรยานขึ้นมาปั่นออกไปทันที
“นัท!! แม่ขอโทษ ฮึก ๆ นัท!!”


เอี๊ยด! เอี๊ยด! เอี๊ยด! โครม!!
เสียงเสียดสีของคราบสนิมเขรอะจากจักรยานคันเก่าสีแดงที่มีหญิงสาวเร่งปั่นแบบสุดกำลังทั้งน้ำตา ก่อนจะถูกทิ้งโครมลงกับพื้นเมื่อปั่นมาถึงหน้าบ้านพักจินดา นัทวิ่งไปเคาะประตูไม้อย่างร้อนรนแต่กลับเงียบสงัดไร้วี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูให้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ฮึก! ครูตานคะ ฮึก ๆ”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
“ครูตาน!! ฮือ ๆ เปิดประตูให้หนูหน่อย ฮึก!”
ตุบ!! ตุบ!! ตุบ!!
“ครูตาน!!! หนูรู้ว่าครูยังไม่ได้ไปโรงเรียน ครูเปิดประตูให้หนูหน่อย ฮึก!”
เสียงสะอึกสะอื้นดังสลับกับเสียงทุบประตูราวคนเสียสติ ไม่ว่านัทจะทุบประตูและตะโกนเรียกเจ้าของบ้านอย่างไรก็ไม่มีแม้แต่เงาของใครจะเปิดประตูออกมาต้อนรับเธอเหมือนทุกครั้ง 
เมื่อเป้าหมายแรกไม่พบคนที่เธออยากเจอที่สุด นัทจึงรีบไปคว้าจักรยานแล้วปั่นออกไปโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะตรงไปยังเป้าหมายที่สอง นั่นคือเรือนเพาะชำหลังโรงเรียน แต่ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ไร้วี่แววของครูสาว จะไปตามหาที่ห้องพักครูหมวดศิลปะก็ไม่พบ เธอจึงถอดใจและทำได้แค่ไปนั่งร้องไห้ในห้องเรียนในระหว่างที่นักเรียนคนอื่น ๆ กำลังเข้าแถวหน้าเสาธง
“ฮือ ๆ ครูคะ...หนูอยากกอดครู ฮือ ๆ”


“น้องพุดตานนัดพี่มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายรูปร่างกำยำเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามายังร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่เธอและเขาเคยนัดพบกันมาก่อนแล้ว วันนี้เขาแต่งองทรงเครื่องด้วยเครื่องแบบของตำรวจแบบเต็มยศ ทำให้เขาดูดีกว่าเดิมมาก หญิงสาวยืนขึ้นและยิ้มเพื่อต้อนรับเขา โดยบนโต๊ะมีอาหารเที่ยงเสิร์ฟไว้เรียบร้อยแล้ว 
“สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่โทรหากะทันหันแบบนี้ ตานรบกวนเวลาไม่เกินบ่ายแน่นอนค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ว่างให้ได้เสมอ น้องพุดตานเรียกให้มาหาแบบนี้ พี่ดีใจมากเลยนะ”
“แฮะ ๆ พอดีว่าตานมีเรื่องจะรบกวนให้พี่สิงห์ช่วยน่ะค่ะ”
“ช่วยอะไรครับ” เมื่อเขาถามจบ ตานจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งในกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นให้กับเขา
“วรวุทธ คมประสิทธิ์ คืออะไรเหรอน้องพุดตาน” เขาอ่านชื่อบนกระดาษก่อนจะเงยหน้าถามด้วยความสงสัย
“พี่ช่วยตามหาผู้ชายชื่อนี้ทีได้ไหมคะ”
“เดี๋ยว ๆ ตามหาทำไมครับ ช่วยเล่าให้พี่ฟังก่อนได้ไหม ว่าทำไมถึงให้พี่ตามหา”
“คือว่า...ตานอยากเจอพี่ว่านกับแม่น่ะค่ะ ตานไม่ได้เจอพวกเขาสองคนมานานมากแล้ว ขอร้องล่ะค่ะพี่สิงห์ ช่วยตานที ที่ตานรู้ตอนนี้ก็มีแค่ชื่อ ตานไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่และพี่ว่านเลย ช่วยตานทีนะคะพี่สิงห์” หญิงสาวอ้อนวอนเขาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นแบบนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ...ดูเหมือนว่า เรื่องนี้พี่จะช่วยน้องพุดตานไม่ได้นะครับ แม่มะลิบอกพี่เอาไว้ ว่าห้ามช่วยน้องพุดตานเรื่องนี้เด็ดขาด พี่ขอโทษจริง ๆ นะ”
“พี่สิงห์คะ ตานขอร้อง พี่จะไม่ให้แม่ลูกมาเจอกันเลยเหรอคะ พี่ใจดำเกินไปไหม ตานไม่สนหรอกนะคะว่าแม่จะเป็นคนยังไงหรือมีครอบครัวใหม่ไปแล้วหรือยัง แต่ตานแค่อยากรู้ว่าแม่กับพี่ว่านสบายดีไหม และตอนนี้ทั้งสองคนเป็นยังไงบ้าง”
“พี่เข้าใจนะครับว่าอยากเจอแม่ แต่ในเมื่อผู้ใหญ่เขาไม่อยากให้พี่เข้ามายุ่ง พี่ก็ไม่อยากยุ่ง ถึงพี่จะอยากช่วยน้องพุดตานก็เถอะ”
“ก็ในเมื่ออยากช่วยแล้วทำไมไม่ช่วยคะ พี่มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ประชาชนกำลังลำบากและขอร้องให้พี่ช่วยตามหาแม่ให้ ถ้าพี่ไม่ช่วย แสดงว่าพี่เป็นคนใจดำมากเลยนะพี่สิงห์!!”
“ครับ พี่ใจดำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พี่ขอโทษนะน้องพุดตาน เรื่องนี้พี่ช่วยไม่ได้จริง ๆ”
“ได้! ถ้าพี่ไม่ช่วย งั้นตานไปตามหาแม่เองก็ได้ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา ตานก็จะทำ!!”
“ทำไมถึงอยากเจอแม่ขนาดนั้น”
“ลองคิดว่าคนคนนั้นเป็นแม่ของพี่ดูสิคะ หรือไม่ก็เป็นน้องพิกุล หรือน้องใบหม่อนที่หายตัวไปเพราะทำผิดแค่ครั้งเดียว พี่จะไม่ให้อภัยเขาแล้วก็ปล่อยให้เขาเป็นตายร้ายดีที่ไหนก็ไม่รู้ได้อย่างนั้นเหรอคะ”
คำพูดหนักแน่นและแฝงไปด้วยคำถามที่แทงใจผู้ฟัง สิงห์ได้แต่นั่งมองเธอโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่อเธอคว้ากระเป๋าผ้าลายดอกไม้สะพายพาดที่บ่าแล้วเดินออกจากร้านไปด้วยความผิดหวัง เขาจึงถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาใส่ในกระเป๋าเสื้อของเขาเอาไว้


