ดวงพุดตาน

ดวงพุดตาน
ตอนที่ 24 สัญลักษณ์

ไอลมร้อน ๆ บรรจงเป่าเบา ๆ เพื่อบรรเทาอาการแสบ หลังจากที่ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์มาซับบริเวณที่ผิวหนังเป็นแผลถลอกปอกเปิก นัทนั่งมองคนที่ทำแผลให้ทั้งน้ำตา เพราะมีใครอีกคนเป็นภาพซ้อนขึ้นมา ในวันที่ครูสาวเคยทำแผลให้ เธอไม่เคยลืมภาพนั้นได้เลย ทั้งคิดถึง ทั้งโหยหา และเจ็บปวดในคราวเดียวกัน แต่เธอก็ทำได้แค่กลั้นใจแล้วใช้แขนเสื้ออีกข้างเช็ดน้ำตา
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะนัท ถ้านัทไม่รักตัวเอง แล้วนัทจะรักคนอื่นได้ยังไง”
“แต่หนูรักครูตานจริง ๆ นะคะแม่”
“นัทเข้าใจคำว่ารักดีแล้วเหรอ สิ่งที่นัททำน่ะ มันไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกนะ น้องปรางก็เหมือนกัน ทีหลังจะไปไหนจะทำอะไรก็บอกแม่มาตรง ๆ อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ว่าหนูแอบออกไปข้างนอก ปกติหนูไม่ใช่เด็กโกหกนะ” คนเป็นแม่พูดพลางกับใช้ผ้าพันแผลพันอ้อมมือทั้งสองข้างให้กับนัท ก่อนจะหันไปจ้องมองลูกสาวตาเขม็ง ปรางจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว
“หนูขอโทษค่ะคุณแม่”
“ทำไปแล้วไม่ต้องมาขอโทษทีหลัง ถ้าวันนี้แม่ให้อภัยหนู เดี๋ยวหนูก็จะได้ใจและทำผิดซ้ำ ๆ  อย่ามาคิดว่า ทำ ๆ ไปก่อน แล้วค่อยขอโทษก็ได้ จะให้แม่ลงโทษหนูยังไงบอกมา”
“ฮึก ๆ คุณแม่คะ หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ หนูแค่อยากให้นัทตาสว่าง หนูเลยพานัทไปหาน้าตาน ฮือ ๆ”
“ตาสว่างเรื่องอะไร แล้วผลมันเป็นยังไงล่ะเห็นไหม!? หนูโตแล้วนะ อย่าคิดอะไรเป็นเด็ก ๆ สิ!” เมื่อถูกดุเสียงแข็ง ปรางเอาแต่ยืนก้มหน้าร้องไห้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนเป็นแม่ พ่อของเธอจึงเดินเข้ามาสวมกอดลูกสาวเอาไว้ เธอจึงโผเข้าไปกอดคนเป็นพ่อแล้วปล่อยโฮออกมาทันที
“คุณพ่อ! ฮือ ๆ”
“แม่ พอแล้วน่า ลูกร้องไห้หนักแล้วนะ”
“อย่าให้ท้ายลูกค่ะ ผิดก็ว่าไปตามผิด”
“ลูกก็สำนึกผิดแล้วไงแม่ ใจเย็น ๆ สิ”
“งั้นพ่อพาลูกออกไปก่อนค่ะ แม่มีเรื่องจะคุยกับนัทต่อ”
“นี่ดุลูกไม่ได้ก็จะไปลงที่นัทเหรอ สงสารเด็กมัน แค่นี้ก็ร้องไห้กันจนตาบวมหมดแล้วนะ”
“เปล่าค่ะ แม่ไม่ได้จะดุนัท แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย พาลูกไปนอนได้เลยนะคะ”
“อืม โอเค ๆ ปะลูก ขึ้นไปนอนกัน”
“ค่ะ ฮึก ๆ” เมื่อคนเป็นพ่อพาลูกสาวเดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง เหลือแค่เพียงเกตและนัทที่ยังคงนั่งอยู่โซฟาหรูบริเวณโถงชั้นหนึ่งของบ้าน เกตจึงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันมามองนัทด้วยความเห็นใจ เพราะสภาพเธอตอนนี้ทั้งตาบวม มือก็มีผ้าพันแผลทั้งสองข้าง แถมยังดูอิดโรยจากการร้องไห้อีกด้วย
“นัท...มีอะไรอยากเล่าให้แม่ฟังไหม” เสียงเอ่ยถามแผ่วเบา นัทจึงส่ายศีรษะช้า ๆ
“เฮ้อ...รักครูตานมากใช่ไหม”
“ค่ะ แต่ครูตานไม่รักหนูแล้ว” คำตอบที่ทำเอาคนฟังรู้สึกจุกอยู่กลางอก มันบีบหัวใจของเธอจนเธอรู้สึกผิดเต็มประดา
“แม่คะ...”
“ว่าไง”
“ถ้าแม่ไม่ให้หนูไปที่เรือนเพาะชำแล้ว หนูขอเอาต้นพุดตานที่อยู่เรือนเพาะชำไปปลูกที่บ้านได้ไหมคะ”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่มีใครดูแลเขาได้ดีเท่าหนูหรอก และเผื่อว่าครูตานผ่านมาเห็น...จะได้รู้ว่าหนูยังรอ” คำตอบที่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังมีครูสาวอยู่ในนั้นเสมอ ช่างบีบหัวใจเหลือเกิน
ทำไมเอาแต่คิดถึงคนอื่นแบบนี้นะนัท...
“อืม...ได้สิ ก็นัทเป็นคนปลูกเองนี่นา เดี๋ยวแม่ให้คนไปขุดให้นะ แต่เรื่องที่บอกว่าอยากให้ครูตานรู้ว่ายังรอน่ะ นัทตัดใจเถอะนะ”
“ไม่ค่ะ จะนานแค่ไหนหนูก็รอ เป็นชาติหนูยังรอมาแล้ว จะรออีกชาติหนึ่งมันจะเป็นไร”
“นัท ไปกันใหญ่แล้วนะ เปิดใจให้คนอื่นบ้าง บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่คนคนเดียวนะ มีใครที่รักนัทอีกเยอะแยะเลยนะรู้ไหม”
“แต่หนูเกิดมาเพื่อที่จะตามหาครูตาน หนูรักได้แค่ครูตานคนเดียวค่ะแม่ ถ้าชาตินี้ยังไม่สมหวังอีก หนูก็จะปลูกต้นพุดตานเพื่อที่จะรอครูตานต่อไป ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ หนูจะให้ดอกพุดตานเป็นสัญลักษณ์ความรักของหนู จะนานแค่ไหน...หนูก็รอ”
“แม่เข้าใจแล้ว ที่ตานบอกว่านัทเหมือนกับสิบทิศน่ะ มันใช่จริง ๆ ด้วย เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน”
“แม่รู้จักลุงสิบทิศด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิ เมื่อก่อนสิบทิศจะตามดูแลตานไปทุกที่ไม่ห่างเลย เขาเป็นผู้ชายที่ถ่อมตัวและเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเลยแหละ รักเดียวใจเดียว ยึดมั่นในคำสัญญา แต่น่าเสียดายที่เขาทิ้งทุกอย่างไปตั้งแต่อายุยังน้อย”
“แม่พอจะรู้สาเหตุที่ลุงสิบทิศเสียไหมคะ”
“ก็เพราะเขาไม่สมหวังจากตานนี่แหละ เขาเลยกระโดดน้ำตายน่ะ”
กระโดดน้ำตายเหรอ...แล้วทำไม...เราถึงได้ยินเสียงลุงสิบทิศพูดว่ายังไม่อยากตายล่ะ มันเป็นไปได้เหรอที่คนฆ่าตัวตายจะไม่อยากตาย...ไม่เข้าใจเลย... นัทคิดในใจ
“วันนั้นแม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ไหมคะ”
“ไม่ได้อยู่ ทำไมถึงถามล่ะนัท”
“เปล่าค่ะ หนูแค่อยากรู้ว่าชาติที่แล้วหนูตายยังไง”
“นี่คิดว่าตัวเองเป็นสิบทิศมาเกิดใหม่จริง ๆ เหรอ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ”
“มันเป็นไปแล้วค่ะ แม่จะไม่เชื่อก็ได้ แต่หนูยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง แค่ตอนนี้หนูลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว”
“อืม เอาเถอะ ขึ้นไปนอนได้แล้ว ดึกมากแล้ว”
“ค่ะ ขอบคุณที่ทำแผลให้นะคะ” พูดจบก็ยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม ก่อนจะลุกเดินจากไป เกตจึงได้แต่มองตามจนลับตา ก่อนจะใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบที่หัวคิ้วตัวเองเบา ๆ
“เฮ้อ...นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย...”