หลังจากที่นัทรอแล้วรอเล่าก็ไร้วี่แววของครูสาวที่เรือนเพาะชำ วันนี้มันอะไรกันนักกันหนา คนที่เธออยากเจอมากที่สุดหายไปไหนตั้งแต่เช้า แม้แต่คาบโฮมรูมก็ไม่เข้าสอน จะบอกว่าพยายามหนีหน้าเธอก็ไม่น่าจะใช่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็คุยกันดี ๆ แท้ ๆ 
“ออกไปจากเรือนเพาะชำจะเป็นอะไรไหมวะ เฮ้อ...”
นัทเดินวนไปวนมาพลางกับคิดหนัก เพราะตอนนี้เธอถูกกักบริเวณให้อยู่แค่เรือนเพาะชำเท่านั้น ใจหนึ่งก็อยากออกไปตามหาครูสาว แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวจะทำให้ครูสาวผิดหวังที่ต้องผิดคำพูดและแหกกฎของคุณครูฝ่ายปกครองอีกด้วย
แก๊ก!
เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังปิดประตูรั้วเหล็กที่ด้านนอก นัทจึงรีบวิ่งออกไปทันทีเพราะหวังว่าจะได้เจอครูสาว แต่สิ่งที่คิดกลับไม่ใช่ เพราะคนที่ยืนปรากฎกายอยู่หน้าเรือนเพาะชำคือชายหนุ่มหุ่นผอมคู่อริของเธอเอง
“มึงมาทำไมไอ้แห้ง”
“กูจะมาดูว่าวันนี้มีไม้กันหมาไหม ครูคนสวยไปไหนแล้วล่ะ ทำไมวันนี้มึงเป็นหมาอยู่คนเดียว”
“เสือก!!”
“อะไรวะ โดนทิ้งไว้คนเดียวยังมาปากดีอีก ตอนนี้มึงโดนขังไว้ไม่ต่างกับหมาตัวหนึ่งเลยรู้ปะ”
“อย่ามายุ่งกับกู!!” นัทตวาดกลับพร้อมกับจับก้อนดินปาใส่ชายหนุ่มอย่างหัวเสีย ซึ่งเขาเองก็หาได้ยอมเธอ เขาหยิบเศษก้อนดินที่ตกลงกับพื้นและแตกออกเป็นชิ้น ๆ ขึ้นมา แล้วโยนคืนกลับไปจนโดนใบหน้าของนัทเต็ม ๆ เธอเสียหลักล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับใช้มือปิดใบหน้าเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!!”
“เฮ้ย!! เชี่ย!!” ตัวการที่ทำร้ายเธออุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งหนีหายไปดื้อ ๆ 
นัททำได้แค่นั่งร้องไห้กับพื้นดินชื้น ๆ จนกระโปรงของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลน แถมประตูรั้วเหล็กยังมีแม่กุญแจคล้องล็อกเอาไว้จากด้านนอกอีกด้วย
ตอนนี้มึงโดนขังไว้ไม่ต่างกับหมาตัวหนึ่งเลยรู้ปะ...
ใช่...ที่เขาพูดมันถูกทุกอย่าง ตอนนี้เธอถูกขังให้อยู่ในบริเวณเรือนเพาะชำ สภาพไม่ต่างกับสุนัขตัวหนึ่ง เธอรู้ดีว่าต่อให้ประตูรั้วจะถูกล็อกจากด้านนอกเธอก็สามารถปีนประตูออกไปได้อยู่ดี แต่เธอจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อวันนี้โชคไม่เข้าข้างเธอแม้แต่น้อย เธอต้องเจ็บปวดทั้งกายและใจแบบนี้ ก็ขอหนีปัญหาด้วยการนั่งร้องไห้มันเสียที่นี่แหละ...