ภายในห้องนอนหรูที่มีกลิ่นกุหลาบตลบอบอวล เจ้าของห้องเอาแต่นอนร้องไห้ตั้งแต่กลับมาจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนเด็กสาวอีกคนที่มีผ้าพันแผลที่มือทั้งสองข้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดร้องไห้ เธอนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้และมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเพื่อฝืนไม่ให้ตัวเองหลับ เพราะตอนนี้เธอกลัวการนอนหลับเวลากลางคืนไปแล้ว
ทางด้านหนึ่ง ครูสาวนอนกอดหมอนสีครีมใบเดิมที่เคยหนุนด้วยกัน ผ้าห่มผืนหนาผืนเดิมที่เคยให้ความอบอุ่นเธอทั้งสองในค่ำคืนแห่งความสุข แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ความสุขถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด หัวใจทั้งดวงแทบแหลกสลาย เธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเก็บข้าวของใส่ลงในกล่องเพื่อเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านพักหลังนี้ ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ และกองสมุดวาดภาพวางระเกะระกะภายในห้องนอนของเธอ

ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกรูปก้อนเมฆสีขาวน่ารักส่งสัญญาณเตือนเวลาตื่นนอน เด็กสาวงัวเงียลุกขึ้นมาขยี้ตา ก่อนจะเห็นอีกคนที่ยังนั่งกอดเข่ามองออกไปนอกหน้าต่าง สภาพของเธอดูอ่อนเพลีย และโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด 
“นัท ทำไมตื่นแต่เช้าแบบนี้ล่ะ หรือว่ายังไม่ได้นอน”
“อืม นัทยังไม่ได้นอนเลย” เสียงเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา
“นัท...เราขอล่ะ รักตัวเองหน่อยได้ไหม ถ้านัทไม่นอนสุขภาพจะแย่เอานะ แค่เขาไม่รัก นัทถึงกับต้องประชดชีวิตด้วยการอดหลับอดนอนขนาดนี้เลยเหรอ”
“นัทแค่ไม่อยากฝันร้ายอีก นัทกลัว...กลัวว่าถ้าหลับ นัทจะต้องทรมานกับความฝัน” เมื่อได้ยินคำตอบ ปรางจึงเดินไปจูงมือนัทมานั่งที่เตียง ก่อนจะประคองให้โน้มตัวหนุนที่หมอนนุ่มช้า ๆ
“ตอนนี้เช้าแล้ว หวังว่านัทจะไม่ฝันร้ายนะ นอนพักผ่อนนะนัท ตอนนี้นัทคงไม่ไหวแล้ว” พูดพลางกับลูบผมประบ่าสีดำช้า ๆ จนนัทมีสภาพสะลึมสะลือจวนจะหลับแล้ว
“ปราง...ฝากบอกครูตานให้หน่อยได้ไหม ว่าวันนี้นัทคงไปโรงเรียนไม่ไหว”
“อืม...ได้สิ นัทนอนอยู่ห้องเรานี่แหละ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวตอนเที่ยงเราจะโทรหานะ”
“อืม” เสียงตอบแบบงัวเงียก่อนผล็อยหลับไปในเวลาเพียงไม่นาน
“อิจฉาน้าตานเนอะ...ต่อให้พูดแรงแค่ไหน ก็ยังได้เป็นที่หนึ่งในใจนัทอยู่ดี ผิดกับเรา ที่ต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในใจนัทเลย...” 