“ครูครับ!! ช่วยด้วยครับ! นัทถูกขังที่เรือนเพาะชำครับ!” ชายหนุ่มหุ่นผอมวิ่งหน้าตาตื่นมายังห้องพักครูหมวดศิลปะที่มีครูสาวนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาพูดอย่างลนลานจนฟังไม่ได้ศัพท์ ครูสาวจึงยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเขาให้หยุดพักหายใจก่อน
“ใจเย็น ๆ นักเรียน ค่อย ๆ พูด ครูฟังเธอพูดไม่รู้เรื่อง”
“ครูครับ! แฮก ๆ นัทครับ”
“นัททำไม”
“นัทถูกขังอยู่ที่เรือนเพาะชำครับ แฮก ๆ”
“อะไรนะ!?”
“ตอนนี้นัทถูกขังอยู่ที่เรือนเพาะชำครับครู ผมผ่านไปทางนั้นพอดี แฮก ๆ เลยเห็นว่ามีคนแอบไปล็อกประตูครับ”
“ใครเป็นคนทำ เธอเห็นไหม”
“ไม่เห็นคนทำครับ”
“อืม เดี๋ยวครูจะตามคนไปช่วยเอง เธอขึ้นไปเรียนได้แล้ว”
“ครับครู”


เคร้ง!!!
เสียงแม่กุญแจที่ถูกทุบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่จนสามารถเปิดล็อกได้สำเร็จ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปยังเรือนไม้อย่างร้อนรนก่อนจะพบว่า นัทกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ในสภาพที่เนื้อตัวมอมแมม กระโปรงสีกรมท่าเปรอะไปด้วยคราบดินโคลน ทำเอาเธอดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“นัท!! เกิดอะไรขึ้น!!?” เธอพุ่งเข้าไปหานัทด้วยความร้อนใจ แต่เจ้าตัวกลับนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เธอจึงใช้สองมือจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างก่อนจะออกแรงบังคับให้นัทยืนขึ้น ทำให้เธอเห็นว่า ใบหน้าซีกซ้ายของนัทมีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ ส่วนใบหน้าซีกขวามีเศษดินติดอยู่ แต่เมื่อเธอเอื้อมมือไปปัดเศษดินอย่างแผ่วเบา น้ำตาก็ไหลผ่านแก้มเนียนมาโดนนิ้วของเธอทันที
“นัท...เกิดอะไรขึ้น เล่าให้เราฟังได้ไหม ใครทำอะไรนัท!!”
“ปราง...ฮือ...ไม่มีใครรักนัทเลย มีแต่คนใจร้ายเต็มไปหมด ฮึก! ไม่มีใครรักนัทเลยสักคน ฮือ ๆ” นัทปล่อยโฮออกมาอย่างหนักพร้อมกับโผเข้าไปกอดปรางเอาไว้แน่น ปรางจึงโอบกอดเธอไว้ทั้งน้ำตาเช่นกัน
“นัท ฮึก ๆ ไม่ใช่นะ เรานี่ไงที่รักนัท นัทไม่เห็นเราเหรอ คนที่รักนัทอยู่ตรงนี้ไง!”
“ฮือ ๆ ขอบคุณนะปราง”
“ใครทำร้ายนัทบอกเรามา เราจะบอกแม่จัดการให้เอง นัทไม่ต้องห่วงนะ”

ภายนอกเรือนเพาะชำ ครูสาวที่วิ่งมาด้วยความเป็นห่วงถึงขั้นวิ่งมาเพียงลำพังเพราะไม่อยากเสียเวลาไปขอความช่วยเหลือจากใคร แม้จะใส่รองเท้าส้นสูงก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด แต่เธอกลับมาช้าไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เธอยืนมองหญิงสาวที่สวมกอดกันและกันด้วยความเจ็บปวด 
อืม...มันควรจะเป็นแบบนี้สินะ...ขอโทษนะนัท...เรื่องของเรา มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