“วันนี้คุณหนูไม่ไปโรงเรียนเหรอครับ” ชายคนขับรถประจำตัวตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าคุณหนูของเขาเดินมาเปิดประตูบ้านด้วยชุดลำลองธรรมดา ๆ แทนที่จะเป็นชุดทางการสำหรับสอนนักเรียน
“ไม่ค่ะ ตานต้องไปธุระข้างนอกน่ะค่ะ แล้วป้ามะลิได้ถามไหมคะ ว่าทำไมตานถึงจะใช้รถ”
“ถามครับ แต่ผมบอกตามที่คุณหนูสั่งไว้เลยครับ ว่าเผื่อฝนตกจะได้ไม่ต้องรบกวนให้ผมหรือคุณมะลิมารับมาส่ง”
“แล้วป้ามะลิว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็ไม่ว่ายังไงนะครับ เพราะช่วงนี้เห็นดูวุ่นกับการเลี้ยงหลาน ก็คงจะกลัวมาดูแลคุณหนูได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อนด้วย”
“ดีแล้วค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะลุงชัย”
“ยินดีครับผม ถ้าคุณหนูต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะครับ นี่กุญแจรถครับ” พูดพร้อมกับยื่นกุญแจรถยนต์ให้ ตานจึงเอื้อมมือไปรับ ก่อนจะยืนมองชายคนขับเดินกลับไปขึ้นรถยนต์อีกคัน โดยมีคู่หูช่วยนำรถมาส่งเธอด้วย
เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้ขับรถยนต์ ทั้งที่เป็นรถของเธอเอง แม้จะมีสภาพที่เก่า การออกแบบคล้ายกับรถโบราณสีครีม แต่ก็ยังสามารถขับได้ดี เพราะคนขับรถที่บ้านของเธอนำรถออกไปไหนมาไหนเป็นประจำเพื่อให้ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานและฐานะของเธอแล้ว ควรจะเป็นคันใหม่สุดหรูหราเสียมากกว่า ถ้าไม่ติดว่ารถคันนี้มีความทรงจำดี ๆ ที่ไม่อาจลืมเลือน เธอคงขายทิ้งไปแล้ว

“อยากได้เหรอคะพี่สิบทิศ” เด็กหญิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังนั่งมองรถยนต์คันใหม่ที่มีการออกแบบเลียนแบบรถยนต์สมัยโบราณด้วยสีครีมดูคลาสสิก ซึ่งแสดงอยู่ในใบปลิวที่เขาถืออยู่
มือข้างซ้ายของเขาถือแท่งไอศกรีมสำหรับแบ่งหักครึ่งได้สองท่อน เพื่อแบ่งเป็นส่วนของเขาและคุณหนูคนละครึ่ง ส่วนมือขวาจับใบปลิววางแนบที่ต้นขา ด้วยท่านั่งขัดสมาธิ บริเวณท่าน้ำหลังบ้าน
“ไม่อยากได้หรอกครับ แต่ก็สวยดีนะครับ”
“ไม่อยากได้อะไรล่ะ พี่สิบทิศเอาใบปลิวนี้มาดูตั้งหลายวันแล้วนะคะ เอาไหม เดี๋ยวตานให้พ่อซื้อให้”
“อย่าเลยครับ จะซื้อให้ผมทำไมครับ แล้วจะให้ผมเอาไปขับทำอะไรล่ะครับ ในเมื่อผมขับรถไม่เป็น แถมรถที่บ้านเราก็มีตั้งหลายคัน”
“ก็เผื่อพี่สิบทิศเรียนจบแล้วเข้ามหาลัย หรือว่าสอบตำรวจได้ พี่ก็จะได้มีรถขับไปเรียนไง”
“ฮ่า ๆ ไม่หรอกครับ ผมรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าจบไปผมก็คงไม่เรียนต่อแล้ว”
“อ้าวทำไมคะ!?”
“แค่นี้ผมก็เกรงใจคุณท่านจะแย่แล้ว”
“เฮ้อ...งั้นเดี๋ยวตานเรียนจบ ตานซื้อให้เองก็ได้ ห้ามปฏิเสธด้วย”
“ไม่ได้นะครับคุณหนู!! ผมไม่เอา!!”
“แต่พี่ต้องเอา!!”

ตานเอื้อมมือสัมผัสที่พวงมาลัยรถยนต์อย่างแผ่วเบา พลางกับยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อคิดถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืนได้ 
น่าเสียดายนะคะพี่สิบทิศ ที่ตานซื้อรถคันนี้ได้ตอนที่พี่ไม่อยู่แล้ว...ไม่สิ! นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ต้องสานต่อความตั้งใจของพี่   สิบทิศและนัทให้มันจบ! 
ตานคิดในใจ ก่อนจะยกมือปาดน้ำตาและกลั้นใจขับรถไปตามเป้าหมายที่เธอวางไว้ ระหว่างทางก็อดคิดถึงใครอีกคนไม่ได้จนเผลอร้องไห้ในที่สุด แม้จะพยายามเข้มแข็งมากแค่ไหนก็ตาม
เมื่อรถยนต์สีครีมคันเก่ามาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เธอกำพวงมาลัยเอาไว้แน่น พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติและรวบรวมความกล้า นานเพียงใด ที่เธอไม่ได้พบหน้าพี่ชายของตน ป่านนี้หน้าตาจะเป็นอย่างไร และจะยังจำกันได้ไหม เธอไม่อาจคาดเดาเหตุการณ์ได้เลย

ติ๊ง ต่อง ~
เสียงร้องเตือนเมื่อมีใครบางคนมายืนกดออดที่หน้าบ้าน หญิงสาวที่กำลังหาดูฤกษ์วันแต่งงานกับว่าที่สามีของเธอถึงกับชะงัก ก่อนเธอจะลุกเดินไปชะเง้อหน้าดูที่ประตูด้วยความสงสัย
ติ๊ง ต่อง ~
“ใครมาเหรอข้าว”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เดี๋ยวเค้ามานะ ตัวเองดูวันรอเค้าเลย”
“ครับ” 
ตานยืนบีบมือตัวเองด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวเจ้าของบ้านวิ่งมาเปิดประตูให้
“สะ...สวัสดีค่ะ” พูดพลางกับโค้งตัวลงเล็กน้อย เพราะหญิงสาวเจ้าของบ้านคาดว่าน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ
“สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ ถ้ามาหาแม่ ตอนนี้แม่ไปทำงานนะคะ”
“อ๋อ เปล่าค่ะ พอดีจะมาหาพี่ว่านน่ะค่ะ ไม่ทราบว่า พี่ว่านกลับไปหรือยังคะ” เมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงหน้าตาสละสลวยถามถึงว่าที่สามีของตน เธอถึงกับหรี่ตามองด้วยความสงสัยและมีลางสังหรณ์ในใจแปลก ๆ เธอจึงรีบปฏิเสธทันที
“กลับไปแล้วค่ะ แล้วคุณเป็นใครคะ ทำไมมาถามหาแฟนฉัน”
“เอ่อ...ไม่ทราบว่ากลับไปนานหรือยังคะ แล้วถ้าจะรบกวนขอเบอร์ติดต่อได้หรือเปล่าคะ”
“นี่คุณ!! คุณเป็นใคร!!? มีธุระอะไรกับแฟนฉัน!!?”
“จะ...ใจเย็น ๆ นะคะ มันไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดนะคะ คือฉันมีธุระจะคุยกับพี่ว่านน่ะค่ะ”
“ไม่ได้เป็นแบบที่คิดเหรอ แล้วมันเป็นแบบไหน คุณรู้หรือไงว่าฉันคิดอะไร แล้วมีธุระอะไรมิทราบ มีอะไรก็พูดมาตอนนี้เลยสิ!!”
“ฉันต้องการคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวค่ะ ขอร้องล่ะค่ะ ฉันรบกวนขอเบอร์ติดต่อได้ไหมคะ”
“ไม่ได้!!! กลับไปซะ!! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ!” พูดจบหญิงสาวจึงเลื่อนประตูรั้วปิดใส่หน้าทันที แต่ตานก็หาได้ยอมเธอ ทั้งสองจึงพยายามเหนี่ยวรั้งแรงของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตานจะเห็นชายหนุ่มเดินออกมายืนที่หน้าบ้าน ทำให้เธอปล่อยมือด้วยความตกใจ เพราะหน้าตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สิ่งที่เปลี่ยนไปคงจะมีเพียงแค่หุ่นที่ดูล่ำสันขึ้น และใบหน้าดูมีอายุขึ้นเท่านั้น
“พี่ว่าน!! นั่นพี่ว่านใช่ไหมคะ!!? ไหนคุณบอกว่าพี่ว่านกลับไปแล้วไง”
“มายุ่งอะไรกับแฟนฉัน!! มีปัญหาอะไร พูดมา!!!”
“ฉันไม่ได้ต้องการจะคุยกับคุณ แต่ฉันต้องการคุยกับพี่ว่าน!”
“เขาเป็นผัวฉัน!! จะเอาอะไร!!? จะมาเรียกร้องอะไรฮะ!!?”
“ข้าว! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!!”
“พี่ว่านอย่าออกมา!!! เข้าไปในบ้าน!!” สถานการณ์ที่ดูชุลมุนเพราะหญิงสาวทั้งสองต่างคนต่างฉุดกระชาก คนหนึ่งออกแรงปิด อีกคนออกแรงเปิดประตูรั้วพร้อมกับส่งเสียงเอะอะโวยวาย ทำให้ชายหนุ่มว่าที่สามีต้องรีบวิ่งมาหยุดเหตุการณ์ทันที
“ข้าว!! พอก่อน!! เกิดอะไรขึ้น”
“พี่ว่าน!! พี่จำตานได้ไหม!!?” สิ้นเสียงของตาน ชายหนุ่มหยุดชะงัก ก่อนจะพยายามจ้องมองใบหน้าคนที่เรียกชื่อของเขาผ่านร่องเหล็กประตูรั้วอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อเขารื้อฟื้นความทรงจำได้ ทุกอย่างราวกับถูกบังคับให้หยุดเวลาด้วยรีโมทคอนโทล 
“ตาน!!?”
“พี่ว่าน!! พี่ว่านจริง ๆ ด้วย!!”
“ตัวเอง!! นี่มันอะไรกันเนี่ย ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร!!?”
“พะ...พี่ไม่รู้!!” พูดจบเขาก็รีบวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทันที ปล่อยให้สาวสวยทั้งสองยืนงงและฉุดกระชากกันต่อ
“ครูตาน!!” ดูเหมือนกับว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก เมื่อตานได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อ เธอถึงกับหันขวับ ทันทีที่เห็นนัทกำลังเปิดประตูจะลงจากรถยนต์ ตานจึงรีบวิ่งกลับขึ้นรถสีครีมด้วยความรีบเร่ง 
“ครูตาน!! ครูมาทำอะไรที่นี่!!”
ตุบ!! ตุบ!! 
“ครูตาน!! เปิดประตูให้หนูหน่อย!!” 
เสียงทุบกระจกรถจากทางด้านนอก ทำเอาตานมือสั่นเทาเสียบกุญแจรถด้วยความยากลำบาก แต่ทันทีที่เธอสตาร์ทรถได้ เธอก็รีบขับออกไปอย่างรวดเร็วหวังเพียงเพื่อต้องการจะหนี แต่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวด คงจะเป็นการเห็นนักเรียนคนโปรดวิ่งตามรถของเธอมาทั้งน้ำตา พลางกับตะโกนเรียกเธอสุดเสียง จนได้ยินมาถึงข้างในรถ
“ครูตาน!! หยุด!! ครูตาน!!!!”
“นัท!! ทำไมเธอถึงได้ดื้อแบบนี้!! ฮึก ๆ”
กระจกมองหลังที่ยังคงส่องสะท้อนภาพหญิงสาววิ่งตามรถมาทั้งน้ำตา ช่างบีบหัวใจเจ้าของรถเหลือเกิน มือทั้งสองข้างของเธอสั่นเทา และร้องไห้ออกมาอย่างหนักไม่ต่างกัน แม้จะขับห่างออกมามากแค่ไหน ก็ไม่มีวี่แววว่าอีกคนจะหยุดวิ่งตามรถของเธอแม้แต่น้อย จนเป็นเธอเอง ที่เจ็บปวดแต่ต้องกลั้นใจขับรถออกไปให้ไกลที่สุด
“ครูตาน!! ฮือ ๆ”


“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร!!!? ทำไมไม่พูด!!” หญิงสาวผลักหน้าอกหนาอย่างแรง ราวกับเอาอารมณ์โกรธมาลงที่เขาทั้งหมด เขาก็ได้แต่กัดฟันยืนก้มหน้าไม่พูดความจริงออกมา
“พี่ว่าน!!! พี่มีคนอื่นเหรอ ฮึก ๆ”
“เปล่านะข้าว มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันอย่างไหนอะ พี่ก็พูดมาสิ!! มันเป็นใคร!!?”
“...”
“พอให้พูดแล้วทำไมไม่พูดวะ!! พี่ไม่มีปากเหรอ!!!? บอกความจริงมา มันเป็นใคร!!?”
“พอสักทีเถอะข้าว!! พูดกันดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องเสียงดังใส่พี่ ใจเย็น ๆ หน่อยได้ไหม”
“ใจเย็นเหรอ!? พี่บอกให้หนูใจเย็นทั้งที่พี่มีคนอื่นเนี่ยนะ!!? พี่จะให้หนู    ใจเย็นได้ยังไง!!”
“ข้าว!! พี่ไม่ได้มีคนอื่น!!”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นมันเป็นใคร!!? มันมาตามหาพี่ทำไม!!!” 
“ข้าว...ใจเย็น ๆ แล้วฟังพี่อธิบายก่อนนะ” ชายหนุ่มพยายามที่จะเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือแฟนสาว แต่กลับถูกสะบัดออกและผลักหน้าอกออกอย่างแรงด้วยความโกรธ เขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นขนานกับหัวไหล่และก้าวเข้าหาช้า ๆ
“มึงออกไป!! อย่ามาใกล้กู!!'
“ข้าว...ไม่พูดกูมึงสิครับ”
“ออกไป!!”
“พี่ไม่ได้มีคนอื่นจริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวของพี่เอง”
“น้องสาว!? ไหนบอกว่าพี่เป็นลูกคนเดียวไง บอกความจริงมา!! มันเป็นใคร!!” เธอยังคงต่อว่าเขาแบบไม่ลดละ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ที่จะพูดความจริงเช่นกัน
“เขาคือน้องสาวของพี่ ชื่อพุดตาน...พุทธารักษ์” ทันทีที่ได้ยินชื่อและนามสกุล หญิงสาวถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบที่หน้าอกของเขาอย่างแรง
ตุบ!!
“พี่พูดอะไรน่ะ!!! พี่รู้ตัวไหมว่าพี่พูดอะไรออกมา!!?”
“ที่จริง...พี่ชื่อวรวุทธ พุทธารักษ์ มาก่อน คนที่นัทถามหาน่ะ ก็คือพี่นี่แหละครับ”
“ไม่จริงอะ จะโกหกอะไรหนูก็ให้มันเนียน ๆ หน่อยได้ไหม พอเห็นว่านัทระลึกชาติได้หน่อย ก็อยากเอาเรื่องมาประติดประต่อเพื่อหลอกหนูน่ะเหรอ!?”
“ข้าวอาจจะไม่เชื่อ แต่พี่คือหลานชายของตระกูลพุทธารักษ์จริง ๆ”
“พี่ทำแบบนี้ทำไมวะพี่ว่าน พี่จะโกหกหนูทำไม ยอมรับความจริงมาเถอะ ว่าพี่มีคนอื่น สวยขนาดนั้น อยากไปหามันก็ไปเลยนะ ดีเหมือนกัน ที่มันมาก่อนที่เราจะแต่งงานน่ะ!!”
“ข้าว! ฟังพี่! พี่กับเขาเราเป็นพี่น้องกันจริง ๆ พี่คือหลานชายของตระกูลพุทธารักษ์ ถ้าไม่เชื่อ เรากลับไปดูใบสูติบัตรที่บ้านก็ได้”
“ถ้ามันคือเรื่องจริง แล้วพี่โกหกหนูทำไมว่าเป็นลูกคนเดียว สี่ปีแล้วนะที่พี่ปิดบังหนูมา จนเราจะแต่งงานกันอยู่แล้ว!!! พี่ทำบ้าอะไรวะ!!?” 
หญิงสาวพรั่งพรูออกมาทั้งน้ำตาด้วยความอัดอั้น ตอนนี้เธอไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรคืออะไร อะไรคือเรื่องจริง อะไรคือถูกหลอก ชายหนุ่มว่าที่สามีก็ยังคงยืนเงียบไม่พูดอะไรออกมา จนเธอต้องใช้กำปั้นทุบหน้าอกของเขาเพื่อระบายความโกรธอีกครั้ง
ตุบ!!!
“พูดมาสิวะ!! ฮึก ๆ มึงปิดบังกูทำไม!! ที่ผ่านมามันมีอะไรบ้างที่มันคือความจริง ฮึก!”
“ข้าว พี่บอกแล้วไง ว่าต่อให้เราจะโกรธกันแค่ไหน เราก็จะไม่พูดมึงกูใส่กันแบบนี้”
“ทำไม!? ทำไมกูต้องฟังมึงด้วย คนโดนหลอกนะเว้ย!! จะให้พูดที่รักคะ    ที่รักขาเหรอวะ”
“ข้าว!! ที่พี่ต้องทำแบบนี้ พี่มีเหตุผลนะ”
“เหตุผลอะไรพี่ก็พูดมาสิ!!! เราไม่ได้เพิ่งคบกันเมื่อวานนะพี่ว่าน แต่นี่มันสี่ปี...สีปี่!!! พี่จะปิดบังทำไม พี่หลอกอะไรบ้างอะ ไม่สิ...หนูต้องถามพี่ว่า มีเรื่องไหนที่พี่พูดจริงบ้างใช่ไหมถึงจะถูก”
“ข้าว! เลิกประชดพี่ได้ไหม”
“ทำไม พูดความจริงแล้วรับไม่ได้เหรอ พี่แม่ง...ก็แค่ผู้ชายหลอกลวงคนหนึ่งอะ ฮึก! พี่แม่ง!! ไม่คู่ควรกับหนูเลย พี่จะไสหัวไปไหนพี่ก็ไปเลย พี่จะไปอยู่กับมัน หรือจะไปคุยโวว่าตัวเองเป็นลูกหลานตระกูลพุทธารักษ์ที่ไหนก็ไปเลย!!!”
“ก็เพราะพี่กับแม่ถูกใส่ร้ายแล้วถูกไล่ออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ ไง!! พี่ไม่อยากใช้นามสกุลพุทธารักษ์อีกแล้ว พี่เกลียดพ่อ!! พี่เกลียดทุกคนที่ทำให้แม่ต้องตาย จะให้พี่ภูมิใจแล้วบอกหนูเหรอ ว่าพี่เป็นหลายชายของตระกูลเฮงซวยนั่น!!!”
“ฮึก ๆ”
“ฟังนะ! พี่กับคนตระกูลนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก! พี่มีครอบครัวใหม่แล้ว และตอนนี้พี่กำลังจะมีครอบครัวที่น่ารัก คือครอบครัวของเราไงข้าว พี่อยากทิ้งตัวตนของพี่ไปให้พ้น ๆ ตัวตนที่พี่ถูกมองว่าเป็นลูกระยำเพราะถูกใส่ร้าย แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาตามหาพี่อีก”
“ไม่อะพี่ว่าน หนูไม่เชื่อคนหลอกลวงอย่างพี่หรอก!!” พูดจบเธอก็วิ่งร้องไห้เข้าไปในห้องนอนของเธอทันที แต่เมื่อชายหนุ่มว่าที่สามีจะวิ่งตามไปก็ถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างไม่ไยดี
ปัง!!!
“ข้าว!! ข้าว!!! ออกมาคุยกับพี่ก่อน พี่พูดจริง ๆ นะ พี่ไม่ได้โกหก”
“อย่ามายุ่งกับหนู!!!”
“ข้าว!!! เปิดประตูให้พี่หน่อย”
“ออกไป!!! ไสหัวไปให้พ้น ๆ ฮึก ๆ ฮือ!!”
“ข้าว!! พี่สาบานได้ว่าเรื่องที่พี่พูดเป็นเรื่องจริง”
“บอกให้ไสหัวไปไง!!! หนูไม่อยากฟัง!!”
“โธ่เว้ย!!!”


“ฮึก ๆ ฮือ ๆ” 
ตานที่ขับรถกลับมาถึงบ้าน เธอก็เอาแต่นั่งร้องไห้ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ราวจะขาดใจ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน ภาพพี่ชายที่ปฏิเสธการพบเจออย่างไม่ไยดี ภาพคนที่เธอรักสุดหัวใจวิ่งตามรถที่เธอพยายามขับหนีกำลังถาโถมให้เธอเจ็บปวดจนเก็บความเสียใจเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว 
ตุบ...ตุบ...
ทันทีที่ได้ยินเสียงทุบประตูราวกับคนไม่มีแรงดังขึ้น เธอถึงกับสะดุ้งโหยงและพยายามตั้งใจฟังเสียงใหม่อีกครั้ง
“แฮก ๆ ครูตาน...ฮึก ๆ เปิด...ประ...ตู....”
ตุบ...ตุบ...
นัท!! นี่เธอวิ่งมาหาครูถึงบ้านเลยเหรอ!!? นี่มันสี่กิโลเลยนะนัท!! 
ครูสาวรีบเช็ดน้ำตาด้วยความตกใจ ก่อนจะเอาหูแนบที่ประตูเพื่อฟังเสียงคนด้านนอก
“ครูตาน...หนูรู้...ว่าครูรักหนู แฮก ๆ ครู...เปิด...ประตู...ให้หนู...ที...”
เสียงพูดที่แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงทุบประตูที่เงียบหายไป ทำเอาเธอถึงกับร้อนใจ
เธอค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออกทีละนิด และเธอถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างของใครอีกคนนอนหมดสติอยู่กับพื้น ใบหน้าของเธอซีดเผือกและเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ เธอจึงรีบโผเข้าไปประคองร่างมาไว้ในอ้อมกอดของเธอทันที
“นัท!!! นัท!! ตื่นสินัท!!! ฮึก ๆ นัท!!!”